LOGINเมื่อจ้าวลู่เจินมาถึงโรงพยาบาลเหรินซินที่ถูกปลุกจากยาสลบก่อนออกจากห้องผ่าตัดก็หลับไปอีกครั้งเพราะฤทธิ์ยาแก้ปวดที่หมอสั่งฉีดให้ ดังนั้นภาพที่จ้าวลู่เฉินกลับมาพบจึงเป็นร่างที่บอบบางหลับสนิทอยู่บนเตียงคนป่วยกับสายระบายเลือดออกจากปอดและขาที่ถูกผ่าตัดและใส่เฝือกเรียบร้อยแล้วเท่านั้น
"เป็นยังไงบ้าง"
ชายหนุ่มสอบถามเอากับกงเหยียนที่นั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงคนป่วย หลังจากที่หญิงสาวหลับไปแล้วด้วยฤทธิ์ของยาระงับปวด
"คุณเหรินซินรู้สึกตัวดีครับตอนออกจากห้องผ่าตัดตอนที่ย้ายมาลงเตียง แต่เพราะคุณหมอเพิ่งสั่งยาแก้ปวดให้เธอจึงหลับไปเพราะเหมือนเธอจะปวดแผลมากจนเพ้อเลยครับ"
กงเหยียนลุกขึ้นรายงานผู้เป็นนายด้วยท่าทางจริงจังเช่นเดิม ฟังอาการจากปากของเลขาคนสนิทแล้วจ้าวลู่เฉินก็ยิ่งเจ็บปวดที่ตนเองปล่อยให้อีกฝ่ายต้องมาพบเจอกับเรื่องร้ายแรงถึงขนาดนี้ ยิ่งเขามองดูร่างบอบบางที่หลับสนิทอยู่บนเตียงผู้ป่วยก็ยิ่งปวดใจ เพราะเธอก็ตัวเล็กเท่านี้แต่ต้องต่อสู้กับบาดแผลสาหัสมันเกินไปจริง ๆ
"นายกลับไปพักเถอะ แล้วอย่าลืมเร่งคนของเราจับตัวป๋อจิ้งมาให้ฉันเร็วที่สุดด้วยนะฉันอยากจะกระทืบมันให้เร็วที่สุด!"
"ครับคุณชายรอง"
กงเหยียนจากไปแล้วจ้าวลู่เฉินจึงหันไปดูทางคนป่วย มือแกร่งเอื้อมไปลูบศีรษะของหญิงสาวด้วยความเอ็นดูผสานห่วงใย เหรินซินในยามนี้น่าสงสารจับใจ หญิงสาวอายุเพียง21ปี ตัวคนเดียวไม่สมควรต้องมาพบเจอเหตุการณ์เลวร้ายเช่นนี้ หากเขาเอง3ปีที่ผ่านมาก็มีหน้าที่สำคัญซึ่งยังยากจะปลีกตัวไปดูแลเธอได้ แต่เขาก็วางแผนเอาไว้แล้วว่าอีกไม่เกิน3เดือนจะไปรับเธอมาอยู่หนานจิ้งด้วยกันแต่วันนี้กลับเกิดเหตุร้ายขึ้นมาเสียก่อน
"อืม...ฟาโรห์..."
คนป่วยพึมพำบางอย่างจ้าวลู่เฉินจึงขยับกายก้มลงไปฟังว่าหญิงสาวกล่าวว่าอะไร พอได้ฟังจนแน่ใจก็ถอนหายใจ รู้สึกผิดขึ้นมาอีกหลายขุมเมื่อเข้าใจกระจ่างว่าบัดนี้สำหรับหญิงสาวเธอเหลือแค่แมวส้มเป็นครอบครัวเท่านั้น
"ไม่ต้องห่วงมันหรอก พี่สัญญาจะดูแลมันให้ดี เธอเองก็ต้องรีบหายไวไวนะเหรินซิน"
"อือ"
ญาติข้างเตียงต่างมองมายังเตียงคนป่วยที่มาใหม่แล้วก็อมยิ้มกับภาพหนุ่มสาวที่ฝ่ายชายดูจะเป็นห่วงเป็นใยฝ่ายหญิงมากจริง ๆ ตลอดคืนนั้นเหรินซินหลับ ๆ ตื่น ๆ เพราะฤทธิ์ของอาการบาดเจ็บ ไม่ว่าจะเป็นซี่โครงหักภายในไหนจะยังเป็นขาที่หักกระดูกทิ่มเนื้อทะลุออกมาอีก ดังนั้นพยาบาลจึงวิ่งเข้าวิ่งออกฉีดยาระงับปวดให้แก่เธอแทบจะทุก2ชั่วโมง
จ้าวลู่เฉินจึงไม่ได้นอนทั้งคืน พอถึงช่วงเช้า ชายหนุ่มก็ช่วยพยาบาลเช็ดตัวให้กับเธออย่างไม่เคยทำให้ใครมาก่อน ความรักระหว่างชายหญิงนั้นยังไม่ได้บังเกิด หากแต่ความผูกพันที่อีกฝ่ายเป็นน้องสาวของเหรินเซียวนั้นเหนียวแน่นมากเหลือเกิน จนช่วงสายรอจนหมอมาตรวจอาการของหญิงสาวอีกครั้งพร้อมกับเพิ่มขนาดยาระงับปวดให้กับเหรินซินเรียบร้อยแล้วจ้าวลู่เฉินจึงกลับบ้านสกุลจ้าวโดยก่อนหน้านั้นเขาได้โทรศัพท์ให้จางจงรับเอาหลิวมี่ติดรถมาด้วย เพื่อจะได้อยู่ดูแลเหรินซินแทนเขาในช่วงที่ตนเองหลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ากับแวะไปดูงานที่หงส์เพลิงกรุ๊ปในฐานะนายใหญ่อีกด้วย ส่วนเหรินซินตอนนี้อาการยังไม่เหมาะที่จะย้ายไปพักในห้องพิเศษคงต้องอยู่อาการในห้องรวมต่อไปอย่างน้อยก็คงอีกราว3วัน
"หากระหว่างที่ฉันไม่อยู่แล้วเกิดอะไรขึ้นเธอต้องรีบติดต่อไปหาฉันหรือไม่ก็กงเหยียนทันทีนะหลิวมี่"
ถึงจะกำชับสาวใช้เป็นอย่างดีแล้วสุดท้ายจ้าวลู่เฉินนั้นก็ยังคงทิ้งเฉียงเว่ยเอาไว้ที่โรงพยาบาลเพื่อคุ้มกันเหรินซินอยู่ดี เพราะบนเส้นทางที่เขาเลือกเดินนั้นศัตรูมามากยิ่งกว่าเม็ดทรายแล้วกระมังตลอด3ปีมานี้ ไม่ว่าจะงานสีเทา สีขาว หรือดำ ตลอด3ปีมานี้เขาจับผ่านมือมาแล้วทั้งหมด
"กลับมาได้แล้วหรือไอ้ลูกทรพี!"
แต่ที่จ้าวลู่เฉินคาดไม่ถึงก็คือบิดาของตนเองจะยังรอคอยการกลับมาของเขาอย่างผิดปกติ ชายหนุ่มจำได้ว่าครั้งแรกที่ท่านนายพลจ้าวมานั่งเฝ้ารอเขาเช่นนี้คงเป็นครั้งที่ตนเองตัดสินใจลาออกจากราชการทหารเมื่อ3ปีก่อน ครั้งนี้คาดว่าบิดาของตนเองนั้นอย่างไรก็คงไม่เปิดใจยอมรับเหรินซินอย่างแน่นอน ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วก้าวเท้ามั่นคงเดินผ่านหน้าของบิดาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
"หยุดนะไอ้ลู่เฉิน!"
ท่านนายพลจ้าวตรงเข้าไปกระชากแขนของบุตรชายคนรองเอาไว้ ครั้งนี้เขาโกรธมากจริง ๆ ที่จ้าวลู่เฉินแอบไปแต่งงานโดยไม่บอกกล่าวให้เขารับรู้ไม่พอผู้หญิงคนนั้นยังมีแต่ตัวอีกด้วย ยากจนเป็นคนบ้านนอก สะใภ้สกุลจ้าวทุกคนไม่เคยต่ำต้อยเช่นนี้มาก่อนหลายชั่วอายุ เขายอมไม่ได้เด็ดขาด ยิ่งช่วงนี้เขากำลังลำบากถูกหม่าเจินจูข่มเหงอย่างหนักทำให้ท่านนายพลจ้าวคิดจะแต่งสะใภ้รองมาส่งเสริมฐานะของเขาอีกคนเพื่อจะได้สู้กลับภรรยาเอกของตนเองได้แต่เจ้าลูกไม่รักดีมันกลับไม่เป็นดังใจของเขาเลยสักอย่าง
"พอเถอะครับท่านนายพล ยังไงผมก็ยังคงคำตอบเดิม คือไม่มีวันแต่งงานกับคุณหนูอะไรคนนั้นผมมีภรรยาแล้ว เหรินซินคือคนที่ผมยกย่องว่าเป็น‘เมีย’แค่คนเดียวเท่านั้น"
"ไอ้ลูกบัดซบ!"
ผลัวะ!
เป็นอีกครั้งที่จ้าวลู่เฉินถูกบิดาตบหน้า แต่เขาชาชินกับมันแล้ว บิดาของเขานั้นเป็นผู้ชายหัวเก่ายึดถือฐานะเป็นหลัก ที่สำคัญก็คือทุกสิ่งของลูก ๆ คนเป็นบิดาต้องชี้ทางให้เดินเท่านั้นดังเช่นพี่ใหญ่ จ้าวลู่คังที่ถูกบังคับให้แต่งงานกับคุณหนูสกุลซูก็เพื่อผลประโยชน์เท่านั้นไม่สนใจสักนิดว่าจ้าวลู่คังจะรู้สึกอย่างไร
"ท่านนายพลจะฆ่าผมให้ตายก็ได้แต่ผมไม่มีวันหย่ากับเหรินซินแน่นอน"
จ้าวลู่เฉินพูดจบก็หันหลังเตรียมจะจากไปเก็บข้าวของเพื่อจะได้ย้ายออกอยู่ข้างนอกเพราะเขาเลือกความปลอดภัยและสบายใจของเหรินซินเป็นที่หนึ่งในเมื่อบิดาของเขาแสดงออกชัดเจนถึงเพียงนี้ว่าไม่ยอมรับเธอเขาก็จะไม่พาหญิงสาวเข้ามาให้ลำบากใจ
"หากแกกล้าจะเดินออกจากสกุลจ้าววันนี้ความเป็นพ่อลูกของเราก็ถือว่าขาดกันไอ้ลูกอกตัญญู!"
เท้าแกร่งของจ้าวลู่เฉินหยุดนิ่งลงทันใดเพราะนี่อาจนับเป็นครั้งแรกที่ท่านนายพลจ้าวนั้นเอ่ยตัดสัมพันธ์พ่อลูกด้วยน้ำเสียงและสีหน้าจริงจังเช่นนี้ชายหนุ่มใจหายอยู่มากแต่ภาพของเหรินเซียวก็ทำให้เขาคิดได้ว่าตัวของเขาถึงบิดาตัดขาดสายสัมพันธ์ก็ยังมีมารดาเลี้ยงกับพี่ชายต่างมารดาที่เอ็นดูไม่เคยทอดทิ้งผิดกับเหรินซินที่ไม่มีใครอีกแล้วหากเขาทอดทิ้งเธอ
"อย่างนั้นก็คงต้องแล้วแต่ท่านนายพลจะตัดสินใจเถอะครับผมอย่างไรก็ได้"
เผียะ!
ฝ่ามือแกร่งของจ้าวป๋อเหวินนั้นฟาดเปรี้ยงบนใบหน้าหล่อเหลาของบุตรชายคนรองด้วยโทสะเต็มเปี่ยม หากแต่จ้าวลู่เฉินกลับเช็ดเลือดแล้วหัวเราะน้อย ๆ เพราะชินชากับนิสัยเอาแต่ใจตนเองเป็นใหญ่มา29ปีแล้วนั่นเอง
"จะตีผมให้ตายก็ได้ แต่ผมไม่มีวันทำตามใจของท่านนายพลหรอกนะครับ ปกติผมก็เป็นลูกอกตัญญูมาตลอดชีวิตอยู่แล้วจะเป็นต่อไปก็ไม่น่าจะผิดแปลกอะไร"
"ไอ้!"
"หยุดนะ!"
เสียงหวานแต่ก็ทรงอำนาจอยู่ในทีดังขึ้นก่อนที่ร่างบอบบางของหม่าเจินจูหรือคุณนายใหญ่ของท่านนายพลจ้าวปรากฏมาพร้อมกับบุตรชายคนโตที่พุ่งตัวเอาร่างมาบังกำปั้นของบิดาที่มุ่งเป้าหมายมายังน้องชายคนรองได้ทันท่วงที
"กับทหารใต้บังคับบัญชาท่านนายพลจะตบตีหรือลงโทษยังไงฉันไม่ยุ่งนะคะ แต่ที่บ้านกับลูก ๆ ฉันเคยขอไปหลายครั้งแล้วว่าอย่าลงไม้ลงมือ"
สตรีสาวใหญ่ผู้มีใบหน้างดงามลืมวัยหากไม่รู้อายุจริงคงคิดว่าเธอเพิ่งจะ30ตอนปลายเท่านั้นเอ่ยขึ้นก่อนที่จะเอาเรือนร่างอรชรของตนเองนั้นก้าวมาบดบังเรือนกายสูงใหญ่ของบุตรชายทั้งสองเอาไว้ไม่สนใจว่าตนเองตัวเล็กตัวน้อยเพียงใด
"เธออย่ามายุ่งดีกว่าเจินจู" จ้าวป๋อเหวินกล่าว
"ฉันไม่ยุ่งไม่ได้หรอกค่ะ ที่นี่สกุลจ้าวไม่ใช่กองทัพหรือค่ายทหารของท่านนายพล"
"เธอ!"
"พอเถอะค่ะ! อาคังพาอาเฉินไปทำแผลเถอะ"
หม่าเจินจูจัดการออกหน้าเช่นนี้ท่านนายพลที่ช่วงหลังมานี้ต้องพึ่งพาอาศัยเงินทองและทรัพย์สินของสกุลหม่าก็จำใจต้องปิดปากเมินหน้าหนีภรรยาคนแรกของตนเองและสุดท้ายจึงสะบัดมือเดินหนีไปหาภรรยาคนที่สามแทนเพราะรู้ดีว่าบัดนี้ตนเองทำอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว
"จงจำเอาไว้นะลู่เฉินหากแกกล้าจะย้ายออกไปอยู่กับนังผู้หญิงคนนั้นระหว่างเราพ่อลูกก็ขาดกัน!"
แต่ก่อนจะก้าวขาจากไปจ้าวป๋อเหวินก็ยังหันไปกล่าววาจาข่มขู่บุตรชายคนรองเอาไว้อีกคำรบหนึ่งแต่จ้าวลู่เฉินก็ยังคงนิ่งเฉย
"ไปทำแผลก่อนเถอะอาเฉิน อย่าไปสนใจเขาเลย"
"ไม่เป็นไรครับแม่ใหญ่ผมขอไปเก็บของก่อนดีกว่าประเดี๋ยวจะต้องรีบไปดูเหรินซินที่โรงพยาบาลอีกครับ"
"แต่แผล..."
"ไม่เป็นอะไรครับแม่ใหญ่ผมรีบ"
"นายจะไปจากบ้านสกุลจ้าวจริงหรือ" จ้าวลู่คังชายหนุ่มวัย31ปีเอ่ยถามน้องชายด้วยสีหน้าห่วงใยจากใจจริง
"ครับพี่ใหญ่"
"อย่าไปเลยนะอาเฉิน แม่ใหญ่จะช่วยพูดกับท่านนายพลให้เอง"
"นั่นสิ ฉันจะช่วยด้วยอีกแรง"
"อย่าเลยครับ พี่ใหญ่ แม่ใหญ่ ผมไปนะดีที่สุดแล้ว อย่าให้เป็นเพราะผมที่ต้องทำให้แม่ใหญ่กับพี่ใหญ่ต้องลำบากใจเลยคนแบบท่านนายพลจ้าวหากเขาไม่ยอมรับก็คือไม่ยอมรับแต่จะให้ผมทอดทิ้งเหรินซินผมก็ทำไม่ได้ดังนั้นผมออกไปคือทางออกครับ"
"อาเฉิน...เอาเถอะ แม่ใหญ่เคารพการตัดสินใจของอาเฉิน" หม่าเจินจูไม่อยากบีบบังคับใจบุตรชายคนรองเพราะอย่างไรเขาก็โตเป็นผู้ใหญ่อายุตั้ง29ปีเต็มแล้วนางไม่ควรเข้าไปก้าวก่ายกับเขาเกินไป
เหตุการณ์ดังกล่าวตกอยู่ในสายตาคู่หนึ่งมาโดยตลอดพอมีโอกาสขณะที่จ้าวลู่เฉินเข้าไปเก็บของบางอย่างในห้องทำงานหญิงสาวคนดังกล่าวจึงแทรกกายแอบตามติดเข้าไปทันที
"ออกไป!"
พอชายหนุ่มได้ยินเสียงกดล็อกดังมาจากประตูของเขาชายหนุ่มจึงหันขวับกลับไปยังต้นเสียงเมื่อเห็นว่าเป็นใครใบหน้าของเขาก็แสดงอารมณ์ไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจนพร้อมกับเอ่ยวาจาขับไล่อย่างไม่ไว้หน้าอีกฝ่ายทันที
"พี่คิดดีแล้วหรือ"
"ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอออกไป!"
จ้าวลู่เฉินไม่ได้ไล่เพียงคำพูดแต่ทว่าเขาเดินทางไปที่ประตูพร้อมกับปลดกลอนและกระชากมันออก ก่อนจะใช้สายตาเย็นชามองกดดันให้หญิงสาวผู้มีฐานะเป็นพี่สะใภ้ของตนเองออกไปจากห้องทำงานที่กำลังจะกลายเป็นอดีตของตนเองนิ่ง
"แต่ฉันหวังดีกับพี่นะคะ"
"ไม่จำเป็น!"
พอดีกับที่ลุงเหอขึ้นมาช่วยคุณชายรองของตนเองขนเอกสารที่สำคัญพอดี‘ซูเมิ่งจี’ผู้เป็นสะใภ้คนโตของท่านนายพลจ้าวจึงจำใจต้องก้าวจากไป ชายหนุ่มได้แต่ส่ายศีรษะพลางถอนใจเฮือกใหญ่ก่อนจะไม่พูดอะไรกับใครอีก เขาเร่งมือเก็บของเพราะอยากรีบกลับไปดูแลเหรินซินให้เต็มที่
"หากมีอะไรก็โทรหรือให้คนของนายมาแจ้งกับฉันได้ตลอดนะลู่เฉิน เรายังเป็นครอบครัวเป็นพี่น้องกันเสมอไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน"
"ใช่มีอะไรก็จำไว้ว่ายังมีแม่ใหญ่กับพี่ใหญ่นะอาเฉิน"
จ้าวลู่คังและหม่าเจินจูออกมาส่งจ้าวลู่เฉินพร้อมกำชับอีกฝ่ายหนักแน่นเพราะรู้นิสัยของอีกฝ่ายดีกว่าท่านนายพลผู้เป็นบิดานั่นเอง จ้าวลู่เฉินรับปากก่อนจะก้าวขึ้นรถจากมา แต่พอพ้นออกมาจากประตูใหญ่กลับพบเข้ากับรถของซูเมิ่งจีจอดรออยู่
"คุณชาย..."
จางจงหันมาคล้ายจะถาม
"ไม่ต้องจอดฉันรีบ"
จางจงแอบพ่นลมหายใจออกทางปาก ส่วนจ้าวลู่เฉินนั้นไม่ได้เหลือบสายตาไปมองหน้างดงามของคนเป็นพี่สะใภ้คนโตแม้แต่น้อย เขาสนใจเพียงเกาคางให้กับเจ้าเหมียวสีส้มตัวอ้วนที่กำลังคลอเคลียอยู่บนตักของเขาเท่านั้น ทำให้ซูเมิ่งจีโกรธจนหัวฟัดหัวเหวี่ยงที่จ้าวลู่เฉินเมินเฉยกับตนเองราวกับเธอเป็นอากาศอันว่างเปล่าเท่านั้น...
ตอนพิเศษหลังจากค่ำคืนเร่าร้อนผ่านไป ใครจะเชื่อว่าสุดท้ายเหรินซินก็คิดได้ว่าตัวเองจะเขียนออกมาแนวไหน เธอมันพวกถนัดซ่อนปมและหักมุม จะให้เปลี่ยนไปเขียนแนวอิโรติก อย่างไรก็ไม่ใช่แนวของเธอ ในเมื่อถนัดแนวไหนหญิงสาวก็จะไปให้สุดและให้ดี พล็อตนิยายเรื่องใหม่ของเธอคราวนี้จึงไม่ใช่แนวสืบสวนฆาตกรรม แต่เป็นแนวเกิดใหม่มาแก้แค้น ซึ่งในยุคนี้ยังไม่มีนักเขียนแนวนี้ออกมามากนัก พอวางพล็อตและเขียนรายนามตัวละครกับชื่อเมือง เพราะเป็นแนวพีเรียดย้อนยุค สงครามวังหลัง แก้แค้นซ่อนปมและแย่งชิง เรื่องวางผังตัวละครกับผังเมืองจึงสำคัญมาก การมีคู่ชีวิตที่คอยซัปพอร์ตกันนี่มันโคตรจะดีจริง ๆช่วงนี้ข่าวของจ้าวป๋อจิ้งก็มาเข้าหูว่าศาลตัดสินโทษออกมาแล้วว่าอีกฝ่ายต้องจำคุก15ปี โทษของคดีแบบที่จ้าวป๋อจิ้งโดนนี้ตัดสิน15ปีก็ต้องติดจริง15ปีไม่มีลดหย่อน ซึ่งเหรินซินค่อนข้างชอบกฎหมายนี้มาก ๆ ค้ายาเสพติด ค้าชีวิตมนุษย์ จะทำดีลดโทษได้อย่างไรส่วนทางด้านหม่าเจินจูกับจ้าวลู่คังนั้นก็ทำการซื้อคฤหาสน์สกุลจ้าวที่ถูกทางการยึดเป็นของรัฐบาลกลับมาเป็นทรัพย์สินของสกุลหม่าได้แล้ว นับว่าจ้าวลู่คังนั้นไม่ผิดต่อบรรพบุรุษของสกุลจ้าวแล้วทั้งที่คว
ตอนจบเหตุการณ์ต่าง ๆ ผ่านไปแล้ว แต่ไม่ใช่ง่าย เพราะการจับคุมขบวนการค้ายาเสพติดและค้ามนุษย์กับอวัยวะคราวนี้เกี่ยวพันถึงหลายสกุลใหญ่ในหนานจิ้ง ไม่ว่าจะเป็นท่านนายพลจ้าว กับภรรยาคนที่สามของเขา กับนายท่านสกุลซู ยังมีท่านนายพลเจียง เรียกว่าครั้งนี้แทบจะล้างบางผู้มีอำนาจในหนานจิ้งและเยี่ยนจิ่งเลยก็ไม่ผิดสกุลจ้าว สกุลเจียง และสกุลซู ถูกทลายอำนาจจนไม่เหลือ แน่นอนว่า งานนี้ย่อมส่งผลถึงสกุลหม่า และหม่าฉางกรุ๊ป รวมถึงกลุ่มกิจการ หงส์เพลิงกรุ๊ปของคุณชายรองจ้าว แต่เพราะทั้งจ้าวลู่คังกับจ้าวลู่เฉินนั้นเตรียมรับมือกับแรงกระแทกมาสักพักหนึ่งแล้วจึงพอจะรับมือได้ ไหนจะยังมีหม่าเจินจูอยู่เป็นหลักให้กับลูกชายแท้และลูกเลี้ยง จึงไม่ทำให้เกิดเรื่องมากนักทุกคนที่ได้รับผลประทบจากเหตุการณ์คราวนี้ล้วนต้องปรับตัวและใช้เวลา แม้แต่จ้าวลู่เฉินเองก็ต้องยอมรับความจริงว่าบิดาของตนเองทำชั่วทำเลว เมื่อสุดท้ายถูกสอบสวนจากสาเหตุว่าเขาคือลูกชายแท้ ๆ ของท่านนายพลจ้าว สามีของเธอนั้นกลับรับมือได้โดยไม่หวั่นไหว สกุลซู สกุลเจียงถูกยึดทรัพย์ไม่เหลือ สกุลจ้าวเองก็เช่นกัน โชคยังดีที่ช่วง3ปีมานี้จ้าวลู่เฉินนั้นสร้างทรัพย์สินมาด้ว
บทที่ 27ผ่านไปอีก2วัน หม่าเจินจูกับจ้าวลู่คังก็แวะมากินข้าวที่บ้านหลังเล็กของจ้าวลู่เฉินกับเหรินซิน แน่นอนว่าไม่มีใครสงสัยเพราะช่วงหลังมานี้คุณนายใหญ่กับคุณชายใหญ่นั้นมักแวะมากินข้าวกับสองสามีภรรยาคู่นี้ประจำ แต่ยิ่งเป็นแบบนี้ท่านนายพลจ้าว กับซูเมิ่งจีและคุณนายสามหลินม่านเถียนกลับยิ่งเพิ่มความไม่พอใจแผนการของซูเมิ่งจีที่เสนอผ่านไปทางจ้าวป๋อจิ้งถึงท่านนายพลจ้าวจึงน่าสนใจนัก ท่านนายพลจ้าวตกลงใจให้บุตรชายลงมือได้เลย พร้อมกับชื่นชมและขอบใจจ้าวป๋อจิ้งที่ช่วยคิดแทนเขากำจัดผู้หญิงไม่คู่ควรออกไปให้พ้นหูพ้นตา จ้าวป๋อจิ้งได้ทั้งหน้าได้ทั้งเงินไม่พอคุณนายสามหลินนั้นยิ่งได้ผลพวงในความดีความชอบไปด้วย เรียกว่าแค่กำจัดผู้หญิงตัวคนเดียวเพียงหนึ่งทุกคนต่างได้ผลประโยชน์จะไม่ทำได้อย่างไรและเพราะหากยังคงอยู่ที่บ้านสกุลจ้าวต่อไปคงเป็นที่สงสัย พร้อมกับฝ่ายตรงข้ามคงยากจะลงมือดังนั้นในอีก1อาทิตย์ต่อมาจ้าวลู่เฉินก็พาเหรินซินย้ายออกจากไปอยู่คฤหาสน์ส่วนตัวของพวกเขาตามกำหนดเดิมไม่เปลี่ยนการย้ายกลับไปอยู่คฤหาสน์ส่วนตัวที่นอกเมืองคราวนี้ไม่ใช่เชิญชวนให้จ้าวป๋อจิ้งลงมือเพียงเท่านั้น แต่เป็นการง่ายหากคุณนายใหญ่ห
บทที่ 26สองสามีภรรยานอนคุยกันจนหลับ ไปด้วยความเข้าอกเข้าใจ ในขณะที่คู่บาปคู่กรรมเช่นซูเมิ่งจีกับจ้าวป๋อจิ้งนั้นเพิ่งจะสาสมใจในบทรักเร่าร้อนและรุนแรง“ฉันอยากกำจัดนังเหรินซิน นายเองก็เกลียดมันเหมือนกันใช่ไหม?”ขณะกำลังสวมเสื้อผ้า ซูเมิ่งจีก็เอ่ยความต้องการของตนเองขึ้นมา เพราะสำหรับเธอนั้นทราบดีทีเดียวว่าจ้าวป๋อจิ้งคนนี้ไม่ใช่คนดิบดีอะไร ออกจะขี้อิจฉา พี่ชายทั้ง2คนมากเสียด้วยซ้ำ ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายจะมาเล่นสนุกแบบไม่ผูกพันกับเธอได้อย่างไร“ทำไม คนแบบเธอยังต้องการความร่วมมือจากฉันด้วยหรือ?”จ้าวป๋อจิ้งกำลังสูบบุหรี่พ่นควันลอยคละคลุ้ง จนซูเมิ่งจียังสำลัก ทั้งที่ปกติเธอก็สูบเช่นกัน หญิงสาวถึงกับทำหน้าไม่พอใจ จ้าวป๋อจิ้งหัวเราะก่อนจะส่งบุหรี่มวนที่เขาสูบไปเล็กน้อยให้กับซูเมิ่งจีอย่างเอาอกเอาใจ เพราะสำหรับเขาแล้วหลับนอนกับใครก็ยังไม่เคยถึงอกถึงใจเท่ากับซูเมิ่งจีเลยสักคน“นายไม่สนใจจะเอาหน้าจากคุณพ่อหรือไร หากกำจัดนังนั่นไปเสียได้คุณพ่อจะต้องพอใจผลงานนี้ของนายมากแน่นอน”หลังจากสูบเอาควันเข้าปอดแล้วปล่อยออกมาจนสุด ซูเมิ่งจีจึงเริ่มยุยงส่งเสริมคิดจะยืมมือของจ้าวป๋อจิ้งมากำจัดเหรินซิน เพราะหากนั
บทที่ 25ผ่านไปอีกหลายวันจ้าวลู่เฉินก็ยังคงไม่กลับมา แต่ยังดีว่าเขายังมีข่าวผ่านกงเหยียนมาแจ้งให้เธอรู้ว่าตอนนี้เขายังปลอดภัย แต่ความห่วงใยนั้นกลับไม่ได้ลดน้อยลงเลย ช่วงนี้จิตใจของเหรินซินจึงไม่ค่อยสงบเท่าไหร่ เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าการชอบใครสักคนพอเขาไม่อยู่จะทั้งคิดถึงและเป็นห่วงเป็นใยได้มากขนาดนี้ยังดีว่าหลังจากวันนั้นซูเมิ่งจีนั้นไม่ได้มาก่อกวนเธออีก รวมไปทั้งท่านนายพลจ้าว หากแต่เหรินซินเองก็ไม่ได้วางใจพ่อสามี เพราะคนแบบท่านนายพลจ้าว เขาเป็นคนมียศมีศักดิ์คงไม่ยอมเลิกราที่จะขัดขวางเธอกับจ้าวลู่เฉินเป็นแน่ หญิงสาวจึงคอยระวังตัวอยู่เสมอ"เอ...เจ้าอ้วนหายไปไหนเนี่ย?"หลังจากปั่นนิยายจนสายตาอ่อนล้า หญิงสาวจึงคิดจะลุกไปจกพุงเจ้าแมวอ้วนของตนเอง หากแต่กลับหาอีกฝ่ายไม่พบพอมองดูเวลานี่ก็ตี1แล้ว จึงไม่เรียกหาเหอหลิวมี่ให้ออกไปตามหาแมวอ้วนเป็นเพื่อน เหรินซินเปิดประตูหลังบ้าน ก็เห็นปลายหางสีส้ม วิ่งหายไปทางด้านหลังที่เป็นเรือนร้างไม่มีคนพักอาศัย อากาศเดือน12นี้หนาวไม่ธรรมดาคิดว่าอีกไม่นานหิมะคงจะตก เจ้าแมวอ้วนของเธอยังจะแอบหนีไปวิ่งเล่นกลางดึกอีก ไม่เรียวในมือของเหรินซินเริ่มจะสั่นแล้วขณะนี้
บทที่ 24หลังจากที่ตกลงกันแล้วว่าจะย้ายไปอยู่บ้านส่วนตัวของจ้าวลู่เฉิน แต่เพราะช่วงนี้ จ้าวลู่เฉินต้องไปทำงานที่ต่างเมืองกำหนดย้ายจึงยังไม่แน่นอน ดังนั้นช่วงนี้เหรินซินก็ยังคงต้องอาศัยอยู่ที่บ้านของสกุลจ้าวต่อไป จนกว่าจ้าวลู่เฉินนั้นจะเสร็จสิ้นงานในมือของเขาจึงค่อยมาจัดการย้ายที่อยู่ใหม่วันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวันที่เหรินซินตื่นขึ้นมาด้วยใบหน้าผ่องใสหลังจากทำธุระส่วนตัวแล้วเธอจึงเดินไปที่แปลงผักข้างบ้าน เพราะไม่ได้แวะมาดูเสียหลายวัน นับตั้งแต่กลับมาจากโรงงานที่นอกเมืองคราวนั้นเลยก็ว่าได้ น่าจะเกือบ10วันแล้วกระมัง จึงคิดจะไปดูสักหน่อย"ผักสวยต้นอวบมากเลยนะคะเนี่ย อาซ้อรอง"เหอหลิวมี่เอ่ยขึ้นมาอย่างชื่นชม อาซ้องรองของเธอคนนี้เป็นคนมือเย็นจริง ๆ ปลูกผักอะไรก็งอกงามไปหมด นี่ขนาดอีกฝ่ายเพิ่งมีโอกาสปลูกและดูแลจริงจังหลังจากขาของเหรินซินนั้นหายแท้ ๆ กลับเจริญงอกงามเสียยิ่งกว่าตอนที่เธอกับพรรคพวกช่วยกันปลูกและดูแลเสียอีก"ผักต้นกำลังกินอย่างนั้นวันนี้พวกเราทำของว่างกันดีกว่า"ไม่ได้กินสาคูไส้หมูมานานมากแล้ว พอเห็นผักกาดหอมกับผักสลัดต้นอวบน่ากินเหรินซินจึงคิดอยากจะกินขึ้นมา พอดีกับภายในใจนั้นกังว







