แน่นอนว่าเจียงเหิงก็ได้ยินทุกประโยคของสองสามีภรรยาอย่างชัดเจน
เขาสอบผ่านระดับซิ่วไฉตั้งแต่อายุสิบห้า ตอนนั้นผู้คนในหมู่บ้านต่างพากันเคารพและให้เกียรติคนสกุลเจียงราวกับเป็นเจ้าของหมู่บ้าน
การสอบซิ่วไฉในครั้งนั้นเป็นการสอบระดับตำบล เขาจากเรือนไปแค่สามวันแต่เจียงเหยียนกลับถูกคนในบ้านละเลยกลั่นแกล้ง นางล้มป่วยอยู่เพียงลำพังตลอดสามวันจนเขากลับมาถึงได้มีคนรู้ว่านางป่วย
พอถึงการสอบจวี่เหรินในระดับอำเภอที่กระชั้นชิดกับการสอบซิ่วไฉเพียงไม่นาน ทำให้เขาไม่อาจเดินทางไปสอบได้สะดวก ปัญหามีหลายอย่างทั้งเรื่องเงิน ทั้งเขาไม่อยากทิ้งน้องสาวไว้เพียงลำพังในเรือนเป็นเวลานาน จึงตัดสินใจไม่ไปสอบจวี่เหริน
ไม่คิดว่าชาวบ้านกลับยกเอาเรื่องสกุลเจียงไม่สามารถหาเงินค่าเดินทางให้หลานชายไปเข้าสอบได้ ไปพูดกันปากต่อปากจนข่าวเกินจริงไปมากโข
ชาวบ้านนิสัยไม่ดีขี้อิจฉาบางคนยังประณามเขากับน้องสาวว่าเป็นตัวล้างผลาญของสกุลเจียงอีกด้วยซ้ำ ตั้งแต่นั้นเขาก็กลายเป็นบัณฑิตตกอับที่ชาวบ้านจะให้เกียรติก็เพียงต่อหน้า แต่ลับหลังก็พากันล้อเลียนสนุกปาก
ท่านย่าหูเบาได้ยินคนพูดเข้าหูบ่อยครั้งเข้าก็เชื่อถ้อยคำเหล่านั้นอย่างง่ายดาย ซ้ำยังเหมารวมเอาอาการเจ็บป่วยของคนในเรือนมาโทษว่าเพราะสองพี่น้องเป็นต้นเหตุอีก
ไม่ใช่ธุระอะไรที่เขาจะต้องไปอธิบายให้ทุกคนเข้าใจ และเรื่องที่สกุลเจียงมีปัญหาด้านการเงินนั้นก็เป็นเรื่องจริงที่ไม่อาจปฏิเสธ
“ท่านน้าจะกล่าวอะไร ก็กล่าวออกมาตรงๆ เถิดขอรับ ข้ารอฟังอยู่”
“เจ้าทำให้หลานสาวข้าต้องแปดเปื้อน เจ้าก็ต้องรับผิดชอบ!”
มุมปากของชายหนุ่มยกขึ้นข้างหนึ่ง กวาดตามองสีหน้าของแต่ละคนเพื่อดูว่าคนกลุ่มนี้คิดอย่างไรกับตนบ้าง
บางคนใช้สายตามองมาด้วยความหวัง บางคนเหยียดหยาม บางคนคล้ายกำลังขอร้องให้เขายอมรับ
“หืม?” ชายหนุ่มส่งเสียงในลำคออย่างแปลกใจ
เหตุใดกู้ชิงเหอถึงได้ทำหน้าราวกับกำลังเผชิญหน้ากับภูตผีปีศาจเช่นนั้นเล่า เขาเป็นคนช่วยชีวิตนางมาแท้ๆ
เหตุใดนางถึงกลัวเขา!?
ดวงตาคมสีดำสนิทของเจียงเหิงจับจ้องอยู่บนใบหน้าซูบตอบไร้สีเลือดของกู้ชิงเหออยู่ชั่วขณะก่อนจะย้ายไปที่ร่างของน้องสาว
เขาไม่เคยเห็นเจียงเหยียนเอาใจใส่ผู้ใดเท่ากับกู้ชิงเหอผู้นี้มาก่อนเลย..
ถ้าเขาช่วยกู้ชิงเหอไว้ก็จะได้น้องสาวมาเพิ่มอีกคนไว้อยู่เป็นเพื่อนเจียงเหยียนก็อาจเป็นความคิดที่ดี ยามที่ตนต้องไปสอบอีกครั้งจริงๆ จะได้ไม่ต้องกังวลอีก
“ข้าไม่มีเจตนาจะล่วงเกินนาง แต่หากทุกท่านคิดว่าข้าสมควรต้องรับผิดชอบ ข้าก็จะยอมรับ”
ร่างของกู้ชิงเหออ่อนยวบลงไปกองกับพื้นอีกครั้ง
จบแล้ว! นางหนีจากเจียงเหิงไปไม่ได้ เนื้อเรื่องเป็นไปตามอย่างที่นิยายเขียนไว้จริงๆ
ยามนี้กู้ต้าซุนถึงได้ก้าวออกมายืนเบื้องหน้าภรรยา “เจียงซิ่วไฉ เช่นนั้นเจ้ามีเงินหกร้อยอีแปะ?”
ชายหนุ่มไม่ตอบ แต่กลับล้วงเอาถุงเงินออกมานับแล้วยื่นส่งให้ผู้เฒ่าหลู่
“ขออภัยผู้อาวุโสที่ข้าล่วงเกิน จากนี้ไปสองหมู่บ้านก็ยังคงเป็นมิตรสหายกันเช่นเดิมนะขอรับ”
“ได้ๆๆ เจ้าเกรงใจไปแล้ว คนเราผิดพลาดได้ แต่หากไม่รับผิดชอบนี่สิถึงจะไม่ควรอภัย” ชายชรารับเงินกลับไปเก็บโดยที่ไม่เสียเวลานับ
“แต่ข้าเตือนเจ้าไว้อย่างนะบัณฑิตเจียง สตรีผู้นี้ไร้กตัญญู ท่านลุงกับป้าสะใภ้เลี้ยงดูนางมาหลายปีแต่นางกลับไม่คิดทดแทนคุณซ้ำยังก่อเรื่องให้ผู้คนต้องวุ่นวาย เจ้าก็ดูนางดีๆ หน่อยเล่า” ชายชราตบบ่าเจียงเหิงเบาๆ ก่อนจะเดินจากไปพร้อมกับคนของเขา
กู้ชิงเหอเหม่อมองพื้นดินอย่างเลื่อนลอย นางผิดอะไร? กู้ชิงเหอผู้นี้ทำผิดอะไร นางต่างหากที่เป็นผู้ถูกกระทำมาตลอด!!
หวางชุ่นฮวาเบิกตามองถุงเงินในมือของเจียงเหิงด้วยแววตาลุกวาว นางเห็นอยู่ว่าในถุงเงินนั้นยังมีเงินเหลืออยู่อีก!
“ช้าก่อนตาเฒ่า”
“บ๊ะ! เจ้ายังจะมีปัญหาอะไรอีก นางหวางซื่อ!” ชายชราหันกลับมาตวาดลั่น
“เจ้าให้เงินข้ามาแล้วหกร้อยอีแปะก็จริงอยู่ แต่ตามที่เราตกลงกันไว้ เจ้าจะให้สินสอดหลานสาวข้า 1 ตำลึงมิใช่หรือ? ที่เหลืออีกสี่ร้อยอีแปะเล่า”
“เพ่ย! นางหญิงหิวทอง!! ยามเจ้าพูดจากับผู้คนเจ้าจ้องแต่ถุงเงินโดยไม่มองหน้าผู้ใดเลยหรืออย่างไร!” ผู้เฒ่าหลู่เต้นผาง “ข้าไม่ได้เอาตัวหลานสาวเจ้ากลับไปด้วยจะให้ข้าจ่ายอะไรให้อีก!”
“ข้าไม่รู้ล่ะ แม่สื่อก็เป็นพยานให้ข้าได้ว่าสินสอดของกู้ชิงเหอต้องเป็น 1 ตำลึงเงิน” แต่ข้าเพิ่งได้รับมาเพียงหกร้อยอีแปะแล้วผู้ใดจะรับผิดชอบส่วนที่เหลือให้ข้า!" หวางชุ่นฮวามองสลับไปสลับมาระหว่างเจียงเหิงกับผู้เฒ่าหลู่
“ก็ต้องเป็นเจียงซิ่วไฉน่ะสิ เขาซื้อแม่นางกู้มาจากผู้เฒ่าหลู่แล้วมิใช่หรือ เขาก็ต้องเป็นคนจ่าย” ชายหนุ่มที่มากับผู้เฒ่าหลู่ชี้มือไปยังเจียงเหิง
“ผิดแล้ว 1 ตำลึงนั่นมันเป็นเรื่องที่ผู้เฒ่าหลู่ตกลงกับคนสกุลกู้ แต่เจียงซิ่วไฉตกลงจะซื้อคนในราคาหกร้อยอีแปะ เขาไม่ต้องจ่ายส่วนที่เหลือ” อีกคนว่า
“ข้าว่าเจ้าทำใจเสียเถิดต้าซุน หวางซื่อ อย่าลืมสิว่าบ้านเจียงไม่มีเงินเหลือแล้ว ข้าเดาว่าเท่าที่เจียงซิ่วไฉนำออกมาเมื่อครู่ก็คงจะหมดตัวแล้วกระมัง” บางคนเสียดสีอย่างนึกสนุก
“จริงด้วย ปกติข้าเห็นสกุลเจียงมักจะสั่งซื้อฟืนเข้าไปเก็บไว้เป็นประจำ แต่ระยะหลังมานี้เห็นว่าเจียงซืออวี่ออกไปตัดฟืนเอง แม้แต่ฟืนพวกเขาก็ยังไม่มีปัญญาซื้อแล้ว เหตุใดเจียงซิ่วไฉที่เอาแต่เดินลอยไปลอยมาถึงได้มีเงินมาซื้อตัวสตรีได้คราวละหลายร้อยอีแปะเล่า?”
เจียงเหิงไม่ได้สนใจกับคำพูดของชาวบ้านเลยสักนิด เขารู้อยู่แล้วว่าหวางชุ่นฮวาแสร้งทักท้วงเฒ่าหลู่ก็เพื่อให้ตนยอมจ่ายเพิ่มอีกสี่ร้อยตำลึง
ทีแรกเขาคิดจะยกเลิกการซื้อตัวหญิงสาวไปเสียเลยอย่างนึกรำคาญ ตนก็ไม่ได้เป็นพ่อพระที่จิตใจเมตตาถึงเพียงนั้น! แต่พอเห็นสายตาของน้องสาวแล้วเขาก็ได้แต่ถอนใจ
“เหยียนเอ๋อร์..ข้าตามใจเจ้ามากไปแล้วจริงๆ”
พอเห็นเจียงเหิงยอมควักเงินอีกสี่ร้อยอีแปะออกมาหวางชุ่นฮวาก็ยิ้มแก้มแทบแตก
“ออกเรือนไปแล้วก็ทำตัวดีๆ นะชิงเหอ วันหน้าได้ดิบได้ดีแล้วก็อย่าลืมกลับมาตอบแทนน้ำใจพวกเราบ้างแล้วกัน”
กู้ชิงเหอเหลือบตามองป้าสะใภ้ สตรีใจร้ายผู้นี้ยังคิดจะหาประโยชน์จากนางอีกหรือ!
“ทุกท่านอย่าได้เข้าใจข้าผิด ที่ข้ายอมจ่ายเงินชดเชยจำนวนนี้ออกมามันไม่ใช่ค่าสินสอดสำหรับเจ้าสาว ข้าเห็นนางเป็นเพียงน้องสาวที่น่าสงสารคนหนึ่งเท่านั้น อย่าทำให้ชื่อเสียงนางต้องมาเสื่อมเสียเพราะข้าเลยขอรับ”
นางหวางซื่อยักไหล่ เจียงเหิงจะรับตัวกู้ชิงเหอไปเป็นภรรยาหรือเป็นบ่าวก็แล้วแต่เขาเถิด! ที่แท้เจียงซิ่วไฉก็ไม่ได้ฉลาดสักเท่าใดนัก นางแค่โวยวายนิดหน่อยก็หลงกลนางแล้ว!
“เอาล่ะ ทีนี้ข้ากลับได้แล้วใช่ไหม” ผู้เฒ่าหลู่กล่าวออกมาสีหน้าหงุดหงิด
“ไปให้เร็วเลยตาแก่ ไปแล้วไม่ต้องกลับมาเหยียบที่นี่อีกเลยก็ยิ่งดี!” หวางชุ่นฮวายกมือตวัดไปด้านข้างแรงๆ ราวกับไล่สุนัขจรจัด
กลุ่มของผู้เฒ่าหลู่ทำท่าจะกระโดดกลับมาอีกครั้ง เดือดร้อนให้ชาวบ้านในหมู่บ้านเกาซานต้องมาช่วยกันทั้งห้ามทั้งดึงสองผัวเมียจอมปั่นป่วนกันอีกรอบ
สุดท้ายแล้ววันนี้กู้ชิงเหอก็ได้ยอดอ่อนของเฟินป่าเต็มตะกร้ากับเถาฮุยเถิงเฉ่าติดมือกลับไปที่เรือน พอเก็บของไว้ในเรือนเสร็จนางก็ออกมาเก็บหินจากลำธารแห้งขึ้นมาทำแนวคันหินริมธารอีกครั้ง จนเจียงเหยียนต้องเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย“พี่สาวไม่เหนื่อยหรือเจ้าคะ หินพวกนี้ก็ไม่ใช่เบาๆ เลยนะ”“ไม่เหนื่อยหรอก เจ้าเหนื่อยหรือ? เช่นนั้นก็นั่งดูเฉยๆ” หญิงสาวตอบพลางนึกสงสัยเช่นกันว่าตนเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน“ทำไมต้องเอาหินมาเรียงกันแบบนี้ด้วยเล่าเจ้าคะ”"ถ้าเริ่มสร้างแนวกั้นไว้แต่เนิ่น ๆ พอฝนตกลงมาก็จะช่วยกั้นน้ำเอาไว้ได้”เด็กสาวหัวเราะร่วน “แต่ละปีมีฝนตกลงมาเพียงไม่กี่วันเท่านั้นเองเจ้าค่ะ บางปีไม่ตกเลยสักหยดด้วยซ้ำ พี่สาวคงต้องเหนื่อยเปล่าแล้ว”กู้ชิงเหอได้แต่ก้มหน้าทำต่อไปเงียบ ๆ เพราะนางไม่รู้จะตอบอย่างไร มีบางเรื่องหรือบางคน เช่นหูซุนจ่างและสตรีสองคนบนภูเขาที่นางไม่เคยอ่านเจอในนิยาย อาจมีบางสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปหลังจากที่นางทะลุมิติเข้ามา แต่บางเส้นเรื่องย่อมยังดำเนินตามเดิม เช่นฤดูฝนที่ต้องมาถึงนางรู้ว่าอีกราวหนึ่งเดือนข้างหน้าฝนจะตกลงมาทันเวลากับที่น้ำในลำธารของหมู่บ้านแห้งสนิทลงไปพอดิบพอดี ชาวบ้
มือของกู้ชิงเหอสั่นเล็กน้อยบ่งบอกอารมณ์ของเจ้าของ เพียงแค่ได้ยินชื่อกู้ชิงฉีนางก็รู้สึกอึดอัดไปทั่วร่าง"พวกเจ้าพูดอันใด? ใครเป็นภรรยาของพี่ข้า?" เจียงเหยียนหน้าบึ้งมองสตรีสองคนด้วยความไม่พอใจเฉินเหมยลี่ปรายตาหยาม"ก็แม่นางกู้นั่นอย่างไรเล่า หรือจะให้ข้าพูดให้ชัดว่าพี่เจ้าซื้อนางมาอยู่เรือนเดียวกัน คนทั้งหมู่บ้านต่างก็รู้กันทั้งนั้น"เจียงเหยียนเม้มริมฝีปากแน่น นางได้ยินพี่ชายย้ำหลายครั้งไม่ให้ผู้ใดมาหมิ่นเกียรติพี่สาว แม้จะกลัว..แต่หญิงสาวก็ยังโต้ตอบกลับ "นางมาอยู่เรือนเดียวกับข้าในฐานะใด ก็ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องมาว่าร้ายป้ายสี!"“เหอะ! เจ้าคิดนางจะช่วยเจ้าได้งั้นหรือถึงได้กล้าเถียงข้า เจียงเหยียน!” เฉินเหมยลี่ถลึงตาโตข่มขู่น้องสาวสกุลเจียงผู้นี้แต่ก่อนไม่เคยแม้แต่จะกล้าสบตาพวกนาง แต่วันนี้กลับคิดอยากลองดี นางคงต้องสั่งสอนสักหน่อยเสียแล้ว!เพียะ!ก่อนที่เฉินเหมยลี่จะทันได้เอื้อมมือแตะตัวเจียงเหยียน กู้ชิงเหอก็สาวเท้าเข้ามายืนกั้นระหว่างทั้งสองไว้ มือของนางแตะเบา ๆ ที่แขนของอีกฝ่ายเพียงหวังจะกันไม่ให้เข้ามาใกล้ ทว่าทันใดนั้น...ร่างของเฉินหมยลี่กลับกระเด็นถอยหลังไปถึงสองก้าวเต็ม!"
เจียงเหิงหันมองน้องสาว “ขึ้นเขาไม่ใช่เรื่องเล่น เดินผิดก้าวอาจพลัดตกหินได้”“แต่ข้าระวังได้! ท่านพี่อย่าห้ามข้าเลย ข้าแค่อยากช่วยหาอาหาร ไม่อยากให้พี่ทั้งสองต้องออกแรงหาอยู่ฝ่ายเดียว”เจียงเหยียนกล่าวอย่างมุ่งมั่น ดวงตาสุกใสกู้ชิงเหอยิ้มเล็กน้อย “ไม่เป็นไร ถ้าพรุ่งนี้แดดไม่แรงนักข้าจะพาเจ้าขึ้นไปด้วย ระหว่างทางจะคอยสอนเจ้าว่าพืชอะไรควรเลี่ยง พืชใดกินได้”ชายหนุ่มมองเจียงเหยียนที่โตขึ้นมากกว่าเดิมนัก ดวงหน้านั้นยังคงมีรอยเยาว์วัยอยู่ แต่แววตาเริ่มมีประกายของคนที่พร้อมจะรับผิดชอบชีวิตความรู้เรื่องพืชผักของตนมีไม่เท่ากู้ชิงเหอ สตรีร่างเล็กผู้นี้เดินขึ้นเขาเข้าป่าทุกวันราวกับเป็นบ้านหลังหนึ่ง หากให้นางเป็นคนสอนวิธีเอาตัวรอดให้น้องสาวก็ไม่เลวนัก“หากเจ้าแน่ใจว่าจะไป ข้าก็ไม่ขัด เพียงแต่ต้องฟังแม่นางกู้ให้ดี อย่าซุกซนจนเดินพลาดก็พอ”เจียงเหยียนตาเป็นประกาย รีบพยักหน้าอย่างหนักแน่น“เจ้าค่ะ ข้าจะระวังอย่างยิ่ง!”แววตาของกู้ชิงเหอเจิดจ้าขึ้น แม้จะยังไม่รู้ว่าบนเขานางจะโชคดีได้เจอผักป่าหรือไม่ แต่หากต้องรับตัวกู้ชิงฉีมาอยู่ที่นี่ด้วย ก่อนอื่นนางต้องทำให้เจียงเหิงมั่นใจว่านางมีความสามารถ และ
พอนางเห็นเขา ก็รีบวักน้ำในแอ่งน้ำใสสะอาดที่นางเพิ่งขุดขึ้นมาเองเมื่อเช้ามาล้างมือ แล้ววิ่งกลับมาหาเขาที่เรือน“เจียงเกอเกอกลับมาแล้ว!”“พี่ชายกลับมาแล้ว!” น้องสาวสองคนทักทายเขาพร้อมกันด้วยใบหน้าสดใส ทำเอาเจียงเหิงรู้สึกหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง“ข้าไปรับจ้างเขียนจดหมายให้พ่อค้าร้านชาในตำบล ได้เงินมานิดหน่อย” เขากล่าวพลางยิ้มมุมปาก “เลยซื้อข้าวสารมาเพิ่ม ที่เหลือก็เผื่อไว้วันหน้า”เขาหันมาทางกู้ชิงเหอ สีหน้าย้ำแน่วแน่ “เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องข้าวสารในเรือน หุงหาได้ตามสบาย ข้าจะออกไปทำงานทุกวันเอง วันนี้เพิ่งเริ่มคนยังไม่รู้ว่าข้ารับจ้างเขียน แต่ถ้าไปทุกวันอาจจะมีคนจ้างให้ทำงานอื่นเพิ่มขึ้น”แม้จะกล่าวว่าให้กู้ชิงเหอหุงหาได้ตามชอบ แต่ในใจของเจียงเหิงก็หดหู่ไม่น้อย เดือนก่อนกู้ต้าซุนใช้เงินหกร้อยอีแปะซื้อข้าวสารมาได้ยี่สิบชั่ง แต่วันนี้ข้าวราคาขึ้นสูงถึงชั่งละ 45 อีแปะแล้ว ทั้งตำบล มีเพียงไม่กี่คนที่อ่านออกเขียนได้ แต่ใช่ว่าผู้มีวิชาเหล่านั้นจะยอมลดตนลงมารับจ้างเขียนจดหมายให้ใครคนมีการศึกษายิ่งหายาก ยิ่งถือตัว ห่วงศักดิ์ศรีมากกว่าปากท้องมีเพียงตนเท่านั้น ที่ยอมตั้งโต๊ะเล็ก ๆ หน้าศาลเจ้าป
“พี่สาวกู้ ท่านจะขยายบ่อน้ำตื้นเพิ่มขึ้นอีกหรือเจ้าคะ?” เจียงเหยียนเอียงคอถามนางกับกู้ชิงเหอช่วยกันขุดบ่อน้ำตื้นจนมีความลึกมากพอให้ใช้ถังไม้จ้วงลงไปตักน้ำได้โดยไม่ทำให้น้ำขุ่นสำเร็จแล้ว แต่พี่สาวร่างเล็กกลับยังไม่ยอมหยุดมือ นางยังคงเดินพลิกหินก้อนใหญ่ตามธารน้ำไม่หยุดคล้ายกำลังหาสิ่งใดอยู่“ข้าจะหาปลามาทำเป็นมื้อเย็นให้พวกเราได้กินกัน”“ปลา!! ยังจะมีปลาเหลืออยู่อีกหรือเจ้าคะ?”“ที่ใดมีน้ำ ที่นั่นย่อมมีปลา ยอมเหนื่อยเพิ่มขึ้นอีกนิดวันนี้เราจะได้กินเนื้อปลาแน่นอน!”“ข้ากลัวแต่ท่านจะเหนื่อยเปล่าน่ะสิ..พี่เสี่ยวเหวินชอบหาปลา เขาออกไปจับปลากับเด็กชายในหมู่บ้านทุกวัน จนเวลานี้แม้แต่ปลาตัวเล็กๆ ก็ไม่เหลือแล้ว”“เสี่ยวเหวินหาปลาในน้ำใช่หรือไม่ แต่ข้าจะหาปลาจากในดินให้เจ้าดูเอง” กู้ชิงเหอกล่าวด้วยรอยยิ้มและแววตาซุกซน นางเชื่อว่าในน้ำต้องมีปลาอย่างแน่นอน แต่หากต้องการปลาที่มีขนาดใหญ่สักหน่อย นางต้องหาจากโคลนใต้หินเหล่านี้นั่นล่ะ“เจ้ามาดูนี่สิ!” หญิงสาวกวักมือเรียกเจียงเหยียนเข้ามาใกล้“เจ้าดูให้ดี ดินตรงนี้จะต่างจากบริเวณอื่นเล็กน้อย” เจียงเหยียนนั่งยองพิจารณาดินทรายใต้ก้อนหินที่กู้ชิงเหอเพิ
เมื่อผลักประตูเข้ามาในเรือน เขามองเห็นกู้ชิงเหอยังคงนั่งอยู่ข้างเตาไฟ นางหันมามองเขาเพียงครู่เดียวก็หันกลับไปจัดการกับข้าวต้มบนเตาต่อ“ข้าอุ่นไว้รอท่านเจ้าค่ะ” นางกล่าวพลางตักข้าวใส่ถ้วยเดินมาวางบนโต๊ะ ทำท่าเชื้อเชิญให้เขานั่งลงกินเจียงเหิงรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย เขาคิดว่านางเลินเล่อจนลืมดับไฟในเตากลับกลายเป็นว่ากู้ชิงเหออยู่รออุ่นข้าวให้เขานั่นเองเขาเสมองไปยังประตูห้องที่ปิดสนิท “เหยียนเอ๋อร์หลับไปแล้ว?”“สักพักแล้วเจ้าค่ะ” นางหมุนตัวกลับไปยกจานผักดองมาวางให้เขาอีกครั้งพลางกล่าว“วันนี้ข้าเผลอใช้ข้าวสารไปไม่น้อยเลย แต่ท่านได้น้ำสะอาดมาแล้ว ไว้พรุ่งนี้ข้าจะเติมน้ำแล้วต้มโจ๊กเป็นมื้อเช้าให้นะเจ้าคะ”เจียงเหิงก้มศีรษะตอบรับแต่ไม่รู้จะว่าตนเองควรตอบกลับนางว่าอะไรดี เขาไม่ใช่คนช่างเจรจาอยู่แล้ว เรื่องอาหารการกินมีนางมาช่วยอีกคนก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือ นางอยากทำอะไรก็ทำไปเถิด เขามีหน้าที่ต้องหาเงินมาดูแลครอบครัวเท่านั้นชายหนุ่มเลือกก้มหน้าก้มตากินข้าวต้มกับผักดองไปเงียบๆ สายตาก็แอบมองร่างเล็กที่ค่อยๆ เทน้ำที่เขาไปแบกมาใส่ไปในโอ่งดินที่ว่างอยู่อีกใบช้าๆยามเขากินนางก็เพิ่มฟืนในเตาให้ลุ