ยามนี้กู้ต้าซุนถึงได้กล้าหาญ ก้าวออกมายืนเบื้องหน้าภรรยา “เจียงซิ่วไฉ อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะ เรื่องนี้เจ้าเอ่ยปากเปล่าไม่ได้ จะรับตัวหลานสาวข้าไปเจ้าก็ต้องมีเงินหกร้อยอีแปะไปคืนตาเฒ่าหลู่ เจ้ามีหรือไม่เล่า?”
ชายหนุ่มไม่ตอบ แต่กลับล้วงเอาถุงเงินออกมานับแล้วยื่นส่งให้ผู้เฒ่าหลู่โดยตรง
“ขออภัยผู้อาวุโสที่ข้าล่วงเกิน”
ชายชราดีใจจนเนื้อเต้น เขาคิดว่าจะต้องเสียเงินไปเปล่าเสียแล้ว
“เจ้าเกรงใจไปแล้ว คนเราย่อมผิดพลาดกันได้ แต่หากทำผิดแล้วไม่รับผิดชอบนี่สิถึงจะไม่ควรอภัย” ผู้เฒ่าหลู่รับเงินกลับไปเก็บโดยที่ไม่เสียเวลานับ
“แต่ข้าเตือนเจ้าไว้อย่างนะบัณฑิตเจียง สตรีผู้นี้ไร้กตัญญู ลุงกับป้าสะใภ้เลี้ยงดูนางมาหลายปีแต่นางกลับไม่คิดทดแทนคุณ! ซ้ำยังก่อเรื่องให้ผู้คนต้องวุ่นวาย เจ้าก็ดูนางให้ดีๆ หน่อยเล่า” ชายชราตบบ่าเจียงเหิงเบาๆ ก่อนจะเดินจากไปพร้อมกับคนของเขา
กู้ชิงเหอเหม่อมองพื้นดินอย่างเลื่อนลอย นางผิดอะไร? กู้ชิงเหอผู้นี้ทำผิดอะไร นางต่างหากที่เป็นผู้ถูกกระทำมาตลอด!!
หวางชุ่นฮวาเบิกตามองถุงเงินในมือของเจียงเหิงด้วยแววตาลุกวาว นางเห็นอยู่ว่าในถุงเงินนั้นยังมีเงินเหลืออยู่อีก!
“ช้าก่อนตาเฒ่า”
“บ๊ะ! เจ้ายังจะมีปัญหาอะไรอีก นางหวางซื่อ!” ชายชราหันกลับมาตวาดลั่น
“เจ้าให้เงินข้ามาแล้วหกร้อยอีแปะก็จริงอยู่ แต่ตามที่เราตกลงกันไว้ เจ้าจะให้สินสอดหลานสาวข้า 1 ตำลึงมิใช่หรือ? ที่เหลืออีกสี่ร้อยอีแปะเล่า”
“เพ่ย! นางหญิงหิวทอง!! ยามเจ้าพูดจากับผู้คนเจ้าจ้องแต่ถุงเงินโดยไม่มองหน้าผู้ใดเลยหรืออย่างไร!” ผู้เฒ่าหลู่เต้นผาง “ข้าไม่ได้เอาตัวหลานสาวเจ้ากลับไปด้วยจะให้ข้าจ่ายอะไรให้อีก!”
“ข้าไม่รู้ล่ะ แม่สื่อก็เป็นพยานให้ข้าได้ว่าสินสอดของกู้ชิงเหอต้องเป็น 1 ตำลึงเงิน” แต่ข้าเพิ่งได้รับมาเพียงหกร้อยอีแปะแล้วผู้ใดจะรับผิดชอบส่วนที่เหลือให้ข้า!" หวางชุ่นฮวามองสลับไปสลับมาระหว่างเจียงเหิงกับผู้เฒ่าหลู่
“ก็ต้องเป็นเจียงซิ่วไฉน่ะสิ เขาซื้อแม่นางกู้มาจากผู้เฒ่าหลู่แล้วมิใช่หรือ เขาก็ต้องเป็นคนจ่าย” ชายหนุ่มที่มากับผู้เฒ่าหลู่ชี้มือไปยังเจียงเหิง
“ผิดแล้ว 1 ตำลึงนั่นมันเป็นเรื่องที่ผู้เฒ่าหลู่ตกลงกับคนสกุลกู้ แต่เจียงซิ่วไฉตกลงจะซื้อคนในราคาหกร้อยอีแปะ เขาไม่ต้องจ่ายส่วนที่เหลือ” อีกคนว่า
“ข้าว่าเจ้าทำใจเสียเถิดต้าซุน หวางซื่อ อย่าลืมสิว่าบ้านเจียงไม่มีเงินเหลือแล้ว ข้าเดาว่าเท่าที่เจียงซิ่วไฉนำออกมาเมื่อครู่ก็คงจะหมดตัวแล้วกระมัง” บางคนเสียดสีอย่างนึกสนุก”
เจียงเหิงไม่ได้สนใจกับคำพูดของชาวบ้านเลยสักนิด เขารู้อยู่แล้วว่าหวางชุ่นฮวาแสร้งทักท้วงเฒ่าหลู่ก็เพื่อให้ตนยอมจ่ายเพิ่มอีกสี่ร้อยตำลึง
ทีแรกเขาคิดจะยกเลิกการซื้อตัวหญิงสาวไปเสียเลยอย่างนึกรำคาญ ตนก็ไม่ได้เป็นพ่อพระที่จิตใจเมตตาถึงเพียงนั้น! แต่พอเห็นสายตาของน้องสาวแล้วเขาก็ได้แต่ถอนใจ
“เหยียนเอ๋อร์..ข้าตามใจเจ้ามากไปแล้วจริงๆ”
พอเห็นเจียงเหิงยอมควักเงินอีกสี่ร้อยอีแปะยื่นส่งให้ หวางชุ่นฮวาก็ยิ้มแก้มแทบแตก รีบคว้าเงินทั้งหมดเก็บเข้าไปไว้ในแขนเสื้อแล้วเดินมาสั่งความหลานสาวสามีด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ออกเรือนไปแล้วก็ทำตัวดีๆ นะชิงเหอ วันหน้าได้ดิบได้ดีแล้วก็อย่าลืมกลับมาตอบแทนน้ำใจพวกเราบ้างแล้วกัน”
กู้ชิงเหอเหลือบตามองป้าสะใภ้ สตรีใจร้ายผู้นี้ยังคิดจะหาประโยชน์จากนางอีกหรือ!
เจียงเหิงชักสีหน้าใส่หวางชุ่นฮวา ก่อนจะเอ่ยเสียงดังให้ทุกคนได้ยิน “ทุกท่านอย่าได้เข้าใจผิด เงินที่ข้ายอมจ่ายไปก็แค่ค่าชดเชยชีวิตคน ไม่เกี่ยวกับสินสอด อย่าเอาเรื่องข้ากับนางไปตีความให้เสื่อมเสีย!”
นางหวางซื่อยักไหล่ เจียงเหิงจะรับตัวกู้ชิงเหอไปเป็นภรรยาหรือเป็นบ่าวก็แล้วแต่เขาเถิด! ที่แท้เจียงซิ่วไฉก็ไม่ได้ฉลาดสักเท่าใดนัก นางแค่โวยวายนิดหน่อยก็หลงกลนางแล้ว!
“เอาล่ะ ทีนี้ข้ากลับได้แล้วใช่ไหม” ผู้เฒ่าหลู่กล่าวออกมาสีหน้าหงุดหงิด
“ไปให้เร็วเลยตาแก่ ไปแล้วไม่ต้องกลับมาเหยียบที่นี่อีกเลยก็ยิ่งดี!” หวางชุ่นฮวายกมือตวัดไปด้านข้างแรงๆ ราวกับไล่สุนัขจรจัด
กลุ่มของผู้เฒ่าหลู่ทำท่าจะกระโดดกลับมาอีกครั้ง เดือดร้อนให้ชาวบ้านในหมู่บ้านเกาซานต้องมาช่วยกันทั้งห้ามทั้งดึงสองผัวเมียจอมปั่นป่วนกันอีกรอบ
“เหยียนเอ๋อร์..เรากลับบ้านกันเถิด” เจียงเหิงพยักหน้าให้น้องสาว
“ข้า..ข้า” กู้ชิงเหอไม่รู้จะทำเช่นไรดี นางควรตามเจียงเหิงกลับไปในตอนนี้ หรือจะพยายามหาทางรั้งอยู่กับท่านลุงให้ได้อีกสักวันสองวัน
“ท่านลุง ข้าขอกลับไป..”
“ไม่ได้!!” หวางชุ่นฮวาขัดขึ้นทันควันโดยไม่รอให้นางพูดจบประโยค “เรือนสกุลกู้มิใช่โรงทาน เจียงซิ่วไฉรับตัวเจ้าไปแล้วเจ้าก็ต้องไปกับเขา จะกลับมาเรือนเดิมให้ชาวบ้านเขานินทาข้าได้หรือ?” น้ำเสียงของนางคล้ายห่วงเกียรติบ้าน แต่ใครก็รู้ว่า นางห่วงแค่ข้าวในหม้อของตนเท่านั้น!
กู้ชิงเหอเม้มริมฝีปากแน่น ก้มมองดูร่างกายผ่ายผอมของตัวเอง “ข้าไม่ได้เอาเสื้อผ้ามาด้วย ข้าขอกลับไปที่เรือนสักรอบได้หรือไม่เจ้าคะ"
กู้ต้าซุนที่ยืนฟังอยู่คัดค้านขึ้นมาทันที “เจ้าอย่าถ่วงเวลาอีกเลยชิงเหอ เอาไว้พรุ่งนี้ข้าจะเอาของๆ เจ้าไปส่งให้ที่เรือนสกุลเจียงก็แล้วกัน”
สีหน้าของเจียงเหิงที่ยืนฟังอยู่เงียบ ๆ พลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย คิ้วเรียวย่นเข้าหากันอย่างครุ่นคิด
กู้ชิงเหอมีน้องชายอยู่อีกคน ที่นางไม่อยากออกเรือนไปอยู่ที่อื่นก็คงเพราะเป็นห่วงน้องชาย
เขาแก้ปัญหาให้นางได้อยู่ในหมู่บ้านเดิมก็ยังมีโอกาสได้พบหน้าน้องชาย และเขายังบอกชัดเจนอีกว่าเขาไม่ได้ต้องการเอาตัวนางมาเป็นภรรยา ไม่รู้หญิงสาวผู้นี้จะกลัวอะไรตนนักหนา
แต่แล้วความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา ใต้ชายคาท่านลุงแท้ ๆ ของนางยังลำบากถึงเพียงนี้ นางย่อมไม่อาจไว้ใจผู้ใดง่าย ๆ เช่นกัน
บางทีเขาควรอ่อนโยนกับนางบ้าง… อย่างน้อยก็เพราะสุดท้ายแล้ว เขาต้องฝากฝังนางให้ดูแลเจียงเหยียน
กู้ชิงเหอยืนนิ่งคล้ายรูปสลักสีซีด ร่างผอมบางของนางยังไม่ขยับไปไหน ก่อนจะกลั้นใจก้าวเท้าเดินตามสองพี่น้องสกุลเจียงไปราวกับยอมรับชะตากรรม
บ้านเรือนเก่าแก่และถนนดินแห้งแล้งของหมู่บ้านเกาซานรายล้อมด้วยทุ่งหญ้ารกชัฏที่กำลังจะตาย ใบไม้แห้งกรอบแทบไม่มีเหลือให้ปลิวไสว
เสียงซุบซิบนินทาแว่วเข้าหูพวกเขาอยู่เป็นระยะ คนสองสามคนแอบมองกู้ชิงเหอด้วยสายตาแตกต่างกันไป และยังมีบางคนวิ่งไปทางท้ายหมู่บ้านเพื่อส่งข่าวให้สกุลเจียงได้รับรู้อีกด้วย
เจียงเหิงกัดฟันแน่น เจียงไห่สามีของแม่นมหายตัวไปจริง แต่คนที่แม่นมลั่วคิดจะออกไปตามหาในเวลานั้นไม่ใช่เขาในปีนั้น กวานจิ้งหยวน บิดาที่แท้จริงของเขาถูกผู้มีอำนาจใส่ความว่ากบฏ จึงรีบส่งคนมาบอกให้มารดาของเขารีบหนีออกจากจวนโดยด่วนระหว่างทาง รถม้าที่พวกเขาโดยสารถูกคนร้ายติดตามไม่ลดละ ทหารที่คุ้มกันจำต้องลวงศัตรูให้แยกไปอีกทางปล่อยให้สามแม่ลูกหลบหนีมาพร้อมกับลั่วหลินและบุตรสาวของนางแต่ก่อนจะถึงหมู่บ้านเกาซาน รถม้ากลับลื่นตกเหว แม่นมลั่วคว้าตัวเจียงเหยียนไว้ได้ทัน ส่วนเขาก็กระเด็นออกมาอยู่บนพื้นดิน… ทว่าเบื้องล่างเหวนั้นกลับกลืนร่างของ จางเหยามารดาของตนและบุตรสาวของแม่นมไปพร้อมกันลั่วหลินในเวลานั้นมิใช่ไม่อยากเสี่ยงชีวิตลงไป แต่เหวลึกชันนัก ต่อให้เดินอ้อมภูเขาหลายลูกเพื่อหาทางลงไปถึงก้นเหวก็ไม่รู้ว่ากว่าจะไปถึงจะยังเหลือสิ่งใดให้ค้นหา พวกเขาสามคนนั่งร่ำไห้อยู่บนปากเหวอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร แม่นมลั่วสูญเสียบุตรสาว ตัวเขาเองก็เสียใจที่เห็นมารดาตกเหวลึกไปต่อหน้า แต่เจียงเหยียนนั้นอาการหนักที่สุด นางตกใจอย่างรุนแรงตาค้างจนหมดสติ สุดท้ายแม่นมลั่วก็ต้องกัดฟันพาเขาและน้องสาวเดินทางต่อจนถึงหมู่บ
สวี่อี้หมิงไม่เพียงไม่ยอมตามน้ำ หากยังตอกย้ำเสียงดังฟังชัด“เมื่อครู่ข้าเพิ่งมอบเงินร้อยตำลึงให้นางหนูนั่นใช้ขยายเรือน เงินนั่นยังมากพอจะซื้ออุปกรณ์การเรียนให้เด็กๆ ในหมู่บ้านได้อีกด้วยซ้ำ ข้าจะอยู่ตรงไหนก็ไม่เห็นต้องเดือดร้อนให้ผู้ใดมาจัดหา”กู้ชิงเหออ้าปากตาค้าง ดวงตากลมเบิกโพลง นางนึกว่าเงินนั้นได้มาเปล่าๆ ที่ไหนได้ กลายเป็นว่าต้องใช้สร้างเรือน ต้องจัดหาอาหารการกินเลี้ยงดูท่านผู้สูงส่งผู้นี้ แล้วยังต้องแบกรับภาระซื้อของแจกเด็กๆ อีก! หากมิใช่ว่านางยังหวังจะให้เขาช่วยชี้แนะเจียงเหิงในเรื่องการสอบจวี่เหรินที่ใกล้จะมาถึง นางคงตะเพิดเขาออกไปตั้งแต่ประโยคแรกแล้ว!!ฝ่ายหลี่ซื่อ เมื่อได้ยินว่าเงินก้อนโตถึงร้อยตำลึงไปตกอยู่ในมือของกู้ชิงเหอ ดวงตาก็ลุกวาวด้วยความโลภทันที ความอิจฉาผสมโกรธจนอกแทบระเบิด นางรีบแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยสวี่อี้หมิง“เอาเงินตั้งร้อยตำลึงไปไว้กับเด็กสาวไม่รู้ประสาเช่นนี้ ก็ไม่ต่างอะไรจากเอาไปเผาไฟเล่นหรอกเจ้าค่ะ! ไม่สู้มอบมาให้ข้าจัดการเถิด รับรองจะทำได้ดีกว่า”นางปรายตามองกู้ชิงเหออย่างเยาะหยัน ก่อนเอ่ยต่อราวกับตัดสินแทนทุกคน“อย่างไรก็สกุลเจียงด้วยกันทั้
“ท่านแม่! ท่านมาวุ่นวายอะไรที่นี่!” เจียงเสี่ยวเหวินรีบเข้ามาแทรกอยู่ตรงกลาง บดบังสายตาของเจียงเหิงไว้ ทำให้เจียงเหิงต้องพยายามทำใจให้เย็นลง ต่อให้เขาเกลียดสตรีผู้นี้เพียงใด นางก็เป็นมารดาของเจียงเสี่ยวเหวินอยู่ดีหลี่ซื่อค้อนบุตรชายทีหนึ่ง แต่ไม่กล้าบ่นอะไรมากต่อหน้าเจียงเหิง นางจึงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วเปลี่ยนเรื่อง“ข้าได้ยินท่านย่าเจ้าบอกว่ามีขุนนางเข้ามาตรวจสอบฝ้ายมิใช่หรือ? ข้าอยากมาถามให้แน่ใจว่าฝ้ายพวกนี้จะขายได้ราคาดีจริงหรือไม่น่ะสิ” ชาวบ้านที่ติดตามลูกๆ ของตนมาด้วยทำสีหน้างุนงง เจียงเสี่ยวเหวินวิ่งออกไปบอกกับสหายของเขาในหมู่บ้านว่ายามนี้มีอาจารย์จากเมืองหลวงมาพักอยู่ที่เรือนเจียงซิ่วไฉ และยังจะสอนหนังสือให้เขากับกู้ชิงฉีด้วย เด็กๆ อยากเห็นอาจารย์จากในวังจึงได้ตามเสี่ยวเหวินมา ส่วนพวกตนที่ได้ยินข่าวก็เดินตามมาด้วยหวังจะมาเคารพท่านอาจารย์จากในเมืองสักครั้ง แต่เหตุใดหลี่ซื่อจึงบอกว่าคนผู้นั้นเป็นขุนนางที่มาตรวจสอบฝ้ายเล่า? “ขุนนางตรวจสอบฝ้ายอันใดกันหลี่ซื่อ? บุตรชายเจ้าบอกว่าที่เรือนของเจียงซิ่วไฉมีท่านอาจารย์มาพำนักอยู่ด้วยต่างหาก!” สตรีนางหนึ่งตำหนิ เกรงว่าคำพูดไม่รู้ควา
กู้ชิงเหอรู้สึกหนักใจเล็กน้อย เมื่อครู่ที่นางกล่าวว่าเชื่อเขานั้น นางไม่ได้พูดปดเลยสักนิดแม้จะไม่แน่ชัดว่าสวี่อี้หมิงเคยเกี่ยวพันกับฮ่องเต้จริงหรือไม่ แต่นางรู้สึกว่าระหว่างเขากับเจียงเหิงดูเหมือนคนที่เคยรู้จักกันมาก่อน ที่สำคัญ..ตัวละครที่ปรากฏตัวออกมาอย่างน่าตื่นตะลึงเช่นสวี่อี้หมิงจะไม่มีบทบาทใดเลยหรือ? เขาน่าจะเป็นตัวปัญหาอย่างที่นางคิดไว้แต่แรก และอาจเป็นผู้ชักจูงเจียงเหิงให้เปลี่ยนแปลงไปในทางร้ายด้วยซ้ำ!!กู้ชิงเหอหลับตาลงชั่วครู่ นึกถึงภาพเจียงเหิงในอนาคตที่นางเคยอ่านในนิยาย ชายหนุ่มผู้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งขุนนางใหญ่ในราชสำนัก เป็นผู้มากด้วยเล่ห์เหลี่ยม คำพูดทุกคำแฝงคมมีด ทุกย่างก้าวบดขยี้ผู้อื่นโดยไร้ความลังเล ในตำแหน่งเดิมเขาอาจดูสงบเยือกเย็น ทว่าแท้จริงแล้วเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมอำมหิต เหมือนงูพิษที่เงียบเชียบแต่พร้อมจะฉกกัดทุกเมื่อบุคคลเช่นนั้น ไม่มีผู้ใดกล้าขวางทาง ไม่ว่าจะขุนนาง ขันที หรือแม้แต่เชื้อพระวงศ์ ล้วนต้องถอยให้เขาสามก้าว แค่เอ่ยนาม “เจียงเหิง” ก็เพียงพอจะทำให้ทั้งราชสำนักสะท้านหวาดหวั่นทว่าบุรุษตรงหน้ากลับต่างออกไปโดยสิ้นเชิง สวี่อี้หมิงเป็นคนอวดดีตรงไปตรงมา ร้
“อาเหิง เจ้ากลับมาแล้ว เช่นนั้นข้ากับย่าเจ้าจะกลับเรือนใหญ่ล่ะนะ” ท่านปู่ตะโกนเรียกเสียงดัง “เสี่ยวเหวิน คืนนี้เจ้าอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนพี่ใหญ่เถิด ข้าจะบอกแม่เจ้าเอง” ผู้เฒ่าเจียงยังไม่วางใจนัก จึงกำชับต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่นย่าเหยาเม้มปากแน่น หากผู้เฒ่าเจียงไม่สั่งความเช่นนี้นางก็คงไม่คิดมาก แต่ตอนนี้นางเริ่มห่วงว่าหากคนร้ายตามสวี่อี้หมิงมาถึงเรือนของหลานชายเล่า? จะมีอันตรายอะไรกับเด็กๆ หรือไม่ หญิงชราลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะก้าวมาหาหลานรัก “หากเกิดเหตุร้ายแรงอันใด…เจ้าต้องรีบวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น วิ่งไปเรือนหูซุนจ่างก็แล้วกัน ไม่ต้องกลับไปที่เรือนเราหรอก บิดาเจ้าก็ช่วยเหลือใครไม่ได้อยู่ดี”กู้ชิงเหอได้ยินถ้อยคำนั้น มุมปากก็ยกยิ้มจาง ๆ ในใจแอบคิดว่า แม้ท่านย่าเหยาจะเคยลำเอียงจนทำให้สองพี่น้องลำบาก แต่นั่นก็เป็นเพียงเพราะรักเสี่ยวเหวินมากเกินไป หาใช่เพราะโหดร้ายอันใด ที่แท้ในใจนางก็ยังคิดห่วงเจียงเหิงกับเจียงเหยียนอยู่บ้างต่างจากกู้ต้าซุนกับหวางชุ่นฮวา ที่กล้าขายหลานกินอย่างไม่น่าให้อภัย!!คืนนั้น เจียงเหิงพากู้ชิงฉีและเจียงเสี่ยวเหวินมาปูเสื่ออยู่หน้าห้อง ปล่อยให้สวี่อ
สวี่อี้หมิงถูกปู่เจียงกับกู้ชิงฉีช่วยกันพาเข้าไปนอนในห้องของเจียงเหิงที่ไม่ได้กลับมานอนที่เรือนหลายวันแล้ว กู้ชิงฉีคอยเป็นลูกมือพร้อมกับเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ผู้เฒ่าเจียงฟัง ระหว่างที่เขาช่วยจัดการบาดแผลบนหน้าอกให้กับชายแปลกหน้า พอสวี่อี้หมิงหลับไปแล้ว ชายชราก็ยังนั่งเฝ้าอยู่หน้าประตูห้อง บางครั้งก็ลุกขึ้นชะเง้อมองไปทางหน้าเรือนไม่หยุด จนเจียงเหยียนต้องเตือนให้เขาพักผ่อนบ้าง“ในเรือนมีแต่สตรีกับเด็ก ข้าจะปล่อยให้พวกเจ้าอยู่กับชายแปลกหน้าเพียงลำพังได้อย่างไร” ท่านปู่บ่น“ข้าขออภัยด้วยเจ้าค่ะท่านปู่ ที่ทำให้ท่านต้องกังวล..” กู้ชิงเหอขอโทษเสียงแผ่ว “ข้าเห็นว่าเขาท่าทางภูมิฐานไม่เหมือนพวกโจรป่าจึงกล้าช่วยเหลือ อีกอย่าง..เขาบอกว่าหากช่วยเขา เขาจะตอบแทนน้ำใจอย่างงามเลยเจ้าค่ะ” ย่าเหยาคิ้วกระตุกขึ้นมาเล็กน้อย รีบลุกเดินเข้าไปสำรวจบุรุษแปลกหน้าผู้นั้นอย่างละเอียด “ชิงเหอกล่าวไม่ผิดเขาไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดาอย่างพวกเราหรอกนะตาเฒ่า หรือว่าอาจจะเป็นขุนนางที่เข้ามาตรวจสอบการเพาะปลูกฝ้าย!!” คำกล่าวนั้นทำให้กู้ชิงเหอสะดุ้งเล็กน้อย หากมีขุนนางมานอนตายอยู่ในที่ดินของเจียงเหิงคงเป็นเรื่องใหญ่แน่ โชคด