ของใช้ส่วนตัวประเภทเครื่องนอนและเครื่องนุ่งห่มของสองพี่น้องถูกจัดไว้ในห้องพักอย่างเป็นระเบียบ กู้ชิงเหอแอบห่อไหล่ลู่ลงเล็กน้อยเพราะนางพบว่าตัวเองมีเพียงเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ติดกายมาเท่านั้น
“ท่านกับข้ามีขนาดตัวพอๆ กัน ใส่เสื้อผ้าของข้าก่อนก็ได้เจ้าค่ะ อีกหน่อยข้าจะขอให้พี่ชายซื้อให้ท่านใหม่สักชุด”
“อีกสองสามวันข้าจะกลับไปที่สกุลกู้สักรอบ ข้ายังพอมีเสื้อผ้ากับของใช้ส่วนตัวเหลืออยู่ที่นั่นบ้าง ระยะนี้รบกวนเจ้าก่อนนะเหยียนเอ๋อร์”
“บัดซบ!” เสียงสบถเบาๆ ของเจียงเหิงดังขึ้น
สองสาวเดินออกจากห้อง เห็นว่าเจียงเหิงขนข้าวของจำพวกเสบียงอาหารมาวางไว้บนโต๊ะที่เพิ่งซ่อมแซมเสร็จหลายอย่าง
“ข้าวฟ่างนี่ผสมแกลบและมีฝุ่นเต็มถุงเลย” ชายหนุ่มล้วงมือลงไปตักข้าวฟ่างขึ้นมาหนึ่งอุ้งมือ
เมล็ดข้าวฟ่างเม็ดกลมขนาดเล็กหล่นร่วงจากซอกนิ้ว ทว่าระหว่างเม็ดข้าวนั้นกลับมีสิ่งแปลกปลอมเจือปนอยู่นับไม่ถ้วน ฝุ่นผงละเอียด แกลบแตก เศษเปลือกไม้แข็ง ๆ สีคล้ำและแม้แต่เม็ดหินเล็ก ๆ ก็มิได้ถูกแยกทิ้ง
มือของเขานิ่งไม่ไหวติง หากสายตากลับจ้องมองสิ่งในมือนั้นอย่างเย็นชา
“ตอนที่ท่านย่าตวงข้าวต่อหน้าหูซ่างซุนมันไม่ได้เป็นแบบนี้เสียหน่อยนี่เจ้าคะ!” เจียงเหยียนเบิกตาโพลง
กู้ชิงเหอลองหยิบถุงผ้าหยาบใบอื่นออกมาเปิดดูบ้าง
ข้าวสาลีเม็ดใหญ่ราวหนึ่งชั่ง บัดนี้ถูกตักออกไปเหลือไม่ถึงครึ่ง ถั่วเขียว ถั่วแดง ผักกาดเค็มตากแห้ง ทุกอย่างลดน้อยลงกว่าตอนที่แบ่งกันอยู่ในเรือนใหญ่ทั้งหมด!
“ท่านย่าคงฉวยโอกาสตอนที่เราไปตรวจสอบรถเข็น แอบตักเสบียงอาหารออกไปแน่เลยเจ้าค่ะพี่ใหญ่”
นางรู้ดีที่สุด เพราะท่านย่ามักจะแอบทำเช่นนี้กับอาหารส่วนของนางและพี่ชายเป็นประจำ
กู้ชิงเหอมองเห็นเสี้ยวหน้าด้านข้างของเจียงเหิงชัดเจน
ชั่วขณะหนึ่งเขากัดกรามแน่นจนขึ้นเป็นสันนูน ปลายนิ้วกำเข้าหากัน แต่เพียงชั่วอึดใจเดียวเท่านั้นเขากลับเอ่ยตอบน้องสาวอย่างนุ่มนวล
“ช่างเถิด อย่างไรท่านปู่ท่านย่าก็นับเป็นผู้มีพระคุณ ให้ครั้งนี้เป็นการเอาเปรียบเราสองคนเป็นครั้งสุดท้ายก็แล้วกัน” กล่าวจบเขาก็รวบธัญพืชทั้งหมดใส่ลงในโอ่งดินเผาใบโตที่ได้ส่วนแบ่งมาสองใบจากเรือนใหญ่
“เจ้าทำอาหารได้ใช่หรือไม่ชิงเหอ”
หญิงสาวพยักหน้ารัวๆ นางจบการศึกษาคณะเกษตรศาสตร์มานะ! ตอนออกค่ายฝึกงานที่ชนบทยังเคยหุงข้าวด้วยฟืนเองกับมือ! เรื่องทำอาหารก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับนางเช่นกัน
“ปัญหาคือน้ำเจ้าค่ะ” หญิงสาวเอ่ยเสียงเบา
ในนิยายกล่าวไว้ว่าแคว้นหนานจวิ้นประสบภัยแล้งมานานถึงสามปีอย่างต่อเนื่อง ปีหนึ่งมีฝนตกเพียงไม่กี่วัน แม้จะพอมีน้ำฝนลงมาเติมแหล่งน้ำตามธรรมชาติ หรือเปิดโอกาสให้ชาวบ้านได้รองน้ำฝนเก็บไว้กิน แต่มันก็ยังไม่เพียงพอสำหรับทำการเกษตรได้ตลอดทั้งปี
บ้านสกุลกู้ สกุลเจียง หรือคนอื่นๆ ในหมู่บ้านเคยมีประสบการณ์ขาดแคลนน้ำดื่มมาแล้ว พวกเขาจึงรองน้ำฝนเก็บไว้กินและใช้อย่างประหยัดที่สุด
แต่สำหรับเจียงเหิงที่เพิ่งแยกเรือนออกมานั้นต่างออกไป หลังบ้านมีเพียงบ่อน้ำร้าง โอ่งดินเผาที่ได้มาจากเรือนใหญ่สองใบก็เป็นเพียงโอ่งเปล่าเท่านั้น
เจียงเหิงแหงนหน้ามองท้องฟ้าที่ใกล้จะมืดก่อนจะเดินไปฉวยเอาถังไม้สองใบมาถือไว้
“ทำอะไรได้ก็ทำกินกันไม่ก่อนไม่ต้องรอข้า ข้าจะไปหาน้ำมาไว้ให้ใช้เอง”
พอเจียงเหิงจากไปกู้ชิงเหอก็เริ่มมองเสบียงอาหารที่นางมีอยู่ในเวลานี้ ข้าวฟ่างนั้นสกปรกเกินกว่าจะร่อนฝุ่นออกมาใช้งานได้ในเวลาเร่งด่วน นางจึงจำเป็นต้องเลือกหุงข้าวต้มเพื่อเป็นการประหยัด
พอได้หม้อดินกับทัพพีไม้คนละอัน หญิงสาวก็ชักชวนเจียงเหยียนให้ไปที่ลำธารสายเล็กที่อยู่ไม่ไกล
“ระวังอย่าให้ถึงพื้นนะ ประเดี๋ยวน้ำจะขุ่นหมด” กู้ชิงเหอเตือนเสียงเบา มือผอมบางข้างหนึ่งค่อย ๆ วางทัพพีไม้ลงในจุดที่น้ำลึกที่สุด
สองสาวผลัดกันตักทีละทัพพี ค่อย ๆ เทน้ำใส่หม้อดินด้วยความระมัดระวังจนแทบไม่หายใจแรง เพราะหากตักผิดมุมเพียงชุ่น ทรายก้นธารก็จะฟุ้งขึ้นทันที
พอได้น้ำหม้อแรกและมีพอสำหรับซาวข้าว กู้ชิงเหอก็ปล่อยให้เจียงเหยียนตักน้ำไว้สำหรับต้มดื่มอีกหนึ่งหม้อ ส่วนนางก็รีบกลับไปก่อฟืนและตั้งข้าวต้มให้เสร็จก่อนที่ฟ้าจะมืด
วันนี้นางไม่มีความคิดจะทำสิ่งอื่นใดเพราะใกล้ค่ำแล้ว จึงได้ต้มข้าวไว้กินกับผักดองก้นไหที่ได้ส่วนแบ่งมาจากเรือนใหญ่เท่านั้น
“ท่านย่าบอกว่าข้าวสารเหลือน้อย ทุกวันก็ต้มแต่น้ำข้าวจางๆ มาให้เราสองคนกิน” เจียงเหยียนสูดดมกลิ่นข้าวที่ฟุ้งไปรอบเรือนพลางชะเง้อมองไปด้านนอกรอการกลับมาของพี่ชาย
กู้ชิงเหอหน้าเสีย นางเอาแต่คิดจะรีบบำรุงร่างกายตนเองให้แข็งแรง ลืมไปเสียสนิทว่ายามนี้เสบียงอาหารของสองพี่น้องเหลือน้อยนิด แต่นางกลับมือเติบต้มข้าวขาวเนื้อแน่นไปเกือบครึ่งหม้อ!!
จากสภาพความเป็นอยู่ของคนในหมู่บ้านเกาซานเชื่อว่าไม่มีใครสิ้นเปลืองเท่านางในตอนนี้แล้ว!
จะให้นางออกไปตักน้ำในลำธารมาเติมก็คงจะไม่ทันเพราะตอนนี้ฟ้ามืดสนิทแล้ว น้ำที่เหลืออีกหม้อก็ต้องเก็บไว้ดื่มอีก
“พรุ่งนี้ข้าจะออกไปหาเสบียงอาหารมาชดเชยให้นะ ข้าเผลอต้มข้าวมากเกินไปหน่อยน่ะ”
“วันนี้เป็นวันแรกของพวกเราในบ้านใหม่ก็ต้องกินให้อิ่มท้องไว้ก่อนสิเจ้าคะ พี่สาวทำถูกแล้วล่ะ” เจียงเหยียนยิ้มปลอบ
กู้ชิงเหอใจชื้นขึ้นมาทันที นางรู้ดีว่าเจียงเหยียนมีจิตใจบริสุทธิ์ ไม่ว่าเด็กสาวผู้นี้จะถูกบังคับด้วยบทบาทของนิยายให้รักนางสุดหัวใจหรืออะไรก็ตาม นางก็พร้อมจะปกป้องและดูแลเจียงเหยียนเหมือนเป็นน้องสาวคนหนึ่ง
“เหตุใดพี่ใหญ่ยังไม่กลับมาอีกนะ ข้าหิวแล้วล่ะพี่ชิงเหอ”
“ถ้าเจ้าหิวก็กินก่อนเถิดคงอีกนานกว่าเขาจะกลับมา”
นางไม่ได้คาดเดาเอาเอง ฉากนี้นางได้อ่านมาก่อน เจียงเหิงเดินไปแบกน้ำไกลถึงบริเวณสะพานไม้หน้าหมู่บ้าน เพราะนั่นเป็นจุดที่น้ำลึกและใสที่สุด
คืนนี้เขาจะแบกน้ำกลับมาที่เรือนสองถัง และในนิยายนางกับเจียงเหยียนจะพากันเข้านอนก่อนที่เขาจะกลับ
กู้ชิงเหอคนเดิมในนิยาย เกรงใจและมักจะหลบหน้าหลบตาเจียงเหิงอยู่เป็นประจำ พวกเขาแม้จะร่วมชายคาเดียวกันแต่กลับมีกำแพงเล็กๆ ที่ปิดกั้นระหว่างกันเอาไว้ และสุดท้ายก็นำไปสู่ความไม่ไว้วางใจกันในที่สุด
ในเมื่อนางคิดจะเปลี่ยนชะตาชีวิตของตนเองก็สมควรทำดีรอบด้านให้เขาเห็นว่านางเป็นฝ่ายเดียวกับเขาอย่างแท้จริง
สวี่อี้หมิงถูกปู่เจียงกับกู้ชิงฉีช่วยกันพาเข้าไปนอนในห้องของเจียงเหิงที่ไม่ได้กลับมานอนที่เรือนหลายวันแล้ว กู้ชิงฉีคอยเป็นลูกมือพร้อมกับเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ผู้เฒ่าเจียงฟัง ระหว่างที่เขาช่วยจัดการบาดแผลบนหน้าอกให้กับชายแปลกหน้า พอสวี่อี้หมิงหลับไปแล้ว ชายชราก็ยังนั่งเฝ้าอยู่หน้าประตูห้อง บางครั้งก็ลุกขึ้นชะเง้อมองไปทางหน้าเรือนไม่หยุด จนเจียงเหยียนต้องเตือนให้เขาพักผ่อนบ้าง“ในเรือนมีแต่สตรีกับเด็ก ข้าจะปล่อยให้พวกเจ้าอยู่กับชายแปลกหน้าเพียงลำพังได้อย่างไร” ท่านปู่บ่น“ข้าขออภัยด้วยเจ้าค่ะท่านปู่ ที่ทำให้ท่านต้องกังวล..” กู้ชิงเหอขอโทษเสียงแผ่ว “ข้าเห็นว่าเขาท่าทางภูมิฐานไม่เหมือนพวกโจรป่าจึงกล้าช่วยเหลือ อีกอย่าง..เขาบอกว่าหากช่วยเขา เขาจะตอบแทนน้ำใจอย่างงามเลยเจ้าค่ะ” ย่าเหยาคิ้วกระตุกขึ้นมาเล็กน้อย รีบลุกเดินเข้าไปสำรวจบุรุษแปลกหน้าผู้นั้นอย่างละเอียด “ชิงเหอกล่าวไม่ผิดเขาไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดาอย่างพวกเราหรอกนะตาเฒ่า หรือว่าอาจจะเป็นขุนนางที่เข้ามาตรวจสอบการเพาะปลูกฝ้าย!!” คำกล่าวนั้นทำให้กู้ชิงเหอสะดุ้งเล็กน้อย หากมีขุนนางมานอนตายอยู่ในที่ดินของเจียงเหิงคงเป็นเรื่องใหญ่แน่ โชคด
“จ๊าก!! ช่วยด้วย! แย่แล้ว!!” เสียงตะโกนลั่นทุ่งของเจียงเสี่ยวเหวิน ทำให้กู้ชิงเหอและคนอื่นๆ ตกใจจนแทบหยุดหายใจ นางรีบวิ่งไปยังแปลงผักไปทันที คิดว่าเด็กหนุ่มอาจถูกงูกัดหรือเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงแต่เมื่อมาถึงกลับเห็นภาพที่ทำให้นางต้องหยุดชะงัก ใกล้กับเจียงเสี่ยวเหวินมีร่างที่ชุ่มไปด้วยเลือดของบุรุษวัยราวสี่สิบกว่าปีคนหนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่กลางแปลงผัก!สวี่อี้หมิงที่อยู่ในสภาพขยับร่างกายไม่ได้รู้สึกโล่งใจเมื่อรู้ว่ามีคนพบเห็นตัวเขาเข้าแล้ว เขาพยายามลืมตาขึ้นมามองคนกลุ่มนี้อย่างอ่อนแรง แต่ทันทีที่ลืมตามองเห็นได้ชัด ความหวังเมื่อครู่ของเขากลับต้องพังทลายลงอย่างรวดเร็ว เด็กหนุ่มสาวสี่คนไม่ได้มองมายังร่างของเขาแม้แต่นิด และสิ่งที่พวกเขากำลังพูดคุยกันอยู่นั่นยิ่งน่าตกตะลึงยิ่งกว่า!“ต้นคะน้าของพวกเรา..หักหมดเลย!” เด็กชายตัวเล็กที่สุดร้องออกมาคนแรก“ไม่เป็นไรนะชิงฉี ถึงมันจะหักแต่ก็ยังเก็บไปกินได้อยู่” เจียงเหยียนปลอบเด็กชายเสียงอ่อนโยน“คนนี้นั่นล่ะตัวการ!! พี่หญิงกู้ ให้ข้าขุดหลุมฝังเขาให้เป็นปุ๋ยเลี้ยงดูต้นคะน้าของเราเสียเลยดีหรือไม่ขอรับ!”สวี่อี้หมิงอยากจะกัดลิ้นตัวเองให้ตายไปเสียเดี๋ยวนั้น!
"ท่านตาสงสัยไม่ผิดหรอกเจ้าค่ะ ฝ้ายมู่เหมี่ยนที่พวกท่านเคยปลูก แม้ไม่ต้องแช่น้ำหรือคัดเลือกพิถีพิถันนัก มันก็ยังงอกงามได้ดีอยู่”“เมื่อครั้งบิดาของอาเหิงยังเล็ก ข้าก็เคยปลูกฝ้ายมู่เหมี่ยนมาก่อนเช่นกัน โยนพวกมันไปตรงไหนมันก็ขึ้นตรงนั้น แถมยังเติบโตได้อย่างไม่มีปัญหา นั่นจึงทำให้มีคนปลูกมากและราคาก็ตก” ปู่เจียงเอ่ยออกมาบ้าง“หากพวกท่านคิดว่าเท่านี้ยุ่งยากแล้วพวกท่านก็คิดผิด ยังมีเรื่องวุ่นวายอยู่อีกเจ้าค่ะ” หลายคนกลืนน้ำฝืดเฝื่อนลงคอ“หวังว่ามันจะขายได้ราคาดีกว่าฝ้ายมู่เหมี่ยนที่มีขายกันอยู่ทั่วไปนะ” พวกเขาตั้งความหวังกู้ชิงเหอไม่ได้ตอบคำถาม นางรู้อยู่แก่ใจว่าฝ้ายเทียนจูเหมี่ยนต้องมีราคาสูงอย่างแน่นอนแดนเหนือของแคว้นหนานจวิ้นหนาวเย็นจนหิมะปกคลุมแทบทั้งปี ย่อมไม่เหมาะแก่การเพาะปลูกฝ้ายใด ๆ ส่วนทางตะวันออก แม้ดินทรายจะดูเอื้ออำนวย แต่ด้วยความเค็มจัด ก็ไม่อาจปลูกเทียนจูเหมี่ยนได้อยู่ดี ทิศใต้ร้อนเกินไป อีกทั้งยังประสบภัยแล้งรุนแรงยิ่งกว่าที่ใดตรงกันข้ามกับหมู่บ้านหานเฉิงที่ตั้งอยู่เชิงเขาทางทิศตะวันตก ดินปนหินทราย แม้ไม่อุ้มน้ำ แต่กลับเป็นสภาพแวดล้อมที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการเพาะปลูกเทีย
เมื่อหูซ่างซุนพาชาวบ้านอีกห้าครอบครัวมาถึงเรือน ต่างคนต่างมีสีหน้าทั้งตื่นเต้นทั้งสงสัย แต่พวกเขากลับไม่พบเงาของเจียงเหิงว่าอยู่ที่ใด กู้ชิงเหอเพียงยกยิ้มบาง ไม่ได้ตอบสิ่งใด นางปล่อยให้เจียงเหยียนกับกู้ชิงฉีออกไปช่วยท่านย่าเหยาในครัวเพื่อเตรียมอาหารเย็น ส่วนตนเองก็หันมาชวนผู้เฒ่าเจียงออกมาเรียนรู้วิธีการเพาะปลูกฝ้ายด้วยกันกู้ชิงเหอแบกถุงเมล็ดพันธุ์ฝ้ายออกมาจากห้องเก็บของ วางลงตรงกลางลานบ้าน นางบอกกับเจียงเสี่ยวเหวินเสียงใส“เสี่ยวเหวิน เจ้าช่วยไปตักน้ำมาให้ข้าสักหนึ่งถังนะ”เด็กหนุ่มรีบพยักหน้ารับคำแล้ววิ่งหายไปยังลำธารอย่างกระตือรือร้นจากนั้นหญิงสาวก็เปิดถุงออก เผยให้เห็นเมล็ดฝ้ายสีเข้มจำนวนมาก นางใช้มือเรียวหยิบขึ้นมาอธิบายแก่ชาวบ้านทีละขั้นตอน“การจะเพาะปลูกให้ได้ผล จำเป็นต้องเลือกเมล็ดที่ดีที่สุด เมล็ดที่อวบใหญ่ เต็มสมบูรณ์ และไม่ถูกแมลงหรือสัตว์กัดแทะ เมล็ดเหล่านี้จึงจะงอกงามและทนต่อสภาพดินฟ้าอากาศ”พูดจบ นางก็เริ่มคัดแยกทีละกำมือ วางเมล็ดที่สมบูรณ์ไว้ด้านหนึ่ง ส่วนเมล็ดลีบหรือเป็นรอยกัดกินก็วางกองทิ้งไว้อีกด้าน ในตอนแรกชาวบ้านยังมองกันด้วยความลังเล แต่เมื่อหญิงสาวพยักหน้าให้ล
เจียงเหิงยืนมองภาพท่านปู่กับท่านย่าด้วยแววตาเย็นเยียบ ใจหนึ่งเขาไม่ได้ยินดีปรีดาอะไรนัก ที่จริงแล้วเขาไม่ได้ต้องการให้ผู้เฒ่าทั้งสองต้องเสียใจเช่นนี้เลยแต่บางเรื่อง…หากไม่ปล่อยให้ทั้งสองเห็นกับตาตนเอง ก็คงไม่ยอมเชื่อใครง่าย ๆ เขาเพียงอยากให้ท่านทั้งสองรู้เสียที ว่าบุตรชายและสะใภ้ที่พวกเขารักนักหนาแท้จริงแล้วเป็นคนเช่นไรสายตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อย ความทรงจำเก่า ๆ ผุดขึ้นมาในใจ ตอนที่ท่านปู่กับท่านย่าหันหลังให้เขา ยักยอกเงินที่ควรเป็นของเขา ไปทุ่มสนับสนุนครอบครัวของท่านอาแทนตอนนั้นเขาเคยเอ่ยปากถาม แต่กลับถูกมองเป็นเด็กที่ไม่รู้จักคิด ไม่รู้จักเห็นแก่ญาติผู้ใหญ่ ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ไม่เคยทวงถามเรื่องเงินทองที่มารดาเคยฝากไว้กับผู้อาวุโสทั้งสองอีกเลยเขาไม่ได้คิดจะผลักสองผู้เฒ่าให้ตกเหว แต่หากบาดแผลเล็กน้อยนี้จะทำให้ทั้งคู่ตาสว่าง มองเห็นความจริง และไม่คิดจะสร้างปัญหาให้ตนและน้องๆ ในภายหลังอีก เขาก็ยอมให้เกิดขึ้นกู้ชิงเหอเงยหน้ามองเจียงเหิง ความหวาดกลัวแผ่ซ่านทั่วร่าง แม้แต่ท่านปู่ท่านย่าแท้ๆ เขายังสามารถคิดแก้แค้นให้หลาบจำ นับประสาอันใดกับน้องสาวปลอม ๆ อย่างนางเล่า!!หัวใจนางเต้นแรง ตอกย้
ขากลับ กู้ชิงเหอก็ยิ้มไปตลอดทาง พลางพูดไม่หยุดถึงอนาคตอันสดใสที่จะเกิดจากการได้เพาะปลูกฝ้าย“ต่อไปกู้ชิงฉีและเจียงเหยียนก็จะสบายแล้วเจ้าค่ะ ข้ามั่นใจว่าฝ้ายครั้งนี้จะให้ผลผลิตดีแน่นอน”เจียงเหิงมองหญิงสาวที่พูดไป พลางแวะเก็บผักป่าที่ขึ้นอยู่ริมธารไปด้วยสายตาอ่อนโยนเขาเพิ่งสังเกตว่านางเปลี่ยนจากหญิงสาวมอมแมมผอมแห้ง เป็นหญิงสาวที่หน้าตาดีขึ้นมาก ดวงตาสดใสและเปล่งประกายด้วยความกระตือรือร้น รอยยิ้มสดใสที่ปรากฏบนใบหน้าของนางทำให้เขารู้สึกเหมือนทุกอย่างรอบตัวสว่างขึ้นกู้ชิงเหอยังคงก้มเก็บผักแว่นป่า พลางพูดต่อด้วยน้ำเสียงมั่นใจ“ต่อไปข้าจะซื้อ ตำราทุกเล่มที่ท่านต้องการ ของกินที่น้องทั้งสองอยากกิน และเสื้อผ้าชุดใหม่ให้เจียงเหยียนด้วยเจ้าค่ะ ชุดที่นางใส่อยู่ตอนนี้เล็กเกินไปแล้ว”เจียงเหิงเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ เขาคิดว่านางอาจจะอยากได้สิ่งใดเพื่อตัวเองบ้าง แต่กลับพบว่าหัวใจของนางเต็มไปด้วยความห่วงใยผู้อื่นเขาเฝ้ามองนางอย่างเงียบ ๆ สังเกตการเคลื่อนไหวของมือที่เก็บผักอย่างทะนุถนอม รอยยิ้มที่เคยเป็นเพียงแค่เงาของความสดใส เดี๋ยวนี้เต็มไปด้วยความมั่นใจและความสุขที่แท้จริง“ข้าดีใจที่เจ้าอยู่ร่วมกับพ