Masukเด็กสาวเม้มปากแน่น หันไปมองร่างบางที่อยู่ข้างนางด้วยสายตาเวทนา ก่อนจะกลั้นใจเอ่ยขึ้น
“แต่..ท่านช่วยนางไว้แล้วนะเจ้าคะ จะหยุดแค่นี้ได้อย่างไร”
เขาไม่ตอบ สีหน้าไร้อารมณ์ ทว่าสายตาเหลือบมองน้องสาวเล็กน้อย
เจียงเหยียนขยับเข้ามาอีกก้าว เงยหน้ามองพี่ชายด้วยแววตาขอร้อง “มันก็เหมือนช่วยคนตกน้ำแล้วดึงขึ้นมาแค่ครึ่งตัว..แบบนั้นคนผู้นั้นก็ยังจมน้ำอยู่ดีนะเจ้าคะ”
เจียงเหิงหน้าตึงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เขาแค่ยื่นมือไปช่วยเพียงครั้งเดียว ไฉนถึงเหมือนขว้างโซ่กลับมาพันตัวเองเสียได้เล่า!
อยู่ดีๆ นางหวางซื่อที่แสร้งทำเป็นร่ำไห้สงสารกู้ชิงเหอจับใจอยู่เมื่อครู่ก็เบิกตาโพลงขึ้นมา
“เจียงซิ่วไฉ ตามจริงเจ้าก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เช่นกัน จะปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องก็คงไม่ถูกนัก ”
ท้องไส้ของกู้ชิงเหอเริ่มปั่นป่วน นางรู้แล้วว่าเหตุการณ์ต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร!
ไม่ได้! นางจะปล่อยให้เหตุการณ์เป็นไปตามเนื้อเรื่องในนิยายไม่ได้! นางเริ่มวิงวอนหวางชุ่นฮวาอีกครั้ง
“ท่านป้าสะใภ้ ข้ารับปากท่าน ข้าจะทำงาน! ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อหาเงินมาคืนท่าน พาข้ากลับไปที่เรือนด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
หวางชุ่นฮวาถอยหลังไปสองก้าว “เด็กโง่ รู้หรือไม่ว่าข้ากำลังจะช่วยหาทางออกให้เจ้า!”
เจียงเหิงยกยิ้มมุมปากราวกับรู้ตอนจบของละครเรื่องนี้ แต่ก็ยังยืนรอฟังประโยคต่อไปของหวางชุ่นฮวาเงียบๆ
“ข้าถามหน่อยเถิด ก่อนที่ข้าจะมาถึงที่นี่ ผู้ใดเป็นคนช่วยเหลือหลานสาวข้าลงมาจากต้นไม้”
บุรุษชาวบ้านสองคนหันไปมองหน้าเจียงเหิง
“เจียงซิ่วไฉตะโกนเรียกพวกเราให้เข้ามาช่วย เป็นเขาที่อุ้มหลานสาวของพวกเจ้าเอาไว้ ส่วนข้าก็ปีนขึ้นไปช่วยปลดเชือก”
แววตาของผู้เฒ่าหลู่ส่องประกายขึ้นมาวาบหนึ่ง
“ดูเอาเถิด เจ้าสาวยังไม่ทันจะออกจากหมู่บ้าน นางก็ตกไปอยู่ในอ้อมกอดของบุรุษอื่นแล้ว มีตรงไหนที่ยุติธรรมกับชายชราเช่นข้าบ้างหรือไม่!”
เจียงเหยียนอ้าปากค้าง “ข้ารู้ว่าบุรุษกับสตรีย่อมแตกต่างไม่ควรสัมผัสใกล้ชิด แต่ยามนั้นสถานการณ์คับขัน ไม่ให้พี่ชายข้าเข้าไปช่วย แล้วจะปล่อยให้นางขาดใจตายอยู่บนนั้นหรืออย่างไร?"
หลายคนในที่นั้นเริ่มมองตากันไปมา คล้ายเข้าใจเจตนาที่แท้จริงของหวางซื่อแล้ว นางมิได้เพียงใส่ร้าย แต่กำลังปูทางให้เจียงซิ่วไฉกลายเป็นแพะรับบาป เพื่อจะได้บีบให้เขาต้องควักเงินชดเชยแทนตนอย่างเลี่ยงไม่ได้!
“หกร้อยอีแปะเชียวนะ บัณฑิตตกอับอย่างเจียงซิ่วไฉจะเอาที่ไหนมาจ่าย ฝันไปเถิดนางหวางซื่อ!” เสียงหนึ่งดังขึ้น
“เจียงซิ่วไฉช่วยเหลือด้วยใจจริง เพียงแต่..หญิงสาวกับบุรุษหากต้องแตะเนื้อต้องตัวกัน แม้เพียงชั่วครู่ก็ยากจะอธิบายต่อผู้คน” สตรีชาวบ้านคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
นางเห็นว่า ต่อให้เจียงซิ่วไฉไม่มีเงิน ก็ดีกว่าปล่อยให้หลานสาวบ้านกู้ตกไปอยู่ในมือของตาเฒ่าหลู่ จึงออกปากสนับสนุนอย่างไม่ลังเล
แต่ก็มีบางคนพูดตรงเสียยิ่งกว่าตรง ไม่ไว้หน้าสองสามีภรรยาสกุลกู้แม้แต่น้อย “นางไร้บิดามารดา ญาติพี่น้องก็พึ่งพาไม่ได้ มีแต่คิดจะขายหลานสาวกิน! ข้าว่านะ บัณฑิตเจียง หากท่านรับนางไว้ ก็เท่ากับช่วยชีวิตนางและปกป้องชื่อเสียงตนเองด้วย”
กู้ต้าซุนรีบโน้มตัวกระซิบกับหวางชุ่นฮวา “เมียจ๋า เจ้าก็รู้ เขาเป็นบัณฑิตตกอับ แม้แต่ค่าเดินทางไปสอบยังไม่มี จะให้เขาเอาเงินที่ไหนมาจ่ายแทนเราเล่า?”
หวางชุ่นฮวาหันมาค้อน “ท่านพี่อาจไม่เคยสังเกต เจียงซิ่วไฉมักพาน้องสาวเข้าเมืองไปซื้อตำรา หมึก กระดาษอยู่บ่อยๆ ไม่แน่ว่าเขาอาจมีเงิน เพียงแต่มันไม่พอสำหรับค่าเดินทางก็ได้นี่!”
แน่นอนว่าคำพูดของทุกคนเจียงเหิงล้วนได้ยินชัดแจ้ง
เขาสอบผ่านระดับซิ่วไฉตั้งแต่อายุสิบห้า ตอนนั้นผู้คนในหมู่บ้านต่างพากันเคารพและให้เกียรติคนสกุลเจียงราวกับเป็นเจ้าของหมู่บ้าน
การสอบซิ่วไฉในครั้งนั้นเป็นการสอบระดับตำบล เขาจากเรือนไปแค่สามวันแต่เจียงเหยียนกลับถูกคนในบ้านละเลยกลั่นแกล้ง นางล้มป่วยอยู่เพียงลำพังตลอดสามวันจนเขากลับมาถึงได้มีคนรู้ว่านางป่วย
พอถึงการสอบจวี่เหรินในระดับอำเภอที่กระชั้นชิดกับการสอบซิ่วไฉเพียงไม่นาน ทำให้เขาไม่อาจเดินทางไปสอบได้สะดวก ปัญหามีหลายอย่างทั้งเรื่องเงิน ทั้งเขาไม่อยากทิ้งน้องสาวไว้เพียงลำพังในเรือนเป็นเวลานาน จึงตัดสินใจไม่ไปสอบจวี่เหริน
ไม่คิดว่าชาวบ้านกลับยกเอาเรื่องสกุลเจียงไม่สามารถหาเงินค่าเดินทางให้หลานชายไปเข้าสอบได้ ไปพูดกันปากต่อปากจนข่าวเกินจริงไปมากโข
ชาวบ้านนิสัยไม่ดีขี้อิจฉาบางคนยังประณามเขากับน้องสาวว่าเป็นตัวล้างผลาญของสกุลเจียงอีกด้วยซ้ำ ตั้งแต่นั้นเขาก็กลายเป็นบัณฑิตตกอับที่ชาวบ้านจะให้เกียรติก็เพียงต่อหน้า แต่ลับหลังก็พากันล้อเลียนสนุกปาก
ท่านย่าหูเบาได้ยินคนพูดเข้าหูบ่อยครั้งเข้าก็เชื่อถ้อยคำเหล่านั้นอย่างง่ายดาย ซ้ำยังเหมารวมเอาอาการเจ็บป่วยของคนในเรือนมาโทษว่าเพราะตนสองพี่น้องเป็นต้นเหตุอีก
ไม่ใช่ธุระอะไรที่เขาจะต้องไปอธิบายให้ทุกคนเข้าใจ และเรื่องที่สกุลเจียงมีปัญหาด้านการเงินนั้นก็เป็นเรื่องจริงที่ไม่อาจปฏิเสธ
“ท่านป้าหวาง หากมีอะไรในใจก็กล่าวมาตรงๆ เถิดขอรับ ข้ารอฟังอยู่”
“เจ้าทำให้หลานสาวข้าต้องแปดเปื้อน เช่นนั้นเจ้าก็ต้องรับผิดชอบ!”
มุมปากของชายหนุ่มกระตุกเล็กน้อย ราวกับกำลังยิ้มเย้ย เขากวาดตามองใบหน้าของผู้คนรอบด้านช้าๆ เพื่ออ่านความคิดของแต่ละคน
สายตาบางคู่เต็มไปด้วยความคาดหวัง บางคนแฝงความเหยียดหยาม ขณะที่อีกหลายคนคล้ายกำลังขอร้องให้เขายอมรับโดยดุษณี
“หืม?” เจียงเหิงส่งเสียงต่ำในลำคออย่างแปลกใจ
เหตุใดกู้ชิงเหอจึงมองเขาราวกับเห็นภูตผีปีศาจเช่นนั้นเล่า? ทั้งที่เขาเพิ่งช่วยชีวิตนางแท้ๆ กลับได้รับเพียงแววตาหวาดระแวงตอบกลับมา
ดวงตาคมสีดำสนิทของเขาหยุดอยู่บนใบหน้าซูบซีดไร้สีเลือดของนางอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเลื่อนไปมองร่างบอบบางของน้องสาวตนเอง
เขาไม่เคยเห็นเจียงเหยียนเอาใจใส่ผู้ใดเท่ากับกู้ชิงเหอมาก่อนเลย... ความคิดหนึ่งผุดขึ้นอย่างเงียบงัน
หากช่วยกู้ชิงเหอไว้ และให้นางอยู่เป็นเพื่อนเจียงเหยียน ยามที่เขาต้องออกไปสอบอีกครั้งก็จะได้ไม่ต้องกังวลว่าน้องสาวจะต้องโดดเดี่ยวอยู่เพียงลำพัง นั่นอาจเป็นทางเลือกที่ไม่เลวเลย!
“ข้าไม่มีเจตนาจะล่วงเกินนาง แต่หากทุกท่านคิดว่าข้าสมควรต้องรับผิดชอบ ข้าก็จะยอมรับ”
ร่างของกู้ชิงเหออ่อนยวบลงไปกองกับพื้น
จบแล้ว! นางหนีจากเจียงเหิงไปไม่ได้ เนื้อเรื่องเป็นไปตามอย่างที่นิยายเขียนไว้จริงๆ!!
- จวี่เหริน (舉人 หรือ Jǔrén) คือ ผู้ที่สอบผ่านการสอบระดับมณฑล (provincial exam) ในระบบการสอบเข้ารับราชการของจีนโบราณ (科举 หรือ Keju). การสอบจวี่เหรินจัดขึ้นทุกๆ 3 ปี และผู้ที่สอบผ่านจะได้รับสถานะเป็นจวี่เหริน ซึ่งเป็นผู้มีความรู้ความสามารถที่ได้รับการยอมรับในระดับภูมิภาค.
อีกด้าน เกวียนไม้ที่บรรทุกตัวอย่างดอกฝ้ายสีขาวสะอาดกล่องหนึ่งแล่นออกจากหมู่บ้านเกาซานไปตามถนนลูกรังเจียงเหิงนั่งบังคับเกวียนอยู่ด้านหน้า ส่วนสวี่อี้หมิงนั่งข้าง ๆ ถือสมุดบัญชีและห่อเอกสารที่หูซุนจ่างจัดเตรียมให้สำหรับยื่นรายงานต่อทางการ“กังวลหรือ?” สวี่อี้หมิงถามยิ้มๆ“ข้ากำลังคิดถึงเรื่องราคาของฝ้ายอยู่ขอรับ ยามนี้บ้านเมืองต้องการธัญพืช เรื่องเครื่องนุ่งห่มอาจจะเป็นเรื่องรอง ฝ้ายมู่เหมี่ยนขายได้ชั่งละไม่ถึงสิบอีแปะเลยด้วยซ้ำ เทียนจูเหมี่ยนก็คงไม่ต่างกันเท่าใดนัก”“เจ้าคิดผิดแล้ว” สวี่อี้หมิงส่ายหน้า “ฝ้ายเทียนจูเหมี่ยนเป็นของพระราชทาน ฮ่องเต้ถึงกับให้ส่งเมล็ดไปทั่วแคว้น แต่สองปีแล้ว...ยังไม่มีผู้ใดเพาะขึ้นได้สักคน เจ้าคิดว่าหากเมล็ดพันธุ์ฝ้ายนี้ไม่สำคัญจริงๆ ราชสำนักจะยังเพียรพยายามอยู่อีกหรือ?" เจียงเหิงได้ยินดังนั้นก็มีกำลังใจขึ้น เพราะคนในหมู่บ้านกลุ่มที่เลือกเพาะปลูกฝ้ายลงทุนลงแรงไปไม่น้อย หากขายไม่ได้ราคาอาจจะสร้างปัญหาให้กับครอบครัวของตนและหูซุนจ่างที่ช่วยกันผลักดันให้ทุกคนปลูกฝ้ายชนิดนี้ เสียงล้อไม้บดกับพื้นดินดังกรอบแกรบไปตลอดทางเมื่อถึงตัวเมือง ทั้งสองหยุดเกวียนหน้าประต
เช้าวันถัดมา เจียงเหิงกับสวี่อี้หมิงออกเดินทางเข้าเมืองกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ส่วนที่เรือนใหม่ กู้ชิงเหอก็พาน้อง ๆ ออกไปช่วยกันเก็บฝ้ายในแปลงท้ายหมู่บ้านนางมองดูท่านปู่เจียงกับท่านย่าเหยาที่ช่วยกันเด็ดปุยฝ้ายสีขาวใส่ลงในตะกร้าอย่างคล่องแคล่วด้วยความรู้สึกยินดี ผู้อาวุโสทั้งสองเปลี่ยนแปลงไปจากที่นางเคยพบครั้งแรกไปราวกับเป็นคนละคนกัน แม้แต่เจียงเสี่ยวเหวิน ที่แต่ก่อนมักตื่นสายและหาข้ออ้างเลี่ยงงานสารพัด ก็ยังรีบมาช่วยเก็บฝ้ายตั้งแต่เช้ามืดเช่นกัน“พี่ใหญ่ ฝ้ายนี่นุ่มจริงๆ !” กู้ชิงฉีกล่าวพลางยกปุยนุ่มขึ้นมาอวด ใบหน้าเขาเปื้อนเหงื่อแต่เต็มไปด้วยความภูมิใจยังไม่ทันที่กู้ชิงเหอจะเอ่ยตอบ เสียงแหลมของหญิงสูงวัยก็ดังขึ้นจากอีกฟากของลาน“ฮึ! ฝ้ายของพวกเจ้ายังไม่รู้ว่าจะขายได้กี่อีแปะก็รีบยิ้มร่ากันเสียแล้ว ระวังจะผิดหวังเล่า”กู้ชิงเหอเงยหน้าขึ้น เห็นกู้ต้าซุนกับหวางซื่อเดินเข้ามาอย่างถือดี ปากยังคงพ่นถ้อยคำเยาะเย้ยไม่หยุด“ข้าล่ะสงสารพวกเจ้าจริง ๆ เหนื่อยทั้งวันก็คงได้เงินกลับมาไม่พอซื้อน้ำชาสักถ้วย!” หวางซื่อหัวเราะเสียงดังลั่น เจียงเหยียนกับเจียงเสี่ยวเหวินที่ช่วยเก็บฝ้ายอยู่ใกล้ๆ พากันหย
“ไม่ใช่ความผิดของท่านขอรับ… ตอนนี้ท่านก็ได้พบพวกเราแล้ว ท่านพ่อ ท่านแม่คงจะดีใจนัก” เจียงเหิงพยายามควบคุมเสียงไม่ให้สั่น“ข้าไม่ใช่คู่ต่อกรของศัตรูเหล่านั้น ในสภาพอย่างวันนี้” สวี่อี้หมิงตอบกลับด้วยน้ำเสียงแหบพร่าเต็มไปด้วยความขมขื่นคล้ายคำสารภาพของคนที่ต่อสู้มานาน“เจ้าต้องสอบเป็นขุนนางให้ได้! อำนาจและบารมีเท่านั้นที่จะทำให้ผู้คนสยบลงแทบเท้าเจ้า วันนั้นเจ้าจึงจะมีโอกาสล้างแค้นให้สกุลกวาน!” เจียงเหิงรับคำ แม้มันจะไม่ใช่ความคิดใหม่สำหรับเขา ที่ผ่านมาเขาวาดรูปแบบความสัมพันธ์ในอดีตของทุกคนที่เกี่ยวข้องกับตระกูลกวานลงแผ่นกระดาษเอาไว้ และเขาก็คิดเช่นกันว่าหากไม่มีเงิน..ก็ต้องมีอำนาจ! จึงจะทำอะไรต่อไปได้“อาจารย์ข้าผ่านการสอบระดับซิ่วไฉแล้ว แต่กลับไม่สามารถเข้าร่วมสอบจวี่เหรินเมื่อสองปีก่อน ครั้งนี้ข้าจะทำให้สำเร็จ” ดวงตาของเจียงเหิงเลื่อนไปมองเงาร่างที่เคลื่อนไหวอยู่ในครัว กู้ชิงเหอ ผู้อยู่เบื้องหลังความเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ในชีวิตของเขา เมื่อนึกย้อนกลับไปหลายเดือนก่อน คำพูดเช่นนี้เขาคงยังไม่กล้าพูดออกมาเต็มปากแต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว กู้ชิงเหอทีเข้ามาเปลี่ยนชะตาชีวิตอันแร้นแค้นของตนแ
เจียงเหิงกัดฟันแน่น เจียงไห่สามีของแม่นมหายตัวไปจริง แต่คนที่แม่นมลั่วคิดจะออกไปตามหาในเวลานั้นไม่ใช่เขาในปีนั้น กวานจิ้งหยวน บิดาที่แท้จริงของเขาถูกผู้มีอำนาจใส่ความว่ากบฏ จึงรีบส่งคนมาบอกให้มารดาของเขารีบหนีออกจากจวนโดยด่วนระหว่างทาง รถม้าที่พวกเขาโดยสารถูกคนร้ายติดตามไม่ลดละ ทหารที่คุ้มกันจำต้องลวงศัตรูให้แยกไปอีกทางปล่อยให้สามแม่ลูกหลบหนีมาพร้อมกับลั่วหลินและบุตรสาวของนางแต่ก่อนจะถึงหมู่บ้านเกาซาน รถม้ากลับลื่นตกเหว แม่นมลั่วคว้าตัวเจียงเหยียนไว้ได้ทัน ส่วนเขาก็กระเด็นออกมาอยู่บนพื้นดิน… ทว่าเบื้องล่างเหวนั้นกลับกลืนร่างของ จางเหยามารดาของตนและบุตรสาวของแม่นมไปพร้อมกันลั่วหลินในเวลานั้นมิใช่ไม่อยากเสี่ยงชีวิตลงไป แต่เหวลึกชันนัก ต่อให้เดินอ้อมภูเขาหลายลูกเพื่อหาทางลงไปถึงก้นเหวก็ไม่รู้ว่ากว่าจะไปถึงจะยังเหลือสิ่งใดให้ค้นหา พวกเขาสามคนนั่งร่ำไห้อยู่บนปากเหวอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร แม่นมลั่วสูญเสียบุตรสาว ตัวเขาเองก็เสียใจที่เห็นมารดาตกเหวลึกไปต่อหน้า แต่เจียงเหยียนนั้นอาการหนักที่สุด นางตกใจอย่างรุนแรงตาค้างจนหมดสติ สุดท้ายแม่นมลั่วก็ต้องกัดฟันพาเขาและน้องสาวเดินทางต่อจนถึงหมู่บ
สวี่อี้หมิงไม่เพียงไม่ยอมตามน้ำ หากยังตอกย้ำเสียงดังฟังชัด“เมื่อครู่ข้าเพิ่งมอบเงินร้อยตำลึงให้นางหนูนั่นใช้ขยายเรือน เงินนั่นยังมากพอจะซื้ออุปกรณ์การเรียนให้เด็กๆ ในหมู่บ้านได้อีกด้วยซ้ำ ข้าจะอยู่ตรงไหนก็ไม่เห็นต้องเดือดร้อนให้ผู้ใดมาจัดหา”กู้ชิงเหออ้าปากตาค้าง ดวงตากลมเบิกโพลง นางนึกว่าเงินนั้นได้มาเปล่าๆ ที่ไหนได้ กลายเป็นว่าต้องใช้สร้างเรือน ต้องจัดหาอาหารการกินเลี้ยงดูท่านผู้สูงส่งผู้นี้ แล้วยังต้องแบกรับภาระซื้อของแจกเด็กๆ อีก! หากมิใช่ว่านางยังหวังจะให้เขาช่วยชี้แนะเจียงเหิงในเรื่องการสอบจวี่เหรินที่ใกล้จะมาถึง นางคงตะเพิดเขาออกไปตั้งแต่ประโยคแรกแล้ว!!ฝ่ายหลี่ซื่อ เมื่อได้ยินว่าเงินก้อนโตถึงร้อยตำลึงไปตกอยู่ในมือของกู้ชิงเหอ ดวงตาก็ลุกวาวด้วยความโลภทันที ความอิจฉาผสมโกรธจนอกแทบระเบิด นางรีบแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยสวี่อี้หมิง“เอาเงินตั้งร้อยตำลึงไปไว้กับเด็กสาวไม่รู้ประสาเช่นนี้ ก็ไม่ต่างอะไรจากเอาไปเผาไฟเล่นหรอกเจ้าค่ะ! ไม่สู้มอบมาให้ข้าจัดการเถิด รับรองจะทำได้ดีกว่า”นางปรายตามองกู้ชิงเหออย่างเยาะหยัน ก่อนเอ่ยต่อราวกับตัดสินแทนทุกคน“อย่างไรก็สกุลเจียงด้วยกันทั้
“ท่านแม่! ท่านมาวุ่นวายอะไรที่นี่!” เจียงเสี่ยวเหวินรีบเข้ามาแทรกอยู่ตรงกลาง บดบังสายตาของเจียงเหิงไว้ ทำให้เจียงเหิงต้องพยายามทำใจให้เย็นลง ต่อให้เขาเกลียดสตรีผู้นี้เพียงใด นางก็เป็นมารดาของเจียงเสี่ยวเหวินอยู่ดีหลี่ซื่อค้อนบุตรชายทีหนึ่ง แต่ไม่กล้าบ่นอะไรมากต่อหน้าเจียงเหิง นางจึงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วเปลี่ยนเรื่อง“ข้าได้ยินท่านย่าเจ้าบอกว่ามีขุนนางเข้ามาตรวจสอบฝ้ายมิใช่หรือ? ข้าอยากมาถามให้แน่ใจว่าฝ้ายพวกนี้จะขายได้ราคาดีจริงหรือไม่น่ะสิ” ชาวบ้านที่ติดตามลูกๆ ของตนมาด้วยทำสีหน้างุนงง เจียงเสี่ยวเหวินวิ่งออกไปบอกกับสหายของเขาในหมู่บ้านว่ายามนี้มีอาจารย์จากเมืองหลวงมาพักอยู่ที่เรือนเจียงซิ่วไฉ และยังจะสอนหนังสือให้เขากับกู้ชิงฉีด้วย เด็กๆ อยากเห็นอาจารย์จากในวังจึงได้ตามเสี่ยวเหวินมา ส่วนพวกตนที่ได้ยินข่าวก็เดินตามมาด้วยหวังจะมาเคารพท่านอาจารย์จากในเมืองสักครั้ง แต่เหตุใดหลี่ซื่อจึงบอกว่าคนผู้นั้นเป็นขุนนางที่มาตรวจสอบฝ้ายเล่า? “ขุนนางตรวจสอบฝ้ายอันใดกันหลี่ซื่อ? บุตรชายเจ้าบอกว่าที่เรือนของเจียงซิ่วไฉมีท่านอาจารย์มาพำนักอยู่ด้วยต่างหาก!” สตรีนางหนึ่งตำหนิ เกรงว่าคำพูดไม่รู้ควา







