“นี่เธอลำบากขนาดนี้เลยเหรอ ทำไมพวกเขาถึงไม่เห็นใจกันบ้าง แม่เลี้ยงกับน้องสาวของเธอไม่คิดจะทำอะไรเลยหรืออย่างไร คนอะไรใจดำขนาดนั้น” จ้าวจินเยว่พูดไปก็ถอนหายใจด้วยความสงสาร
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ อย่าพูดถึงพวกเขาเลย ตอนนี้ฉันก็ออกจากบ้านหลินมาแล้ว อยู่ที่นี่ก็ดีกว่าที่บ้านหลินเยอะค่ะ” หลินเพ่ยหลันตอบกลับเบา ๆ เธอยิ้มให้ทั้งสองด้วยความจริงใจ
“เอาเถอะ อยู่ที่นี่ถึงแม้ว่าแม่จะขี้บ่น ปากร้ายไปบ้าง แต่พวกเราจะช่วยดูแลพี่อีกแรงนะ มีอะไรก็สามารถบอกได้เลย ยังไงพี่ก็เป็นพี่สะใภ้สามของฉัน” ซ่งชุนเป้ยพูดขึ้นอย่างมีน้ำใจ
“ใช่ พี่ด้วยนะ มีอะไรให้ช่วยก็บอกพี่ได้เลย” จ้าวจินเยว่เองก็พยักหน้าเห็นด้วยและพูดเสริมอย่างมีน้ำใจเช่นกัน
“ขอบคุณพี่สะใภ้ใหญ่ ขอบใจนะชุนเป้ย” หลินเพ่ยหลันพูดออกมาด้วยความดีใจ ที่อย่างน้อยที่นี่ยังมีคนใจดีที่พร้อมจะช่วยเหลือเธอ
พวกเธอใช้เวลาพูดคุยกันไปเรื่อย ๆ ระหว่างที่ทำอาหาร ทำให้เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่าสามสาวในบ้านซ่งจะเข้ากันได้ดีไม่มีปัญหา ยิ่งพวกเธอร่วมมือกันงานต่าง ๆ ภายในบ้านก็เสร็จเร็วขึ้น
เมื่อได้พูดคุยกับจ้าวจินเยว่และซ่งชุนเป้ยแล้ว หลินเพ่ยหลันเองก็คิดว่าทั้งสองคนก็เป็นคนดีไม่น้อย นอกจากจะไม่รังเกียจที่เธอเป็นคนพิการตาบอดแล้ว ยังรับปากว่าจะคอยดูแลเธออีกด้วย
ส่วนเรื่องที่เจ้าของร่างพลัดตกน้ำนั้น เมื่อลองค้นความทรงจำดูแล้ว ก็รู้ว่าหลินเพ่ยหลันคนก่อนพลัดตกลงไปในลำธารเอง ไม่ใช่มีใครกลั่นแกล้งโดยการผลักให้ตกลงไปทั้งนั้น
ความทรงจำที่มีแสดงให้เห็นถึงเหตุการณ์ในวันนั้นอย่างชัดเจน และจำได้ว่าเดินออกไปริมแม่น้ำโดยไม่ระวังตัว
พอจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้จึงรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย อย่างน้อยก็มั่นใจได้ว่าอันตรายที่เธอเผชิญนั้นไม่มีใครเกี่ยวข้อง ทั้งหมดเป็นเพียงอุบัติเหตุที่เกิดจากความไม่ระมัดระวังของเจ้าของร่างเดิมเท่านั้น การได้รู้เรื่องนี้ทำให้รู้สึกว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรือต้องระแวงคนที่อยู่รอบตัว
หลินเพ่ยหลันใช้ชีวิตในร่างนี้จนค่อย ๆ เริ่มคุ้นชินมากขึ้น กระทั่งเจ็ดวันผ่านไป ก็รู้สึกว่าตัวเองสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมและความมืดมิดที่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตได้มากขึ้น เธอสามารถทำงานบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้อย่างคล่องแคล่ว รู้สึกถึงความอบอุ่นและกำลังใจจากจ้าวจินเยว่และซ่งชุนเป้ยที่คอยช่วยเหลือและเป็นกำลังใจให้เสมอ
คืนนี้หลินเพ่ยหลันเข้านอนตามปกติ เธอปิดตาลงอย่างช้า ๆ และพยายามปล่อยใจให้สบาย แต่ข้างกายกลับรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวของใครบางคน นั่นคือซ่งเฟยหลงนั่นเอง เขาก้าวเข้ามาอย่างเงียบ ๆ ไม่ให้เสียงรบกวนเพราะคิดว่าเธอหลับไปแล้ว แต่หลินเพ่ยหลันสามารถรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวและกลิ่นอายที่เป็นเอกลักษณ์ของเขาได้ทันที หลังจากที่เขาก้าวเข้ามาในห้อง
“คงหลับแล้วสินะ” ชายหนุ่มพูดเบา ๆ พร้อมกับล้มตัวนอนด้วยความเหนื่อยล้าเช่นกัน
ถึงแม้ว่าเธอกับซ่งเฟยหลงจะนอนในห้องเดียวกัน แต่เขาก็ให้เกียรติหญิงสาวมาก ไม่เคยฉกฉวยโอกาสแตะต้องเธอเลยสักครั้งเพราะเขาเห็นเธอเป็นเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง ความอ่อนโยนและความเคารพที่เขามอบให้ ทำให้เธอรู้สึกอุ่นใจและปลอดภัยยิ่งขึ้น
และเพราะท่าทีสุภาพบุรุษของเขา ที่หลายวันมานี้ซ่งเฟยหลงแสดงให้เห็น ทำให้หลินเพ่ยหลันไม่ได้ตั้งแง่หรือระแวงในตัวเขาอีก ทุกการกระทำที่เต็มไปด้วยความสุภาพและอ่อนโยน ทำให้เธอเริ่มมองเขาในแง่มุมที่แตกต่างออกไป
ตอนแรกที่เข้ามาอยู่ในร่างนี้ หลินเพ่ยหลันคนนี้ยังคงมีความหวาดกลัวและความไม่มั่นใจในตัวสามีอย่างซ่งเฟยหลง แต่ความสุภาพและการให้เกียรติที่เขาแสดงออกมาในแต่ละวัน ทำให้ความระแวงนั้นค่อย ๆ หายไป ทุกคืนที่เขามาช่วยจัดเตียงหรือถามไถ่ถึงความต้องการของเธอ มันเป็นการยืนยันว่าเขาใส่ใจและห่วงใยอย่างแท้จริง เนื่องจากเธอจะเป็นเพียงภรรยาตาบอดของเขา
แม้ว่าหลินเพ่ยหลันจะไม่คุ้นชินกับการได้รับการดูแลแบบนี้ในตอนแรก แต่เธอก็เริ่มรู้สึกซาบซึ้งและขอบคุณในความเสียสละและความพยายามของเขา เธอพยายามตอบแทนด้วยการทำงานทุกอย่างที่เธอสามารถทำได้ เพื่อให้เขาไม่ต้องเหนื่อยมากเกินไป บางครั้งก็ตอบแทนด้วยการทำอาหารอร่อย ๆ ให้เขาทาน ทำของหวานให้เขาเพื่อที่เขาจะได้กินให้หายเหนื่อยจากการทำงานหนัก
ไม่นานเธอก็ได้ยินเสียงลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอของอีกฝ่าย ซึ่งบ่งบอกว่าเขาหลับไปแล้ว หลินเพ่ยหลันจึงได้หลับลงไปบ้าง ความเงียบสงบในยามค่ำคืนทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลาย และจิตใจที่เคยหนักหน่วงก็เริ่มเบาลง
ระหว่างที่กำลังเคลิ้มหลับอยู่นั้น ความคิดต่าง ๆ ก็ผุดขึ้นมาในหัว ความรู้สึกที่เริ่มก่อตัวทำให้เธอเองก็สับสนอยู่บ้าง แม้ว่าจะยังไม่เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดของการทะลุมิติมาในร่างนี้ก็ตาม แต่อย่างน้อยการมาอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรเหมือนกับที่เธอคิดไว้ในตอนแรก
ในที่สุดเธอก็ปล่อยใจให้หลับลงอย่างสงบจากความคิดต่าง ๆ และความเหนื่อยล้า
ในห้องที่มืดมิด หยกผีเสื้อบนสร้อยข้อมือของหญิงสาวก็เกิดแสงสว่างขึ้น แสงสีเขียวอ่อน ๆ ที่สว่างออกมาค่อย ๆ ส่องประกายและขยายตัว ก่อนที่แสงนั้นจะโอบล้อมร่างหญิงสาวเอาไว้
หลินเพ่ยหลันรู้สึกได้ถึงความอุ่นและแสงที่โอบล้อมร่างของเธอ ทำให้รู้สึกตัวตื่นขึ้นจากความหลับใหล แสงสีเขียวอ่อนนั้นไม่เพียงแต่โอบล้อมเธอ แต่ยังค่อย ๆ กลืนร่างของเธอเข้าไปในวงแสงนั้น
ในขณะที่เธอถูกกลืนเข้าไปหัวใจก็เริ่มเต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ ความรู้สึกที่เหมือนถูกดึงไปในที่ที่ไม่รู้จัก ทำให้หลินเพ่ยหลันรู้สึกตื่นเต้นและกังวลในเวลาเดียวกัน แต่ไม่ทันที่จะตั้งสติได้ แสงสว่างนั้นก็ดึงเธอไปในที่ที่ไม่คาดคิด
เมื่อเข้ามาแล้วหลินเพ่ยหลันก็พยายามลืมตาขึ้น แต่ด้วยความที่ตายังไม่ค่อยคุ้นชินกับแสงในนี้สักเท่าไร ดวงตาจึงได้พร่ามัวอยู่ ทว่าเมื่อปรับตัวเข้ากับแสงได้แล้ว เธอถึงกับอึ้งกับภาพตรงหน้าเนื่องจากเวลานี้เธอสามารถมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้ได้อย่างชัดเจน
“นี่ฉันตาบอดไม่ใช่หรือ ทำไมถึงมองเห็นอีกได้ล่ะ” หลินเพ่ยหลันพึมพำกับตัวเองด้วยความสงสัย จะว่านี่คือความฝันก็ไม่น่าจะใช่ เพราะเธอรู้สึกว่ามันสมจริงอย่างน่าประหลาด
จากนั้นหญิงสาวก็มองไปรอบ ๆ ปรากฏว่าสถานที่แห่งนี้คือทะเลดวงดาวที่เธอเคยเข้ามาแล้วตอนที่เธอถูกรถชนเสียชีวิต ทั้งสภาพแวดล้อม ทั้งบรรยากาศ แม้แต่ตำแหน่งดาวที่อยู่บนฟ้าก็เหมือนกับคราวก่อนไม่มีผิด แต่ว่าคราวนี้แปลกไปตรงที่มันมีประตูบานหนึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่เธอยืนอยู่เพิ่มขึ้นมาด้วย
ประตูบานนั้นเป็นประตูไม้ทาด้วยสีขาวสะอาดตา เป็นประตูบานเดียวโดด ๆ ตั้งอยู่ตรงกลางสถานที่แห่งนี้ คิดดูแล้วมันก็แปลกอยู่ไม่น้อยที่จะมีประตูอยู่บนนี้
“อะไรน่ะ หรือว่าจะเป็นประตูไปที่ไหนก็ได้ของโดราเอมอนเหรอ” หลินเพ่ยหลันถามตัวเองอีกครั้ง “จะว่าไปแล้วประตูบานนี้ก็เหมือนกับประตูของโดราเอมอนจริง ๆ ต่างกันก็แค่คนละสี ไปดูใกล้ ๆ ดีกว่า”
เมื่อคิดได้อย่างนั้นจึงได้ค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้ประตู แต่ยิ่งเดินเข้าไปใกล้มากเท่าไร กลับยิ่งรู้สึกเหมือนกับว่ามันดึงดูดให้เข้ามาหามากขึ้น
ในใจของหญิงสาวเวลานี้คิดอยากจะเปิดประตูมากว่ามันจะทะลุไปได้เหมือนประตูของโดราเอมอนหรือเปล่า แต่ว่าอีกใจหนึ่งก็ยังคงลังเล
ตอนพิเศษ 5 ปีผ่านไปซ่งเจียหยวนกับซ่งเจียอี้ ตอนนี้อายุได้ห้าขวบแล้ว เป็นวัยที่เริ่มกระตือรือร้นและเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น พอที่จะเดินทางไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวก หลินเพ่ยหลันเห็นว่าเป็นเวลาที่เหมาะสม จึงตัดสินใจชวนลูกชายฝาแฝดทั้งสองคนไปเยี่ยมพ่อที่กองทัพเช้าวันนั้น หลินเพ่ยหลันเตรียมตัวอย่างละเอียด เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างพร้อมสำหรับการเดินทาง จัดเตรียมเสื้อผ้าที่อบอุ่นและอาหารว่างไว้ให้ลูก ๆ พร้อมทั้งเตือนพวกเขาให้ปฏิบัติตัวดี ๆ เมื่อไปถึงที่กองทัพ เป็นสิ่งที่เธอทำเองทั้งหมด ใช่แล้ว เธอเลี้ยงลูกแฝดทั้งสองคนด้วยตัวเอง แม้นายท่านผู้เฒ่าทั้งสองจะเคยส่งพี่เลี้ยงมาให้ แต่เธอก็ปฏิเสธไปเพราะอยากใกล้ชิดกับลูกๆ มากกว่าใคร ๆ “แม่ครับ เราจะได้เจอพ่อเมื่อไหร่ครับ” เสียงใส ๆ ของซ่งเจียหยวนถามด้วยความตื่นเต้น ตอนนี้เขาอยู่ในชุดทหารที่ลุงๆ ซื้อมาฝาก“เย็นนี้ก็ได้เจอแล้ว พ่อจะต้องดีใจมากแน่ ๆ ที่เห็นพวกเรามาเยี่ยม” หลินเพ่ยหลันตอบพร้อมกับยิ้มให้ลูกชายลูกชายทั้งสองของเธอดีใจกันมาก ที่ได้ยินข่าวว่าจะได้ไปเยี่ยมพ่อที่กองทัพ พวกเขาต่างกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ และไม่สามารถเก็บความตื่นเต้นไว้ได้
บทส่งท้าย ครอบครัวสมบูรณ์หลินตงยืนนิ่งไม่พูดอะไร เขารู้ว่าเขาคงไม่มีทางเลือก เขาต้องทำเพื่อเอาตัวรอดจากการถูกฆ่า“ต้องทำแบบนี้... ถ้าไม่ทำ... ฉันตายแน่ ฉันไม่ผิด” หลินตงพูดขึ้นมาเบา ๆ“ตายก็ยังดีกว่าทำแบบนี้!” นางหลิวอี้ตวาดเสียงดัง ก่อนจะวิ่งไปหยิบมีดที่วางอยู่บนโต๊ะในครัว แล้วตรงเข้ามาหาหลินตง“แกไม่รู้แกทำผิดหรืออย่างไร ลูกสาวตัวเองไม่ใช่ตัวช่วยที่จะเอามาขัดดอก แกตายซะเถอะ” นางหลิวอี้พูดจบก็เอามีดไล่ฟันไปที่สามีหลินตงตกใจและกระโดดหลบอย่างรวดเร็ว “นังบ้า จะฆ่ากันเลยเหรอ หยุด หยุดเดี๋ยวนี้นะ” เขายืนสั่นด้วยความกลัวมีดในมือของภรรยา“แกทำให้ชีวิตของพวกเรามันพังหมดแล้ว พังหมด ไม่เหลืออะไร” นางหลิวอี้ยังคงกราดเกรี้ยว ทั้งที่มีดในมือสั่นไปตามอารมณ์ “แม้แต่กับลูกสาวของตัวเองแกก็ยังทำแบบนี้ได้ นี่แกเป็นพ่อประสาอะไร”“แล้วแกล่ะ ตั้งแต่แต่งกับฉันมา แกเคยช่วยอะไรฉันบ้างไหม มีแต่ใช้เงินไปวัน ๆ ที่เสี่ยวหรงมันต้องเป็นแบนี้ แกก็มีส่วนเหมือนกัน”หลินตงตะโกนสวนกลับ และขยับหลบมีดที่ภรรยาเหวี่ยงมาหาเขาอีกครั้ง “หากเป็นไปได้ ฉันก็จะไม่ทำแบบนี้เลย แต่มันไม่มีทางเลือก”นางหลิวอี้สบถคำหยาบคาย “แกจะหนี
บทที่ 64 จากลากันอีกครั้งหลินเพ่ยหลันยิ้มบาง ๆ และพยักหน้าเล็กน้อยเธอรู้สึกโล่งใจที่ปัญหาในวันนี้จบลงได้โดยไม่เกิดความรุนแรง เธอหันกลับเข้าไปในบ้าน ปล่อยให้ซ่งเฟยหลงดูแลเรื่องราวที่เหลือซ่งเฟยหลงมองตามหลังภรรยาของเขาด้วยความรักและความห่วงใย เขารู้ว่าคนท้องไม่ควรเครียด และเขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้หลินเพ่ยหลันได้มีความสุขและสบายใจในช่วงเวลานี้เมื่อหลินเพ่ยหลันเข้าไปพักผ่อนในบ้าน ซ่งเฟยหลงก็หันกลับมามองชาวบ้านที่ยังคงยืนอยู่รอบ ๆ เขายิ้มและกล่าวกับพวกเขาอย่างสุภาพ “ขอบคุณทุกคนที่เป็นกำลังใจและสนับสนุนครอบครัวของเรานะครับ ผมขอให้ทุกคนกลับบ้านกันอย่างสงบสุข”ชาวบ้านพยักหน้ารับและเริ่มทยอยกลับบ้าน บรรยากาศที่ตึงเครียดเริ่มกลับมาสู่ความสงบเงียบอีกครั้งหลังจากที่เรื่องวุ่นวายทุกอย่างผ่านพ้น บ้านซ่งก็กลับมาสงบสุขอีกครั้ง ทุกคนในครอบครัวรู้สึกโล่งใจและพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างมีความสุข ในช่วงเทศกาลตรุษจีน บ้านซ่งเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความอบอุ่นพวกเขาใช้เวลาร่วมกันอย่างเต็มที่ ทั้งการไปไหว้พระที่วัด เพื่อขอพรให้ปีใหม่นี้เต็มไปด้วยความสุขและความเจริญรุ่งเรือง ทั้งกินอาหารมงคลร่วมกัน แ
บทที่ 63 จบปํญหาเมื่อหลินตงเอ่ยปากขอเงินจากหลินเพ่ยหลัน แต่หญิงสาวกลับมีท่าทีลังเลไม่ตอบรับในทันที หลินเพ่ยหลันมองไปยังแม่เลี้ยงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวล‘กลัวว่าเงินที่ให้ไป พ่อกับน้องของเพ่ยหลันจะไม่ได้ใช้น่ะสิ แม่เลี้ยงคนนี้คงจะยึดไปหมดแน่ ๆ’ เธอยืนคิดอยู่ในใจว่าจะให้ไปดีหรือไม่ นางหลิวอี้เห็นดังนั้นก็โวยวายขึ้นมาทันที“หลินเพ่ยหลัน แกมันคนอกตัญญู พ่อของแกมาขอเงินแค่นี้ก็ไม่ยอมให้เหรอ จะต้องให้พ่อและน้องของแกอดตายก่อนใช่ไหม” น้ำเสียงของนางหลิวอี้เต็มไปด้วยความโกรธและเกรี้ยวกราด เธอพูดเสียงดังเพื่อกดดันอีกฝ่าย“ทุกคนดูสิหลินเพ่ยหลันที่ทุกคนเคยชื่นชมนักหนา พอร่ำรวยแล้วก็ไม่ยอมให้เงินพ่อของตัวเองเลย พ่อของเธอไม่มีเงินจนจะอดตายอยู่แล้ว” นางหลิวอี้พูดเสียงดัง พรัอมกับหันไปมองชาวบ้านที่เริ่มมารวมตัวกันด้วยความสงสัยชาวบ้านบางคนเริ่มซุบซิบและมองไปทางหลินเพ่ยหลันด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป“จริงเหรอ หลินเพ่ยหลันทำอย่างนั้นจริงๆ เหรอ” เสียงพูดคุยเบา ๆ เริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆหลินเพ่ยหลันรู้สึกอับอายและเสียใจมากที่ถูกแม่เลี้ยงของตัวเองใส่ร้ายเช่นนี้ เธอจึงพยายามจะอธิบาย “ฉันไม่ได้หมายความว่าอ
บทที่ 62 บ้านหลินมาอีกแล้ว“ขอบใจนะอาเฟยที่สานฝันแทนพ่อ แค่นี้พ่อก็ภูมิใจในตัวลูกมากแล้วล่ะ แต่ถ้าหากมันลำบาก ก็อย่าหักโหมเกินไปนักนะ ความก้าวหน้าสำคัญก็จริง แต่ว่าความสุขของตัวเองก็สำคัญเหมือนกันนะลูก” ซ่งตงลี่พูดขึ้นมาอย่างห่วงใย “ครับพ่อ” ซ่งเฟยหลงพยักหน้ารับคำ “แล้วเพ่ยหลันละ เป็นอย่างไรบ้าง อยู่ที่นู่นสบายดีไหม” คราวนี้เป็นนางหยางเจี่ยที่หันมาถามลูกสะใภ้ โดยซ่งตงลี่ก็หันมาเพื่อรอฟังคำตอบด้วยหลินเพ่ยหลันยิ้มให้พ่อแม่ของสามี ก่อนจะเล่าเรื่องของตัวเองบ้าง “ฉันสบายดีค่ะ อยู่ที่บ้านตระกูลจง ฉันได้ช่วยงานคุณตากับคุณลุงที่ห้างสรรพสินค้าของตระกูลด้วย ทุกอย่างก็ราบรื่นดีค่ะ” “ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าพวกพี่ก็ไม่ค่อยได้พบกันบ่อยน่ะสิ คนหนึ่งอยู่ชายแดน คนหนึ่งอยู่ปักกิ่ง” ซ่งชุนเป้ยถามขึ้นมาอย่างกังวล เธอเห็นใจพี่ชายกับพี่สะใภ้ไม่น้อยที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน“ใช่แล้ว ช่วงแรก ๆ พี่เฟยหลงฝึกหนักมาก แล้วยังมีภารกิจที่ต้องไปทำนอกกองทัพอีก พวกเราก็เลยไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไร มีพักหลัง ๆ ที่พี่เฟยหลงพอจะว่างได้กลับมาปักกิ่ง และพี่ก็ไปหาพี่เฟยที่เมืองชายแดนบ้าง ตอนนี้คุณตาจัดรถพร้อมคนขับไว้ให้โดยเฉพาะ
บทที่ 61 ท้อง 4 เดือนแล้ว“แล้วนี่จะมาอยู่กี่วันล่ะ อยู่นาน ๆ นะ แม่จะทำของอร่อยให้กิน” นางหยางเจี่ยถามขึ้นมา เพราะรู้ว่าถึงอย่างไรลูกชายกับลูกสะใภ้ก็ต้องกลับไปที่ปักกิ่ง แต่ก็อยากให้อยู่ด้วยกันสักหลายวันก่อน“นี่ก็เป็นเวลานานแล้วที่ผมกับเพ่ยหลันไม่ได้กลับมาเยี่ยมบ้าน ตรุษจีนปีที่แล้วที่ไม่ได้กลับมา ก็เพราะว่าผมมีภารกิจที่ชายแดน ครั้งนี้พวกเราจึงตัดสินใจว่าจะพักอยู่ที่บ้านหลายวันหน่อย เพื่อเป็นการชดเชยให้กับครอบครัวครับ” ซ่งเฟยหลงตอบกลับไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“ดี ๆ จะได้มาด้วยพี่ขายของด้วย เพราะตอนนี้ที่ร้านยุ่งมาก ฮ่า ๆ” ซ่งชุนเหยาพูดขึ้นมาพร้อมกับหัวเราะอย่างมีความสุข“ที่ร้านยุ่งมากเหรอคะ” หลินเพ่ยหลันขมวดคิ้วถามอย่างแปลกใจ“จะให้ไม่ยุ่งได้อย่างไรล่ะคะพี่สะใภ้ ตอนนี้พี่ใหญ่ขยายร้านค้าไปในเมืองใกล้ ๆ อีกสองสาขา แต่ละวันแค่วิ่งไปเติมสินค้าแต่ละสาขาก็แทบจะไม่มีเวลาแล้ว ยังดีที่ตอนนี้ซื้อรถยนต์แล้วและมีลูกจ้างที่ขยันและซื่อสัตย์ ไม่อย่างนั้นพี่ใหญ่ท่าจะแย่” ซ่งชุนเป้ยเป็นคนตอบคำถามนี้ของพี่สะใภ้ด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้ม ตอนนี้กิจการของบ้านซ่งเป็นไปได้ดีมาก ซ่งชุนเหยาได้ขยายสาขาร