ค่ำวันศุกร์ปลายฤดูร้อน เมืองใหญ่สว่างวาบด้วยป้ายไฟและเสียงรถยนต์พ่นลมหายใจยาวไม่รู้เหนื่อย คอนโดหรูย่านธุรกิจที่ว่ากันว่าวิวดีระดับพรีเมียม มีเลาจน์บนชั้นดาดฟ้าสำหรับนั่งรับประทานอาหาร จิบเครื่องดื่ม ไปพร้อมกับบรรยาศที่ดีแบบสุด ๆ
เสียงรองเท้าส้นเสียงดังจิกพื้นเหมือนโน้ตดนตรี หลินเยว่หลานเข้ามาอย่างมั่นใจ หญิงสาวที่แม้ไม่ต้องพยายามแต่งสวยก็เด่นสะดุดตา นางคือบิวตี้บล็อกเกอร์ตัวท็อป ผู้ติดตามหลักล้าน คลิปแนะนำสกินแคร์ 7 วันสวยด้วยหน้าสดของนางถูกแชร์อย่างถล่มทลาย
ค่ำนี้นางแต่งตัวสวยแบบเรียบหรู แต่งหน้าอ่อน ๆ เบา ๆ หน้าผิวฉ่ำแบบน้ำค้าง ตาเรียวสวยดูใจดีและดื้อในเวลาเดียวกัน ชุดเดรสไหมสีน้ำนมไหลลู่ เหมาะกับแสงโกลเด้นของไฟระย้าที่คลอไปกับเพลงแจ๊สเบา ๆ
จานเรียกน้ำย่อยถูกยกมาเสิร์ฟ เสียงแก้วกระทบกันเบา ๆ ราวกับประกายดาว หลินเยว่หลานยิ้มให้ซูเหม่ยหรง เพื่อนนสาวคนสนิทที่อยู่ข้างนางมาตั้งแต่เริ่มทำคลิปแรก
“ดีลคืนนี้ตกลงแล้ว นับว่าเราเริ่มต้นได้ดีทีเดียว” นางพูดเสียงเบาแต่ชัด
“แบรนด์ของเราจะเปิดพรีออเดอร์เดือนหน้า”
ซูเหม่ยหรงสวยคมแบบแม่เสือสาว ยิ้มเก่งจนคนรอบข้างรู้สึกสบายใจง่าย นางหัวเราะนุ่ม
“ฉันบอกแล้วไง เยว่หลาน นางเกิดมาเพื่อเวทีนี้ เวลาอยู่หน้ากล้อง นางชนะได้ทุกแสงไฟ เอ้า! มา ชนแก้วกันหน่อย”
คนงานยื่นไวน์สีทับทิมเข้ามาพอดี กลิ่นผลไม้เปรี้ยวหวานลอยฟุ้ง เยว่หลานยกแก้วขึ้นมือเรียวยาวสะท้อนแสงไฟกลายเป็นภาพที่ถ้าถ่ายสโลว์ก็พร้อมลงสตอรี่ นางยิ้มให้ซูเหม่ยหรง พร้อมกับชนแก้วกันเบา ๆ
“เพื่อความฝันของเรา” หลินเยว่หลานว่า
“เพื่อความฝันของเรา” ซูเหม่ยหรงย้ำคำเดียวกัน แต่อะไรเล็ก ๆ ในหางเสียงเหมือนหนามบางเบาที่คอยทิ่มช้า ๆ จนไม่รู้สึกในทันที
ระหว่างพูดคุยกันเรื่องแผนการตลาด ทั้งคู่คุยกันอย่างออกรสออกชาติ ทั้งเรื่องการจ้างอินฟลูเอนเซอร์ การทำคอนเทนต์โปรโมต หลินเยว่หลานทำมือประกอบจนคนงานที่เห็นแอบอมยิ้ม ผู้ติดตามของหลินเยว่หลานไม่ได้รักเฉพาะผลลัพธ์ที่นางสอน แต่รักความเป็นคนจริงจังที่มีอารมณ์ขันแบบไม่ฝืนและความเป็นตัวของตัวเองของนาง
“นี่ ลองค็อกเทลซิกเนเจอร์หน่อยไหม ฉันสั่งให้แล้ว” ซูเหม่ยหรงชี้ไปที่แก้วทรงสูง สีชมพูมุกตัดกับโฟมขาวเนียน เหมือนเมฆนมสตรอว์เบอร์รี่ในฝัน
“บาร์เทนเดอร์บอกว่ามันเข้ากับลิปสีที่นางทาอยู่พอดี ถ่ายลงสตอรี่ปุ๊บ ยอดวิวพุ่งปั๊บแน่”
หลินเยว่หลานหัวเราะ “ขนาดนั้นเลยดิ”
นางหยิบแก้วขึ้น กลิ่นหอมหวานปะทะปลายจมูกอย่างน่าพิศวง หอมแบบเด็กดีที่ซ่อนเล่ห์ นางจิบอย่างไว ชิมโฟมแล้วเลียนิ้วอย่างเผลอตัว นิสัยน่ารักที่ไม่เคยคิดจะปรุงแต่งนี่แหละที่ดึงดูดผู้คนให้ชื่นชอบ
ซูเหม่ยหรงส่งสายตาชื่นชม “ต้องอย่างนี้สิ บิวตี้บล็อกเกอร์คนดังของฉัน”
ไม่มีใครทันสังเกต จุดเล็กจิ๋วคล้ายฟองละลายไม่หมดที่ขอบแก้ว มันจมหายไปเร็วเหมือนสัญญาบางอย่างที่ไม่เคยมีอยู่จริง
หลังอาหาร ทั้งคู่ย้ายจากเลาจน์ไปยังห้องของซูเหม่ยหรงในคอนโดเดียวกัน ห้องนั้นกว้างโล่งและสะอาดเป็นระเบียบ โซฟาหนังสีทรายเสริมด้วยหมอนกำมะหยี่สีขาวนุ่ม ตรงระเบียงมีวิวเมืองระยิบระยับเต็มผืนกระจก หลินเยว่หลานถอดรองเท้าส้นสูง เดินเท้าเปล่าลงบนพรมขนยาวอย่างโล่งใจ
“อย่าลืมล่ะ คืนนี้เราต้องถ่ายวิดีโอขอบคุณผู้ติดตามด้วยนะ” ซูเหม่ยหรงเตือน
“ล้านห้าแสนคนแล้ว! โอ๊ย ฉันตื่นเต้น”
หลินเยว่หลานยิ้มตาหยี “ฉันจะพูดสั้น ๆ ไม่สปอยล์โปรดักต์มาก เดี๋ยวมีดราม่าว่าปั่นยอด”
“ใช่ ไม่เอาวิชาการนะ” ซูเหม่ยหรงขำ
“นางนี่ชอบหลุดเข้าโหมดครูวิทย์อยู่เรื่อย”
หลินเยว่หลานทำท่าทะเล้น “ก็ฉันตั้งใจอยากให้ข้อมูลที่ถูกต้องไง”
พูดจบนางก็หัวเราะเอง “โอเค ๆ จะฮา ๆ ละมุน ๆ ตามสไตล์เรา”
ซูเหม่ยหรงหยิบแก้วค็อกเทลอีกแก้วจากเคาน์เตอร์ครัว เปิดฝาเชคเกอร์อย่างคล่องแคล่ว เทให้เยว่หลานครึ่งแก้ว
“ดื่มนิดหน่อยให้คลายเกร็ง จะได้พูดลื่น ๆ”
หลินเยว่หลานรับมาโดยไม่คิดอะไร นางถ่ายสตอรี่เบื้องหลัง ใส่ฟิลเตอร์วิบวับกับซาวด์ยอดฮิต ใส่สติกเกอร์ประกอบนิดหน่อย ก่อนจะหันกลับมาทดสอบไฟหน้ากล้อง ซูเหม่ยหรงช่วยตั้งขาตั้งกล้องและปรับแสงไฟให้พอดี
“เริ่มได้” ซูเหม่ยหรงยกนิ้ว
หลินเยว่หลานยิ้มกว้าง เสียงนุ่มชัดแจ๋ว “ฮายยย ทุกคน เยว่หลานเองนะคะ วันนี้ยอดผู้ติดตามเราแตะหลักหนึ่งล้านห้าแสนแล้ว ขอบคุณมาก ๆ ที่อยู่ด้วยกันมาตลอด วันนี้เรากำลังจะก้าวหน้าขึ้นอีกขั้นแล้ว”
นางพูดด้วยประกายตาแบบคนเห็นตัวเองมาไกลมากกว่าเมื่อวาน พร้อมกับพูดแทรกมุกขำขัน
“ใครที่ชอบริมฝีปากแตกกร้าน ฝากกดไลก์คลิปนี้ไว้นะคะ เดี๋ยวมีทริคดี ๆ มาแนะนำการแก้ปากแตกปากกร้านให้ค่ะ”
วิดีโอดำเนินไปอย่างราบรื่น จนถึงช่วงท้ายที่นางเผลอไอเบา ๆ แล้วกลั้วหัวเราะ
“ขอโทษค่ะ คอแห้งนิดนึง” นางยกแก้วค็อกเทลขึ้นจิบอีกครั้งเพื่อให้เสียงชุ่ม หยุดครู่หนึ่งแล้วปิดด้วยประโยคซึ่งกลายเป็นคำคมสุดท้ายก่อนปิดคลิป
“ความงามที่ดีที่สุด คือความงามที่เราไม่ต้องพยายามให้ตัวเองเหนื่อยเกินไป ไว้เจอกันคลิปหน้านะคะ”
นางยกมือไหว้กล้องแบบน่ารัก เสี้ยววินาทีถัดมา นิ้วเรียวปล่อยแก้วลงจานรอง ทว่าในอกกลับรู้สึกแปลก ๆ นางนั่งนิ่งไปสองวินาที เหมือนกำลังฟังเสียงบางอย่างที่คนอื่นไม่ได้ยิน
“เยว่หลาน เป็นอะไรหรือเปล่า” ซูเหม่ยหรงเอ่ยถาม น้ำเสียงยังติดยิ้ม แต่หางคิ้วเกร็งขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่
“ฉันตาพร่าแปลก ๆ” หลินเยว่หลานพึมพำ นางกะพริบถี่ หายใจลึก
“อาจจะเมาไวน์มั้ง”
“นอนพักสักแป๊บไหม เดี๋ยวฉันปิดไฟให้”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยววันนี้ฉันกลับบ้านดีกว่า พรุ่งนี้มีถ่ายงานแต่เช้า”
นางพูดด้วยรอยยิ้มมั่นคงอย่างคนที่ทำงานมานานพอจะปั้นสีหน้าให้ปกติได้ แต่ปลายนิ้วมือเริ่มเย็นผิดปกติ นางเอื้อมหาโทรศัพท์ แต่ก็แทบจะทำตกพื้น
ซูเหม่ยหรงขยับเข้าหา “ฉันไปหยิบผ้าห่มให้นะ เดี๋ยวก็ดีขึ้น”
หลินเยว่หลานพยักหน้าช้า ๆ นางพยายามสูดหายใจลึกอีกครั้งฟังหัวใจตัวเองเต้นเป็นจังหวะที่ไม่เคยซ้อมมาก่อน ความหวาดกลัวชั้นบาง ๆ เริ่มปิดทับสติทีละแผ่น นางลุกขึ้นยืน แต่มองผืนพรมไหวเหมือนคลื่นทะเล
ในห้องครัว เสียงเปิดตู้กับข้าวเบา ๆ ตามด้วยเสียงแก้วสัมผัสกัน ซูเหม่ยหรงตะโกนถามจากไกล ๆ
“เอาน้ำเปล่าด้วยไหม”
“อือ ก็ได้” หลินเยว่หลานพยายามตอบให้ดัง แต่คอเหมือนถูกใครจับด้วยมืออุ่น ๆ ที่เริ่มขยายใหญ่ขึ้นทุกวินาที
นางนั่งลงอีกครั้ง สูดลมหายใจเข้าลึก พยายามนับหนึ่งถึงสิบและหัวเราะกับตัวเองในใจ
“ตลกจัง แพ้ค็อกเทลงั้นเหรอเนี่ย”
จากนั้นก็เกิดภาพซ้อน หน้าต่างเมืองสว่างเป็นสองชั้น แล้วก็เป็นสี่ชั้น เพลงเบา ๆ ในห้องเปลี่ยนจากแจ๊สเป็นเสียงเครื่องยนต์ที่ที่ฟังแล้วปวดหัว นางเอื้อมมือไปควานหายาดมกระเป๋า
ซูเหม่ยหรงกลับมาอย่างเร็ว วางน้ำลงบนโต๊ะ
“เฮ้ย นางเหงื่อออกเยอะจัง” มือของนางแตะไหล่เยว่หลานก็รู้สึกได้ถึงความเย็นที่ผิดปกติ
“ฉันว่าเราไปโรงพยาบาลกันดีกว่านะ”
หลินเยว่หลานไม่ทันได้ตอบ เหงื่อเม็ดเล็กซึมตามไรผม ปลายมือสั่น นางก้มมองแก้วค็อกเทลอย่างงงงัน ครึ่งแก้วที่เหลือซ่อนความลับเหมือนสระน้ำสีชมพูในนิทานที่ไม่เคยมีเจ้าหญิงรออยู่ และในวินาทีนั้น นางเห็นประกายแปลก ๆ ที่รอยยิ้มของซูเหม่ยหรงเพียงชั่วพริบตาเดียว เหมือนมุมปากยกขึ้นช้า ๆ ก่อนรีบปรับกลับมาเป็นความห่วงใยตามเดิม
“ขอมายืนดูเป็นสักขีพยาน จะได้ไม่กล่าวหากันทีหลัง” เขายิ้มมุมปาก“พวกท่านอย่ากังวล ข้ามาด้วยใจเป็นกลางเจ็ดสิบส่วน อีกสามสิบเผื่อไว้โต้แย้ง”เจี่ยนฮวายิ้มงาม “ใจเป็นกลางของท่านเฉิงนับว่าดีนัก ได้ฟังแล้วข้าถึงกับอยากยกน้ำชาให้”“ยกมาเถิด ข้ากระหายอยู่พอดี” เฉิงอวิ๋นหัวเราะอย่างสนุก การทดสอบเริ่มขึ้น สาวใช้ของสำนักสามคนถูกเรียกมานั่งเรียงแถว แผ่นผิวด้านหลังใบหูถูกป้ายบาล์มบาง ๆ อย่างระมัดระวัง หลินเย่วเอ๋อร์ยืนกอดถุงผ้าไว้แน่น แต่นัยน์ตายังยิ้ม คิ้วขมวดตั้งใจราวกับกำลังคุมเตาดิน“ลมอย่าแรง แสงอย่าเปรี้ยงนะ” นางพึมพำเสียงเบา ๆ จนไป๋จิ้งเซียวเหลือบมอง แล้วเหมือนจะกลั้นขำเวลาหนึ่งเค่อไหลผ่านไปอย่างช้า ๆ ทุกคนคุยกันไปเรื่อย ๆ เจี่ยนฮวาเปรยข่าวที่แพร่ตามตลาด“พักนี้แป้งขาวร้านข้าขายดีนัก พวกสาว ๆ น่ะชอบความขาววอกฉับไว ใคร ๆ ก็ชม”ยังพูดไม่ทันจบ สาวใช้คนหนึ่งก็ยกมือ “ท่านไป๋เจ้าคะ หลังใบหูข้าร้อนนิดหน่อยเจ้าค่ะ”ทุกสายตาหันไป ไป๋จิ้งเซียวรีบช้อนผมดู สีแดงชมพูจาง ๆ เกิดขึ้นเหมือนดอกทับทิมแรกแย้มเฉิงอวิ๋น “อะแฮ่ม” เขายกพัดชี้เบา ๆ “สีสวยนะ แต่ไม่ใช่เรื่องดี”อาเซียงหน้าถอดสี “หรือว่าบาล์มของคุ
รุ่งอรุณวันถัดมา ตลาดตงเหมินยังไม่เปิดดีนัก กลิ่นโจ๊กข้าวหอมก็ลอยมาก่อนใคร หลินเย่วเอ๋อร์นั่งจัดผมเรียบร้อย ใส่เสื้อผ้าเรียบสีอ่อน มือหนึ่งตรวจดูกระปุกทดลองที่วางเรียงบนถาดไม้ อีกมือหนึ่งชี้หน้าผากอาเซียงเบา ๆ เพราะสาวใช้ตัวดีเอาแต่หัวเราะคิกคักไม่หยุด“เจ้าจะขำอะไรนักเล่า” เย่วเอ๋อร์เอ่ยน้ำเสียงเข้ม แต่หางคิ้วยังยิ้มอาเซียงยิ่งขำ “เมื่อวานพวกชาวบ้านพูดกันใหญ่เลยเจ้าค่ะคุณหนู ทั้งตรอกเหนือ ตรอกใต้ เอาแต่พูดถึงร้านหยกมรกตของเราที่ให้ลองฟรีกันใหญ่ พวกเขายังบอกอีกว่าคุณหนูใจกล้ามาก! ของที่ให้ลองใช้ก็ดีมากด้วยเจ้าค่ะ”หลินเย่วเอ๋อร์หัวเราะเบา ๆ “ให้คนลองย่อมจำง่ายกว่าขายเลย เราต้องให้พวกเขาได้ลองก่อน ถ้าของเราดีคนก็จะตามมาซื้อเอง เจ้าน่ะหัวเราคิกคักมาตั้งนาน นิ่งเสียบ้างเถอะ ประเดี๋ยวหน้าจะยับก่อนวัย” ว่าจบก็แตะคางอาเซียง ปรับองศานิดหน่อย“ยิ้มแบบนี้สิถึงจะงาม เห็นหรือไม่ ยิ้มมากเกินไปมุมปากจะแตก”“งั้นข้าทาบะ...บาล์มสักนิดได้หรือไม่เจ้าคะ” อาเซียงทำตาแป๋ว“ได้สิ” เย่วเอ๋อร์ส่งกระปุกเล็กให้“ทาบาง ๆ พอให้ชุ่ม อย่าทาเสียจนเหมือนจูบรังผึ้งทั้งรังล่ะ”อาเซียงทำท่าทะเล้น “รับทราบเจ้าค่ะ!” แล
วันต่อมา เมื่อหลินเย่วเอ๋อร์ฟื้นตัวดีแล้ว นางนั่งอยู่ข้างหน้าต่าง มองตลาดที่อยู่ไกลออกไป เสียงพ่อค้าแม่ค้าโวยวายต่อราคาดังลอดเข้ามาถึงในเรือน กลิ่นขนมอบสมุนไพรหอมลอยมาตามลมโชยมาแตะจมูก“ที่นี่ชื่อเมืองอะไรนะอาเซียง?” นางเอ่ยถามอาเซียง“เมืองเว่ยเจินเจ้าค่ะ เมืองการค้าทางตอนใต้ของแคว้นอวี้”“อืม...” หลินเย่วเอ๋อร์พยักหน้าอย่างเข้าใจ“แล้วตระกูลหลินของเราก็ทำแค่อาชีพค้าขายอย่างเดียวเหรอ หรือยังมีอย่างอื่นอีกไหม”“ใช่เจ้าค่ะ นายท่านค้าขายชาและสมุนไพรเจ้าค่ะ ช่วงนี้การค้าซบเซาเพราะร้านคู่แข่งเปิดใหม่หลายเจ้า เลยขายไม่ค่อยดีนักเจ้าค่ะ”หญิงสาวหรี่ตา “แสดงว่าสกุลหลินเป็นพ่อค้าระดับกลาง มีฐานะพออยู่ได้แต่ก็ไม่ถึงขั้นร่ำรวย ถ้าจะเริ่มกิจการเกี่ยวกับความงามใหม่ ก็ต้องเริ่มจากศูนย์จริง ๆ! แต่ก็น่าสนใจนะเนี่ย”นางหันไปมองกระปุกแป้งบนโต๊ะ กลิ่นแปลก ๆ ลอยขึ้นมา พอเปิดฝาดูก็เห็นผงขาววอกจนแสบตา“นี่อะไรน่ะอาเซียง!”“แป้งทาหน้าของคุณหนูเจ้าค่ะ เป็นของร้านฮวาเหมยจวงในตลาด ชาวบ้านว่ากันว่าทาแล้วขาวทันตาเลยนะเจ้าคะ”“ขาวทันตาหรือตายทันตากันแน่!” หลินเย่วเอ๋อร์แทบจะโยนกระปุกทิ้ง“นี่มันกลิ่นสารโลหะชัด ๆ
เสียงตะโกนโวกเวกโวยวายปนความตกใจของสาวใช้ดังระงม สาวใช้คนหนึ่งทั้งร้องไห้ ร้องเรียก พลางเขย่าผู้เป็นเจ้านายไม่หยุด“คุณหนู! คุณหนู ฟื้นสิเจ้าคะ! คุณหนู!”เสียงนั้นดังลอดมาจากระยะไกล ก่อนที่ความมืดในจิตใจจะค่อย ๆ แยกออกเหมือนม่านหมอกสาวใช้ร่างเล็กนามว่าอาเซียง นั่งร้องไห้อยู่ข้างบ่อน้ำ พอเห็นเปลือกตาของผู้เป็นเจ้านายขยับ นางก็ตาวาวด้วยความดีใจ น้ำตาก็ยังไหลไม่หยุด“สวรรค์คุ้มครอง! คุณหนูฟื้นแล้ว คุณหนูยังไม่ตาย!”หลินเย่วเอ๋อร์ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาคมหวานสะท้อนกับแสงอาทิตย์ที่ลอดผ่านต้นเหมย เสียงนกร้องและเสียงลมพัดประสานกันราวกับกำลังบรรเลงบทเพลงต้อนรับคนจากอีกภพ แต่สิ่งแรกที่นางเห็นก็คืออาเซียงที่กำลังร้องไห้จนน้ำมูกน้ำตาไหลรวมกันเป็นสาย สาวใช้ตัวน้อยคนนั้นน้ำตาไหลอาบแก้ม“นางเป็นใคร...” เสียงแหบพร่าเอ่ยเบา ๆอาเซียงรู้สึกตกใจและงุนงงในเวลาเดียวกัน“คุณหนูจำข้าไม่ได้หรือเจ้าคะ ข้าอาเซียง! สาวใช้ที่อยู่ข้างกายคุณหนูมาตั้งแต่เล็ก!”“อาเซียง?” หลินเยว่หลานขมวดคิ้ว“ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง นี่กำลังถ่ายละครกัยอยู่เหรอ”“คุณหนูพูดอะไรเจ้าคะ พูดจาประหลาดนัด ข้าไม่เข้าใจ”นางพยายามจะลุก แต่ก
ภาพนั้นอาจเป็นเพียงเงาดวงไฟสะท้อน แต่หัวใจคนที่สู้ชีวิตจนชนะมาได้นับครั้งไม่ถ้วนอย่างหลินเยว่หลาน นางรู้ดีว่าสัญชาตญาณไม่เคยโกหกลิฟต์สแตนเลสส่องเงาคนสองคนที่ยืนเคียงกัน หลินเยว่หลานซบผนังลิฟต์เพื่อหายใจ หูอื้อเหมือนกำลังดำน้ำ ซูเหม่ยหรงยืนข้าง ๆ กดชั้นล่าง มือข้างหนึ่งพยุงไหล่ แล้วอีกข้างถือโทรศัพท์ค้างบนหน้าจอแผนที่โรงพยาบาล ทุกอย่างดูเหมือนเป็นความช่วยเหลือที่ดีและถูกต้องประตูลิฟต์เปิด ทว่าเวลารอรถกลับกลายเป็นเหมือนบททดสอบที่นอกจากจะเจ็บตัวแล้วยังต้องเจ็บใจเงียบ ๆ หลินเยว่หลานเอียงคอมองท้องฟ้า เมฆดำโผล่มาแทนที่ดาวอย่างว่องไว นางยิ้มกับตัวเอง“โชคดีจัง ลืมพกร่ม...” แล้วหัวเราะเบา ๆ ที่ไม่มีใครได้ยิน อารมณ์ขันยังทำงานแม้ตัวนางอยู่ในสภาพที่แย่รถของซูเหม่ยหรงจอดอยู่ตรงลานจอดรถ เมื่อทั้งคู่มาถึงรถ ซูเหม่ยหรงจับแขนหลินเยว่หลานพานางขึ้นเบาะหน้า ขณะคาดเข็มขัด นางเอ่ยเสียงราบเรียบ“อย่าหลับนะ พูดกับฉันไปเรื่อย ๆ”หลินเยว่หลานมองเส้นไฟบนถนนที่ยืดยาว นางเริ่มเล่าเรื่องต่าง ๆ ไปเรื่อย ๆ“ฉันเคยปิดฝาลิปสลับกันด้วยนะ เพราะมีลิปหลายแท่ง ช่วงหัดแต่งหน้าใหม่ ๆ ทาไปทามาลิปไปติดฟัน สรุปฟันแดงเหมือน
ค่ำวันศุกร์ปลายฤดูร้อน เมืองใหญ่สว่างวาบด้วยป้ายไฟและเสียงรถยนต์พ่นลมหายใจยาวไม่รู้เหนื่อย คอนโดหรูย่านธุรกิจที่ว่ากันว่าวิวดีระดับพรีเมียม มีเลาจน์บนชั้นดาดฟ้าสำหรับนั่งรับประทานอาหาร จิบเครื่องดื่ม ไปพร้อมกับบรรยาศที่ดีแบบสุด ๆเสียงรองเท้าส้นเสียงดังจิกพื้นเหมือนโน้ตดนตรี หลินเยว่หลานเข้ามาอย่างมั่นใจ หญิงสาวที่แม้ไม่ต้องพยายามแต่งสวยก็เด่นสะดุดตา นางคือบิวตี้บล็อกเกอร์ตัวท็อป ผู้ติดตามหลักล้าน คลิปแนะนำสกินแคร์ 7 วันสวยด้วยหน้าสดของนางถูกแชร์อย่างถล่มทลายค่ำนี้นางแต่งตัวสวยแบบเรียบหรู แต่งหน้าอ่อน ๆ เบา ๆ หน้าผิวฉ่ำแบบน้ำค้าง ตาเรียวสวยดูใจดีและดื้อในเวลาเดียวกัน ชุดเดรสไหมสีน้ำนมไหลลู่ เหมาะกับแสงโกลเด้นของไฟระย้าที่คลอไปกับเพลงแจ๊สเบา ๆจานเรียกน้ำย่อยถูกยกมาเสิร์ฟ เสียงแก้วกระทบกันเบา ๆ ราวกับประกายดาว หลินเยว่หลานยิ้มให้ซูเหม่ยหรง เพื่อนนสาวคนสนิทที่อยู่ข้างนางมาตั้งแต่เริ่มทำคลิปแรก“ดีลคืนนี้ตกลงแล้ว นับว่าเราเริ่มต้นได้ดีทีเดียว” นางพูดเสียงเบาแต่ชัด“แบรนด์ของเราจะเปิดพรีออเดอร์เดือนหน้า”ซูเหม่ยหรงสวยคมแบบแม่เสือสาว ยิ้มเก่งจนคนรอบข้างรู้สึกสบายใจง่าย นางหัวเราะนุ่ม“ฉัน