นางหยางเจี่ยยังคงไม่หยุดที่จะบ่นด่าลูกสะใภ้ต่อ
“ดูเธอสิ ไม่มีความรับผิดชอบเลยสักนิด ถ้าไม่อยากอยู่ก็ไปตายซะ จะให้บ้านซ่งมีลูกสะใภ้ที่ไร้ค่าแบบนี้ทำไมกัน ฉันไม่มีทางยอมให้เธอทำให้ครอบครัวบ้านซ่งของฉันเสื่อมเสียหรอกนะ”
ได้ยินที่แม่สามีพูดแบบนี้ หญิงสาวก็ได้แต่กัดฟันอย่างพยายามระงับความโกรธที่กำลังจะลุกลาม เธออยากจะตะโกนกลับไปว่า ‘นี่ไม่ใช่ความผิดของฉัน! ฉันเป็นคนป่วย!’
แต่ก็รู้ดีว่าในสถานการณ์แบบนี้แม่สามีไม่ฟังเธอแน่นอน
คิดได้แบบนั้นเธอค่อย ๆ คลำไปที่ขอบเตียงแล้วหยั่งเท้าลงไป แต่เพียงลุกเดินได้ก้าวแรกก็สะดุดเข้ากับอะไรบางอย่างแล้วล้มลงไป
“โอ๊ย!” เสียงร้องดังขึ้นอย่างเจ็บปวด พร้อมกับร่างของเธอล้มลงไปกองกับพื้น ดวงตาที่มองไม่เห็นอะไรเลยทำไม่สามารถรู้ได้ว่า เมื่อครู่นี้เธอนั้นชนเข้ากับอะไร
“เห็นไหม บอกแล้วว่าเธอทำตัวไม่เอาไหน แล้วจะนอนอยู่ที่พื้นนี่อีกนานแค่ไหนกัน” นางหยางเจี่ยนอกจากไม่ช่วยแล้ว ยังบ่นเสียงดังขึ้นอีกครั้ง
“พอเถอะ ฉันตัดสินใจแล้ว ฉันจะไม่ให้เธออยู่ที่นี่อีกต่อไป ถ้าเธอไม่ทำให้ชีวิตของทุกคนดีขึ้น ฉันก็จะให้อาเฟยส่งเธอกลับบ้านพ่อของเธอ”
ได้ยินแม่สามีของร่างนี้พูดแบบนั้นหญิงสาวได้แต่ก่นด่าในใจ ‘นี่เหรอคือขอให้โชคดีของเธอน่ะหลินเพ่ยหลัน นี่เรียกว่าโชคดีตรงไหนกัน ฉันต้องมาใช้ชีวิตในร่างที่ตาบอดของเธอ แถมยังต้องมาทนฟังแม่สามีขี้บ่นคนนี้ด้วยอีกเหรอ’
เพิ่งจะเข้าร่างนี้มาได้เพียงไม่นาน แต่เธอก็รู้สึกถึงความหดหู่ที่ค่อย ๆ ถาโถมเข้ามา แม้จะพยายามหาทางออกจากสถานการณ์ที่แสนยากลำบากแต่แม่สามีก็ยังไม่หยุดบ่น
‘สวรรค์!! ช่วยอวยพรให้ฉันสามารถปรับตัวและค้นหาวิธีใช้ชีวิตใหม่ในร่างของหลินเพ่ยหลันให้ได้สักหน่อยเถอะ แต่ตอนนี้เราต้องรีบลุกขึ้นก่อน’
หญิงสาวได้แต่ภาวนาในใจอย่างมีความหวังแม้จะเป็นเรื่องยากก็ตาม
ทว่ายังไม่ทันที่จะได้พยุงตัวเองลุกขึ้นยืน จู่ ๆ ร่างของเธอก็ลอยขึ้นจากพื้นเพราะซ่งเฟยหลงมาอุ้มไว้ จากนั้นเขาก็วางเธอลงบนเตียงอย่างเบามือ
ในขณะที่เสียงบ่นของนางหยางเจี่ย ยังคงดังต่อเนื่องไม่ยอมหยุด แม้จะเห็นว่าลูกสะใภ้ของตนมีสภาพที่ไม่สู้ดีนัก แต่นางกลับไม่ใส่ใจและยังเปิดปากด่าสะใภ้ไร้ประโยชน์ของตัวเองไม่หยุด
“เห็นไหม เธอทำได้แค่ตื่นนอนแล้วก็นอนต่อ ไม่มีประโยชน์อะไรเลย จะเอาแต่มานอนหลับสบายอยู่แบบนี้ได้ยังไง ในเมื่อคนอื่นในบ้านยังต้องทำงานหนักอยู่ ช่างไม่มีความละอายใจเอาเสียเลย” เสียงของนางหยางเจี่ยเต็มไปด้วยความไม่พอใจแม้จะอยู่ต่อหน้าลูกชายตัวเองก็ตาม
หลินเพ่ยหลันได้แต่หลับตาอยู่บนเตียง ไม่รู้จะตอบแม่สามีอย่างไรดี เธอรู้สึกเหนื่อยล้าและเจ็บปวดใจจากการที่ต้องฟังคำบ่นไม่หยุดของผู้หญิงคนนี้ แต่อยู่ ๆ เสียงทุ้มของซ่งเฟยหลงก็ดังขึ้น ทำให้เธอเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ
“แม่ครับ หยุดเถอะ” เขาพูดเสียงเข้มขึ้นมาอย่างทนไม่ไหวอีกต่อไป ก่อนจะหันไปมองแม่ของเขาแล้วพูดต่อ
“เพ่ยหลันไม่สบายเพราะเธอเพิ่งจะจมน้ำมา แม่เห็นสภาพเธอแบบนี้แล้วยังจะมาใช้งานเธออีกเหรอ จะไม่ให้คนป่วยได้พักผ่อนเลยหรืออย่างไรกัน”
คำพูดของเขาทำให้บรรยากาศในห้องนิ่งเงียบไปชั่วขณะ นางหยางเจี่ยจ้องมองลูกชายด้วยความไม่พอใจ แต่ก็ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากปาก แต่ดูเหมือนว่าผู้เป็นแม่จะยังไม่ยอมแพ้
“ทำไมลูกถึงปกป้องมันนัก” เสียงของนางหยางเจี่ยเริ่มดังขึ้นอีกครั้งเมื่อตั้งสติได้ “ไม่เห็นหรือว่ามันนอนอยู่ที่นี่ก็ทำให้ทุกคนเดือดร้อน ไม่คิดถึงความรู้สึกของคนอื่นบ้างเลยเหรอ”
ซ่งเฟยหลงขมวดคิ้วกับคำถามนั้น แน่นอนว่าเขาเข้าใจความรู้สึกของแม่ แต่การด่าทอหลินเพ่ยหลันในสภาพนี้มันไม่ใช่เรื่องที่ควรทำ
“เพ่ยหลันแค่กำลังไม่สบาย เธอต้องการเวลาพักเพื่อฟื้นตัว แม่ควรคิดบ้างว่าเพ่ยหลันก็เป็นคนคนหนึ่งที่ต้องการการพักผ่อน ไม่มีใครอยากจะอยู่ในสภาพแบบนี้หรอกนะ แล้วปกติเธอก็ช่วยทำงานบ้านทุกอย่างไม่ใช่หรืออย่างไร ไม่ได้เอาแต่นอนสบายอย่างที่แม่พูดมา” ซ่งเฟยหลงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
คำพูดของเขามีน้ำหนักมากพอที่จะทำให้นางหยางเจี่ยต้องหยุดชะงัก แม้นางจะยังคงส่งสายตาไม่พอใจให้กับลูกชายอยู่ แต่ก็ดูเหมือนว่าจะอ่อนลงบ้างแล้ว
หลินเพ่ยหลันรู้สึกถึงการปกป้องจากชายที่ได้ชื่อว่าเป็น สามีของร่างนี้ เธอรู้สึกขอบคุณเขาในใจ ความรู้สึกนั้นสร้างพลังบางอย่างในตัวเธอขึ้นมา แม้จะไม่รู้ว่าจะสามารถปรับตัวในสภาพนี้ได้อย่างไรก็ตาม แต่การมีคนที่คอยยืนอยู่ข้างเธออย่างซ่งเฟยหลง ก็นับว่าดีมากแล้วสำหรับเธอในตอนนี้
อันที่จริงแล้วตั้งแต่หลินเพ่ยหลันเพิ่งแต่งงานเข้ามาใหม่ ๆ ซ่งเฟยหลงก็ไม่ได้คิดจะให้เธอแตะต้องงานบ้านเลยแม้แต่น้อย เพราะถึงอย่างไรเธอก็ตาบอดมองไม่เห็น เขากลัวว่าจะเกิดอันตรายขึ้น หากเธอต้องทำอะไรที่ต้องใช้ความระมัดระวัง หรือการใช้ชีวิตประจำวันที่ต้องใช้เครื่องมืออันตราย เช่น การทำอาหาร การทำความสะอาด หรือแม้แต่การเดินในบ้าน หากเธอไม่ระมัดระวังก็อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดได้
แต่หลินเพ่ยหลันกลับยืนกรานว่าเธอสามารถทำได้เพราะอยู่ที่บ้านเดิมก็เป็นเธอที่ทำงานบ้านทุกอย่าง แม้ในใจจะรู้ว่าตัวเองมีข้อจำกัด แต่เธอก็ไม่อยากเป็นภาระ เพราะที่ผ่านมานั้นเธอรู้สึกว่าตนเองได้สร้างความยุ่งยากให้กับเขามากพอแล้ว
เมื่อซ่งเฟยหลงเห็นว่าเธอยืนยันหนักแน่นเช่นนั้น เขาก็จำต้องยอมปล่อยให้เธอทำในสิ่งที่ต้องการ แม้จะยังไม่สบายใจอยู่บ้าง แต่ก็อยากให้หลินเพ่ยหลันรู้สึกมีค่าในบ้านนี้บ้าง เพราะเขารู้ดีว่าเธอรู้สึกถึงความด้อยค่าและอึดอัดใจในการใช้ชีวิต ภายใต้สายตาของนางหยางเจี่ย ที่ไม่เห็นด้วยกับการที่เขาแต่งเธอเข้าบ้าน
แต่จนแล้วจนรอด ถึงหลินเพ่ยหลันจะพยายามทำดีแค่ไหน แม่ของเขาก็ไม่พึงพอใจอยู่ดี เสียงบ่นจากนางหยางเจี่ย ยังคงดังลอยเข้ามาในหูเธออยู่ตลอดเวลา
แม่พยายามหว่านล้อมเกลี้ยกล่อมเขาทุกวันว่าให้รีบหย่าเสีย เพราะนางเชื่อว่าลูกสะใภ้คนนี้เป็นภาระของครอบครัว ในเมื่อสามารถมองเห็นความไม่สมบูรณ์แบบของหลินเพ่ยหลันได้ แม่สามีจึงคอยพูดถึงข้อเสียของเธออยู่เสมอ ทั้งในเรื่องการทำงานบ้านที่อาจจะไม่เรียบร้อยและความพิการที่ทำให้หลินเพ่ยหลันดูไม่มีค่า ไม่มีใครต้องการแม้แต่ครอบครัวเดิมของเธอ
“อาเฟย ลูกฟังแม่อยู่หรือเปล่า” หยางเจี่ยพูดเสียงดังขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเห็นลูกชายเงียบไป
“ครับ” เสียงของนางทำให้ซ่งเฟยหลงหลุดออกจากภวังค์ความคิด
“อาเฟย ลูกจะปล่อยให้คนอย่างนั้นอยู่ในบ้านเราไปถึงเมื่อไรกัน” เสียงนางดังกังวานในบ้าน ก่อนจะพูดต่อว่า
“ลูกควรหาภรรยาใหม่ที่มีสภาพสมบูรณ์กว่านี้ ไม่ใช่คนตาบอดที่ไม่มีประโยชน์และทำให้ครอบครัวอับอายอย่างนี้”
ตอนพิเศษ 5 ปีผ่านไปซ่งเจียหยวนกับซ่งเจียอี้ ตอนนี้อายุได้ห้าขวบแล้ว เป็นวัยที่เริ่มกระตือรือร้นและเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น พอที่จะเดินทางไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวก หลินเพ่ยหลันเห็นว่าเป็นเวลาที่เหมาะสม จึงตัดสินใจชวนลูกชายฝาแฝดทั้งสองคนไปเยี่ยมพ่อที่กองทัพเช้าวันนั้น หลินเพ่ยหลันเตรียมตัวอย่างละเอียด เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างพร้อมสำหรับการเดินทาง จัดเตรียมเสื้อผ้าที่อบอุ่นและอาหารว่างไว้ให้ลูก ๆ พร้อมทั้งเตือนพวกเขาให้ปฏิบัติตัวดี ๆ เมื่อไปถึงที่กองทัพ เป็นสิ่งที่เธอทำเองทั้งหมด ใช่แล้ว เธอเลี้ยงลูกแฝดทั้งสองคนด้วยตัวเอง แม้นายท่านผู้เฒ่าทั้งสองจะเคยส่งพี่เลี้ยงมาให้ แต่เธอก็ปฏิเสธไปเพราะอยากใกล้ชิดกับลูกๆ มากกว่าใคร ๆ “แม่ครับ เราจะได้เจอพ่อเมื่อไหร่ครับ” เสียงใส ๆ ของซ่งเจียหยวนถามด้วยความตื่นเต้น ตอนนี้เขาอยู่ในชุดทหารที่ลุงๆ ซื้อมาฝาก“เย็นนี้ก็ได้เจอแล้ว พ่อจะต้องดีใจมากแน่ ๆ ที่เห็นพวกเรามาเยี่ยม” หลินเพ่ยหลันตอบพร้อมกับยิ้มให้ลูกชายลูกชายทั้งสองของเธอดีใจกันมาก ที่ได้ยินข่าวว่าจะได้ไปเยี่ยมพ่อที่กองทัพ พวกเขาต่างกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ และไม่สามารถเก็บความตื่นเต้นไว้ได้
บทส่งท้าย ครอบครัวสมบูรณ์หลินตงยืนนิ่งไม่พูดอะไร เขารู้ว่าเขาคงไม่มีทางเลือก เขาต้องทำเพื่อเอาตัวรอดจากการถูกฆ่า“ต้องทำแบบนี้... ถ้าไม่ทำ... ฉันตายแน่ ฉันไม่ผิด” หลินตงพูดขึ้นมาเบา ๆ“ตายก็ยังดีกว่าทำแบบนี้!” นางหลิวอี้ตวาดเสียงดัง ก่อนจะวิ่งไปหยิบมีดที่วางอยู่บนโต๊ะในครัว แล้วตรงเข้ามาหาหลินตง“แกไม่รู้แกทำผิดหรืออย่างไร ลูกสาวตัวเองไม่ใช่ตัวช่วยที่จะเอามาขัดดอก แกตายซะเถอะ” นางหลิวอี้พูดจบก็เอามีดไล่ฟันไปที่สามีหลินตงตกใจและกระโดดหลบอย่างรวดเร็ว “นังบ้า จะฆ่ากันเลยเหรอ หยุด หยุดเดี๋ยวนี้นะ” เขายืนสั่นด้วยความกลัวมีดในมือของภรรยา“แกทำให้ชีวิตของพวกเรามันพังหมดแล้ว พังหมด ไม่เหลืออะไร” นางหลิวอี้ยังคงกราดเกรี้ยว ทั้งที่มีดในมือสั่นไปตามอารมณ์ “แม้แต่กับลูกสาวของตัวเองแกก็ยังทำแบบนี้ได้ นี่แกเป็นพ่อประสาอะไร”“แล้วแกล่ะ ตั้งแต่แต่งกับฉันมา แกเคยช่วยอะไรฉันบ้างไหม มีแต่ใช้เงินไปวัน ๆ ที่เสี่ยวหรงมันต้องเป็นแบนี้ แกก็มีส่วนเหมือนกัน”หลินตงตะโกนสวนกลับ และขยับหลบมีดที่ภรรยาเหวี่ยงมาหาเขาอีกครั้ง “หากเป็นไปได้ ฉันก็จะไม่ทำแบบนี้เลย แต่มันไม่มีทางเลือก”นางหลิวอี้สบถคำหยาบคาย “แกจะหนี
บทที่ 64 จากลากันอีกครั้งหลินเพ่ยหลันยิ้มบาง ๆ และพยักหน้าเล็กน้อยเธอรู้สึกโล่งใจที่ปัญหาในวันนี้จบลงได้โดยไม่เกิดความรุนแรง เธอหันกลับเข้าไปในบ้าน ปล่อยให้ซ่งเฟยหลงดูแลเรื่องราวที่เหลือซ่งเฟยหลงมองตามหลังภรรยาของเขาด้วยความรักและความห่วงใย เขารู้ว่าคนท้องไม่ควรเครียด และเขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้หลินเพ่ยหลันได้มีความสุขและสบายใจในช่วงเวลานี้เมื่อหลินเพ่ยหลันเข้าไปพักผ่อนในบ้าน ซ่งเฟยหลงก็หันกลับมามองชาวบ้านที่ยังคงยืนอยู่รอบ ๆ เขายิ้มและกล่าวกับพวกเขาอย่างสุภาพ “ขอบคุณทุกคนที่เป็นกำลังใจและสนับสนุนครอบครัวของเรานะครับ ผมขอให้ทุกคนกลับบ้านกันอย่างสงบสุข”ชาวบ้านพยักหน้ารับและเริ่มทยอยกลับบ้าน บรรยากาศที่ตึงเครียดเริ่มกลับมาสู่ความสงบเงียบอีกครั้งหลังจากที่เรื่องวุ่นวายทุกอย่างผ่านพ้น บ้านซ่งก็กลับมาสงบสุขอีกครั้ง ทุกคนในครอบครัวรู้สึกโล่งใจและพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างมีความสุข ในช่วงเทศกาลตรุษจีน บ้านซ่งเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความอบอุ่นพวกเขาใช้เวลาร่วมกันอย่างเต็มที่ ทั้งการไปไหว้พระที่วัด เพื่อขอพรให้ปีใหม่นี้เต็มไปด้วยความสุขและความเจริญรุ่งเรือง ทั้งกินอาหารมงคลร่วมกัน แ
บทที่ 63 จบปํญหาเมื่อหลินตงเอ่ยปากขอเงินจากหลินเพ่ยหลัน แต่หญิงสาวกลับมีท่าทีลังเลไม่ตอบรับในทันที หลินเพ่ยหลันมองไปยังแม่เลี้ยงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวล‘กลัวว่าเงินที่ให้ไป พ่อกับน้องของเพ่ยหลันจะไม่ได้ใช้น่ะสิ แม่เลี้ยงคนนี้คงจะยึดไปหมดแน่ ๆ’ เธอยืนคิดอยู่ในใจว่าจะให้ไปดีหรือไม่ นางหลิวอี้เห็นดังนั้นก็โวยวายขึ้นมาทันที“หลินเพ่ยหลัน แกมันคนอกตัญญู พ่อของแกมาขอเงินแค่นี้ก็ไม่ยอมให้เหรอ จะต้องให้พ่อและน้องของแกอดตายก่อนใช่ไหม” น้ำเสียงของนางหลิวอี้เต็มไปด้วยความโกรธและเกรี้ยวกราด เธอพูดเสียงดังเพื่อกดดันอีกฝ่าย“ทุกคนดูสิหลินเพ่ยหลันที่ทุกคนเคยชื่นชมนักหนา พอร่ำรวยแล้วก็ไม่ยอมให้เงินพ่อของตัวเองเลย พ่อของเธอไม่มีเงินจนจะอดตายอยู่แล้ว” นางหลิวอี้พูดเสียงดัง พรัอมกับหันไปมองชาวบ้านที่เริ่มมารวมตัวกันด้วยความสงสัยชาวบ้านบางคนเริ่มซุบซิบและมองไปทางหลินเพ่ยหลันด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป“จริงเหรอ หลินเพ่ยหลันทำอย่างนั้นจริงๆ เหรอ” เสียงพูดคุยเบา ๆ เริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆหลินเพ่ยหลันรู้สึกอับอายและเสียใจมากที่ถูกแม่เลี้ยงของตัวเองใส่ร้ายเช่นนี้ เธอจึงพยายามจะอธิบาย “ฉันไม่ได้หมายความว่าอ
บทที่ 62 บ้านหลินมาอีกแล้ว“ขอบใจนะอาเฟยที่สานฝันแทนพ่อ แค่นี้พ่อก็ภูมิใจในตัวลูกมากแล้วล่ะ แต่ถ้าหากมันลำบาก ก็อย่าหักโหมเกินไปนักนะ ความก้าวหน้าสำคัญก็จริง แต่ว่าความสุขของตัวเองก็สำคัญเหมือนกันนะลูก” ซ่งตงลี่พูดขึ้นมาอย่างห่วงใย “ครับพ่อ” ซ่งเฟยหลงพยักหน้ารับคำ “แล้วเพ่ยหลันละ เป็นอย่างไรบ้าง อยู่ที่นู่นสบายดีไหม” คราวนี้เป็นนางหยางเจี่ยที่หันมาถามลูกสะใภ้ โดยซ่งตงลี่ก็หันมาเพื่อรอฟังคำตอบด้วยหลินเพ่ยหลันยิ้มให้พ่อแม่ของสามี ก่อนจะเล่าเรื่องของตัวเองบ้าง “ฉันสบายดีค่ะ อยู่ที่บ้านตระกูลจง ฉันได้ช่วยงานคุณตากับคุณลุงที่ห้างสรรพสินค้าของตระกูลด้วย ทุกอย่างก็ราบรื่นดีค่ะ” “ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าพวกพี่ก็ไม่ค่อยได้พบกันบ่อยน่ะสิ คนหนึ่งอยู่ชายแดน คนหนึ่งอยู่ปักกิ่ง” ซ่งชุนเป้ยถามขึ้นมาอย่างกังวล เธอเห็นใจพี่ชายกับพี่สะใภ้ไม่น้อยที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน“ใช่แล้ว ช่วงแรก ๆ พี่เฟยหลงฝึกหนักมาก แล้วยังมีภารกิจที่ต้องไปทำนอกกองทัพอีก พวกเราก็เลยไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไร มีพักหลัง ๆ ที่พี่เฟยหลงพอจะว่างได้กลับมาปักกิ่ง และพี่ก็ไปหาพี่เฟยที่เมืองชายแดนบ้าง ตอนนี้คุณตาจัดรถพร้อมคนขับไว้ให้โดยเฉพาะ
บทที่ 61 ท้อง 4 เดือนแล้ว“แล้วนี่จะมาอยู่กี่วันล่ะ อยู่นาน ๆ นะ แม่จะทำของอร่อยให้กิน” นางหยางเจี่ยถามขึ้นมา เพราะรู้ว่าถึงอย่างไรลูกชายกับลูกสะใภ้ก็ต้องกลับไปที่ปักกิ่ง แต่ก็อยากให้อยู่ด้วยกันสักหลายวันก่อน“นี่ก็เป็นเวลานานแล้วที่ผมกับเพ่ยหลันไม่ได้กลับมาเยี่ยมบ้าน ตรุษจีนปีที่แล้วที่ไม่ได้กลับมา ก็เพราะว่าผมมีภารกิจที่ชายแดน ครั้งนี้พวกเราจึงตัดสินใจว่าจะพักอยู่ที่บ้านหลายวันหน่อย เพื่อเป็นการชดเชยให้กับครอบครัวครับ” ซ่งเฟยหลงตอบกลับไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“ดี ๆ จะได้มาด้วยพี่ขายของด้วย เพราะตอนนี้ที่ร้านยุ่งมาก ฮ่า ๆ” ซ่งชุนเหยาพูดขึ้นมาพร้อมกับหัวเราะอย่างมีความสุข“ที่ร้านยุ่งมากเหรอคะ” หลินเพ่ยหลันขมวดคิ้วถามอย่างแปลกใจ“จะให้ไม่ยุ่งได้อย่างไรล่ะคะพี่สะใภ้ ตอนนี้พี่ใหญ่ขยายร้านค้าไปในเมืองใกล้ ๆ อีกสองสาขา แต่ละวันแค่วิ่งไปเติมสินค้าแต่ละสาขาก็แทบจะไม่มีเวลาแล้ว ยังดีที่ตอนนี้ซื้อรถยนต์แล้วและมีลูกจ้างที่ขยันและซื่อสัตย์ ไม่อย่างนั้นพี่ใหญ่ท่าจะแย่” ซ่งชุนเป้ยเป็นคนตอบคำถามนี้ของพี่สะใภ้ด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้ม ตอนนี้กิจการของบ้านซ่งเป็นไปได้ดีมาก ซ่งชุนเหยาได้ขยายสาขาร