เหมือนเหตุการณ์ในวันนี้ ที่หลินเพ่ยหลันไปลำธารกับจ้าวจินเยว่พี่สะใภ้และซ่งชุนเป้ยน้องสาวของซ่งเฟยหลง การมาครั้งนี้ของเธอเพื่อมาซักผ้าและตักน้ำ ซึ่งเป็นกิจวัตรที่หลินเพ่ยหลันพยายามทำอย่างเต็มที่ให้เหมือนคนทั่วไปถึงแม้จะมองไม่เห็นก็ตาม แต่เพราะมองไม่เห็นและขาดความไม่ระวังรวมถึงความลื่นของหินในลำธาร ทำให้เธอก้าวผิดพลาดพลัดตกลงไปในลำธารทันที
ร่างของเธอจมลงไปในกระแสน้ำเนื่องจากหลินเพ่ยหลันว่ายน้ำไม่เป็น
จ้าวจินเยว่และซ่งชุนเป้ยที่มาด้วยกันต่างตกใจมาก พวกเธอยืนตะลึงและไม่กล้ากระโดดลงไปช่วย เพราะทั้งคู่เองก็ว่ายน้ำไม่เป็น จึงได้แต่ยืนกรีดร้องและเรียกให้คนมาช่วย
โชคดีที่ตอนนั้นซ่งเฟยหลงเพิ่งกลับจากคอมมูนมาเห็นเหตุการณ์เข้าพอดี เมื่อรู้ว่าภรรยาตกน้ำจึงรีบกระโดดลงไปช่วยโดยไม่ลังเล ร่างของเขาว่ายผ่านกระแสน้ำจนไปถึงตัวหลินเพ่ยหลันที่กำลังจะจมชายหนุ่มจึงรีบคว้าเธอขึ้นมา แล้วพาว่ายน้ำกลับขึ้นฝั่งอย่างรวดเร็ว
แต่เมื่อขึ้นมาถึงฝั่ง ร่างของหลินเพ่ยหลันกลับขาวซีดและเย็นเฉียบตอนนี้เธอหมดสติไปแล้ว ซ่งเฟยหลงรีบตรวจดูชีพจรแต่ไม่พบ เขาไม่รอช้ารีบอุ้มภรรยาแล้ววิ่งพาไปยังสถานพยาบาลของหมู่บ้านอย่างรีบร้อน
ในขณะที่กำลังอุ้มพาร่างอันเย็นเฉียบของภรรยานั้น หัวใจของเขาเต้นแรงด้วยความกังวล ในใจนั้นวาดหวังว่าหญิงสาวในอ้อมกอดจะไม่เป็นอะไร แต่ก่อนที่จะถึงสถานพยาบาล ซ่งเฟยหลงรู้สึกว่า ร่างของหลินเพ่ยหลันเริ่มมีปฏิกิริยา ดูเหมือนเวลานี้เธอเริ่มรู้สึกตัวแล้ว ดวงตาที่ปิดสนิทเริ่มขยับเล็กน้อย
“เพ่ยหลัน เป็นอย่างไรบ้าง” ชายหนุ่มถามด้วยความห่วงใยจนเธอสัมผัสได้ ในขณะที่ยังคงอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขนแน่น และรีบเร่งฝีเท้าให้เร็วกว่าเดิม
หลินเพ่ยหลันไม่ตอบอะไร เพียงแต่กรีดร้องด้วยความปวดศีรษะออกมาครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะเงียบลงไปอีกครั้ง
เมื่อความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมจบเพียงเท่านี้ บัดนี้นลินเริ่มรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้ง เวลานี้เธอรู้ตัวแล้วว่าตอนที่ถูกรถชนนั้น เธอได้ตายไปแล้ว และวิญญาณของเธอก็ได้มาอาศัยอยู่ในร่างนี้แทน
แม้ว่าภายในใจของเธอกำลังตื่นตระหนกแค่ไหน แต่ไม่นานก็เริ่มรับกับสภาพนี้ได้ในที่สุด นลินหายใจลึกเพื่อสงบสติอารมณ์ เมื่อพิจารณาดูจากความทรงจำของเจ้าของร่างแล้ว ก็เหมือนกับว่าเธอจะอยู่ในช่วงต้นของยุคเจ็ดสิบ ซึ่งเป็นยุคก่อนการปฏิรูปของจีน แม้ว่าเธอจะไม่ใช่คนจีนแต่ที่รู้เพราะชอบการอ่านนิยายจีนแนวนี้อย่างมาก
‘เฮ้อ! มายุคไหนไม่มา ดันมายุคนี้ซะได้ เป็นที่ขึ้นชื่อว่าลำบากเอามาก ๆ เสียด้วย’ นลินได้แต่ค่อนแคะในใจถึงชะตากรรมที่กำลังพบเจอ
นลินยังคงได้ยินเสียงของซ่งเฟยหลง คนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของเจ้าของร่างนี้เอ่ยถามขึ้นอีกครั้งว่า “เพ่ยหลัน เธอเป็นอย่างไรบ้าง”
แม้จะได้ความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมมาบ้างแล้ว แต่นลินก็ยังรู้สึกสับสนไม่น้อย ความทรงจำเก่าและใหม่มันตีกันวุ่นวายไปหมด จนทำให้เธอปวดหัวตุบ ๆ อีกครั้ง
แต่เมื่อตั้งสติได้จึงตอบกลับน้ำเสียงอิดโรย
“ไม่เป็นอะไรแล้วค่ะ ฉันอยากนอนพักสักครู่ เรากลับบ้านกันเถอะ” ขณะเดียวกันเปลือกตาก็ปิดลงช้า ๆ เพราะถึงลืมตาก็เจอแต่ความมืดมิดอยู่ดี
ชายหนุ่มมองดูเธอด้วยสายตาห่วงใยก่อนพยักหน้าเล็กน้อย อย่างไรเวลานี้อาการของเธอไม่น่าเป็นห่วงเท่าไรแล้ว เนื่องจากตัวเริ่มอุ่นและสีหน้าเริ่มขึ้นสีเลือดมาบาง ๆ
“ตอนแรกพี่ว่าจะพาเธอไปหาหมอ ถ้าอย่างนั้นก็กลับไปพักผ่อนที่บ้านเถอะ อดทนหน่อยเดี๋ยวก็ถึงบ้านแล้ว” ชายหนุ่มพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและเร่งฝีเท้ามุ่งหน้าไปที่บ้านแทน
หญิงสาวพยักหน้าและหลับตาอีกครั้งด้วยความเหนื่อยล้าและความสับสนในความทรงจำ
เมื่อถึงบ้านซ่งเฟยหลงวางเธอลงบนเตียงพร้อมกับนำเสื้อผ้ามาให้เธอเปลี่ยน จากนั้นก็ให้เธอนอนและห่มผ้าให้อย่างเบามือ ก่อนจะนั่งลงข้างเตียงมองดูเธอด้วยความสงสารและความห่วงใย ในใจก็อดสงสารภรรยาของตัวเองไม่ได้ จึงได้แต่คิดในใจว่า นอกจากเธอจะตาบอดแล้วก็เหมือนกับโชคจะไม่เคยเข้าข้างเธอเลยสักครั้งเดียว
“ทำไมถึงได้โชคร้ายขนาดนี้นะ เพ่ยหลัน” ชายหนุ่มเหมือนพูดกับตัวเอง
“แต่พี่สัญญานะว่าจะปกป้องเธอให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้”
ซ่งเฟยหลงยืนนิ่งอยู่สักพักหนึ่ง จึงจะตัดสินใจออกจากห้องเพื่อให้ภรรยาได้พักผ่อน ก่อนจะปิดประตูด้วยเสียงอันเบา และเดินออกไปอย่างเงียบเชียบ ปล่อยให้หญิงสาวในห้องพักผ่อนอยู่ในความเงียบสงบ
ในขณะที่นลินหลับสนิท ความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมเริ่มผสมผสานกับความคิดของเธอ บ้านซ่งตั้งอยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่เงียบสงบ โอบล้อมด้วยทิวเขาและท้องทุ่งเขียวขจี ตัวบ้านเป็นบ้านไม้สองชั้นที่ดูเรียบง่าย แต่ก็แข็งแรงและอบอุ่น มีลานกว้างอยู่หน้าบ้านที่ปลูกต้นไม้ดอกไม้หลากสีสัน ทำให้บรรยากาศโดยรอบดูสดชื่นและสวยงาม
ภายในบ้านมีห้องนอนหลายห้อง ในบ้านซ่งนี้ตอนนี้มีสมาชิกรวมเธอด้วยก็เจ็ดคน ซ่งเฟยหลงสามีของหลินเพ่งหลันเป็นลูกชายคนที่สาม เขาเป็นคนขยันทำงานและเป็นที่รักของคนในหมู่บ้าน
ซ่งชุนเหยาพี่ชายคนโตของซ่งเฟยหลงเป็นคนที่ใจดีและอบอุ่น เขาทำงานหนักเพื่อช่วยเหลือครอบครัว และพี่สะใภ้ใหญ่จ้าวจินเยว่ก็เป็นคนที่มีจิตใจดี ทั้งไปทำงานที่คอมมูนและดูแลครอบครัวอย่างเต็มที่
ซ่งชุนเป้ยน้องสาวคนเล็กของซ่งเฟยหลงเป็นคนสดใสและมีความสุข เธอชอบทำอาหารและมักจะเป็นที่รักของทุกคนในบ้าน
ส่วนพี่ชายคนรองนั้นได้แยกบ้านออกไปอยู่ในเมืองแล้วเพื่อหางานทำและสร้างครอบครัวของตนเอง แต่ทว่าเขากลับไร้วาสนาเมื่อต้องมาตายก่อนวัยอันควร
ซ่งตงลี่พ่อของสามีเป็นคนขยันทำงานและไม่ยุ่งกับครอบครัวของลูกชาย แต่ปัญหาของเธอก็คือนางหยางเจี่ย แม่ของซ่งเฟยหลงเป็นคนที่เข้มงวดและมีความคิดเก่า ๆ เธอมักจะมีปัญหากับหลินเพ่ยหลันอยู่เสมอเพราะไม่ชอบที่ลูกสะใภ้เป็นคนพิการ
บรรยากาศในบ้านซ่งนั้นอบอุ่นและเป็นกันเอง แม้ว่าจะมีความขัดแย้งบ้างเป็นบางครั้งแต่ทุกคนก็พยายามอยู่ร่วมกันด้วยความรักและความเข้าใจ
ทางด้านซ่งเฟยหลงเมื่อออกมาจากห้องก็พบพี่สะใภ้ใหญ่และน้องสาวที่กำลังรออยู่ในห้องนั่งเล่น ใบหน้าทั้งสองคนเต็มไปด้วยความวิตกกังวลเป็นอย่างมาก
“อาเฟย พวกเราขอโทษที่ดูแลสะใภ้สามไม่ได้” จ้าวจินเยว่หรือสะใภ้ใหญ่ของบ้านซ่ง รีบลุกขึ้นมาพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “พวกเราไม่คิดว่ามันจะเกิดเรื่องแบบนี้” ประโยคตบท้ายบอกว่าเธอนั้นกังวลใจจริง ๆ
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่พี่สะใภ้ใหญ่ ทำไมไม่มีคนช่วยเพ่ยหลันตอนที่เธอตกน้ำเลยล่ะ” ซ่งเฟยหลงถามด้วยความสงสัย เขาพยายามข่มอารมณ์ให้สงบลง
พอได้ยินพี่ชายถามอย่านั้น ซ่งชุนเป้ยจึงลุกขึ้นและเดินเข้ามาใกล้พี่ชายพร้อมกับบอกว่า “พี่สาม ตอนนั้นพวกเรามัวแต่กำลังจะล้างผ้าอยู่ที่ลำธาร เลยไม่เห็นว่าพี่สะใภ้สามพลาดลื่นตกลงไปในน้ำ มาเห็นอีกทีเธอก็ตกน้ำไปแล้ว พี่สะใภ้ใหญ่กับฉันไม่ใช่ไม่อยากลงไปช่วย แต่เพราะว่าพวกเราเองก็ว่ายน้ำไม่เป็น ถ้าฉันและพี่สะใภ้ใหญ่ว่ายน้ำเป็น มีหรือที่จะไม่ช่วยพี่สะใภ้สาม”
ในขณะที่พูดออกไปนั้น ใบหน้าของหญิงสาวก็มีน้ำตาคลอเบ้าด้วยความน้อยใจ ที่ถูกพี่ชายต่อว่าโดยไม่ถามเหตุผลเสียก่อน
พอเห็นน้องสามีน้ำตาปริ่มคล้ายกับจะร้องไห้ที่ถูกพี่ชายต่อว่า จ้าวจินเยว่จึงรีบอธิบายต่อ “ใช่แล้ว ตอนนั้นพวกเราตกใจมากและไม่รู้จะทำยังไงดี พี่กับน้องเล็กทั้งตะโกนและคิดจะไปเรียกคนมาช่วย พอดีอาเฟยกลับมาเห็นเสียก่อนน่ะ”
เมื่อได้ยินคำบอกเล่าของทั้งสองคน ซ่งเฟยหลงจึงถอนหายใจออกมาพร้อมกับพูดขึ้นอย่างเหนื่อยอ่อน “เข้าใจแล้วครับ”
ตอนพิเศษ 5 ปีผ่านไปซ่งเจียหยวนกับซ่งเจียอี้ ตอนนี้อายุได้ห้าขวบแล้ว เป็นวัยที่เริ่มกระตือรือร้นและเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น พอที่จะเดินทางไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวก หลินเพ่ยหลันเห็นว่าเป็นเวลาที่เหมาะสม จึงตัดสินใจชวนลูกชายฝาแฝดทั้งสองคนไปเยี่ยมพ่อที่กองทัพเช้าวันนั้น หลินเพ่ยหลันเตรียมตัวอย่างละเอียด เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างพร้อมสำหรับการเดินทาง จัดเตรียมเสื้อผ้าที่อบอุ่นและอาหารว่างไว้ให้ลูก ๆ พร้อมทั้งเตือนพวกเขาให้ปฏิบัติตัวดี ๆ เมื่อไปถึงที่กองทัพ เป็นสิ่งที่เธอทำเองทั้งหมด ใช่แล้ว เธอเลี้ยงลูกแฝดทั้งสองคนด้วยตัวเอง แม้นายท่านผู้เฒ่าทั้งสองจะเคยส่งพี่เลี้ยงมาให้ แต่เธอก็ปฏิเสธไปเพราะอยากใกล้ชิดกับลูกๆ มากกว่าใคร ๆ “แม่ครับ เราจะได้เจอพ่อเมื่อไหร่ครับ” เสียงใส ๆ ของซ่งเจียหยวนถามด้วยความตื่นเต้น ตอนนี้เขาอยู่ในชุดทหารที่ลุงๆ ซื้อมาฝาก“เย็นนี้ก็ได้เจอแล้ว พ่อจะต้องดีใจมากแน่ ๆ ที่เห็นพวกเรามาเยี่ยม” หลินเพ่ยหลันตอบพร้อมกับยิ้มให้ลูกชายลูกชายทั้งสองของเธอดีใจกันมาก ที่ได้ยินข่าวว่าจะได้ไปเยี่ยมพ่อที่กองทัพ พวกเขาต่างกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ และไม่สามารถเก็บความตื่นเต้นไว้ได้
บทส่งท้าย ครอบครัวสมบูรณ์หลินตงยืนนิ่งไม่พูดอะไร เขารู้ว่าเขาคงไม่มีทางเลือก เขาต้องทำเพื่อเอาตัวรอดจากการถูกฆ่า“ต้องทำแบบนี้... ถ้าไม่ทำ... ฉันตายแน่ ฉันไม่ผิด” หลินตงพูดขึ้นมาเบา ๆ“ตายก็ยังดีกว่าทำแบบนี้!” นางหลิวอี้ตวาดเสียงดัง ก่อนจะวิ่งไปหยิบมีดที่วางอยู่บนโต๊ะในครัว แล้วตรงเข้ามาหาหลินตง“แกไม่รู้แกทำผิดหรืออย่างไร ลูกสาวตัวเองไม่ใช่ตัวช่วยที่จะเอามาขัดดอก แกตายซะเถอะ” นางหลิวอี้พูดจบก็เอามีดไล่ฟันไปที่สามีหลินตงตกใจและกระโดดหลบอย่างรวดเร็ว “นังบ้า จะฆ่ากันเลยเหรอ หยุด หยุดเดี๋ยวนี้นะ” เขายืนสั่นด้วยความกลัวมีดในมือของภรรยา“แกทำให้ชีวิตของพวกเรามันพังหมดแล้ว พังหมด ไม่เหลืออะไร” นางหลิวอี้ยังคงกราดเกรี้ยว ทั้งที่มีดในมือสั่นไปตามอารมณ์ “แม้แต่กับลูกสาวของตัวเองแกก็ยังทำแบบนี้ได้ นี่แกเป็นพ่อประสาอะไร”“แล้วแกล่ะ ตั้งแต่แต่งกับฉันมา แกเคยช่วยอะไรฉันบ้างไหม มีแต่ใช้เงินไปวัน ๆ ที่เสี่ยวหรงมันต้องเป็นแบนี้ แกก็มีส่วนเหมือนกัน”หลินตงตะโกนสวนกลับ และขยับหลบมีดที่ภรรยาเหวี่ยงมาหาเขาอีกครั้ง “หากเป็นไปได้ ฉันก็จะไม่ทำแบบนี้เลย แต่มันไม่มีทางเลือก”นางหลิวอี้สบถคำหยาบคาย “แกจะหนี
บทที่ 64 จากลากันอีกครั้งหลินเพ่ยหลันยิ้มบาง ๆ และพยักหน้าเล็กน้อยเธอรู้สึกโล่งใจที่ปัญหาในวันนี้จบลงได้โดยไม่เกิดความรุนแรง เธอหันกลับเข้าไปในบ้าน ปล่อยให้ซ่งเฟยหลงดูแลเรื่องราวที่เหลือซ่งเฟยหลงมองตามหลังภรรยาของเขาด้วยความรักและความห่วงใย เขารู้ว่าคนท้องไม่ควรเครียด และเขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้หลินเพ่ยหลันได้มีความสุขและสบายใจในช่วงเวลานี้เมื่อหลินเพ่ยหลันเข้าไปพักผ่อนในบ้าน ซ่งเฟยหลงก็หันกลับมามองชาวบ้านที่ยังคงยืนอยู่รอบ ๆ เขายิ้มและกล่าวกับพวกเขาอย่างสุภาพ “ขอบคุณทุกคนที่เป็นกำลังใจและสนับสนุนครอบครัวของเรานะครับ ผมขอให้ทุกคนกลับบ้านกันอย่างสงบสุข”ชาวบ้านพยักหน้ารับและเริ่มทยอยกลับบ้าน บรรยากาศที่ตึงเครียดเริ่มกลับมาสู่ความสงบเงียบอีกครั้งหลังจากที่เรื่องวุ่นวายทุกอย่างผ่านพ้น บ้านซ่งก็กลับมาสงบสุขอีกครั้ง ทุกคนในครอบครัวรู้สึกโล่งใจและพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างมีความสุข ในช่วงเทศกาลตรุษจีน บ้านซ่งเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความอบอุ่นพวกเขาใช้เวลาร่วมกันอย่างเต็มที่ ทั้งการไปไหว้พระที่วัด เพื่อขอพรให้ปีใหม่นี้เต็มไปด้วยความสุขและความเจริญรุ่งเรือง ทั้งกินอาหารมงคลร่วมกัน แ
บทที่ 63 จบปํญหาเมื่อหลินตงเอ่ยปากขอเงินจากหลินเพ่ยหลัน แต่หญิงสาวกลับมีท่าทีลังเลไม่ตอบรับในทันที หลินเพ่ยหลันมองไปยังแม่เลี้ยงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวล‘กลัวว่าเงินที่ให้ไป พ่อกับน้องของเพ่ยหลันจะไม่ได้ใช้น่ะสิ แม่เลี้ยงคนนี้คงจะยึดไปหมดแน่ ๆ’ เธอยืนคิดอยู่ในใจว่าจะให้ไปดีหรือไม่ นางหลิวอี้เห็นดังนั้นก็โวยวายขึ้นมาทันที“หลินเพ่ยหลัน แกมันคนอกตัญญู พ่อของแกมาขอเงินแค่นี้ก็ไม่ยอมให้เหรอ จะต้องให้พ่อและน้องของแกอดตายก่อนใช่ไหม” น้ำเสียงของนางหลิวอี้เต็มไปด้วยความโกรธและเกรี้ยวกราด เธอพูดเสียงดังเพื่อกดดันอีกฝ่าย“ทุกคนดูสิหลินเพ่ยหลันที่ทุกคนเคยชื่นชมนักหนา พอร่ำรวยแล้วก็ไม่ยอมให้เงินพ่อของตัวเองเลย พ่อของเธอไม่มีเงินจนจะอดตายอยู่แล้ว” นางหลิวอี้พูดเสียงดัง พรัอมกับหันไปมองชาวบ้านที่เริ่มมารวมตัวกันด้วยความสงสัยชาวบ้านบางคนเริ่มซุบซิบและมองไปทางหลินเพ่ยหลันด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป“จริงเหรอ หลินเพ่ยหลันทำอย่างนั้นจริงๆ เหรอ” เสียงพูดคุยเบา ๆ เริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆหลินเพ่ยหลันรู้สึกอับอายและเสียใจมากที่ถูกแม่เลี้ยงของตัวเองใส่ร้ายเช่นนี้ เธอจึงพยายามจะอธิบาย “ฉันไม่ได้หมายความว่าอ
บทที่ 62 บ้านหลินมาอีกแล้ว“ขอบใจนะอาเฟยที่สานฝันแทนพ่อ แค่นี้พ่อก็ภูมิใจในตัวลูกมากแล้วล่ะ แต่ถ้าหากมันลำบาก ก็อย่าหักโหมเกินไปนักนะ ความก้าวหน้าสำคัญก็จริง แต่ว่าความสุขของตัวเองก็สำคัญเหมือนกันนะลูก” ซ่งตงลี่พูดขึ้นมาอย่างห่วงใย “ครับพ่อ” ซ่งเฟยหลงพยักหน้ารับคำ “แล้วเพ่ยหลันละ เป็นอย่างไรบ้าง อยู่ที่นู่นสบายดีไหม” คราวนี้เป็นนางหยางเจี่ยที่หันมาถามลูกสะใภ้ โดยซ่งตงลี่ก็หันมาเพื่อรอฟังคำตอบด้วยหลินเพ่ยหลันยิ้มให้พ่อแม่ของสามี ก่อนจะเล่าเรื่องของตัวเองบ้าง “ฉันสบายดีค่ะ อยู่ที่บ้านตระกูลจง ฉันได้ช่วยงานคุณตากับคุณลุงที่ห้างสรรพสินค้าของตระกูลด้วย ทุกอย่างก็ราบรื่นดีค่ะ” “ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าพวกพี่ก็ไม่ค่อยได้พบกันบ่อยน่ะสิ คนหนึ่งอยู่ชายแดน คนหนึ่งอยู่ปักกิ่ง” ซ่งชุนเป้ยถามขึ้นมาอย่างกังวล เธอเห็นใจพี่ชายกับพี่สะใภ้ไม่น้อยที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน“ใช่แล้ว ช่วงแรก ๆ พี่เฟยหลงฝึกหนักมาก แล้วยังมีภารกิจที่ต้องไปทำนอกกองทัพอีก พวกเราก็เลยไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไร มีพักหลัง ๆ ที่พี่เฟยหลงพอจะว่างได้กลับมาปักกิ่ง และพี่ก็ไปหาพี่เฟยที่เมืองชายแดนบ้าง ตอนนี้คุณตาจัดรถพร้อมคนขับไว้ให้โดยเฉพาะ
บทที่ 61 ท้อง 4 เดือนแล้ว“แล้วนี่จะมาอยู่กี่วันล่ะ อยู่นาน ๆ นะ แม่จะทำของอร่อยให้กิน” นางหยางเจี่ยถามขึ้นมา เพราะรู้ว่าถึงอย่างไรลูกชายกับลูกสะใภ้ก็ต้องกลับไปที่ปักกิ่ง แต่ก็อยากให้อยู่ด้วยกันสักหลายวันก่อน“นี่ก็เป็นเวลานานแล้วที่ผมกับเพ่ยหลันไม่ได้กลับมาเยี่ยมบ้าน ตรุษจีนปีที่แล้วที่ไม่ได้กลับมา ก็เพราะว่าผมมีภารกิจที่ชายแดน ครั้งนี้พวกเราจึงตัดสินใจว่าจะพักอยู่ที่บ้านหลายวันหน่อย เพื่อเป็นการชดเชยให้กับครอบครัวครับ” ซ่งเฟยหลงตอบกลับไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“ดี ๆ จะได้มาด้วยพี่ขายของด้วย เพราะตอนนี้ที่ร้านยุ่งมาก ฮ่า ๆ” ซ่งชุนเหยาพูดขึ้นมาพร้อมกับหัวเราะอย่างมีความสุข“ที่ร้านยุ่งมากเหรอคะ” หลินเพ่ยหลันขมวดคิ้วถามอย่างแปลกใจ“จะให้ไม่ยุ่งได้อย่างไรล่ะคะพี่สะใภ้ ตอนนี้พี่ใหญ่ขยายร้านค้าไปในเมืองใกล้ ๆ อีกสองสาขา แต่ละวันแค่วิ่งไปเติมสินค้าแต่ละสาขาก็แทบจะไม่มีเวลาแล้ว ยังดีที่ตอนนี้ซื้อรถยนต์แล้วและมีลูกจ้างที่ขยันและซื่อสัตย์ ไม่อย่างนั้นพี่ใหญ่ท่าจะแย่” ซ่งชุนเป้ยเป็นคนตอบคำถามนี้ของพี่สะใภ้ด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้ม ตอนนี้กิจการของบ้านซ่งเป็นไปได้ดีมาก ซ่งชุนเหยาได้ขยายสาขาร