ฟางเจียวเหมย หลังจากเดินออกมาจากบ้านแล้ว หญิงสาวก็เดินตามทางมาเรื่อย ๆ ก่อนจะหลบเข้าข้างทางเพื่อตรวจสอบมิติที่ได้มา
“ในนี้มีร้านอาหาร บ้านพักและห้างสรรพสินค้าจริง ๆ ด้วย แต่ถ้าฉันต้องสำรวจทั้งหมดคงเสียเวลาไม่น้อย เอาแบบนี้ก็แล้วกัน ฉันไปหาอาหารที่ร้านอาหารก่อนดีกว่า” หญิงสาวพูดกับตัวเองในตอนที่สำรวจทุกอย่างคร่าว ๆ แล้ว
จากนั้นหญิงสาวจึงเข้าไปที่ร้านอาหารของตนเองและตรวจสอบว่ามีอะไรบ้าง ซึ่งในห้องเย็นที่เก็บวัตถุดิบนั้นมีทุกอย่างที่เธอต้องการ ก่อนที่เธอจะเลือกเนื้อหมู และผัก รวมถึงเครื่องปรุงเพื่อจะเอาออกไปประกอบอาหารเย็นนี้ เมื่อได้อาหารมาแล้ว เธอจึงเดินไปยังห้างสรรพสินค้าเพื่อเลือกดูขอใช้ให้ลูกๆ รวมถึงแม่และน้องสามี เนื่องจากเสื้อผ้าที่ใส่นั้นล้วนแต่มี
รอยปะทั้งนั้น ก่อนจะเลือกเสื้อผ้าผู้ชายมาอีกหลายชุด ตามขนาดของพี่ชายและสามีของร่างนี้
“เลือกเสร็จทุกอย่างแล้ว แต่เวลายังเหลือ ลองเข้าไปที่ตลาดมืดดีกว่า ต่อให้มีการเปิดให้ชาวบ้านทำการค้าได้ แต่อาหารก็ยังมีจำกัด ไม่แน่ว่าอาจจะหาลู่ทางหาเงินได้บ้าง”
พูดจบแล้วเธอก็หาจักรยานที่คล้ายกับของยุคนี้มากที่สุด ก่อนจะปิดบังใบหน้าเล็กน้อยแล้วปั่นเข้าเมืองเพื่อสำรวจสถานที่ทันที
“แม่คิดว่าพี่สะใภ้เปลี่ยนไปไหมคะ” หลี่เหว่ยเหลียนเอ่ยขึ้นกับ
แม่ของตนเอง
“ลูกคิดมากไปหรือเปล่า เจียวเหมยก็มีท่าทีเหมือนเดิมนะ” หนิงหงชุนที่นั่งปักผ้าอยู่เงยหน้าขึ้นตอบกลับลูกสาว เพราะเธอเห็นฟางเจียวเหมยก็ทำตัวแบบนี้ตั้งแต่แต่งเข้ามาแล้ว เลยไม่คิดว่าการกระทำของลูกสะใภ้ในวันนี้ผิดแปลกไปจากเดิมตรงไหน
‘เคยร้ายกาจยังไงก็ยังร้ายกาจเหมือนเดิม หรืออาจจะร้ายกาจมากกว่าเดิมด้วยซ้ำไป’ นี่คือความคิดของหนิงหงชุนที่มีต่อสะใภ้ตนเอง
“แม่คิดอย่างนั้นเหรอคะ แต่ฉันว่าพี่สะใภ้แปลกไปจริงๆ นะ” เด็กสาวกลับคิดต่างกับแม่ตนเอง แม้ว่าพี่สะใภ้จะร้ายกาจแค่ไหน แต่ไม่เคยลุกขึ้นมาหาเรื่องเล่นงานบ้านใหญ่แบบนี้ ถ้าเป็นพี่สะใภ้คนเดิม คงมีแต่จะใช้กำลังหาเรื่องตบตีล่ะไม่ว่า ดีไม่ดีด่าเธออีกว่าโง่อีก ที่ยอมให้บ้านใหญ่เอาเงินค่า
เล่าเรียนไป แต่นี่พี่สะใภ้กลับไม่ทำอะไรเธอเลย
“ทำไมต้องคิดมากให้ปวดหัว เป็นแบบนี้ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ มาช่วยแม่เย็บผ้าดีกว่านะ” หนิงหงชุนบอกกับลูกสาวก่อนจะก้มหน้าเย็บผ้าต่อ
สองแม่ลูกนั่งช่วยกันปะเย็บผ้าที่ขาดต่อจวบจนสองแฝดตื่นขึ้นมา
ส่วนทางด้านฟางเจียวเหมย เธอปั่นจักรยานไปทั่วเพื่อดูว่าสถานการณ์ของเมืองนี้เป็นอย่างไร และมองว่าพอจะมีลู่ทางอะไรให้เธอทำการค้าได้บ้าง เพราะต่อให้มีมิติ แต่เมื่อไหร่ที่เธอตายก็ไม่สามารถเอาของออกมาได้แล้ว และเธออยากสร้างการค้าและธุรกิจเพื่อเป็นมรดกให้กับลูกหลานมากกว่า ที่สำคัญเธอมีวัตถุดิบเต็มมิติจะกลัวอะไร
แต่ตอนนี้ต้องหาทุนก่อนเพราะเธอนั้นไม่มีเงิน!!
เมื่อสำรวจพื้นที่โดยรอบหมดแล้ว ฟางเจียวเหมยจึงมุ่งหน้าไปตลาดมืดตามความทรงจำที่มีของร่างเดิม เพื่อจำหน่ายสินค้าและหาเงินเข้ากระเป๋า!!
หลังจากที่เข้ามาในตลาดมืดแล้ว หญิงสาวเดินและมองสำรวจไปรอบ ๆ ในตลาดมืดแห่งนี้ก็ไม่ต่างจากตลาดนัดทั่วไป ทว่าก็ไม่เหมือนไปเสียทีเดียว เธอมองการขายของในนี้ มีทั้งแบบยืนเร่ขายและวางแผงขาย ดูแล้วเจ้าของตลาดแห่งนี้น่าจะเส้นใหญ่พอสมควรเลยล่ะ แต่แล้วอยู่ ๆ สายตาก็สะดุดเข้ากับหญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง ที่ดูแล้วน่าจะเป็นแม่บ้านของคนมีเงิน
เมื่อเห็นการค้าของที่นี่และคิดว่าไม่ยาก จึงตัดสินใจเดินเข้าไปถามเผื่อว่าจะขายของได้อย่างคนอื่นบ้าง
“สวัสดีค่ะคุณป้า ไม่ทราบว่ากำลังมองหาอะไรอยู่หรือคะ พอจะบอกได้ไหมเผื่อว่าฉันจะช่วยได้” หญิงสาวถามออกไปอย่างอ่อนโยน
“เธอเป็นแม่ค้าหรือเปล่า พอดีฉันมองหาคนขายเนื้อน่ะ นี่ก็เลยเวลาที่เขามาขายมากแล้ว แต่ไม่มีวี่แววเลย ไม่รู้ว่าเขาจะมาหรือเปล่า” หญิงวัยกลางคนตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเป็นกังวล เนื่องจากวันนี้เจ้านายของเธอจัดงานเลี้ยงสังสรรค์กับสหายทั้งหลาย หากไม่มีวัตถุดิบกลับไปทำอาหารในวันนี้ มีหวังเธอคงจะถูกตัดเงินเดือนหรือถูกไล่ออกแน่เลย
“ฉันพอจะหาให้ได้นะคะ ไม่ทราบว่าคุณป้าต้องการเนื้อส่วนไหนและต้องการจำนวนเท่าไรคะ” เมื่อสบโอกาสและคิดว่านี่คือการหาเงินครั้งแรก ฟางเจียวเหมยจึงถามความต้องการของอีกฝ่ายทันที
“จริงๆ เหรอที่เธอบอกว่าสามารถหาเนื้อให้ได้น่ะ แล้วของอย่างอื่นล่ะเธอมีอะไรมาขายบ้าง” พอได้ยินว่าหญิงสาวตรงหน้าบอกว่ามีเนื้อมาเสนอขาย หญิงวัยกลางคนจึงยิ้มแก้มปริและถามว่าอีกฝ่ายมีอะไรมาขายอีกบ้าง
“คุณป้าอยากได้อะไรบ้างคะ ฉันสามารถหาให้ได้ทุกอย่าง เพราะฉันพอจะมีเส้นสายอยู่บ้าง” ฟางเจียวเหมยรีบตอบกลับด้วยความดีใจ
หญิงสาวไม่ได้โกหกเลยสักนิด เนื่องจากเธอมีสินค้าทุกอย่างให้เลือก สรรจริง ๆ เพียงแต่เอาออกมาทั้งหมดไม่ได้ในครั้งเดียว เลยถามอีกฝ่ายว่าต้องการอะไร เธอจะได้เอามาให้ถูกกับความต้องการของลูกค้า
“ถ้าอย่างนั้น ฉันขอขาหมูสี่ขา เนื้ออย่างดีห้าชั่ง ไม่ดีกว่าแปดชั่งก็แล้วกัน แล้วก็...” หญิงวัยกลางคนยังคงบอกรายการที่ต้องการอีกหลายอย่าง ซึ่งฟางเจียวเหมยทำทีเป็นล้วงกระเป๋าผ้าที่สะพายมาและหยิบกระดาษกับปากกาออกมาจดรายการที่คุณป้าตรงหน้าต้องการ
“แค่นี้แหละที่ฉันต้องการ เธอมีขายให้ฉันไหมล่ะ” เมื่อไล่รายชื่อสิ่งที่ต้องการจบแล้ว หญิงคนนั้นก็ถามฟางเจียวเหมยกลับมาทันที
“สินค้าจำนวนไม่น้อยเลยนะคะ แต่คุณป้าไม่ต้องห่วง ฉันมีให้ครบทุกอย่างแน่นอน อย่างไรคุณป้ารบกวนรอสักหน่อยได้ไหม ฉันจะไปเอาของมาก่อน” หญิงสาวตอบกลับด้วยรอยยิ้ม แล้วบอกให้อีกฝ่ายรอสักหน่อย เนื่องจากเธอต้องไปเอาของออกมาจากมิติในอีกที่หนึ่งที่ลับสายตาคน เพราะถ้าเกิดเอาออกมาตรงนี้ คุณป้าตรงหน้าคงได้ตื่นตกใจตายแน่ๆ
“ได้สิ เดี๋ยวฉันจะรอเธออยู่ตรงนี้ก็แล้วกัน ว่าแต่เธอยังไม่แจ้งราคาฉันเลยนะว่าขายเท่าไหร่ หากว่าแพงไปฉันก็คงไม่เอาหรอก เนื่องจากฉันมีเงินจำกัดน่ะ” หญิงวัยกลางคนไม่ลืมถามเรื่องสำคัญในการซื้อขาย นั่นคือเรื่องราคา
“คุณป้าเคยซื้อกับอีกร้านอื่นเท่าไหร่คะ เนื่องจากคุณป้าเป็นลูกค้ารายใหญ่ของฉันในวันนี้ ฉันเลยตั้งใจว่าจะขายให้ในราคาที่คุณป้าเคยซื้อ
น่ะค่ะ แต่รับรองว่าสินค้าของฉันเป็นสินค้าชั้นดีแน่นอน” ฟางเจียวเหมยพูดขึ้นอย่างใจกว้าง
เนื่องจากเธอลืมเรื่องราคาไปเสียสนิทเลย จากความทรงจำเดิมก็ไม่แน่ใจว่าเคยซื้อขายกันเท่าไร แต่ถึงยังไงเธอจะขายราคาตามท้องตลาด
นี่แหละ
หญิงวัยกลางคนบอกราคาที่เธอซื้อมาจริง ๆ ให้หญิงสาวรับรู้ ซึ่งฟางเจียวเหมยพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินไปทางที่มีซอกตึกลับตาคน จากนั้นจึงหยิบสินค้าตามที่ลูกค้าสั่งซื้อออกมา
ไม่นานฟางเจียวเหมยก็กลับมาที่ลูกค้ารายแรกยืนรอ พร้อมถุงที่ใส่สินค้า
“สินค้าที่สั่งได้ครบแล้วละคะ คุณป้าลองตรวจดูก่อนจ่ายเงินได้เลยค่ะ” พูดจบเธอก็ยื่นถุงให้ลูกค้า เพื่อให้อีกฝ่ายตรวจนับสินค้าว่าได้ครบไหม
“ครบถ้วนทุกอย่าง นี่เงินร้อยเจ็ดสิบสี่หยวน ถูกต้องไหม” ป้าคนนั้นยื่นเงินมาให้ฟางเจียวเหมยเมื่อตรวจสินค้าครบแล้ว
“ถูกต้องค่ะ นี่ใบรายการและราคานะคะ ขอบคุณที่อุดหนุนค่ะ” ฟางเจียวเหมยยื่นใบรายการสินค้าคืนไปให้พร้อมกับใส่ราคาให้เรียบร้อย เพราะรู้ว่านางจะต้องนำไปเบิกกับเจ้านายแน่นอน
เมื่อลูกค้ารายแรกเดินจากไปแล้ว ฟางเจียวเหมยก็เดินหาลูกค้ารายต่อ ๆ ไป เนื่องจากวันนี้เธอไม่ได้ตั้งใจมาขายของจริง ๆ เลยไม่อยาก
ปูผ้าตั้งแผงเหมือนคนอื่น และที่สำคัญ หากไม่ใช่สินค้าที่จำกัดของภาครัฐ เธอสามารถวางขายตามตลาดนัดหรือสถานที่ที่รัฐจัดสรรให้ได้
เท่าที่เดินดูมา ขายอาหารน่าจะขายดีที่สุดแล้ว เพราะเธอไม่ได้เดือดร้อนเรื่องวัตถุดิบ แต่จะให้ขายอย่างโจ่งแจ้งตอนนี้คงไม่ไหว เพราะยังมีเหลือบไรจากบ้านใหญ่อยู่ ถ้าหากพวกนั้นรู้ว่าเธอมีเงินจากการค้าขาย จะต้องมาแย่งชิงไปแน่ ตอนนี้เธอคงต้องหาทางแยกบ้านและตัดขาดจากบ้านใหญ่ให้เร็วที่สุดก็พอ
บทที่ 31 รับเป็นน้องบุญธรรม“แล้วถ้าเป็นหยกล่ะ เธอมีราคาในใจหรือเปล่า” กงเฉินเสวียนพูดสวนขึ้นมา ‘ในเมื่อสิบสองก้อนล้วนแต่ผ่าออกมาเป็นหยกทั้งนั้น แล้วก้อนใหญ่จะไม่ใช่หยกได้อย่างไร และถ้าเป็นหยกจักรพรรดิขึ้นมา ราคาของมันจะอยู่ที่หลายสิบล้านหยวน ซึ่งถ้าเขาสามารถขอซื้อมาได้ นั่นก็หมายความว่า หญิงสาวคนนี้จะสร้างเม็ดเงินให้เขาได้อย่างมหาศาลเลยทีเดียว’ เขาคิดคำนวณในใจพร้อมกับรอคำตอบฟางเจียวเหมยนั้นยังไม่ตอบ แต่หันมาสบตากับสามีอีกครั้งเพื่อขอปรึกษา เนื่องจากเธอเองก็ไม่รู้ค่าของเงินในยุคนี้เท่าไรนัก ถ้าถามว่าเธออยากได้เงินมากหรือไม่นั้น ก็ตอบได้เลยว่าอยากได้ เนื่องจากเธอคิดจะทำธุรกิจมากมาย แต่สิ่งที่เธอขาดอย่างเดียวก็คือเงิน ต่อให้จะขายหยกก่อนหน้านี้ไปแล้ว มันก็ได้แค่ไม่กี่แสนหยวนเท่านั้น มันยังไม่เพียงพอตามที่เธอต้องการ“ราคาในใจฉันมีอยู่แล้วค่ะ อยู่ที่ว่านายท่านกงจะสู้ราคาฉันไว้หรือเปล่า” ฟางเจียวเหมยมองสบตากับสามีครู่หนึ่ง เมื่อเขายิ้มให้เธอจึงหันกลับมาตอบ นั่นจึงทำให้นายท่านกงอมยิ้มเล็กน้อยอย่างพึงพอใจ“ถ้าอย่างนั้นเธอให้เขาผ่าหินก้อนนี้เลยดีหรือไม่ เราจะได้มาดูกันว่าด้านในเป็นอะไร เมื่อ
บทที่ 30 สร้างเม็ดเงินมหาศาลเจ้าของร้านมองก้อนหินที่หญิงสาวชี้แล้วได้แต่แปลกใจเนื่องจากหินก้อนนี้วางอยู่ที่ร้านมานานแล้วแต่ไม่เคยมีใครสนใจเลย ซึ่งเขาเองก็คิดว่าหินก้อนนี้มันเป็นเพียงหินธรรมดาเท่านั้น อีกทั้งมันยังดูเกะกะอีกด้วย แต่ก็ยังโก่งราคาตามแบบพ่อค่า“ฉันขายให้หนึ่งพันหยวน” พ่อค้าบอกราคาขึ้นมา“ตกลงฉันซื้อในราคาหนึ่งพันหยวน และเอาหินก้อนนี้ นี่ด้วย” ฟางเจียวเหมยตอบกลับอย่างไม่ลังเล ก่อนจะเลือกหินที่เธอต้องการ ซึ่งในก้อนเล็กพวกนี้มีหยกจักรพรรดิถึงสามก้อน ยังไม่รวมก้อนใหญ่ก้อนนั้น ส่วนก้อนอื่น ๆ เป็นหยกสีเขียวซึ่งราคาก็แพงอยู่พอสมควรนี่จึงทำให้เจ้าของร้านและคนที่ยืนอยู่บริเวณนี้ต่างก็หน้าเปลี่ยนสี ไม่คิดว่าหญิงสาวคนนี้จะบ้าถึงขนาดซื้อก้อนหินก้อนโตที่ดูอย่างไรก็ไม่น่าจะมีหยกอยู่ด้านใน แถมราคาที่เธอซื้อนั้นก็แพงมากด้วยเวลานี้ทั้งพ่อค้าและคนที่มาเสี่ยงโชคหาซื้อหยกต่างก็มารุมล้อมร้านนี้ ซึ่งหนึ่งในนั้นมีคนของนายท่านกงอยู่ด้วย เพราะต้องการมาดูสินค้าให้กับเจ้านาย ขนาดชายคนนี้อยู่วงการค้าหยกมานาน แต่ก็ไม่เคยเห็นใครตัดสินใจแบบนี้มาก่อน เขาจึงยืนมองดูสถานการณ์อย่างสนใจ“ทั้งหมดสองพันสอง
บทที่ 29 ตลาดค้าหยกเมื่อได้รับคำที่สนับสนุนตนเองจากภรรยา หลี่อี้ข่ายจึงมีความมั่นใจมากขึ้นและจะตั้งใจทำทุกอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้ภรรยาผิดหวัง“เรื่องราวเกิดขึ้นได้อย่างไรครับ แล้วเถ้าแก่เฉาเป็นหนี้คนพวกนั้นเท่าไร” ชายหนุ่มเอ่ยถามทันที“ฉันกู้ยืมเงินคนพวกนั้นหลายเดือนแล้ว ฉันเองก็จ่ายดอกเบี้ยตรงมาทุกเดือนแต่ไม่รู้ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น ทำไมพวกนั้นถึงมาทวงโดยบอกว่าฉันไม่เคยจ่ายดอกเบี้ยเลย พอฉันโต้แย้งไปเขาก็ไม่พอใจและพังร้านจนเละไปหมด แล้วบอกว่าฉันต้องคืนเงินทั้งหมดภายในสามวัน ไม่อย่างนั้นจะไม่รับรองความปลอดภัยของคนในบ้าน เงินตั้งสี่หมื่นหยวน ฉันจะเอามาจากไหนมาคืนในเวลาแค่สามวัน ต่อให้ขายร้านก็ไม่พออยู่ดี” เถ้าแก่เฉาพูดขึ้นมาอย่างจนปัญญา ก่อนจะมองหลี่อี้ข่ายกับสหายอีกสามคนด้วยสายตาที่สงสัย ว่าทำไมอยู่ดี ๆ คนงานของร้านเถ้าแก่เฉินต่างก็ดูเปลี่ยนไป แถมยังใส่เสื้อผ้าใหม่ดูจะมีราคาอีกด้วยหลี่อี้ข่ายได้ฟังก็แปลกใจเหมือนกันว่า ทำไมเจ้าหนี้ของเถ้าแก่เฉาถึงได้มาทวงเงินเอาวันนี้ ซึ่งทุกคนก็คิดเหมือนกัน“หรือว่า...” ฉีฮุ่ยพูดขึ้น ก่อนจะหันมามองหน้าสหายอีกสามคน “ฉันคิดว่าใช่นะ อย่าลืมสิว่าฉันประกา
บทที่ 28 ช่วยเหลือร้านค้าที่ถูกกดขี่หลังจากฟังเรื่องราวทุกอย่างจากภรรยา หลี่อี้ข่ายจึงโน้มตัวคว้าร่างของภรรยาเข้ามากอดไว้แน่น เหมือนเขากลัวจะสูญเสียเธอไปจริงๆ ภายในใจนั้นรู้สึกเจ็บปวดที่ไม่อาจปกป้องเธอและทุกคนในครอบครัวได้“พี่ขอโทษนะเจียวเหมย ที่ไม่อาจปกป้องน้องและทุกคนได้ เลยทำให้น้องและทุกคนต้องเจอกับความลำบากมากมายกับบ้านใหญ่ และขอบคุณน้องมากที่ดูแลแม่และทุกคนจนหลุดพ้นจากที่นั่นออกมาได้ ขอบคุณจริง ๆ”หลี่อี้ข่ายกอดภรรยาไว้แน่นแล้วเอ่ยขอโทษออกมาอย่างรู้สึกผิด“ไม่ต้องขอบคุณแล้วค่ะ แล้วก็อย่าคิดมากเลยนะคะ อย่างไรเราก็คือสามีภรรยาและครอบครัวเดียวกัน ตอนนี้ฉันซื้อบ้านและพาพี่ใหญ่ฉันมาอยู่ด้วยนะ พี่จะว่าอะไรไหม”ฟางเจียวเหมยบอกถึงเรื่องที่เธอซื้อบ้านและให้พี่ชายมาอยู่บ้านเดียวกันให้สามีฟัง“พี่ภรรยาก็คือครอบครัวเรา อย่าคิดมากเลยนะ” ชายหนุ่มตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลฟางเจียวเหมยยิ้มกว้าง ในใจนั้นคิดไม่ผิดที่บอกความลับแก่สามีและสาเหตุหลักที่เธอบอก เพราะหากเธอต้องส่งสินค้าให้คู่ค้าตอนอยู่ที่เมืองนี้ เธอจะได้ไม่ต้องหาข้ออ้างที่ชวนปวดหัวให้กับสามี การที่หลี่อี้ข่ายรับรู้เรื่องมิติของ
บทที่ 27 ความจริงที่เล่าไม่หมด“พี่อี้ข่าย พี่อี้ข่ายฟังฉันอยู่ไหมคะ” ฟางเจียวเหมยขยับตัวมาใกล้ ๆ แล้วเรียกพร้อมกับโบกมือไปตรงหน้าสามีที่ยังยืนตัวแข็งทื่ออยู่อย่างแปลกใจ“เอ่อ..คะ ครับ พี่จะไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้ครับ” หลี่อี้ข่ายได้เรียกสติตัวเองกลับมาก็ตอบอย่างตะกุกตะกัก ก่อนจะรีบเดินเข้าห้องน้ำพร้อมกับผ้าขนหนู มีการผลักประตูห้องน้ำเข้าไปด้วย ทั้งที่หน้าห้องเขียนไว้ว่า ‘โปรดดึง’“น่ารักเหมือนกันแฮะ” ฟางเจียวเหมยมองภาพนั้นแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ในใจนั้นคิดว่าสามีคนนี้น่ารักน่าแกล้งดีเหมือนกัน แต่พอก้มมองชุดนอนที่ตัวเองใส่ก็เข้าใจทันทีว่าทำไมสามีถึงหน้าแดงและยืนตัวแข็งทื่อแบบนั้น จากนั้นก็ยักไหล่อย่างไม่แคร์ พร้อมกับพูดออกมาว่า “โป้แล้วไง ใส่ให้สามีมองนะไม่ใช่ใส่ให้คนอื่นมองสักหน่อย”แต่พอหลี่อี้ข่ายออกมาจากห้องน้ำเท่านั้น เธอถึงกับต้องกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็นเพราะรูปร่างกำยำที่เย้ายวนใจของเขา“เอ่อ...พี่ไม่ใส่เสื้อผ้าหน่อยเหรอ” ฟางเจียวเหมยเอ่ยถามเสียงสั่น เมื่อเห็นว่าสามีเดินขึ้นมานอนบนเตียงด้วยร่างกายที่ไม่ต่างกับเปล่าเปลือย เพราะเขามีเพียงผ้าขนหนูผืนเดียวพันรอบเอวไว้เท่านั้น“ใส่ทำไมล่ะ
บทที่ 26 เจ้าของร้านหลี่ฟางฟางเจียวเหมยเห็นท่าทางของพนักงานคนหนึ่งก็เข้าใจทันทีว่าต่อให้เธอและสามีแจ้งความก็ไม่สามารถเอาผิดคุณหนูเฉินได้ แต่เธอเป็นแม่ค้าย่อมไม่ยอมเสียเปรียบแน่ อย่างนี้ต้องหาทางเอาคืนอย่างสาสม อย่าลืมสิว่าเธอคือโกดังเคลื่อนที่ การที่จะหาคู่ค้าจากเมืองนี้ไม่ใช่เรื่องยาก ก่อนจะเดินมากระซิบบางอย่างข้างหูสามี ซึ่งชายหนุ่มก็พยักหน้าตาม เขาเองก็ไม่อยากทำร้ายสหายในร้านเหมือนกัน เขาเชื่อเต็มร้อยว่าสหายไม่ใช่คนที่เอาพัสดุของเขาไป แต่อาจจะเป็นเพียงแพะรับบาปเท่านั้น“ว่าแต่พี่ลาออกได้เลยใช่ไหม เราจะได้ไปหาโรงแรมที่พักกัน ฉันลงรถไฟมาก็ตรงดิ่งมาที่นี่เลย ตอนนี้ฉันเหนื่อยมาก” ฟางเจียวเหมยพูดกับสามีด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อน เรื่องเอาคืนผู้หญิงคนนี้นั้นเธอคิดในใจไว้แล้ว อย่างไรวันนี้ก็พักเอาแรงก่อนดีกว่า“ครับ พี่ลาออกได้เลย เดี๋ยวเราค่อยไปคุยกันนะ พี่ขอไปเก็บของก่อน” ชายหนุ่มตอบกลับภรรยาทันทีและเตรียมหมุนตัวออกไปจากร้านเพื่อจะไปที่พักเก็บของ แต่ทว่าฟางเจียวเหมยกลับห้ามไว้เสียก่อน“ไม่ต้องหรอกค่ะพี่อี้ข่าย ของที่พี่มีมันคงเก่าหมดแล้ว ฉันได้เตรียมเสื้อผ้ามาให้พี่แล้วล่ะ ของที่มีอยู่ที่นี