บทที่ 5 แม่สามีเกลีดชัง
ชายทั้งสองหยุดชะงักทันทีเมื่อเห็นมีคนเดินเข้ามา หนึ่งในนั้นพยายามจะผลักซ่งเฟยหลงออกไปให้พ้นทาง “ไม่ใช่เรื่องของแก อย่าเข้ามายุ่ง”
แต่ทว่าซ่งเฟยหลงไม่ฟัง เขาพยายามดึงหลินเพ่ยหลันออกจากมือของชายคนนั้น “พวกนายกำลังทำอะไรกับเธอ เวลานี้เธอไม่ได้สติหรือว่าพวกแกทั้งสองคิดจะลักพาตัวผู้หญิงไปอย่างนั้นเหรอ” ชายหนุ่มพยายามช่วยหลินเพ่ยหลันออกมา ในขณะที่ชายทั้งสองตั้งหน้าตั้งตาจะสู้กับเขาเช่นกัน ต่อให้จะเป็นสองต่อหนึ่งซ่งเฟยหลงก็ไม่คิดกลัว การกระทำของเขาเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวและไม่ยอมแพ้แม้จะต้องเจ็บตัวก็ตาม ถึงยังไงเขาก็ต้องช่วยเธอให้ได้ การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือด สองคนนั้นเป็นแค่ลูกน้องปลายแถวของพวกอันธพาลไม่ได้มีฝีมือในการต่อสู้เลย เมื่อต้องต่อสู้กับซ่งเฟยหลงที่ร่างกายกำยำแข็งแรงและมีฝีมือที่ดีกว่า จึงพ่ายแพ้ไปอย่างราบคาบ ก่อนจะรีบหนีเพราะกลัวว่าจะมีคนมาเจอมากกว่านี้ แต่เรื่องราวกลับไม่ได้จบเพียงแค่นั้นเมื่อนางหลิวอี้เห็นว่าแผนการไม่สำเร็จและกลัวว่าสามีจะจับได้ว่าเธอคิดจะขายลูกเลี้ยงจึงคิดแผนใหม่เพื่อปกปิดความผิดของตัวเอง ก่อนจะรีบวิ่งออกมาหน้าถนนในหมู่บ้านแล้วป่าวประกาศให้ชาวบ้านรู้เรื่องนี้ “ทุกคนฟังฉันนะ ซ่งเฟยหลงลูกชายบ้านซ่งลักลอบเข้ามาในบ้านของฉัน เพื่อพาหลินเพ่ยหลันหนีไป” นางหลิวอี้ตะโกนด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความโกรธพร้อมกับทำท่าหวาดกลัวเล็กน้อย “พวกเขาทำผิดประเพณีอย่างร้ายแรง ชายหญิงสองคนนี้ทำผิดศีลธรรม” นางยังคงตะโกนไม่หยุด ชาวบ้านที่ได้ยินเสียงของแม่เลี้ยงต่างพากันมามุงดู พวกเขาซุบซิบกันด้วยความตกใจและสงสัย “เกิดอะไรขึ้น ทำไมซ่งเฟยหลงถึงมาที่นี่” “พวกเขาสองคนมีอะไรกันหรือเปล่า” ชาวบ้านต่างเริ่มส่งเสียงดัง บางคนเชื่อและบางคนก็ไม่เชื่อเนื่องจากรู้จักซ่งเฟยหลงดีว่าไม่ใช่คนแบบนั้น นางหลิวอี้ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนของชาวบ้านด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความเสแสร้ง “ฉันจะไม่ยอมให้ใครมาทำลายชื่อเสียงของบ้านหลินเด็ดขาด ซ่งเฟยหลงต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เขาทำ!!” ซ่งเฟยหลงที่ช่วยหลินเพ่ยหลันเอาไว้ และอุ้มเธอลงมาจากเกวียนกลับต้องเผชิญหน้ากับชาวบ้านที่พากันมาล้อมรอบด้วยความสงสัย ทั้งเชื่อและไม่เชื่อในสิ่งที่นางหลิวอี้กล่าวหา “ผมไม่ได้ทำอะไรผิด ผมแค่ช่วยเธอจากการถูกลักพาตัว” ชายหนุ่มพยายามอธิบาย แต่ดูเหมือนว่าชาวบ้านส่วนมากจะไม่มีใครฟังเขาเลย “ช่วยอะไร ลักพาตัวอะไร ไม่มีการลักพาตัวอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น พวกเราก็เห็น ๆ กันอยู่ว่าซ่งเฟยหลงกำลังจะพาตัวหลินเพ่ยหลันไป หากจะบอกว่าใครลักพาตัวเธอ ก็คงเป็นเขานั่นแหละ” นางหลิวอี้ยังคงพูดจาใส่ร้ายไม่หยุด “น่าจะจริงอย่างที่ว่านะ ไม่เห็นจะมีใครมาลักพาตัวสักหน่อย” ชาวบ้านเริ่มเชื่อในสิ่งที่นางหลิวอี้พูด เพราะไม่เห็นคนอื่นเลยแม้แต่คนเดียว เรื่องราววุ่นวายนี้ทำให้ชื่อเสียงของซ่งเฟยหลงและหลินเพ่ยหลันถูกทำลายอย่างไม่เป็นธรรม ทั้งสองต้องเผชิญกับความยากลำบากและความอัปยศที่ถูกโยนใส่โดยไม่มีเหตุผล เดิมที ซ่งเฟยหลงก็ไม่ใช่คนที่ชอบพูดคุยอยู่แล้ว เขามักเก็บตัวเงียบและทำงานหนักเพื่อครอบครัว แต่เมื่อเหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นกับหลินเพ่ยหลัน ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของเขาและครอบครัว เขาจึงตัดสินใจแต่งงานกับเธอเพื่อรักษาชื่อเสียง แม้ไม่ได้มีความรักต่อเธอและถูกต่อต้านอย่างหนักจากแม่ของตนเอง แต่เขาคิดว่าหญิงสาวตาบอดคนนี้น่าสงสารมาก ชีวิตเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานและการถูกกลั่นแกล้งจากแม่เลี้ยงจึงอยากจะช่วยเธอไว้ เมื่อทั้งสองได้ใช้ชีวิตร่วมกันซ่งเฟยหลง ก็ตั้งใจที่จะดูแลหลินเพ่ยหลันอย่างดีที่สุด เขาปฏิบัติต่อเธออย่างให้เกียรติ ไม่เคยใช้คำพูดหรือการกระทำที่ทำให้เธอรู้สึกต่ำต้อยเลยแม้คำเดียว เขาเข้าใจว่าหญิงสาวต้องผ่านความยากลำบากมาไม่น้อย เลยเห็นใจในชะตากรรมของเธอ เขาพยายามทำให้เธอรู้สึกถึงความอบอุ่นและความปลอดภัยในบ้านซ่ง แม้จะไม่ได้มีความรักต่อกันในแบบสามีภรรยา แต่ซ่งเฟยหลงก็ทำทุกอย่างด้วยความเมตตาและความห่วงใย หลินเพ่ยหลันรู้สึกถึงความอ่อนโยนและการดูแลที่เธอไม่เคยได้รับมาก่อน ทำให้ค่อย ๆ ปรับตัวและเริ่มมีความหวังในการใช้ชีวิตใหม่ หลังจากที่แต่งงานเข้ามาในครอบครัวซ่ง เธอก็ไม่ได้คิดจะเป็นภาระให้ใคร หญิงสาวพยายามทำงานบ้านทุกอย่างที่ทำได้ เพราะถึงอย่างไรตอนอยู่ที่บ้านสกุลหลิน หน้าที่ต่าง ๆ ในบ้านล้วนเป็นเธอที่ทำเองทั้งหมด ทำให้คุ้นเคยกับการทำงานหนักและไม่เคยปริปากบ่นว่าเหนื่อย แต่ไม่ว่าจะพยายามทำตัวให้เป็นประโยชน์มากแค่ไหน แต่ก็ยังไม่เป็นที่พึงพอใจของแม่สามี นางหยางเจี่ยไม่ชอบลูกสะใภ้ที่เป็นคนพิการ ทั้งยังรู้สึกว่าหลินเพ่ยหลันไม่สามารถเกื้อหนุนสามีได้เลย หนำซ้ำพวกชาวบ้านยังนินทาเรื่องนี้ไม่หยุด พวกเขามองว่าซ่งเฟยหลงเป็นหนุ่มรูปหล่อและขยันทำงาน ทั้งที่มีหญิงสาวทั่วหมู่บ้านมาชอบ อย่างไรลูกชายของเธอก็ควรจะได้ภรรยาที่เหมาะสมมากกว่านี้ ไม่ใช่เป็นเพียงหญิงตาบอดไร้ค่าคนหนึ่ง!! วันหนึ่งขณะที่หลินเพ่ยหลันกำลังทำความสะอาดห้องครัว นางหยางเจี่ยก็เข้ามาในห้องครัวพร้อมกับเสียงถอนหายใจหนัก ๆ มองดูลูกสะใภ้คนนี้ด้วยสายตาเหยียดหยาม ก่อนจะเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน “คนตาบอดอย่างเธอทำอะไรเป็นบ้างเนี่ย ทำงานบ้านก็ชักช้า ช่วยเหลือสามีก็ไม่ได้ เห็นแล้วก็เหนื่อยใจจริง ๆ” นางหยางเจี่ยพูดพร้อมกับส่ายหน้า หลินเพ่ยหลันได้ยินคำพูดนั้นก็รู้สึกเจ็บปวดแต่เธอไม่พูดอะไร ยังคงก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไปเงียบ ๆ “เธอรู้ไหมว่าหลายคนในหมู่บ้านเขาพูดถึงเรายังไง” นางหยางเจี่ยเมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ตอบโต้ก็พูดต่อ “ถ้าไม่รู้ฉันจะบอกหล่อนเอง พวกเขาบอกว่าเฟยหลงไปเอาคนพิการอย่างเธอมาเป็นภรรยาทำไม ทั้งที่มีหญิงสาวสวย ๆ มากมายมาชื่นชมเขาแท้ ๆ น่าเสียดายแทนเขาจริง ๆ” หลินเพ่ยหลันกลั้นน้ำตาเอาไว้ หญิงสาวรู้ดีว่านางหยางเจี่ย ไม่ชอบตนเองแต่คำพูดที่เจ็บปวดเหล่านี้ ทำให้เธอรู้สึกเสียใจมากขึ้น “เฟยหลงเองก็ไม่ได้รักเธอหรอก เขาแต่งงานกับเธอเพราะความรับผิดชอบเท่านั้น อย่าคิดเข้าข้างตัวเองว่าเธอมีค่าอะไรสำหรับเขา” นางหยางเจี่ยยังคงกล่าววาจาทำร้ายจิตใจลูกสะใภ้ต่อไปไม่หยุด หวังว่าสักวันทั้งสองจะหย่ากัน แล้วเธอจะได้หาสะใภ้ที่ต้องการมาแต่งกับลูกชาย หลินเพ่ยหลันยังคงได้แต่เงียบ เธอรู้ว่าแม่สามีพูดถูกในบางส่วน แต่ก็พยายามที่จะไม่ให้คำพูดเหล่านั้นทำลายจิตใจตนเอง หญิงสาวพยายามเข้มแข็ง อย่างน้อยก็จำเป็นต้องอดทนและอยู่ในบ้านซ่งต่อไปให้ได้ ก็ใครให้เธอเป็นหญิงตาบอดที่ไม่มีทางเลือกล่ะ! หลังจากนางหยางเจี่ย ออกไปจากห้อง หลินเพ่ยหลันก็ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง เธอพยายามรวบรวมกำลังใจและพลังใจเพื่อที่จะทำงานต่อไป และรู้ดีว่าชีวิตต่อจากนี้ไม่ง่ายเลย แต่เธอก็จะไม่ยอมแพ้เป็นอันขาด ตราบใดที่สามียังไม่เป็นคนเอ่ยปาก เธอก็จะไม่สนใจคำพูดของใครตอนพิเศษ 5 ปีผ่านไปซ่งเจียหยวนกับซ่งเจียอี้ ตอนนี้อายุได้ห้าขวบแล้ว เป็นวัยที่เริ่มกระตือรือร้นและเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น พอที่จะเดินทางไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวก หลินเพ่ยหลันเห็นว่าเป็นเวลาที่เหมาะสม จึงตัดสินใจชวนลูกชายฝาแฝดทั้งสองคนไปเยี่ยมพ่อที่กองทัพเช้าวันนั้น หลินเพ่ยหลันเตรียมตัวอย่างละเอียด เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างพร้อมสำหรับการเดินทาง จัดเตรียมเสื้อผ้าที่อบอุ่นและอาหารว่างไว้ให้ลูก ๆ พร้อมทั้งเตือนพวกเขาให้ปฏิบัติตัวดี ๆ เมื่อไปถึงที่กองทัพ เป็นสิ่งที่เธอทำเองทั้งหมด ใช่แล้ว เธอเลี้ยงลูกแฝดทั้งสองคนด้วยตัวเอง แม้นายท่านผู้เฒ่าทั้งสองจะเคยส่งพี่เลี้ยงมาให้ แต่เธอก็ปฏิเสธไปเพราะอยากใกล้ชิดกับลูกๆ มากกว่าใคร ๆ “แม่ครับ เราจะได้เจอพ่อเมื่อไหร่ครับ” เสียงใส ๆ ของซ่งเจียหยวนถามด้วยความตื่นเต้น ตอนนี้เขาอยู่ในชุดทหารที่ลุงๆ ซื้อมาฝาก“เย็นนี้ก็ได้เจอแล้ว พ่อจะต้องดีใจมากแน่ ๆ ที่เห็นพวกเรามาเยี่ยม” หลินเพ่ยหลันตอบพร้อมกับยิ้มให้ลูกชายลูกชายทั้งสองของเธอดีใจกันมาก ที่ได้ยินข่าวว่าจะได้ไปเยี่ยมพ่อที่กองทัพ พวกเขาต่างกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ และไม่สามารถเก็บความตื่นเต้นไว้ได้
บทส่งท้าย ครอบครัวสมบูรณ์หลินตงยืนนิ่งไม่พูดอะไร เขารู้ว่าเขาคงไม่มีทางเลือก เขาต้องทำเพื่อเอาตัวรอดจากการถูกฆ่า“ต้องทำแบบนี้... ถ้าไม่ทำ... ฉันตายแน่ ฉันไม่ผิด” หลินตงพูดขึ้นมาเบา ๆ“ตายก็ยังดีกว่าทำแบบนี้!” นางหลิวอี้ตวาดเสียงดัง ก่อนจะวิ่งไปหยิบมีดที่วางอยู่บนโต๊ะในครัว แล้วตรงเข้ามาหาหลินตง“แกไม่รู้แกทำผิดหรืออย่างไร ลูกสาวตัวเองไม่ใช่ตัวช่วยที่จะเอามาขัดดอก แกตายซะเถอะ” นางหลิวอี้พูดจบก็เอามีดไล่ฟันไปที่สามีหลินตงตกใจและกระโดดหลบอย่างรวดเร็ว “นังบ้า จะฆ่ากันเลยเหรอ หยุด หยุดเดี๋ยวนี้นะ” เขายืนสั่นด้วยความกลัวมีดในมือของภรรยา“แกทำให้ชีวิตของพวกเรามันพังหมดแล้ว พังหมด ไม่เหลืออะไร” นางหลิวอี้ยังคงกราดเกรี้ยว ทั้งที่มีดในมือสั่นไปตามอารมณ์ “แม้แต่กับลูกสาวของตัวเองแกก็ยังทำแบบนี้ได้ นี่แกเป็นพ่อประสาอะไร”“แล้วแกล่ะ ตั้งแต่แต่งกับฉันมา แกเคยช่วยอะไรฉันบ้างไหม มีแต่ใช้เงินไปวัน ๆ ที่เสี่ยวหรงมันต้องเป็นแบนี้ แกก็มีส่วนเหมือนกัน”หลินตงตะโกนสวนกลับ และขยับหลบมีดที่ภรรยาเหวี่ยงมาหาเขาอีกครั้ง “หากเป็นไปได้ ฉันก็จะไม่ทำแบบนี้เลย แต่มันไม่มีทางเลือก”นางหลิวอี้สบถคำหยาบคาย “แกจะหนี
บทที่ 64 จากลากันอีกครั้งหลินเพ่ยหลันยิ้มบาง ๆ และพยักหน้าเล็กน้อยเธอรู้สึกโล่งใจที่ปัญหาในวันนี้จบลงได้โดยไม่เกิดความรุนแรง เธอหันกลับเข้าไปในบ้าน ปล่อยให้ซ่งเฟยหลงดูแลเรื่องราวที่เหลือซ่งเฟยหลงมองตามหลังภรรยาของเขาด้วยความรักและความห่วงใย เขารู้ว่าคนท้องไม่ควรเครียด และเขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้หลินเพ่ยหลันได้มีความสุขและสบายใจในช่วงเวลานี้เมื่อหลินเพ่ยหลันเข้าไปพักผ่อนในบ้าน ซ่งเฟยหลงก็หันกลับมามองชาวบ้านที่ยังคงยืนอยู่รอบ ๆ เขายิ้มและกล่าวกับพวกเขาอย่างสุภาพ “ขอบคุณทุกคนที่เป็นกำลังใจและสนับสนุนครอบครัวของเรานะครับ ผมขอให้ทุกคนกลับบ้านกันอย่างสงบสุข”ชาวบ้านพยักหน้ารับและเริ่มทยอยกลับบ้าน บรรยากาศที่ตึงเครียดเริ่มกลับมาสู่ความสงบเงียบอีกครั้งหลังจากที่เรื่องวุ่นวายทุกอย่างผ่านพ้น บ้านซ่งก็กลับมาสงบสุขอีกครั้ง ทุกคนในครอบครัวรู้สึกโล่งใจและพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างมีความสุข ในช่วงเทศกาลตรุษจีน บ้านซ่งเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความอบอุ่นพวกเขาใช้เวลาร่วมกันอย่างเต็มที่ ทั้งการไปไหว้พระที่วัด เพื่อขอพรให้ปีใหม่นี้เต็มไปด้วยความสุขและความเจริญรุ่งเรือง ทั้งกินอาหารมงคลร่วมกัน แ
บทที่ 63 จบปํญหาเมื่อหลินตงเอ่ยปากขอเงินจากหลินเพ่ยหลัน แต่หญิงสาวกลับมีท่าทีลังเลไม่ตอบรับในทันที หลินเพ่ยหลันมองไปยังแม่เลี้ยงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวล‘กลัวว่าเงินที่ให้ไป พ่อกับน้องของเพ่ยหลันจะไม่ได้ใช้น่ะสิ แม่เลี้ยงคนนี้คงจะยึดไปหมดแน่ ๆ’ เธอยืนคิดอยู่ในใจว่าจะให้ไปดีหรือไม่ นางหลิวอี้เห็นดังนั้นก็โวยวายขึ้นมาทันที“หลินเพ่ยหลัน แกมันคนอกตัญญู พ่อของแกมาขอเงินแค่นี้ก็ไม่ยอมให้เหรอ จะต้องให้พ่อและน้องของแกอดตายก่อนใช่ไหม” น้ำเสียงของนางหลิวอี้เต็มไปด้วยความโกรธและเกรี้ยวกราด เธอพูดเสียงดังเพื่อกดดันอีกฝ่าย“ทุกคนดูสิหลินเพ่ยหลันที่ทุกคนเคยชื่นชมนักหนา พอร่ำรวยแล้วก็ไม่ยอมให้เงินพ่อของตัวเองเลย พ่อของเธอไม่มีเงินจนจะอดตายอยู่แล้ว” นางหลิวอี้พูดเสียงดัง พรัอมกับหันไปมองชาวบ้านที่เริ่มมารวมตัวกันด้วยความสงสัยชาวบ้านบางคนเริ่มซุบซิบและมองไปทางหลินเพ่ยหลันด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป“จริงเหรอ หลินเพ่ยหลันทำอย่างนั้นจริงๆ เหรอ” เสียงพูดคุยเบา ๆ เริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆหลินเพ่ยหลันรู้สึกอับอายและเสียใจมากที่ถูกแม่เลี้ยงของตัวเองใส่ร้ายเช่นนี้ เธอจึงพยายามจะอธิบาย “ฉันไม่ได้หมายความว่าอ
บทที่ 62 บ้านหลินมาอีกแล้ว“ขอบใจนะอาเฟยที่สานฝันแทนพ่อ แค่นี้พ่อก็ภูมิใจในตัวลูกมากแล้วล่ะ แต่ถ้าหากมันลำบาก ก็อย่าหักโหมเกินไปนักนะ ความก้าวหน้าสำคัญก็จริง แต่ว่าความสุขของตัวเองก็สำคัญเหมือนกันนะลูก” ซ่งตงลี่พูดขึ้นมาอย่างห่วงใย “ครับพ่อ” ซ่งเฟยหลงพยักหน้ารับคำ “แล้วเพ่ยหลันละ เป็นอย่างไรบ้าง อยู่ที่นู่นสบายดีไหม” คราวนี้เป็นนางหยางเจี่ยที่หันมาถามลูกสะใภ้ โดยซ่งตงลี่ก็หันมาเพื่อรอฟังคำตอบด้วยหลินเพ่ยหลันยิ้มให้พ่อแม่ของสามี ก่อนจะเล่าเรื่องของตัวเองบ้าง “ฉันสบายดีค่ะ อยู่ที่บ้านตระกูลจง ฉันได้ช่วยงานคุณตากับคุณลุงที่ห้างสรรพสินค้าของตระกูลด้วย ทุกอย่างก็ราบรื่นดีค่ะ” “ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าพวกพี่ก็ไม่ค่อยได้พบกันบ่อยน่ะสิ คนหนึ่งอยู่ชายแดน คนหนึ่งอยู่ปักกิ่ง” ซ่งชุนเป้ยถามขึ้นมาอย่างกังวล เธอเห็นใจพี่ชายกับพี่สะใภ้ไม่น้อยที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน“ใช่แล้ว ช่วงแรก ๆ พี่เฟยหลงฝึกหนักมาก แล้วยังมีภารกิจที่ต้องไปทำนอกกองทัพอีก พวกเราก็เลยไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไร มีพักหลัง ๆ ที่พี่เฟยหลงพอจะว่างได้กลับมาปักกิ่ง และพี่ก็ไปหาพี่เฟยที่เมืองชายแดนบ้าง ตอนนี้คุณตาจัดรถพร้อมคนขับไว้ให้โดยเฉพาะ
บทที่ 61 ท้อง 4 เดือนแล้ว“แล้วนี่จะมาอยู่กี่วันล่ะ อยู่นาน ๆ นะ แม่จะทำของอร่อยให้กิน” นางหยางเจี่ยถามขึ้นมา เพราะรู้ว่าถึงอย่างไรลูกชายกับลูกสะใภ้ก็ต้องกลับไปที่ปักกิ่ง แต่ก็อยากให้อยู่ด้วยกันสักหลายวันก่อน“นี่ก็เป็นเวลานานแล้วที่ผมกับเพ่ยหลันไม่ได้กลับมาเยี่ยมบ้าน ตรุษจีนปีที่แล้วที่ไม่ได้กลับมา ก็เพราะว่าผมมีภารกิจที่ชายแดน ครั้งนี้พวกเราจึงตัดสินใจว่าจะพักอยู่ที่บ้านหลายวันหน่อย เพื่อเป็นการชดเชยให้กับครอบครัวครับ” ซ่งเฟยหลงตอบกลับไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“ดี ๆ จะได้มาด้วยพี่ขายของด้วย เพราะตอนนี้ที่ร้านยุ่งมาก ฮ่า ๆ” ซ่งชุนเหยาพูดขึ้นมาพร้อมกับหัวเราะอย่างมีความสุข“ที่ร้านยุ่งมากเหรอคะ” หลินเพ่ยหลันขมวดคิ้วถามอย่างแปลกใจ“จะให้ไม่ยุ่งได้อย่างไรล่ะคะพี่สะใภ้ ตอนนี้พี่ใหญ่ขยายร้านค้าไปในเมืองใกล้ ๆ อีกสองสาขา แต่ละวันแค่วิ่งไปเติมสินค้าแต่ละสาขาก็แทบจะไม่มีเวลาแล้ว ยังดีที่ตอนนี้ซื้อรถยนต์แล้วและมีลูกจ้างที่ขยันและซื่อสัตย์ ไม่อย่างนั้นพี่ใหญ่ท่าจะแย่” ซ่งชุนเป้ยเป็นคนตอบคำถามนี้ของพี่สะใภ้ด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้ม ตอนนี้กิจการของบ้านซ่งเป็นไปได้ดีมาก ซ่งชุนเหยาได้ขยายสาขาร