ฟางเจียวเหมยใช้เวลาอยู่ในตลาดมืดพักใหญ่ เมื่อเห็นว่าถึงเวลาที่ต้องกลับบ้านแล้ว และวันนี้เธอก็หาเงินได้หลายร้อยหยวน เลยตั้งใจจะกลับไปทำมื้อเย็นที่อร่อยให้ทุกคนกิน และตั้งใจจะไปชวนพี่ชายของร่างนี้มากินด้วย เพราะที่ผ่านมาไม่ว่าพี่ชายจะไปล่าสัตว์อะไรมาได้ ก็มักจะเอามาแบ่งปันเธอเสมอ
ในขณะที่ปั่นจักรยานกลับบ้าน หญิงสาวก็ใช้สายตาสอดส่องดูสองข้างทาง เผื่อว่าจะมีร้านค้าให้เช่า เพราะเงินไม่กี่ร้อยหยวนที่มีอยู่ตอนนี้
ไม่น่าจะเซ้งร้านหรือว่าซื้ออะไรได้ อย่างน้อยเธอต้องหาเงินเพื่อซื้อตึกสักหลัง เพื่อเปิดร้านอาหารอย่างที่เธอถนัด และตั้งใจว่าจะเปิดร้านขายของให้พี่ชายด้วย เพราะถ้ายังอยู่บ้านฟางที่แม่เลี้ยงจอมวายร้ายคุมทุกอย่างในบ้าน
ชาตินี้พี่ชายของเธอคงลืมตาอ้าปากไม่ได้แน่ ๆ
เมื่อเดินทางมาใกล้หมู่บ้าน ฟางเจียวเหมยจึงหลบเข้าข้างทางเพื่อเก็บจักรยานไว้ในมิติ และเอาของทั้งหมดที่เตรียมไว้ออกมา โดยใส่ตะกร้าแล้วสะพายไว้ข้างหลัง ก่อนจะเดินกลับเข้าหมู่บ้านด้วยท่าทีปกติ
“เจียวเหมย น้องเข้าเมืองมาเหรอ มาเถอะ ส่งตะกร้ามาพี่เดี๋ยวพี่จะช่วยแบกเอง”
ระหว่างทางนั้น เธอกลับได้ยินเสียงเรียกของใครบางคนที่ฟังแล้วคุ้นหูยิ่งนัก จึงหันไปดูก็พบเข้ากับชายหนุ่มคนหนึ่ง
ซึ่งชายหนุ่มหน้าตาดีคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เขาคือ ‘ฟางหลู่เฉิน’ พี่ชายของฟางเจียวเหมยที่กำลังเดินลงมาจากเขานั่นเอง
“อ้าวพี่ใหญ่ วันนี้เลิกงานแล้วเหรอคะ” หญิงสาวเมื่อเห็นว่าเป็นใครจึงเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้มและน้ำเสียงที่อ่อนโยนหลายส่วน นี่จึงสร้างความแปลกใจให้กับคนเป็นพี่ชายมาก
“อืม วันนี้พี่ทำงานครึ่งวัน ช่วงบ่ายเลยขึ้นเขาเผื่อว่าจะหาอาหารได้บ้าง เอาตะกร้ามาเถอะ พี่จะช่วยแบกไปส่งบ้านเอง” ชายหนุ่มตอบกลับน้องสาวด้วยท่าทียิ้มแย้ม พร้อมกับเดินไปตรงหน้าเพื่อรอรับตะกร้านั้นมา
ฟางเจียวเหมยก็ไม่ขัดความต้องการของพี่ชาย ก่อนจะเอาตะกร้าที่เต็มไปด้วยของกินและของใช้ยื่นส่งให้พี่ชายทันที
“วันนี้พี่ไปกินข้าวกับฉันนะ ฉันซื้อเนื้อมาด้วย”
ระหว่างเดินไปด้วยกัน เธอจึงเอ่ยบอกถึงความต้องการของตนเอง ที่จะชวนพี่ชายไปกินข้าวที่บ้านแม่สามี
“อย่าเลย เจียวเหมยแต่งงานแล้ว พี่จะเข้าไปวุ่นวายมันไม่ดีหรอก ขอบใจมากสำหรับน้ำใจของน้องในครั้งนี้” ฟางลู่เฉินรีบปฏิเสธ เพราะไม่อยากสร้างเรื่องให้กับน้องสาว เนื่องจากรู้ดีว่าบ้านใหญ่หลี่นั้นเป็นอย่างไร
“พี่อย่าคิดมากเลย แม่สามีและเสี่ยวเหลียนไม่เหมือนกับบ้านใหญ่หรอก อีกทั้งพี่และทุกคนในบ้านสามล้วนแต่สนิทและคุ้นเคยกันอยู่แล้ว
อีกอย่างเวลานี้หลานของพี่ก็ตัวโตขึ้นเยอะแล้วนะ ไม่เข้าไปเยี่ยมเยียนหลาน ๆ สักหน่อยเหรอ” หญิงสาวพยายามโน้มน้าวให้พี่ชายไปกินข้าวด้วย เพราะมองจากร่างกายของพี่แล้ว เขาคงไม่ได้กินอิ่มหรือนอนหลับสนิท
สักเท่าไรนัก
ทันทีที่ได้ยินน้องสาวพูดถึงหลานฝาแฝด ใบหน้าของชายหนุ่มจึงยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ก่อนจะพยักหน้าและตอบรับทันที “ตกลง พี่จะไปกินมื้อเย็นกับเจียวเหมยด้วย”
“ดีเลยค่ะ งั้นเรารีบเดินกันเถอะ” ฟางเจียวเหมยยิ้มออกมาเมื่อพี่ชายยอมไปกินข้าวด้วยกัน
จากนั้นสองพี่น้องจึงเดินกลับบ้านหลี่พร้อมกัน แต่ทั้งสองไม่ได้เข้าทางหน้าบ้าน เนื่องจากบ้านสามไม่มีสิทธิ์เข้าออกทางนี้ แต่จะมีประตูหลังที่ติดกับห้องพักของบ้านสาม เลยทำให้ฟางเจียวเหมยและคนบ้านสามเข้าออกทางนี้ทางเดียวเท่านั้น
“เปิดประตูหน่อย ฉันกลับมาแล้ว” ฟางเจียวเหมยเอ่ยเรียกคนในบ้านเมื่อเดินมาถึงแล้ว
ไม่นานหลี่เหว่ยเหลียนก็เดินมาเปิดประตูห้องพร้อมกับอุ้มหลานชายมาด้วย โดยมีหนิงหงชุนอุ้มหลานสาวตามออกมา
“กลับมาแล้วเหรอพี่สะใภ้ เอ๊ะ! พี่หลู่เฉิน” เด็กสาวเอ่ยทักพี่สะใภ้ ทว่าเมื่อเห็นใครมาด้วยจึงเอ่ยเรียกด้วยความคุ้นเคย
“อืม ฉันกลับมาแล้ว วันนี้ให้พี่ใหญ่กินข้าวที่นี่ด้วยนะคะแม่ ฉันซื้ออาหารกลับมาเยอะเลย” ฟางเจียวเหมยตอบกลับ ก่อนจะเอ่ยขอแม่สามีเรื่องที่จะให้พี่ชายนั้นกินข้าวด้วย
“เอาสิ กินหลายคนอร่อยดี” หนิงหงชุนตอบกลับด้วยรอยยิ้มและยินดีที่ฟางหลู่เฉินจะมากินข้าวด้วย เนื่องจากพี่ชายของลูกสะใภ้คนนี้ มักจะนำของป่าติดมือมาให้บ้านสามอยู่เสมอ
“ขอบคุณครับน้าหงชุน” ชายหนุ่มตอบกลับ ก่อนจะมองหลานทั้งสองคนด้วยสายตาที่อ่อนโยน ทว่ายังไม่กล้าเข้าไปขออุ้มเนื่องจากร่างกายตนเองนั้นตอนนี้ชุ่มไปด้วยเหงื่อและฝุ่นนั่นเอง
“จริงสิ ในตลาดมีเสื้อผ้าลดราคาด้วย ฉันเลยซื้อมาเผื่อทุกคน
พี่ใหญ่ด้วยนะ เข้ามาในห้องกันก่อนเถอะ เดี๋ยวบ้านใหญ่โผล่มา”
ฟางเจียวเหมยรีบบอกทุกคน ไม่ใช่ว่าเธอกลัวนะ แต่ไม่อยากรำคาญใจ เพราะเวลานี้เธอยังไม่พร้อมที่จะปะทะ แต่เชื่อเถอะว่าเมื่อกลิ่นอาหารจานเนื้อลอยโชยตลบอบอวลออกไปจากห้องแคบ ๆ นี้ บ้านใหญ่ต้องกรูกันมาหาเรื่องแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นค่อยปะทะก็ยังไม่สาย อีกอย่างเธอมีเรื่องจะเกริ่นกับแม่สามีและพี่ชายตนเองก่อนด้วย
แม้จะตกใจกับการใช้จ่ายเงินของฟางเจียวเหมย แต่ทั้งสามคนเลือกที่จะไม่พูดอะไร ก่อนจะเดินกลับเข้าบ้านสามทันที
เมื่อเข้ามาถึง ฟางเจียวเหมยก็ทยอยเอาของออกมาจากตะกร้า
ซึ่งในนี้มีทั้งอาหารและของใช้ที่เธอเลือกออกมาจากมิติ รวมถึงเสื้อผ้าของทุกคนด้วย
“นี่คือเสื้อผ้าของแม่และเสี่ยวเหมยคนละห้าชุดนะ ไอ้เสื้อผ้าเก่า ๆ นั้นก็ทิ้งไปเสียเถอะนะ ส่วนนี่ก็ของพี่ใหญ่นะ ตอนแรกฉันว่าจะเอาไปให้ในวันพรุ่งนี้ แต่เมื่อมาเจอกันแล้วก็ลองดูว่าใส่ได้ไหม ส่วนนี่ก็ของพี่อี้ข่าย
เมื่อกลับมาจะได้มีเสื้อผ้าดี ๆ ใส่”
ฟางเจียวเหมยพูดไปก็ส่งเสื้อผ้าให้กับทั้งสามคน และไม่ลืมที่จะเอาของสามีออกมาด้วย ส่วนของลูก ๆ ก็เป็นพวกผ้าอ้อมและเสื้อผ้าเด็กทั่วไป เธอไม่กล้าเอาของดีออกมามากนัก เพราะกลัวว่าคนอื่นจะจับผิดนั่นเอง ดีที่ในห้างสรรพสินค้ามีร้านขายเสื้อผ้าจำพวกย้อนยุคด้วย เลยทำให้เธอกล้าเอาออกมาให้กับทุกคน
“นี่มันสิ้นเปลืองเงินมากนะเจียวเหมย พี่ไม่กล้ารับหรอก ตอนนี้บ้านสามมีเพียงน้องเขยเท่านั้นที่ทำงาน เก็บไว้ให้น้องเขยเถอะ” ฟางหลู่เฉินไม่อยากตำหนิน้องสาวมากนักที่ใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายเกินตัวแบบนี้ แต่ก็อดที่จะพูดแบบเลี่ยง ๆ ไม่ได้ เนื่องจากเวลานี้รายได้ของบ้านสามมาจากหลี่อี้ข่ายคนเดียวเท่านั้น
“รับไปเถอะ ฉันตั้งใจซื้อมาให้ทุกคน อีกอย่างฉันยังมีสินเดิมของแม่อยู่ และฉันตั้งใจว่าจะทำการค้า แต่ฉันกลัวว่าหากฉันทำการค้าเองแล้วมีเงิน บ้านใหญ่จะมาฉกชิงไปน่ะสิ เพราะเวลานี้บ้านสามยังไม่ได้แยกบ้านน่ะ” หญิงสาวยังคงอ้างสินเดิมของแม่ และเธอรู้ดีว่าพี่ชายนั้นเห็นกล่องที่เธอเอาออกมาจากบ้านฟางตอนแต่งงาน แต่เขาไม่รู้ว่าข้างในมีอะไร
“แม่บอกแล้วใช่ไหมเจียวเหมยว่า แม่ไม่ต้องการให้เธอเอาสินเดิมไปขาย” หนิงหงชุนใบหน้าเริ่มเคร่งเครียดขึ้นมาที่ลูกสะใภ้ไม่ยอมฟังเธอในเรื่องนี้
“แม่อย่าคิดมากไปเลย ฉันแค่เอาไปจำนำแล้วซื้อของมาขายในตลาดมืดเท่านั้น เมื่อฉันทำการค้ามีกำไรเยอะ ๆ ฉันค่อยไปไถ่ถอนมาก็ได้ วันนี้ฉันได้กำไรมาหลายสิบหยวนน่ะเลยแบ่งเงินซื้อข้าวของพวกนี้มา หลังจากนี้ฉันจะเข้าเมืองไปตัดราคาสินค้ามาขายเพื่อเก็งกำไร แบบนี้บ้านใหญ่ก็ไม่มีทางรู้ และเมื่อไรที่ฉันเก็บเงินได้ ฉันอยากเปิดร้านอาหารและร้านค้าค่ะ ตอนนี้พี่อี้ข่ายทำงานคนเดียวอยู่ต่างเมือง เมื่อไหร่ที่เราอยู่ตัวกันแล้ว ฉันจะไปรับสามีกลับมาช่วยกันทำการค้า ส่วนพี่ใหญ่เองก็ควรจะออกจากบ้านหลังนั้นได้แล้ว พี่จะทนไปเพื่ออะไรกัน” ฟางเจียวเหมยพูดถึงแผนการที่เธอตั้งใจจะทำให้ทุกคนได้รับรู้
ทั้งสามคนมองฟางเจียวเหมยคล้ายกับคนเห็นผี เพราะที่ผ่านมาเธอไม่คิดจะทำอะไรเพื่อคนอื่นเลย ทั้งยังมีนิสัยร้ายกาจแล้วก็ไม่คิดที่จะทำงานหรือว่าหาเงินมาจุนเจือครอบครัวแบบนี้ ไม่คิดว่าหลังจากที่ป่วยเพราะจมน้ำหลายวัน ความคิดของเธอจะดีขึ้นจนน่าแปลกใจ แม้จะยังมีนิสัยร้ายกาจอยู่มากก็ตาม!!
บทที่ 31 รับเป็นน้องบุญธรรม“แล้วถ้าเป็นหยกล่ะ เธอมีราคาในใจหรือเปล่า” กงเฉินเสวียนพูดสวนขึ้นมา ‘ในเมื่อสิบสองก้อนล้วนแต่ผ่าออกมาเป็นหยกทั้งนั้น แล้วก้อนใหญ่จะไม่ใช่หยกได้อย่างไร และถ้าเป็นหยกจักรพรรดิขึ้นมา ราคาของมันจะอยู่ที่หลายสิบล้านหยวน ซึ่งถ้าเขาสามารถขอซื้อมาได้ นั่นก็หมายความว่า หญิงสาวคนนี้จะสร้างเม็ดเงินให้เขาได้อย่างมหาศาลเลยทีเดียว’ เขาคิดคำนวณในใจพร้อมกับรอคำตอบฟางเจียวเหมยนั้นยังไม่ตอบ แต่หันมาสบตากับสามีอีกครั้งเพื่อขอปรึกษา เนื่องจากเธอเองก็ไม่รู้ค่าของเงินในยุคนี้เท่าไรนัก ถ้าถามว่าเธออยากได้เงินมากหรือไม่นั้น ก็ตอบได้เลยว่าอยากได้ เนื่องจากเธอคิดจะทำธุรกิจมากมาย แต่สิ่งที่เธอขาดอย่างเดียวก็คือเงิน ต่อให้จะขายหยกก่อนหน้านี้ไปแล้ว มันก็ได้แค่ไม่กี่แสนหยวนเท่านั้น มันยังไม่เพียงพอตามที่เธอต้องการ“ราคาในใจฉันมีอยู่แล้วค่ะ อยู่ที่ว่านายท่านกงจะสู้ราคาฉันไว้หรือเปล่า” ฟางเจียวเหมยมองสบตากับสามีครู่หนึ่ง เมื่อเขายิ้มให้เธอจึงหันกลับมาตอบ นั่นจึงทำให้นายท่านกงอมยิ้มเล็กน้อยอย่างพึงพอใจ“ถ้าอย่างนั้นเธอให้เขาผ่าหินก้อนนี้เลยดีหรือไม่ เราจะได้มาดูกันว่าด้านในเป็นอะไร เมื่อ
บทที่ 30 สร้างเม็ดเงินมหาศาลเจ้าของร้านมองก้อนหินที่หญิงสาวชี้แล้วได้แต่แปลกใจเนื่องจากหินก้อนนี้วางอยู่ที่ร้านมานานแล้วแต่ไม่เคยมีใครสนใจเลย ซึ่งเขาเองก็คิดว่าหินก้อนนี้มันเป็นเพียงหินธรรมดาเท่านั้น อีกทั้งมันยังดูเกะกะอีกด้วย แต่ก็ยังโก่งราคาตามแบบพ่อค่า“ฉันขายให้หนึ่งพันหยวน” พ่อค้าบอกราคาขึ้นมา“ตกลงฉันซื้อในราคาหนึ่งพันหยวน และเอาหินก้อนนี้ นี่ด้วย” ฟางเจียวเหมยตอบกลับอย่างไม่ลังเล ก่อนจะเลือกหินที่เธอต้องการ ซึ่งในก้อนเล็กพวกนี้มีหยกจักรพรรดิถึงสามก้อน ยังไม่รวมก้อนใหญ่ก้อนนั้น ส่วนก้อนอื่น ๆ เป็นหยกสีเขียวซึ่งราคาก็แพงอยู่พอสมควรนี่จึงทำให้เจ้าของร้านและคนที่ยืนอยู่บริเวณนี้ต่างก็หน้าเปลี่ยนสี ไม่คิดว่าหญิงสาวคนนี้จะบ้าถึงขนาดซื้อก้อนหินก้อนโตที่ดูอย่างไรก็ไม่น่าจะมีหยกอยู่ด้านใน แถมราคาที่เธอซื้อนั้นก็แพงมากด้วยเวลานี้ทั้งพ่อค้าและคนที่มาเสี่ยงโชคหาซื้อหยกต่างก็มารุมล้อมร้านนี้ ซึ่งหนึ่งในนั้นมีคนของนายท่านกงอยู่ด้วย เพราะต้องการมาดูสินค้าให้กับเจ้านาย ขนาดชายคนนี้อยู่วงการค้าหยกมานาน แต่ก็ไม่เคยเห็นใครตัดสินใจแบบนี้มาก่อน เขาจึงยืนมองดูสถานการณ์อย่างสนใจ“ทั้งหมดสองพันสอง
บทที่ 29 ตลาดค้าหยกเมื่อได้รับคำที่สนับสนุนตนเองจากภรรยา หลี่อี้ข่ายจึงมีความมั่นใจมากขึ้นและจะตั้งใจทำทุกอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้ภรรยาผิดหวัง“เรื่องราวเกิดขึ้นได้อย่างไรครับ แล้วเถ้าแก่เฉาเป็นหนี้คนพวกนั้นเท่าไร” ชายหนุ่มเอ่ยถามทันที“ฉันกู้ยืมเงินคนพวกนั้นหลายเดือนแล้ว ฉันเองก็จ่ายดอกเบี้ยตรงมาทุกเดือนแต่ไม่รู้ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น ทำไมพวกนั้นถึงมาทวงโดยบอกว่าฉันไม่เคยจ่ายดอกเบี้ยเลย พอฉันโต้แย้งไปเขาก็ไม่พอใจและพังร้านจนเละไปหมด แล้วบอกว่าฉันต้องคืนเงินทั้งหมดภายในสามวัน ไม่อย่างนั้นจะไม่รับรองความปลอดภัยของคนในบ้าน เงินตั้งสี่หมื่นหยวน ฉันจะเอามาจากไหนมาคืนในเวลาแค่สามวัน ต่อให้ขายร้านก็ไม่พออยู่ดี” เถ้าแก่เฉาพูดขึ้นมาอย่างจนปัญญา ก่อนจะมองหลี่อี้ข่ายกับสหายอีกสามคนด้วยสายตาที่สงสัย ว่าทำไมอยู่ดี ๆ คนงานของร้านเถ้าแก่เฉินต่างก็ดูเปลี่ยนไป แถมยังใส่เสื้อผ้าใหม่ดูจะมีราคาอีกด้วยหลี่อี้ข่ายได้ฟังก็แปลกใจเหมือนกันว่า ทำไมเจ้าหนี้ของเถ้าแก่เฉาถึงได้มาทวงเงินเอาวันนี้ ซึ่งทุกคนก็คิดเหมือนกัน“หรือว่า...” ฉีฮุ่ยพูดขึ้น ก่อนจะหันมามองหน้าสหายอีกสามคน “ฉันคิดว่าใช่นะ อย่าลืมสิว่าฉันประกา
บทที่ 28 ช่วยเหลือร้านค้าที่ถูกกดขี่หลังจากฟังเรื่องราวทุกอย่างจากภรรยา หลี่อี้ข่ายจึงโน้มตัวคว้าร่างของภรรยาเข้ามากอดไว้แน่น เหมือนเขากลัวจะสูญเสียเธอไปจริงๆ ภายในใจนั้นรู้สึกเจ็บปวดที่ไม่อาจปกป้องเธอและทุกคนในครอบครัวได้“พี่ขอโทษนะเจียวเหมย ที่ไม่อาจปกป้องน้องและทุกคนได้ เลยทำให้น้องและทุกคนต้องเจอกับความลำบากมากมายกับบ้านใหญ่ และขอบคุณน้องมากที่ดูแลแม่และทุกคนจนหลุดพ้นจากที่นั่นออกมาได้ ขอบคุณจริง ๆ”หลี่อี้ข่ายกอดภรรยาไว้แน่นแล้วเอ่ยขอโทษออกมาอย่างรู้สึกผิด“ไม่ต้องขอบคุณแล้วค่ะ แล้วก็อย่าคิดมากเลยนะคะ อย่างไรเราก็คือสามีภรรยาและครอบครัวเดียวกัน ตอนนี้ฉันซื้อบ้านและพาพี่ใหญ่ฉันมาอยู่ด้วยนะ พี่จะว่าอะไรไหม”ฟางเจียวเหมยบอกถึงเรื่องที่เธอซื้อบ้านและให้พี่ชายมาอยู่บ้านเดียวกันให้สามีฟัง“พี่ภรรยาก็คือครอบครัวเรา อย่าคิดมากเลยนะ” ชายหนุ่มตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลฟางเจียวเหมยยิ้มกว้าง ในใจนั้นคิดไม่ผิดที่บอกความลับแก่สามีและสาเหตุหลักที่เธอบอก เพราะหากเธอต้องส่งสินค้าให้คู่ค้าตอนอยู่ที่เมืองนี้ เธอจะได้ไม่ต้องหาข้ออ้างที่ชวนปวดหัวให้กับสามี การที่หลี่อี้ข่ายรับรู้เรื่องมิติของ
บทที่ 27 ความจริงที่เล่าไม่หมด“พี่อี้ข่าย พี่อี้ข่ายฟังฉันอยู่ไหมคะ” ฟางเจียวเหมยขยับตัวมาใกล้ ๆ แล้วเรียกพร้อมกับโบกมือไปตรงหน้าสามีที่ยังยืนตัวแข็งทื่ออยู่อย่างแปลกใจ“เอ่อ..คะ ครับ พี่จะไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้ครับ” หลี่อี้ข่ายได้เรียกสติตัวเองกลับมาก็ตอบอย่างตะกุกตะกัก ก่อนจะรีบเดินเข้าห้องน้ำพร้อมกับผ้าขนหนู มีการผลักประตูห้องน้ำเข้าไปด้วย ทั้งที่หน้าห้องเขียนไว้ว่า ‘โปรดดึง’“น่ารักเหมือนกันแฮะ” ฟางเจียวเหมยมองภาพนั้นแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ในใจนั้นคิดว่าสามีคนนี้น่ารักน่าแกล้งดีเหมือนกัน แต่พอก้มมองชุดนอนที่ตัวเองใส่ก็เข้าใจทันทีว่าทำไมสามีถึงหน้าแดงและยืนตัวแข็งทื่อแบบนั้น จากนั้นก็ยักไหล่อย่างไม่แคร์ พร้อมกับพูดออกมาว่า “โป้แล้วไง ใส่ให้สามีมองนะไม่ใช่ใส่ให้คนอื่นมองสักหน่อย”แต่พอหลี่อี้ข่ายออกมาจากห้องน้ำเท่านั้น เธอถึงกับต้องกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็นเพราะรูปร่างกำยำที่เย้ายวนใจของเขา“เอ่อ...พี่ไม่ใส่เสื้อผ้าหน่อยเหรอ” ฟางเจียวเหมยเอ่ยถามเสียงสั่น เมื่อเห็นว่าสามีเดินขึ้นมานอนบนเตียงด้วยร่างกายที่ไม่ต่างกับเปล่าเปลือย เพราะเขามีเพียงผ้าขนหนูผืนเดียวพันรอบเอวไว้เท่านั้น“ใส่ทำไมล่ะ
บทที่ 26 เจ้าของร้านหลี่ฟางฟางเจียวเหมยเห็นท่าทางของพนักงานคนหนึ่งก็เข้าใจทันทีว่าต่อให้เธอและสามีแจ้งความก็ไม่สามารถเอาผิดคุณหนูเฉินได้ แต่เธอเป็นแม่ค้าย่อมไม่ยอมเสียเปรียบแน่ อย่างนี้ต้องหาทางเอาคืนอย่างสาสม อย่าลืมสิว่าเธอคือโกดังเคลื่อนที่ การที่จะหาคู่ค้าจากเมืองนี้ไม่ใช่เรื่องยาก ก่อนจะเดินมากระซิบบางอย่างข้างหูสามี ซึ่งชายหนุ่มก็พยักหน้าตาม เขาเองก็ไม่อยากทำร้ายสหายในร้านเหมือนกัน เขาเชื่อเต็มร้อยว่าสหายไม่ใช่คนที่เอาพัสดุของเขาไป แต่อาจจะเป็นเพียงแพะรับบาปเท่านั้น“ว่าแต่พี่ลาออกได้เลยใช่ไหม เราจะได้ไปหาโรงแรมที่พักกัน ฉันลงรถไฟมาก็ตรงดิ่งมาที่นี่เลย ตอนนี้ฉันเหนื่อยมาก” ฟางเจียวเหมยพูดกับสามีด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อน เรื่องเอาคืนผู้หญิงคนนี้นั้นเธอคิดในใจไว้แล้ว อย่างไรวันนี้ก็พักเอาแรงก่อนดีกว่า“ครับ พี่ลาออกได้เลย เดี๋ยวเราค่อยไปคุยกันนะ พี่ขอไปเก็บของก่อน” ชายหนุ่มตอบกลับภรรยาทันทีและเตรียมหมุนตัวออกไปจากร้านเพื่อจะไปที่พักเก็บของ แต่ทว่าฟางเจียวเหมยกลับห้ามไว้เสียก่อน“ไม่ต้องหรอกค่ะพี่อี้ข่าย ของที่พี่มีมันคงเก่าหมดแล้ว ฉันได้เตรียมเสื้อผ้ามาให้พี่แล้วล่ะ ของที่มีอยู่ที่นี