ระหว่างทาง ซูหวั่นพูดกำชับด้วยเสียงที่เบามาก
“ท่านแม่ เราทำเป็นว่าไม่รู้อะไรเลยเสียดีกว่านะคะ ท่านแม่ก็อย่าคิดมากไปเลย ปล่อยให้พวกเขาจัดการเรื่องนี้กันเองเถอะ!”
เรื่องใหญ่ขนาดนี้จะไม่ให้คิดได้ยังไงกัน
นางหลี่ไม่อยากให้ลูกสาวต้องเป็นกังวล นางจึงพยักหน้าแล้วพูดว่า“แม่รู้ แค่กลัวว่าท่านย่ากับลุงใหญ่ของเจ้าจะมาก่อกวนพวกเรา เพราะเมื่อกี้เราได้ยินเรื่องทั้งหมดแล้วนะ”
ซูหวั่นพยายามปลอบโยนอย่างเต็มที่“ถ้าพวกเขากล้ามา ข้าก็กล้าที่กระทืบพวกเขาด้วยเหมือนกัน”
ที่ประตูของบ้านใหญ่
นางหวางบิดตัวและหัวเราะกลบเกลื่อนไปสองสามที จากนั้นก็กลับไปที่ห้องตะวันตก เมื่อครู่นี้นางคิดที่จะดึงนางหลี่ให้มาเป็นแพะรับบาปที่มาแอบฟังเรื่องราวด้วยกัน
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะถูกซูฉางฝูจับได้เสียแล้ว
“เจ้าคงไม่รู้ว่าข้าไปได้ยินอะไรมาเมื่อครู่นี้!”
ทันทีที่กลับมาถึงห้อง นางหวางก็ขยิบตากับซูฉางโซว่
และซูฉางโซว่ที่กำลังนอนอยู่บนเตียงอิฐไฟก็พลิกตัว แล้วถามว่า“ไปได้ยินอะไรมา?”
ส่วนซูซานหลาง ซื่อหลาง และอู่หลางก็ได้ขยับเข้ามาฟังด้วย
นางหวางเพิ่มระดับเสียงให้ดังขึ้น เพราะกลัวว่าทุกคนจะไม่ได้ยิน“นังหนูซูฝูอะไรนั่นท้องแล้วนะ ท้องกับท่านชายเจียงที่อยู่ในเมือง แต่ตอนนี้ใครเขาไม่ยอมรับ นางก็เลยวิ่งกลับมานี่ไง”
และจู่ๆซูฉางโซว่ก็ดวงตาเป็นประกาย“อะไรนะ!”
......
บ้านใหญ่ นางจางและสามีมองหน้ากัน โดยต่างก็มองเห็นความโหดร้ายในดวงตาของกันและกันได้
โดยที่ซูฝูก็หน้าตาบูดบึ้งด้วยเช่นกัน
นางหลี่เป็นคนซื่อๆและก็คงไม่บอกใคร แต่นางหวางคงควบคุมปากของตัวเองเอาไว้ไม่ได้อย่างแน่นอน“ท่านย่า ถ้าป้าสามกับป้ารองรู้เรื่องนี้แล้ว พวกนางจะเอาไปพูดหรือเปล่าคะ ข้าไม่อยากตาย!”
โดยที่แม่เฒ่าเซี่ยงยังไม่หายจากอาการช็อก“พวกนางกล้า!”
จากนั้นนางก็มองไปที่ท้องของซูฝูอีกครั้ง“นานแค่ไหนแล้ว?”
“หนึ่งเดือนค่ะ”นางจางรีบตอบทันที และเห็นได้ชัดว่านางรู้เรื่องนี้อย่างชัดเจน“ในเมืองมีเพียงท่านป้าเท่านั้นที่รู้ พวกเราไม่กล้าพูดแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป อาฝูยังจะต้องรักษาชื่อเสียงเอาไว้ค่ะ”
“เหอะ!”
แม่เฒ่าเซี่ยงรู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้าไปหมดแล้ว นางตบโต๊ะแล้วพูดว่า“ถ้าพวกเจ้าต้องการชื่อเสียงก็ไม่ควรเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น จะทำอย่างไรดีล่ะตอนนี้ ยวี้เอ๋อได้เอาจดหมายมาด้วยหรือเปล่า?”
ซูยวี้เป็นลูกสาวคนโตของแม่เฒ่าเซี่ยงที่อยู่ในเมือง
“มีค่ะ”ซูฝูไม่สนใจที่จะร้องไห้อีกต่อไปแล้ว นางหยิบซองจดหมายในอ้อมแขนออกมาและยื่นให้แม่เฒ่าเซี่ยง
แม่เฒ่าเซี่ยงไม่รู้หนังสือ จึงให้ซูฉางฝูเป็นคนอ่านให้ฟัง
หลังจากได้ฟังข้อความในจดหมายจบ แม่เฒ่าเซี่ยงก็ขมวดคิ้วแน่น“ต้องบอกเรื่องนี้ให้พ่อของพวกเจ้าเสียก่อน ให้เขากลับมา ข้าตัดสินใจแทนไม่ได้”
“ท่านแม่ จะบอกเรื่องนี้กับท่านพ่อไม่ได้นะคะ หากท่านพ่อรู้จะไม่ตีอาฝูจนตายไปเลยเหรอคะ!”นางจางคุกเข่าลงกับพื้นและกอดข้อเท้าของแม่เฒ่าเซี่ยงเอาไว้“ท่านแม่คิดเสียว่าสงสารอาฝูเถอะนะคะ!”
โดยที่ซูฉางฝูก็เข้ามาขอร้องด้วยเช่นกัน“ท่านแม่ เพราะเห็นแก่สกุลซูอาฝูจึงทำแบบนี้ลงไป ท่านแม่อย่าใจจืดใจดำไปเลยนะครับ”
ซูหรง“ท่านย่า......”
แม่เฒ่าเซี่ยงถูกห้อมล้อมจนปวดเศียรเวียนเกล้าไปหมดแล้ว
นางรู้ดีว่าพ่อเฒ่าซูนั้นเป็นคนแบบไหน หากเรื่องนี้ไปถึงหูของเขาจริงๆแล้วละก็ แม้ว่าซูฝูไม่ตายก็ต้องถูกถลกหนังออกอย่างแน่นอน
นี่คือหลานสาวที่นางรักที่สุด และนางก็รู้สึกลำเอียงลึกๆภายในใจขึ้นมาแล้ว
“ไม่ต้องร้องแล้ว กลับไปนอนกันเถอะ พรุ่งนี้ค่อยคิดหาวิธี ฉางฝู เจ้าไปกำชับพวกนางทั้งสองคนนั้นหน่อย อย่าปากยาวป่าวประกาศออกไป โดยเฉพาะนางหวาง!”
“รับทราบครับ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้!”ซูฉางฝูตอบรับ และรีบไปเคาะประตูของแต่ละคน
โดยที่นางหลี่ได้นอนพิงอยู่ที่เตียงอิฐไฟ
“พี่ใหญ่ คืนนี้ข้าไม่ได้ยินอะไรเลย พี่ไม่ต้องเป็นกังวลไปหรอก”
หลังจากที่เขาเดินออกไปแล้ว ซูลิ่วหลางก็มองไปยังซูหวั่นและนางหลี่อย่างสงสัย“ท่านแม่ ท่านพี่ ทางนั้นเกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ?”
“ไม่มีอะไรหรอก”ซูหวั่นยิ้มให้กับเขา และให้เขากลับไปนอนที่ห้องข้างๆ“พรุ่งนี้เช้าเราไปจับไก่ป่าที่ภูเขากันต่อ เจ้าเข้านอนเถอะนะ”
เมื่อซูลิ่วหลางคิดถึงความอร่อยของซุปไก่ เขาก็พยักหน้าหนักๆ“ได้ครับ!”
และเขาก็ได้ฝันว่า เขาได้ยัดเนื้อไก่จนเต็มปากไปหมด
และน้ำลายของเขาก็ไหลออกมาเพราะความอยากกิน
ขณะที่สองแม่ลูกได้นอนห่มผ้าด้วยกัน พูดคุยกันอย่างเบาๆ แล้วก็ผล็อยหลับไป
......
วันรุ่งขึ้น ซูหวั่นก็ได้ตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้าตรู่ และถือว่าเป็นการทักทายซูฝูไปด้วยในตัว
ซูฝูนั่งอยู่บนเก้าอี้ ราวกับเป็นคุณหนูผู้มั่งมี
“เจ้าไปตักน้ำสำหรับล้างหน้ามาหน่อย ท่านพี่ของข้าต้องการใช้!”ซูหรงสั่งนางอย่างหยิ่งผยอง เพราะเคยชินกับการทำแบบนี้ เมื่อเห็นว่าซูหวั่นไม่ขยับ นางจึงกลอกตามองบนแล้วพูดว่า“หูหนวกหรือไง ยืนเซ่ออยู่ได้ ยังไม่รีบไปตักน้ำมาอีก!”