“หรือว่าประตูบานนี้จะเป็นทางกลับไปสู่โลกเดิมของเรา” ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัวของหลินเพ่ยหลัน
ความดีใจเล็ก ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาในใจเช่นกัน แต่แล้วถูกดับลงด้วยความคิดที่ว่า “ในโลกเดิมนั้นเราได้ตายไปแล้ว แล้วจะกลับไปได้อย่างไร ป่านนี้ไม่ใช่ว่าเขาเผาร่างจนเหลือแต่กระดูกแล้วเหรอ”
ตอนนี้เธอเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูและยืนคิดอยู่ครู่หนึ่งในที่สุดด้วยความอยากรู้ว่าเบื้องหลังของประตูนั้นมีอะไรกันแน่ ทำให้หลินเพ่ยหลันตัดสินใจที่จะเปิดประตู
“เอาล่ะ มันคงไม่มีเรื่องอะไรร้ายแรงเท่ากับที่เราผ่านมาอีกแล้ว ไม่เปิดก็ไม่รู้ อย่างนั้นเปิดประตูเถอะ”
พูดจบก็สูดอากาศเข้าปอดและเปิดประตูนั่นออกดู หลังจากนั้นก็มีแสงสีขาวจ้าส่องออกมาจากช่องประตูทันทีในขณะที่เธอเปิดมัน ทำเอาเธอรู้สึกแสบตาจนต้องหลับตาลง
หลังจากนั้นไม่นานก็รู้สึกว่าแสงสีขาวนั้นก็หายไปจึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้น
หลินเพ่ยหลันยื่นหน้าไปดูในประตูก่อน ยังไม่กล้าก้าวขาเข้าไปเนื่องจากยังไม่มั่นใจนัก ทว่าภาพตรงหน้าที่เห็นนั้น ก็ทำเอาเธอตกใจจนแทบหงายหลัง
“เป็นไปไม่ได้” หญิงสาวรีบถอนตัวออกจากประตูแล้วพูดขึ้นเสียงดัง แต่เมื่อตั้งสติได้ ก็ค่อยขยับเข้าไปดูอีกครั้ง
ซึ่งในนั้นก็คือห้างสรรพสินค้านั่นเอง ภายในห้างนั้นเหมือนกับห้างสรรพสินค้าที่เธอทำงานในโลกเดิมที่จากมามาก จะแตกต่างก็แค่ไม่มีผู้คนเดินซื้อของอยู่แค่นั้นเอง
พอคิดทบทวนจนมั่นใจแล้วว่าที่นี่คือห้างสรรพสินค้าจริง ๆ หลินเพ่ยหลันจึงค่อย ๆ ก้าวขาเข้าไปในประตูช้า ๆ จากนั้นก็เดินสำรวจไปรอบ ๆ ยิ่งเห็นมากเท่าไร ก็ยิ่งมั่นใจว่าที่นี่คือห้างสรรพสินค้าที่เธอเคยทำงานอยู่จริง ๆ เพราะการจัดวางทุกอย่างเหมือนกันอย่างมาก
จากนั้นจึงเดินสำรวจมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาถึงแผนกเสื้อผ้าที่เธอคุ้นเคย จากนั้นก็เดินผ่านกระจกบานใหญ่บานหนึ่ง เมื่อมองเงาสะท้อนที่อยู่ในกระจกนั้น ก็พบว่าใบหน้านี้ไม่ใช่ของเธอแต่มันคือใบหน้าของหลินเพ่ยหลัน จึงได้ยกมือขึ้นลูบหน้าของตัวเอง ในใจก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเจ้าของร่างนี้ก็มีใบหน้าที่งดงามเหมือนกัน
แต่ความฝันคราวนี้ช่างแปลกประหลาด ไม่เหมือนกับความฝันเลย ทั้งกลิ่นอาย ทั้งสัมผัสความเย็นของแอร์นี่ ช่างสมจริงเหลือเกิน หากว่ารอบข้างมีผู้คนอยู่สักนิด หญิงสาวคงคิดว่าตัวเองอาจจะกลับมายังโลกปัจจุบันแล้วก็ได้
ตอนที่เดินผ่านเคาน์เตอร์เครื่องสำอาง หลินเพ่ยหลันอดไม่ได้ที่จะหยิบลิปสติกออกมาแท่งหนึ่ง เพราะแบรนด์นี้เพิ่งจะออกมาใหม่เมื่อไม่นานมานี้ แต่ทันทีที่วางขายก็ขาดตลาด ทำให้เธอไม่สามารถซื้อได้ ดังนั้นจึงอยากจะเอาไปลองทาดู อย่างน้อยการที่ได้เข้ามาในนี้ ก็ได้ตอบสนองความการของตัวเองอย่างหนึ่งแล้ว
แต่แล้วอยู่ ๆ ผีเสื้อตัวนั้นก็โผล่มาอีก คราวนี้หลินเพ่ยหลันเห็นก็อดที่จะสงสัยไม่ได้ เนื่องจากผีเสื้อตัวนี้ตามเธอมาตั้งแต่ที่ถูกรถชนแล้ว อีกทั้งตอนที่เธออยู่ในอ้อมแขนของซ่งเฟยหลงวันนั้นก็ได้ยินเสียงกระพือปีกของมันด้วย แถมตอนนี้มันก็ยังมาอยู่กับเธอในนี้อีก
“มันชักจะแปลกเกินไปแล้ว” หญิงสาวมองผีเสื้อแล้วพูดออกมาอย่างแปลกใจ
หลินเพ่ยหลันจึงตัดสินใจลองเดินไปตามทิศทางที่ผีเสื้อตัวนั้นบินไป จนไปเจอกับประตูอีกบานหนึ่ง หญิงสาวจึงจับไปที่ลูกบิดประตูแล้วเปิดออกทันที
ทันทีที่ประตูเปิดออกภาพเบื้องหน้าของเธอกลับเป็นแสงสว่างสีขาวจ้าส่องมากระทบตาอีกครั้งจนต้องหลับตาลง เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งก็พบว่าตัวเองมองไม่เห็นอะไรอีกแล้ว
เลยคิดว่าตอนนี้เธออาจจะตื่นนอนแล้วก็ได้ จากนั้นจึงค่อย ๆ ยันกายขึ้นนั่ง แต่แล้วเวลาที่มือของเธอค้ำยันกับเตียง ก็รู้สึกได้ถึงวัตถุแข็ง ๆ บางอย่างจึงหยิบมันขึ้นมา
ทางด้านซ่งเฟยหลงเองที่รู้ว่าภรรยาตื่นแล้ว เขาก็ค่อย ๆ รู้สึกตัวตื่นเช่นกัน เขาเห็นหลินเพ่ยหลันนั่งนิ่งเหมือนจะพยายามจ้องอะไรบางอย่างอยู่ในมือ ก็ถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
“เป็นอะไรเหรอ ทำไมวันนี้ตื่นเช้าจัง”
“พอดีรู้สึกตัวเร็วน่ะค่ะ ก็เลยตื่นเช้า ไม่มีอะไรหรอกค่ะ”
หลินเพ่ยหลันตอบกลับ พร้อมกับรีบกำมือเพื่อเก็บสิ่งนี้เอาไว้ ในใจนั้นคิดว่าจะหลบซ่อนสิ่งนี้จากสายตาของผู้เป็นสามีได้
แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว เพราะว่าซ่งเฟยหลงสังเกตเห็นมันแล้ว
“แล้วในมือมันคืออะไรเหรอ พี่เห็นเพ่ยหลันถือเอาไว้นานแล้ว” เขาถามอย่างสงสัยพร้อมกลับมองไปที่มือของเธอ
หลินเพ่ยหลันไม่ได้ตอบว่าสิ่งของนี้คืออะไร แต่เธอกลับเปิดมือขึ้นมาให้เขาเห็นแท่งเล็กสีดำนั้นอีกครั้ง
ตอนนี้คิ้วของเธอขมวดเข้าหากันอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะใช้มือพยายามลูบคลำมันเบา ๆ กระทั่งเจอว่ามันสามารถเปิดออกได้ จึงดึงมันออกมา
พอเห็นหญิงสาวดึงฝาออก คราวนี้ซ่งเฟยหลงก็เห็นแล้วว่าด้านในเป็นอะไร
“ลิปสติกเหรอ” เมื่อเห็นแล้วว่าเธอกำอะไรไว้ เขาก็สงสัยเป็นอย่างมาก เพราะว่าตั้งแต่ที่รู้จักกันมา หลินเพ่ยหลันไม่ใช่คนที่จะแต่งหน้าแต่งตัว แล้วลิปสติกแท่งนี้มาจากไหนกัน
“ไหนขอพี่ดูใกล้ ๆ หน่อย” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับยื่นหน้าเข้าไปดูลิปสติกแท่งนั้นใกล้ ๆ
ถึงแม้ว่าซ่งเฟยหลงจะเป็นผู้ชาย และไม่ค่อยสันทัดเรื่องเครื่องสำอางพวกนี้สักเท่าไร แต่ที่ผ่านมาเขาก็เคยเห็นลิปสติกของแม่และน้องสาวมาบ้าง ทว่าลิปสติกแท่งนี้กลับมีรูปแบบที่แตกต่างชัดเจน ทั้งสียังเป็นสีที่ไม่ได้มีขายในตลาด ก็ยิ่งทำให้เขาแปลกใจขึ้นไปอีก เพราะลิปสติกในตลาดนั้นส่วนใหญ่จะเป็นสีแดงและสีชมพูสดมากกว่า
“ไปเอามาจากไหน” ซ่งเฟยหลงถามอีกครั้ง คราวนี้ความประหลาดใจก็ยิ่งฉายชัดบนใบหน้าของเขา
หลินเพ่ยหลันไม่รู้ว่าลิปสติกแท่งนี้มาอยู่ในมือของเธอได้อย่างไร กระทั่งเอามันเข้ามาใกล้จมูกแล้วดมดู กลิ่นหอมเฉพาะของตัวลิปสติกแบรนด์นี้ ทำให้นึกไปถึงความฝันเมื่อคืน
‘อย่าบอกนะว่านี่คือลิปสติกแท่งที่ฉันหยิบติดมือมาในความฝันนั่นน่ะ จะเป็นไปได้อย่างไรกัน’ หญิงสาวคิดสงสัยอยู่ในใจ ตอนนี้หัวใจของเธอกลับเต้นไม่เป็นจังหวะขึ้นมา
เมื่อเห็นว่าเธอนิ่งเงียบไปราวกับตื่นตะลึง ชายหนุ่มจึงถามอย่างเป็นห่วง “เพ่ยหลัน เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมดูแปลก ๆ”
หลินเพ่ยหลันได้ยินคำถามของเขาแล้วก็ดึงสติตัวเองกลับมา รีบตอบกลับไปว่า “เอ่อ...ไม่เป็นอะไรค่ะ อาจจะเป็นเพราะตื่นเช้าเกินไปก็เลยสับสนนิดหน่อย”
“แล้วลิปสติกในมือนั่น พี่เห็นเพ่ยหลันถือมันเอาไว้นานแล้ว มันทำไมเหรอ แล้วได้มาจากไหน” ซ่งเฟยหลงถามอีกครั้ง ในใจเขาเองก็อยากรู้อยู่ไม่น้อยเพราะไม่เคยเห็นเธอทำแบบนี้มาก่อน
“อ้อ...ฉันเพิ่งค้นเจอในหีบข้าวของที่เอามาจากบ้านด้วยน่ะค่ะ ฉันเองก็จำไม่ได้ น่าจะซื้อไว้ตั้งนานแล้ว” หลินเพ่ยหลันรีบคิดคำพูดมาตอบเขาในทันที
เพราะไม่ต้องการให้เขาสงสัยว่า แท้จริงแล้วเธอเอาลิปสติกแท่งนี้มาจากไหน ก่อนจะคิดว่าคงเป็นเรื่องธรรมดาที่หญิงสาวจะมีลิปสติกติดตัวไว้สักแท่ง ดังนั้นการบอกว่าตัวเองซื้อมานานแล้วน่าจะเป็นคำตอบที่ดูสมเหตุสมผลที่สุด
“พี่ไม่เคยรู้เลยว่าเพ่ยหลันก็แต่งหน้ากับเขาด้วย” ซ่งเฟยหลงกล่าวยิ้ม ๆ
“น่าจะซื้อไว้ตั้งแต่ตอนที่ยังมองเห็นอยู่ค่ะ ตอนนั้นฉันก็แต่งหน้าเวลาออกจากบ้านบ้าง” หญิงสาวรีบตอบ เพราะไม่ต้องการให้ชายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีสงสัยไปมากกว่านี้ แต่เธอลืมไปหรือเปล่าว่าหลินเพ่ยหลันตัวจริงนั้นตาบอดตั้งแต่อายุสิบกว่าปี!!
“ถ้าอย่างนั้นก็ช่างเถอะ วันนี้พี่รู้สึกว่าคุณดูแปลก ๆ อย่างไรก็ไม่ต้องรีบออกไปทำงานบ้านก่อนได้ พักผ่อนสักหน่อย ส่วนเรื่องงานเดี๋ยวพี่จะไปบอกให้พี่สะใภ้ใหญ่กับชุนเป้ยช่วยทำไปก่อน” ชายหนุ่มตอบกลับพร้อมมองดูภรรยาอีกครั้ง วันนี้เขารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยที่ภรรยาดูแปลกไป แต่ก็หวังว่าเธอคงไม่เป็นอะไร
“ฉันไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ แค่มึนงงนิดหน่อยเท่านั้น ฉันยังทำงานได้ตามปกติ พี่เฟยหลงไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ได้ เดี๋ยวพี่เตรียมตัวไปทำงานก่อน เพ่ยหลันก็ค่อย ๆ ลุกไปทำงานนะ” เมื่อพูดจบจากนั้นเขาก็คว้าเอาผ้าเช็ดตัวแล้วเดินเข้าห้องน้ำเตรียมตัวที่จะไปทำงาน
“ค่ะ” หลินเพ่ยหลันตอบไล่หลังเขาไป
ตอนพิเศษ 5 ปีผ่านไปซ่งเจียหยวนกับซ่งเจียอี้ ตอนนี้อายุได้ห้าขวบแล้ว เป็นวัยที่เริ่มกระตือรือร้นและเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น พอที่จะเดินทางไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวก หลินเพ่ยหลันเห็นว่าเป็นเวลาที่เหมาะสม จึงตัดสินใจชวนลูกชายฝาแฝดทั้งสองคนไปเยี่ยมพ่อที่กองทัพเช้าวันนั้น หลินเพ่ยหลันเตรียมตัวอย่างละเอียด เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างพร้อมสำหรับการเดินทาง จัดเตรียมเสื้อผ้าที่อบอุ่นและอาหารว่างไว้ให้ลูก ๆ พร้อมทั้งเตือนพวกเขาให้ปฏิบัติตัวดี ๆ เมื่อไปถึงที่กองทัพ เป็นสิ่งที่เธอทำเองทั้งหมด ใช่แล้ว เธอเลี้ยงลูกแฝดทั้งสองคนด้วยตัวเอง แม้นายท่านผู้เฒ่าทั้งสองจะเคยส่งพี่เลี้ยงมาให้ แต่เธอก็ปฏิเสธไปเพราะอยากใกล้ชิดกับลูกๆ มากกว่าใคร ๆ “แม่ครับ เราจะได้เจอพ่อเมื่อไหร่ครับ” เสียงใส ๆ ของซ่งเจียหยวนถามด้วยความตื่นเต้น ตอนนี้เขาอยู่ในชุดทหารที่ลุงๆ ซื้อมาฝาก“เย็นนี้ก็ได้เจอแล้ว พ่อจะต้องดีใจมากแน่ ๆ ที่เห็นพวกเรามาเยี่ยม” หลินเพ่ยหลันตอบพร้อมกับยิ้มให้ลูกชายลูกชายทั้งสองของเธอดีใจกันมาก ที่ได้ยินข่าวว่าจะได้ไปเยี่ยมพ่อที่กองทัพ พวกเขาต่างกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ และไม่สามารถเก็บความตื่นเต้นไว้ได้
บทส่งท้าย ครอบครัวสมบูรณ์หลินตงยืนนิ่งไม่พูดอะไร เขารู้ว่าเขาคงไม่มีทางเลือก เขาต้องทำเพื่อเอาตัวรอดจากการถูกฆ่า“ต้องทำแบบนี้... ถ้าไม่ทำ... ฉันตายแน่ ฉันไม่ผิด” หลินตงพูดขึ้นมาเบา ๆ“ตายก็ยังดีกว่าทำแบบนี้!” นางหลิวอี้ตวาดเสียงดัง ก่อนจะวิ่งไปหยิบมีดที่วางอยู่บนโต๊ะในครัว แล้วตรงเข้ามาหาหลินตง“แกไม่รู้แกทำผิดหรืออย่างไร ลูกสาวตัวเองไม่ใช่ตัวช่วยที่จะเอามาขัดดอก แกตายซะเถอะ” นางหลิวอี้พูดจบก็เอามีดไล่ฟันไปที่สามีหลินตงตกใจและกระโดดหลบอย่างรวดเร็ว “นังบ้า จะฆ่ากันเลยเหรอ หยุด หยุดเดี๋ยวนี้นะ” เขายืนสั่นด้วยความกลัวมีดในมือของภรรยา“แกทำให้ชีวิตของพวกเรามันพังหมดแล้ว พังหมด ไม่เหลืออะไร” นางหลิวอี้ยังคงกราดเกรี้ยว ทั้งที่มีดในมือสั่นไปตามอารมณ์ “แม้แต่กับลูกสาวของตัวเองแกก็ยังทำแบบนี้ได้ นี่แกเป็นพ่อประสาอะไร”“แล้วแกล่ะ ตั้งแต่แต่งกับฉันมา แกเคยช่วยอะไรฉันบ้างไหม มีแต่ใช้เงินไปวัน ๆ ที่เสี่ยวหรงมันต้องเป็นแบนี้ แกก็มีส่วนเหมือนกัน”หลินตงตะโกนสวนกลับ และขยับหลบมีดที่ภรรยาเหวี่ยงมาหาเขาอีกครั้ง “หากเป็นไปได้ ฉันก็จะไม่ทำแบบนี้เลย แต่มันไม่มีทางเลือก”นางหลิวอี้สบถคำหยาบคาย “แกจะหนี
บทที่ 64 จากลากันอีกครั้งหลินเพ่ยหลันยิ้มบาง ๆ และพยักหน้าเล็กน้อยเธอรู้สึกโล่งใจที่ปัญหาในวันนี้จบลงได้โดยไม่เกิดความรุนแรง เธอหันกลับเข้าไปในบ้าน ปล่อยให้ซ่งเฟยหลงดูแลเรื่องราวที่เหลือซ่งเฟยหลงมองตามหลังภรรยาของเขาด้วยความรักและความห่วงใย เขารู้ว่าคนท้องไม่ควรเครียด และเขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้หลินเพ่ยหลันได้มีความสุขและสบายใจในช่วงเวลานี้เมื่อหลินเพ่ยหลันเข้าไปพักผ่อนในบ้าน ซ่งเฟยหลงก็หันกลับมามองชาวบ้านที่ยังคงยืนอยู่รอบ ๆ เขายิ้มและกล่าวกับพวกเขาอย่างสุภาพ “ขอบคุณทุกคนที่เป็นกำลังใจและสนับสนุนครอบครัวของเรานะครับ ผมขอให้ทุกคนกลับบ้านกันอย่างสงบสุข”ชาวบ้านพยักหน้ารับและเริ่มทยอยกลับบ้าน บรรยากาศที่ตึงเครียดเริ่มกลับมาสู่ความสงบเงียบอีกครั้งหลังจากที่เรื่องวุ่นวายทุกอย่างผ่านพ้น บ้านซ่งก็กลับมาสงบสุขอีกครั้ง ทุกคนในครอบครัวรู้สึกโล่งใจและพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างมีความสุข ในช่วงเทศกาลตรุษจีน บ้านซ่งเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความอบอุ่นพวกเขาใช้เวลาร่วมกันอย่างเต็มที่ ทั้งการไปไหว้พระที่วัด เพื่อขอพรให้ปีใหม่นี้เต็มไปด้วยความสุขและความเจริญรุ่งเรือง ทั้งกินอาหารมงคลร่วมกัน แ
บทที่ 63 จบปํญหาเมื่อหลินตงเอ่ยปากขอเงินจากหลินเพ่ยหลัน แต่หญิงสาวกลับมีท่าทีลังเลไม่ตอบรับในทันที หลินเพ่ยหลันมองไปยังแม่เลี้ยงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวล‘กลัวว่าเงินที่ให้ไป พ่อกับน้องของเพ่ยหลันจะไม่ได้ใช้น่ะสิ แม่เลี้ยงคนนี้คงจะยึดไปหมดแน่ ๆ’ เธอยืนคิดอยู่ในใจว่าจะให้ไปดีหรือไม่ นางหลิวอี้เห็นดังนั้นก็โวยวายขึ้นมาทันที“หลินเพ่ยหลัน แกมันคนอกตัญญู พ่อของแกมาขอเงินแค่นี้ก็ไม่ยอมให้เหรอ จะต้องให้พ่อและน้องของแกอดตายก่อนใช่ไหม” น้ำเสียงของนางหลิวอี้เต็มไปด้วยความโกรธและเกรี้ยวกราด เธอพูดเสียงดังเพื่อกดดันอีกฝ่าย“ทุกคนดูสิหลินเพ่ยหลันที่ทุกคนเคยชื่นชมนักหนา พอร่ำรวยแล้วก็ไม่ยอมให้เงินพ่อของตัวเองเลย พ่อของเธอไม่มีเงินจนจะอดตายอยู่แล้ว” นางหลิวอี้พูดเสียงดัง พรัอมกับหันไปมองชาวบ้านที่เริ่มมารวมตัวกันด้วยความสงสัยชาวบ้านบางคนเริ่มซุบซิบและมองไปทางหลินเพ่ยหลันด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป“จริงเหรอ หลินเพ่ยหลันทำอย่างนั้นจริงๆ เหรอ” เสียงพูดคุยเบา ๆ เริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆหลินเพ่ยหลันรู้สึกอับอายและเสียใจมากที่ถูกแม่เลี้ยงของตัวเองใส่ร้ายเช่นนี้ เธอจึงพยายามจะอธิบาย “ฉันไม่ได้หมายความว่าอ
บทที่ 62 บ้านหลินมาอีกแล้ว“ขอบใจนะอาเฟยที่สานฝันแทนพ่อ แค่นี้พ่อก็ภูมิใจในตัวลูกมากแล้วล่ะ แต่ถ้าหากมันลำบาก ก็อย่าหักโหมเกินไปนักนะ ความก้าวหน้าสำคัญก็จริง แต่ว่าความสุขของตัวเองก็สำคัญเหมือนกันนะลูก” ซ่งตงลี่พูดขึ้นมาอย่างห่วงใย “ครับพ่อ” ซ่งเฟยหลงพยักหน้ารับคำ “แล้วเพ่ยหลันละ เป็นอย่างไรบ้าง อยู่ที่นู่นสบายดีไหม” คราวนี้เป็นนางหยางเจี่ยที่หันมาถามลูกสะใภ้ โดยซ่งตงลี่ก็หันมาเพื่อรอฟังคำตอบด้วยหลินเพ่ยหลันยิ้มให้พ่อแม่ของสามี ก่อนจะเล่าเรื่องของตัวเองบ้าง “ฉันสบายดีค่ะ อยู่ที่บ้านตระกูลจง ฉันได้ช่วยงานคุณตากับคุณลุงที่ห้างสรรพสินค้าของตระกูลด้วย ทุกอย่างก็ราบรื่นดีค่ะ” “ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าพวกพี่ก็ไม่ค่อยได้พบกันบ่อยน่ะสิ คนหนึ่งอยู่ชายแดน คนหนึ่งอยู่ปักกิ่ง” ซ่งชุนเป้ยถามขึ้นมาอย่างกังวล เธอเห็นใจพี่ชายกับพี่สะใภ้ไม่น้อยที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน“ใช่แล้ว ช่วงแรก ๆ พี่เฟยหลงฝึกหนักมาก แล้วยังมีภารกิจที่ต้องไปทำนอกกองทัพอีก พวกเราก็เลยไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไร มีพักหลัง ๆ ที่พี่เฟยหลงพอจะว่างได้กลับมาปักกิ่ง และพี่ก็ไปหาพี่เฟยที่เมืองชายแดนบ้าง ตอนนี้คุณตาจัดรถพร้อมคนขับไว้ให้โดยเฉพาะ
บทที่ 61 ท้อง 4 เดือนแล้ว“แล้วนี่จะมาอยู่กี่วันล่ะ อยู่นาน ๆ นะ แม่จะทำของอร่อยให้กิน” นางหยางเจี่ยถามขึ้นมา เพราะรู้ว่าถึงอย่างไรลูกชายกับลูกสะใภ้ก็ต้องกลับไปที่ปักกิ่ง แต่ก็อยากให้อยู่ด้วยกันสักหลายวันก่อน“นี่ก็เป็นเวลานานแล้วที่ผมกับเพ่ยหลันไม่ได้กลับมาเยี่ยมบ้าน ตรุษจีนปีที่แล้วที่ไม่ได้กลับมา ก็เพราะว่าผมมีภารกิจที่ชายแดน ครั้งนี้พวกเราจึงตัดสินใจว่าจะพักอยู่ที่บ้านหลายวันหน่อย เพื่อเป็นการชดเชยให้กับครอบครัวครับ” ซ่งเฟยหลงตอบกลับไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“ดี ๆ จะได้มาด้วยพี่ขายของด้วย เพราะตอนนี้ที่ร้านยุ่งมาก ฮ่า ๆ” ซ่งชุนเหยาพูดขึ้นมาพร้อมกับหัวเราะอย่างมีความสุข“ที่ร้านยุ่งมากเหรอคะ” หลินเพ่ยหลันขมวดคิ้วถามอย่างแปลกใจ“จะให้ไม่ยุ่งได้อย่างไรล่ะคะพี่สะใภ้ ตอนนี้พี่ใหญ่ขยายร้านค้าไปในเมืองใกล้ ๆ อีกสองสาขา แต่ละวันแค่วิ่งไปเติมสินค้าแต่ละสาขาก็แทบจะไม่มีเวลาแล้ว ยังดีที่ตอนนี้ซื้อรถยนต์แล้วและมีลูกจ้างที่ขยันและซื่อสัตย์ ไม่อย่างนั้นพี่ใหญ่ท่าจะแย่” ซ่งชุนเป้ยเป็นคนตอบคำถามนี้ของพี่สะใภ้ด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้ม ตอนนี้กิจการของบ้านซ่งเป็นไปได้ดีมาก ซ่งชุนเหยาได้ขยายสาขาร