พอนางเห็นเขา ก็รีบวักน้ำในแอ่งน้ำใสสะอาดที่นางเพิ่งขุดขึ้นมาเองเมื่อเช้ามาล้างมือ แล้ววิ่งกลับมาหาเขาที่เรือน
“เจียงเกอเกอกลับมาแล้ว!”
“พี่ชายกลับมาแล้ว!”
น้องสาวสองคนทักทายเขาพร้อมกันด้วยใบหน้าสดใส ทำเอาเจียงเหิงรู้สึกหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง
“ข้าไปรับจ้างเขียนจดหมายให้พ่อค้าร้านชาในตำบล ได้เงินมานิดหน่อย” เขากล่าวพลางยิ้มมุมปาก “เลยซื้อข้าวสารมาเพิ่ม ที่เหลือก็เผื่อไว้วันหน้า”
เขาหันมาทางกู้ชิงเหอ สีหน้าย้ำแน่วแน่ “เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องข้าวสารในเรือน หุงหาได้ตามสบาย ข้าจะออกไปทำงานทุกวันเอง วันนี้เพิ่งเริ่มคนยังไม่รู้ว่าข้ารับจ้างเขียน แต่ถ้าไปทุกวันอาจจะมีคนจ้างให้ทำงานอื่นเพิ่มขึ้น”
แม้จะกล่าวว่าให้กู้ชิงเหอหุงหาได้ตามชอบ แต่ในใจของเจียงเหิงก็หดหู่ไม่น้อย
เดือนก่อนกู้ต้าซุนใช้เงินหกร้อยอีแปะซื้อข้าวสารมาได้ยี่สิบชั่ง แต่วันนี้ข้าวราคาขึ้นสูงถึงชั่งละ 45 อีแปะแล้ว
ทั้งตำบล มีเพียงไม่กี่คนที่อ่านออกเขียนได้ แต่ใช่ว่าผู้มีวิชาเหล่านั้นจะยอมลดตนลงมารับจ้างเขียนจดหมายให้ใครคนมีการศึกษายิ่งหายาก ยิ่งถือตัว ห่วงศักดิ์ศรีมากกว่าปากท้อง
มีเพียงตนเท่านั้น ที่ยอมตั้งโต๊ะเล็ก ๆ หน้าศาลเจ้าประจำตำบล แม้จะตั้งราคาเขียนจดหมายฉบับละสามสิบอีแปะ ก็ยังไม่วายถูกต่อรองจนเหลือเพียง 25 อีแปะแลกข้าวมาได้เพียงครึ่งชั่ง เงินที่เหลือคิดอยากจะซื้อผักติดมือมาสักกำก็ยังไม่พอ
“จริง ๆ แล้วพี่ไม่ต้องห่วงมากก็ได้เจ้าค่ะ!” เจียงเหยียนยิ้มกว้าง ตาวาวเป็นประกาย “วันนี้พี่ชิงเหอหาปลาใต้ดิน มาได้ด้วยนะ!”
เจียงเหิงขมวดคิ้วนิด ๆ "ปลา..ใต้ดิน?”
กู้ชิงเหอยกไหล่เล็กน้อย “ลำธารสายนี้ยังไม่ถึงกับแห้งเหือด ปลาบางชนิดติดอยู่ในหลืบดิน ตรงไหนที่ยังพอมีความชื้นอยู่บ้าง มันก็ขุดโพรงอยู่ได้ใต้ทรายแห้ง”
เจียงเหิงฟังอย่างตื่นตะลึง ชายหนุ่มที่ร่ำเรียนแต่ตำรา คุ้นเคยแต่ตัวอักษรและกลิ่นหมึก ไม่เคยคิดเลยว่าใต้ดินแห้งกรังจะมีสิ่งมีชีวิตซ่อนอยู่!
ไม่สิ! เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยด้วยซ้ำว่าจะมีใครจับปลาจากใต้ดินมากินได้!
“พวกเราจะไม่จับมันออกมาหมดหรอก” กู้ชิงเหอกล่าวต่อเสียงเบา “เอาแค่พอมาทำเป็นอาหารสักสองมื้อ แล้วอีกหลายวันค่อยดูอีกที”
เจียงเหยียนพยักหน้าเร็ว “ใช่! ข้าก็บอกพี่สาวเหมือนกันว่าอย่าเอาไปขายนะ ถ้าชาวบ้านรู้เข้าพวกเขาต้องมาแย่งกันจับไปจนหมดแน่”
เจียงเหิงสบตาหญิงสาวเงียบ ๆ เขาไม่รู้ว่านางเรียนรู้สิ่งเหล่านี้มาจากที่ใด
กู้ชิงเหอคล้ายจะอ่านสายตาของอีกฝ่ายได้ชัดแจ้ง
“ข้ากับน้องชายอยู่ในสกุลกู้ลำบากยิ่งนัก มีคราวหนึ่งที่เราสองคนอดข้าวถึงสองวันหิวจนแทบจะขุดดินกินกันเลยทีเดียวล่ะ!” นางหัวเราะแผ่ว คล้ายจะเยาะตนเอง
“เหตุการณ์ในวันนั้นทำให้ข้าบังเอิญพบว่าในดินยังมีปลาซ่อนตัวอยู่”
แววตาของเจียงเหิงไหววูบ เข้าใจเรื่องราวโดยถ่องแท้
“เสียดายที่เรือนสกุลกู้มิได้อยู่ใกล้ลำธารเหมือนที่นี่ หากไม่มีข้าชิงฉีก็ต้องทำงานหนักอยู่แต่ในเรือนคงไม่มีโอกาสแอบออกมาหาปลากิน..”
นางจบคำพูดแค่เพียงเท่านั้น เหมือนกล่าวเปรย ๆ แต่เจียงเหิงกลับมองเห็นทะลุปรุโปร่ง
“ท่านลุงกับอาสะใภ้ของเจ้าขายเจ้าแลกเงิน กับน้องชายเจ้าหากพวกเขาจะขับออกก็คงทำเพื่อเงินเช่นกัน”
“แต่เราไม่มีเงินแล้ว” เจียงเหยียนเป็นฝ่ายสรุปบทสนทนาอย่างชาญฉลาด
นางไม่เพียงน้ำตาคลอกับเรื่องราวของกู้ชิงเหอและน้องชาย เจียงเหยียนมองไปรอบกายคล้ายจะหาสิ่งของที่มีราคาคิดจะขายสมบัติเอาเงินไปซื้อตัวกู้ชิงฉีมาอีกคน!
กู้ชิงเหอแอบชำเลืองมองใบหน้าด้านข้างของเจียงเหิงแวบหนึ่ง นางไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะรีบเข้าไปช่วยเหลือน้องชายของตนในทันที แต่ยังแอบหวังเล็กๆ ว่าเขาจะเสนอความคิดเห็นอะไรออกมาบ้าง
แต่อีกฝ่ายกลับนิ่งเงียบ
‘บางทีเขาอาจเป็นคนที่ไม่ชอบยื่นมือเข้าไปในปัญหาของใคร’ นางได้ข้อสรุปในใจ
บรรยากาศน่าอึดอัดบริเวณหน้ากระท่อมดูเหมือนจะดำเนินต่อไปอีกนาน หากกู้ชิงเหอไม่เอ่ยขึ้นพลางยิ้มบาง
“ไปกินข้าวกันก่อนเถิดเจ้าค่ะ น้ำแกงปลาถู่อวี๋รสชาติไม่เลวเลยทีเดียวนะ”
เจียงเหิงยังไม่เอ่ยอะไร เขาเพียงลุกขึ้นยืนเงียบ ๆ แล้วเดินตามมานั่งลงที่โต๊ะด้านหนึ่ง
น้ำแกงปลาในหม้อดินส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วเรือน เจียงเหิงมองเห็นพืชใบเขียวคุ้นตาลอยอยู่ในน้ำก็เอ่ยถาม
“นี่คือผักอะไร?”
“ข้าใส่ผักป่าที่เก็บมาได้จากริมน้ำ ท่านลองชิมดูก่อนก็แล้วกัน” นางเอ่ยเรียบ ๆ ขณะตักน้ำแกงให้แต่ละคน
เสียงซดซุปเบา ๆ ดังขึ้นแทบพร้อมกัน แล้วจึงตามมาด้วยเสียงข้าวตักจากถ้วยดังเบา ๆ รัวขึ้นเรื่อย ๆ
เจียงเหิงนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วก็ตักข้าวเพิ่มเงียบ ๆ อีกถ้วย และอีกถ้วย..เป็นถ้วยที่สาม!
กล่าวตามจริงเขาไม่ได้กินเนื้อปลามานานมากแล้ว พูดออกไปใครจะเชื่อว่าในลำธารยังมีปลาให้จับกินได้อยู่!
เจียงเหยียนหัวเราะคิก“ท่านพี่ไม่ชม แต่เติมข้าวไม่หยุดเลยนะเจ้าคะ!”
เจียงเหิงหลุบตาลง ใบหูแดงเล็กน้อย “ที่เรือนไม่มีเกลือ แต่เจ้ากลับปรุงออกมาได้รสชาติดีกว่าที่คิด”
กู้ชิงเหอรอจนทุกคนกินอิ่ม นางถึงได้หยิบผักแว่นป่าสดๆ ที่เหลืออยู่สองสามใบออกมาให้เจียงเหิงดู
“นี่เรียกว่าผักแว่นป่า ข้าใช้มันกำจัดกลิ่นคาวปลาและยังทำให้น้ำแกงมีรสชาติดีขึ้นอีกด้วยเจ้าค่ะ”
เจียงเหิงหันขวับไปมองน้องสาวทันที
“ข้าไม่เป็นอะไร พี่ใหญ่กินมากกว่าข้าด้วยซ้ำไม่ใช่หรือเจ้าคะ” เด็กสาวยิ้มกว้าง หันมาอธิบายกับกู้ชิงเหอ
“หลายเดือนก่อนอาสะใภ้เก็บผักที่ไม่รู้จักชนิดหนึ่งมาทำเป็นอาหารให้ข้ากิน ครั้งนั้นข้าปวดท้องแทบแย่ ตั้งแต่นั้นพี่ใหญ่เลยระวังเป็นพิเศษเรื่องอาหารการกินของพวกเราน่ะเจ้าค่ะ”
“เพราะเหตุนี้เจ้าจึงไม่ให้ข้าบอกเจียงเกอเกอก่อน ว่าข้าใส่ผักแว่นป่าไปในน้ำแกงปลา?”
“ข้าไว้ใจพี่สาวเจ้าค่ะ แต่ข้าไม่แน่ใจว่าพี่ใหญ่จะยอมกินหรือไม่ แต่ตอนนี้..” เจียงเหยียนหัวเราะออกมาอีกครั้งพลางขี้มือไปที่หม้อดินว่างเปล่า
กู้ชิงเหอยิ้มเจื่อน เดิมทีนางคิดว่าน้ำแกงปลาจะกินได้สักสองมื้อ ที่ไหนได้สองพี่น้องคู่นี้ไม่ประหยัดเรื่องกินเลยสักนิด!
"ข้าคิดว่าเป็นหญ้ามีพิษเสียอีก” ชายหนุ่มขมวดคิ้วแน่น หยิบใบผักแว่นป่าขึ้นมาพลิกดู
กู้ชิงเหอยกยิ้ม “หากต้มหรือย่างโดยไม่รู้วิธี มันอาจระคายคอได้ แต่หากต้มข้ามน้ำเดือดสองครั้งแล้วหั่นบางๆ รสชาติจะคล้ายคลึงกับต้นหอมผสมน้ำฝาด”
เจียงเหิงเหลือบตามองนางเงียบ ๆ สีหน้าไม่ได้แสดงความสงสัยหรือไม่เชื่อ
“เจ้ากับน้องชายก็คงเคยทดลองกินมาก่อนแล้วงั้นสิ?”
กู้ชิงเหอกลอกตา นางรู้ว่าเจียงเหิงสงสัย แต่ในเมื่อเขาไม่ถาม นางก็ไม่จำเป็นต้องอธิบาย!!
“พรุ่งนี้ ข้าอยากขึ้นเขาสักหน่อย”
เจียงเหยียนรีบเงยหน้าขึ้น “ขึ้นเขา? ไปหาอะไรหรือเจ้าคะ?”
“ข้ายังรู้จักผักป่าอีกหลายชนิด ขอเพียงเดินให้ทั่วพอก็อาจเจอของที่นำมาทำอาหารได้อีก”
เจียงเหยียนเบิกตากว้าง “จริงหรือเจ้าคะพี่ชิงเหอ!? งั้นข้าไปด้วยได้หรือไม่?”
สุดท้ายแล้ววันนี้กู้ชิงเหอก็ได้ยอดอ่อนของเฟินป่าเต็มตะกร้ากับเถาฮุยเถิงเฉ่าติดมือกลับไปที่เรือน พอเก็บของไว้ในเรือนเสร็จนางก็ออกมาเก็บหินจากลำธารแห้งขึ้นมาทำแนวคันหินริมธารอีกครั้ง จนเจียงเหยียนต้องเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย“พี่สาวไม่เหนื่อยหรือเจ้าคะ หินพวกนี้ก็ไม่ใช่เบาๆ เลยนะ”“ไม่เหนื่อยหรอก เจ้าเหนื่อยหรือ? เช่นนั้นก็นั่งดูเฉยๆ” หญิงสาวตอบพลางนึกสงสัยเช่นกันว่าตนเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน“ทำไมต้องเอาหินมาเรียงกันแบบนี้ด้วยเล่าเจ้าคะ”"ถ้าเริ่มสร้างแนวกั้นไว้แต่เนิ่น ๆ พอฝนตกลงมาก็จะช่วยกั้นน้ำเอาไว้ได้”เด็กสาวหัวเราะร่วน “แต่ละปีมีฝนตกลงมาเพียงไม่กี่วันเท่านั้นเองเจ้าค่ะ บางปีไม่ตกเลยสักหยดด้วยซ้ำ พี่สาวคงต้องเหนื่อยเปล่าแล้ว”กู้ชิงเหอได้แต่ก้มหน้าทำต่อไปเงียบ ๆ เพราะนางไม่รู้จะตอบอย่างไร มีบางเรื่องหรือบางคน เช่นหูซุนจ่างและสตรีสองคนบนภูเขาที่นางไม่เคยอ่านเจอในนิยาย อาจมีบางสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปหลังจากที่นางทะลุมิติเข้ามา แต่บางเส้นเรื่องย่อมยังดำเนินตามเดิม เช่นฤดูฝนที่ต้องมาถึงนางรู้ว่าอีกราวหนึ่งเดือนข้างหน้าฝนจะตกลงมาทันเวลากับที่น้ำในลำธารของหมู่บ้านแห้งสนิทลงไปพอดิบพอดี ชาวบ้
มือของกู้ชิงเหอสั่นเล็กน้อยบ่งบอกอารมณ์ของเจ้าของ เพียงแค่ได้ยินชื่อกู้ชิงฉีนางก็รู้สึกอึดอัดไปทั่วร่าง"พวกเจ้าพูดอันใด? ใครเป็นภรรยาของพี่ข้า?" เจียงเหยียนหน้าบึ้งมองสตรีสองคนด้วยความไม่พอใจเฉินเหมยลี่ปรายตาหยาม"ก็แม่นางกู้นั่นอย่างไรเล่า หรือจะให้ข้าพูดให้ชัดว่าพี่เจ้าซื้อนางมาอยู่เรือนเดียวกัน คนทั้งหมู่บ้านต่างก็รู้กันทั้งนั้น"เจียงเหยียนเม้มริมฝีปากแน่น นางได้ยินพี่ชายย้ำหลายครั้งไม่ให้ผู้ใดมาหมิ่นเกียรติพี่สาว แม้จะกลัว..แต่หญิงสาวก็ยังโต้ตอบกลับ "นางมาอยู่เรือนเดียวกับข้าในฐานะใด ก็ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องมาว่าร้ายป้ายสี!"“เหอะ! เจ้าคิดนางจะช่วยเจ้าได้งั้นหรือถึงได้กล้าเถียงข้า เจียงเหยียน!” เฉินเหมยลี่ถลึงตาโตข่มขู่น้องสาวสกุลเจียงผู้นี้แต่ก่อนไม่เคยแม้แต่จะกล้าสบตาพวกนาง แต่วันนี้กลับคิดอยากลองดี นางคงต้องสั่งสอนสักหน่อยเสียแล้ว!เพียะ!ก่อนที่เฉินเหมยลี่จะทันได้เอื้อมมือแตะตัวเจียงเหยียน กู้ชิงเหอก็สาวเท้าเข้ามายืนกั้นระหว่างทั้งสองไว้ มือของนางแตะเบา ๆ ที่แขนของอีกฝ่ายเพียงหวังจะกันไม่ให้เข้ามาใกล้ ทว่าทันใดนั้น...ร่างของเฉินหมยลี่กลับกระเด็นถอยหลังไปถึงสองก้าวเต็ม!"
เจียงเหิงหันมองน้องสาว “ขึ้นเขาไม่ใช่เรื่องเล่น เดินผิดก้าวอาจพลัดตกหินได้”“แต่ข้าระวังได้! ท่านพี่อย่าห้ามข้าเลย ข้าแค่อยากช่วยหาอาหาร ไม่อยากให้พี่ทั้งสองต้องออกแรงหาอยู่ฝ่ายเดียว”เจียงเหยียนกล่าวอย่างมุ่งมั่น ดวงตาสุกใสกู้ชิงเหอยิ้มเล็กน้อย “ไม่เป็นไร ถ้าพรุ่งนี้แดดไม่แรงนักข้าจะพาเจ้าขึ้นไปด้วย ระหว่างทางจะคอยสอนเจ้าว่าพืชอะไรควรเลี่ยง พืชใดกินได้”ชายหนุ่มมองเจียงเหยียนที่โตขึ้นมากกว่าเดิมนัก ดวงหน้านั้นยังคงมีรอยเยาว์วัยอยู่ แต่แววตาเริ่มมีประกายของคนที่พร้อมจะรับผิดชอบชีวิตความรู้เรื่องพืชผักของตนมีไม่เท่ากู้ชิงเหอ สตรีร่างเล็กผู้นี้เดินขึ้นเขาเข้าป่าทุกวันราวกับเป็นบ้านหลังหนึ่ง หากให้นางเป็นคนสอนวิธีเอาตัวรอดให้น้องสาวก็ไม่เลวนัก“หากเจ้าแน่ใจว่าจะไป ข้าก็ไม่ขัด เพียงแต่ต้องฟังแม่นางกู้ให้ดี อย่าซุกซนจนเดินพลาดก็พอ”เจียงเหยียนตาเป็นประกาย รีบพยักหน้าอย่างหนักแน่น“เจ้าค่ะ ข้าจะระวังอย่างยิ่ง!”แววตาของกู้ชิงเหอเจิดจ้าขึ้น แม้จะยังไม่รู้ว่าบนเขานางจะโชคดีได้เจอผักป่าหรือไม่ แต่หากต้องรับตัวกู้ชิงฉีมาอยู่ที่นี่ด้วย ก่อนอื่นนางต้องทำให้เจียงเหิงมั่นใจว่านางมีความสามารถ และ
พอนางเห็นเขา ก็รีบวักน้ำในแอ่งน้ำใสสะอาดที่นางเพิ่งขุดขึ้นมาเองเมื่อเช้ามาล้างมือ แล้ววิ่งกลับมาหาเขาที่เรือน“เจียงเกอเกอกลับมาแล้ว!”“พี่ชายกลับมาแล้ว!” น้องสาวสองคนทักทายเขาพร้อมกันด้วยใบหน้าสดใส ทำเอาเจียงเหิงรู้สึกหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง“ข้าไปรับจ้างเขียนจดหมายให้พ่อค้าร้านชาในตำบล ได้เงินมานิดหน่อย” เขากล่าวพลางยิ้มมุมปาก “เลยซื้อข้าวสารมาเพิ่ม ที่เหลือก็เผื่อไว้วันหน้า”เขาหันมาทางกู้ชิงเหอ สีหน้าย้ำแน่วแน่ “เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องข้าวสารในเรือน หุงหาได้ตามสบาย ข้าจะออกไปทำงานทุกวันเอง วันนี้เพิ่งเริ่มคนยังไม่รู้ว่าข้ารับจ้างเขียน แต่ถ้าไปทุกวันอาจจะมีคนจ้างให้ทำงานอื่นเพิ่มขึ้น”แม้จะกล่าวว่าให้กู้ชิงเหอหุงหาได้ตามชอบ แต่ในใจของเจียงเหิงก็หดหู่ไม่น้อย เดือนก่อนกู้ต้าซุนใช้เงินหกร้อยอีแปะซื้อข้าวสารมาได้ยี่สิบชั่ง แต่วันนี้ข้าวราคาขึ้นสูงถึงชั่งละ 45 อีแปะแล้ว ทั้งตำบล มีเพียงไม่กี่คนที่อ่านออกเขียนได้ แต่ใช่ว่าผู้มีวิชาเหล่านั้นจะยอมลดตนลงมารับจ้างเขียนจดหมายให้ใครคนมีการศึกษายิ่งหายาก ยิ่งถือตัว ห่วงศักดิ์ศรีมากกว่าปากท้องมีเพียงตนเท่านั้น ที่ยอมตั้งโต๊ะเล็ก ๆ หน้าศาลเจ้าป
“พี่สาวกู้ ท่านจะขยายบ่อน้ำตื้นเพิ่มขึ้นอีกหรือเจ้าคะ?” เจียงเหยียนเอียงคอถามนางกับกู้ชิงเหอช่วยกันขุดบ่อน้ำตื้นจนมีความลึกมากพอให้ใช้ถังไม้จ้วงลงไปตักน้ำได้โดยไม่ทำให้น้ำขุ่นสำเร็จแล้ว แต่พี่สาวร่างเล็กกลับยังไม่ยอมหยุดมือ นางยังคงเดินพลิกหินก้อนใหญ่ตามธารน้ำไม่หยุดคล้ายกำลังหาสิ่งใดอยู่“ข้าจะหาปลามาทำเป็นมื้อเย็นให้พวกเราได้กินกัน”“ปลา!! ยังจะมีปลาเหลืออยู่อีกหรือเจ้าคะ?”“ที่ใดมีน้ำ ที่นั่นย่อมมีปลา ยอมเหนื่อยเพิ่มขึ้นอีกนิดวันนี้เราจะได้กินเนื้อปลาแน่นอน!”“ข้ากลัวแต่ท่านจะเหนื่อยเปล่าน่ะสิ..พี่เสี่ยวเหวินชอบหาปลา เขาออกไปจับปลากับเด็กชายในหมู่บ้านทุกวัน จนเวลานี้แม้แต่ปลาตัวเล็กๆ ก็ไม่เหลือแล้ว”“เสี่ยวเหวินหาปลาในน้ำใช่หรือไม่ แต่ข้าจะหาปลาจากในดินให้เจ้าดูเอง” กู้ชิงเหอกล่าวด้วยรอยยิ้มและแววตาซุกซน นางเชื่อว่าในน้ำต้องมีปลาอย่างแน่นอน แต่หากต้องการปลาที่มีขนาดใหญ่สักหน่อย นางต้องหาจากโคลนใต้หินเหล่านี้นั่นล่ะ“เจ้ามาดูนี่สิ!” หญิงสาวกวักมือเรียกเจียงเหยียนเข้ามาใกล้“เจ้าดูให้ดี ดินตรงนี้จะต่างจากบริเวณอื่นเล็กน้อย” เจียงเหยียนนั่งยองพิจารณาดินทรายใต้ก้อนหินที่กู้ชิงเหอเพิ
เมื่อผลักประตูเข้ามาในเรือน เขามองเห็นกู้ชิงเหอยังคงนั่งอยู่ข้างเตาไฟ นางหันมามองเขาเพียงครู่เดียวก็หันกลับไปจัดการกับข้าวต้มบนเตาต่อ“ข้าอุ่นไว้รอท่านเจ้าค่ะ” นางกล่าวพลางตักข้าวใส่ถ้วยเดินมาวางบนโต๊ะ ทำท่าเชื้อเชิญให้เขานั่งลงกินเจียงเหิงรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย เขาคิดว่านางเลินเล่อจนลืมดับไฟในเตากลับกลายเป็นว่ากู้ชิงเหออยู่รออุ่นข้าวให้เขานั่นเองเขาเสมองไปยังประตูห้องที่ปิดสนิท “เหยียนเอ๋อร์หลับไปแล้ว?”“สักพักแล้วเจ้าค่ะ” นางหมุนตัวกลับไปยกจานผักดองมาวางให้เขาอีกครั้งพลางกล่าว“วันนี้ข้าเผลอใช้ข้าวสารไปไม่น้อยเลย แต่ท่านได้น้ำสะอาดมาแล้ว ไว้พรุ่งนี้ข้าจะเติมน้ำแล้วต้มโจ๊กเป็นมื้อเช้าให้นะเจ้าคะ”เจียงเหิงก้มศีรษะตอบรับแต่ไม่รู้จะว่าตนเองควรตอบกลับนางว่าอะไรดี เขาไม่ใช่คนช่างเจรจาอยู่แล้ว เรื่องอาหารการกินมีนางมาช่วยอีกคนก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือ นางอยากทำอะไรก็ทำไปเถิด เขามีหน้าที่ต้องหาเงินมาดูแลครอบครัวเท่านั้นชายหนุ่มเลือกก้มหน้าก้มตากินข้าวต้มกับผักดองไปเงียบๆ สายตาก็แอบมองร่างเล็กที่ค่อยๆ เทน้ำที่เขาไปแบกมาใส่ไปในโอ่งดินที่ว่างอยู่อีกใบช้าๆยามเขากินนางก็เพิ่มฟืนในเตาให้ลุ