Mag-log inภาพนั้นอาจเป็นเพียงเงาดวงไฟสะท้อน แต่หัวใจคนที่สู้ชีวิตจนชนะมาได้นับครั้งไม่ถ้วนอย่างหลินเยว่หลาน นางรู้ดีว่าสัญชาตญาณไม่เคยโกหก
ลิฟต์สแตนเลสส่องเงาคนสองคนที่ยืนเคียงกัน หลินเยว่หลานซบผนังลิฟต์เพื่อหายใจ หูอื้อเหมือนกำลังดำน้ำ ซูเหม่ยหรงยืนข้าง ๆ กดชั้นล่าง มือข้างหนึ่งพยุงไหล่ แล้วอีกข้างถือโทรศัพท์ค้างบนหน้าจอแผนที่โรงพยาบาล ทุกอย่างดูเหมือนเป็นความช่วยเหลือที่ดีและถูกต้อง
ประตูลิฟต์เปิด ทว่าเวลารอรถกลับกลายเป็นเหมือนบททดสอบที่นอกจากจะเจ็บตัวแล้วยังต้องเจ็บใจเงียบ ๆ หลินเยว่หลานเอียงคอมองท้องฟ้า เมฆดำโผล่มาแทนที่ดาวอย่างว่องไว นางยิ้มกับตัวเอง
“โชคดีจัง ลืมพกร่ม...” แล้วหัวเราะเบา ๆ ที่ไม่มีใครได้ยิน อารมณ์ขันยังทำงานแม้ตัวนางอยู่ในสภาพที่แย่
รถของซูเหม่ยหรงจอดอยู่ตรงลานจอดรถ เมื่อทั้งคู่มาถึงรถ ซูเหม่ยหรงจับแขนหลินเยว่หลานพานางขึ้นเบาะหน้า ขณะคาดเข็มขัด นางเอ่ยเสียงราบเรียบ
“อย่าหลับนะ พูดกับฉันไปเรื่อย ๆ”
หลินเยว่หลานมองเส้นไฟบนถนนที่ยืดยาว นางเริ่มเล่าเรื่องต่าง ๆ ไปเรื่อย ๆ
“ฉันเคยปิดฝาลิปสลับกันด้วยนะ เพราะมีลิปหลายแท่ง ช่วงหัดแต่งหน้าใหม่ ๆ ทาไปทามาลิปไปติดฟัน สรุปฟันแดงเหมือนกินบีทรูทยังไงยังงั้น”
ซูเหม่ยหรงหัวเราะเสียงดัง “นางนี่นะ ยังจะตลกได้อีก”
“ไม่งั้นจะให้ร้องไห้เหรอ” นางยักไหล่ช้า ๆ แม้ไหล่แทบไม่ยอมขยับ
“ฮือ เจ็บ เจ็บแปลก ๆ”
ซูเหม่ยหรงมองกระจกหน้ารถด้วยสายตาตั้งใจ นางไม่พูดอะไรอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จู่ ๆ จะเอ่ยประโยคแปลก ๆ ขึ้นมา
“นางรู้ไหม หลายครั้งความสำเร็จของคนหนึ่งมันคือความพ่ายแพ้ของอีกคนหนึ่ง”
หลินเยว่หลานมองเสี้ยวหน้าคนขับ รถไฟฟ้าค่อย ๆ ปล่อยแสงลอดใต้สะพาน เส้นกรามคมของซูเหม่ยหรงดันทำให้คำพูดนั้นดูสวยขึ้นและคมขึ้น
“อย่าพูดแบบนั้นสิ ความสำเร็จของเราแบ่งได้ทั้งทีมนะ เพราะเราก็ทำมาด้วยกัน”
“ใช่” คำตอบนั้นสั้นแบบตัดบท
ฝนเริ่มลงเม็ด จากเม็ดเล็กแหย่แก้มกระจกกลายเป็นเส้นฝนที่กลบถนนจนเงาไฟละลาย ซูเหม่ยหรงลดความเร็ว พิงหลังกับเบาะเล็กน้อย เหยียบเบรกอย่างนุ่มนวลเป็นครั้งคราว
หลินเยว่หลานหันหน้ามองนอกหน้าต่าง ป้ายไฟแบรนด์เครื่องสำอางเจ้าใหญ่กะพริบเหมือนกำลังหัวเราะให้ นางคิดถึงพรุ่งนี้อย่างแปลกประหลาด คิดว่าพรุ่งนี้นางต้องทำอะไรบ้าง คิดได้เพียงไม่นานนางก็ขมคอราวกับมีควันดำพุ่งขึ้นจากกลางอก นางไอแรง ชั่วครู่เดียวก็ปวดเสียดข้างลิ้นปี่จนน้ำตาซึมออกมา
“เดี๋ยวก็ถึงแล้ว” เสียงของซูเหม่ยหรงนุ่มนวล
รถเลี้ยวเข้าซอยด้านข้างของโรงพยาบาลเอกชน ป้ายฉุกเฉินทอแสงขาวสะอาด แต่วินาทีต่อมา รถกลับชะงักไม่เลี้ยวเข้าทางฝั่งฉุกเฉิน ทว่ากลับวนรอบลานจอดชั้นใต้ดินแทน
“ทำไมไม่เข้าตรงฉุกเฉิน” หลินเยว่หลานถาม เสียงนางเบากว่าคิดมาก
“ฝนแรง เลี้ยวไม่ทัน เดี๋ยววนออกไปข้างหน้าอีกฝั่ง” ซูเหม่ยหรงตอบเพียงเท่านั้น
ความหนาวแทรกเข้าถึงกระดูก เพดานห้องโดยสารใกล้ลงทุกวินาที หลินเยว่หลานสูดหายใจยาว โยนตัวเองกลับไปสู่ความจริงที่ง่ายที่สุด คนข้าง ๆ นางคือเพื่อนที่โตมาด้วยกัน สนิทกันมากที่สุด จะมาจะทำร้ายกันง่าย ๆ แบบนี้เลยเหรอ?
รถหยุดกึกตรงไฟแดงหน้ารั้วโรงพยาบาล ซูเหม่ยหรงหันมามอง สายตานั้นนิ่งจนเดาไม่ออกว่านางกำลังคิดอะไรอยู่
“เยว่หลาน” ซูเหม่ยหรงเอ่ยเรียก
“ถ้าวันหนึ่งทุกอย่างต้องมีเจ้าของเพียงคนเดียว นางคิดว่าใครควรเป็นเจ้าของกันแน่”
หลินเยว่หลานหัวเราะแห้ง “ก็เราสองคนไง เราเซ็นสัญญาแล้ว นี่นางถามอะไรของนาง”
ซูเหม่ยหรงยิ้มสวย เรียกได้ว่าสวยจนควรยกให้เป็นภาพโปรโมต
“ใช่ เซ็นแล้ว...” นางกดล็อกประตูรถ เสียงคลิกนั้นดังเหมือนจุดจบของเพลง
ฝนตกแรงขึ้นจนเสียงกลบทุกอย่าง หลินเยว่หลานเอามือกุมอก ลมหายใจติดขัด ภาพตรงหน้ากะพริบช้า ๆ เหมือนฟิล์มถูกฉีกแล้วแปะใหม่ นางคิดถึงประโยคที่เพิ่งพูดในคลิป
“ความงามที่ดีที่สุด คือความงามที่เราไม่ต้องพยายามให้ตัวเองเหนื่อยเกินไป” และหัวเราะกับชะตากรรมของตัวเอง มันดูตลกร้ายกว่าคอนเทนต์ที่เคยเขียน
เมื่อไฟเขียวมาถึง รถพุ่งออกไป ตัวเลขความเร็วไม่สูง แต่เวลาวิ่งเร็วเกินกว่าที่สมองจะวิ่งตามทัน ซูเหม่ยหรงขับรถอย่างเงียบสนิท ความเงียบนั้นไม่ใช่ความสงบ แต่มันคือเสียงกรีดร้องของความลับ
สามนาทีต่อมา รถหยุดอีกครั้ง คราวนี้มันหยุดลงหน้าประตูฉุกเฉินจริง ๆ นางปลดล็อก ประตูรถเปิดออกพร้อมกับกลิ่นยาฆ่าเชื้อที่ลอยเข้ามาแตะจมูก หลินเยว่หลานพยายามก้าวลงจากรถ โลกทั้งใบโคลงเคลงเหมือนเรือที่ลอยเคว้งกลางทะเล นางจิกส้นเท้าเปล่ากับพื้นเปียก ยืนฝืนท่ามกลางฝนที่ตีหลัง เสียงคนงานรักษาความปลอดภัยวิ่งเข้ามาพร้อมร่ม
“คุณผู้หญิง เป็นอะไรครับ!”
ซูเหม่ยหรงตอบแทนด้วยเสียงสั่น “แพ้เครื่องดื่มค่ะ”
เจ้าหน้าที่รีบพาไปยังเตียงฉุกเฉิน สายตาคนผ่านไปมาดูตกใจและห่วงใย พยาบาลถามคำถามเป็นเชือกยาว หลินเยว่หลานพยายามพยักหน้า นางมองข้อมือของตัวเอง ผิวขาวซีดกับเส้นเลือดเขียวจางและคิดว่าแสงไฟโรงพยาบาลช่างไม่แฟรนด์ลี่กับครีมรองพื้นเลยสักนิด ความคิดขำ ๆ หลุดขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ จะเรียกว่ามุกสุดท้ายของค่ำคืนนี้ก็ว่าได้
ก่อนสติจะขาด นางเผลอมองไปยังซูเหม่ยหรงอีกครั้ง ผู้หญิงคนนั้นยืนแอบอยู่หลังม่านพลาสติกใส สีหน้าคุมไม่อยู่แค่เสี้ยววินาที บางอย่างในแววตาคล้ายคำว่าเสร็จสิ้น แต่มันผ่านไปเร็วมาก ราวกับไม่เคยมีอยู่จริง
หมอพูดสั้น ๆ “เตรียมฉีดยาเปิดเส้นเลือดด่วน”
ผู้ช่วยวิ่งขวักไขว่ ตัวเลขบนเครื่องวัดชีพจรกระพริบลดลงเหมือนไฟที่ใกล้ดับ หลินเยว่หลานได้ยินเสียงอะไรไกล ๆ คล้ายกับเสียงคลื่นซัดชายหาด นางนึกถึงคอมเมนต์ของแฟนคลับ
“พี่เยว่หลาน ฉันซื้อแป้งตามที่พี่บอก มันดีมากเลย”
อีกเสี้ยวก็นึกถึงพ่อแม่ที่อยู่ต่างจังหวัดคอยโทรมาถามว่า
“ทำงานเหนื่อยไหมลูก”
หลายต่อหลายความคิดพุ่งตีเข้ามาในหัวพร้อม ๆ กัน
น้ำตาหยดสุดท้ายไหลออกมาอาบสองแก้ม นางฝืนยิ้มให้ตัวเอง
“ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร”
แสงในเพดานซึ่งเคยสว่างจ้ากลายเป็นดอกไม้ขาวบานช้า ๆ สีขาวค่อย ๆ เบลอ นางรู้สึกเหมือนตกลงไปในสายน้ำ น้ำที่ไม่เย็นไม่ร้อน แต่เงียบลึกอย่างประหลาด
นางคิดถึงธงเป้าหมายเล็ก ๆ ที่ตั้งไว้มาตลอดชีวิตแล้วเผลอยิ้มอีกครั้งหนึ่ง เป็นยิ้นที่สวยที่สุดเท่าที่คนคนหนึ่งจะยิ้มได้ในวินาทีสุดท้ายของชีวิต
จากนั้น ทุกอย่างก็ดับลง...
ในตอนนั้นเอง ฝนตกหยุดพอดี แสงไฟหน้าห้องฉุกเฉินยังคงสว่าง ซูเหม่ยหรงเดินถอยหลังหนึ่งก้าว ถอนหายใจอย่างแผ่วเบาแล้วดึงโทรศัพท์ขึ้นมา
นางเปิดหน้าจอข้อความใหม่ นิ้วมือที่ไม่สั่นเลยแม้แต่น้อย พิมพ์ข้อความสั้น ๆ ที่จะส่งไปยังใครสักคน แสงบนหน้าจอปิดลงพร้อมกับรอยยิ้มที่หายไปอย่างไร้ร่องรอย ทิ้งไว้เพียงห้องฉุกเฉินกับชีวิตของอีกคนที่ค่อย ๆ ดับลงอย่างช้า ๆ
องค์ชายรองรีบเข้าประคองนางที่เริ่มทรุดลงอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ กลิ่นที่ออกมาจากเตาแก้วกลับค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นกลิ่นหอมอ่อนละมุน กลิ่นที่ทุกคนในลานจำได้ทันที“นั่นคือกลิ่นเดียวกันกับวันที่พิธีถวายครั้งก่อน!”ฮ่องเต้ลุกจากบัลลังก์ พระสุรเสียงสั่นเล็กน้อย“กลิ่นนี้คือกลิ่นแห่งสันติ!”กลิ่นทองอ่อนค่อย ๆ แผ่ไปทั่วตำหนัก คนที่หมดสติเริ่มฟื้น ขุนนางที่สิ้นแรงกลับมายืนได้อีกครั้ง อี้เฟยถอยหลังไปอย่างสิ้นหวัง“ไม่ เป็นไปไม่ได้ กลิ่นหัวใจไม่มีอยู่จริง! ไม่มีทาง!”องค์ชายรองจ้องเขา “มันมีจริง แค่เจ้าไม่เคยมีหัวใจที่หอมพอที่จะเข้าใจมัน”อี้เฟยกัดฟันแน่น ก่อนจะพุ่งตัวหนี แต่ถูกองครักษ์หลวงเข้าล้อมจับไว้หลังเหตุการณ์สงบ ฮ่องเต้เสด็จลงจากบัลลังก์ สายพระเนตรทอดมองหลินเย่วเอ๋อร์ที่ยังคุกเข่า มือทั้งสองยังคงสั่น“หลินเย่วเอ๋อร์ เจ้าได้พิสูจน์แล้วว่า กลิ่นหัวใจของเจ้าบริสุทธิ์กว่ากลิ่นใด ๆ”ฮ่องเต้ตรัสพร้อมยิ้มบาง “ข้าขอพระราชทานตำแหน่งให้เจ้าและให้เจาดูแลหอปรุงเครื่องหอมรวมถึงหอปรุงเครื่องประทินโฉมของราชสำนักทั้งหมด”เสียงขุนนางดังขึ้นพร้อมกัน “ฝ่าบาททรงพระปรีชา”องค์ชายรองหันมามองนาง แววตาเต็มไปด้วยความภ
“กลิ่นนั้นเปลี่ยนเพราะหัวใจคนต่างหาก ไม่ใช่พิษและไม่ใช่เวทมนตร์ แต่เป็นผลจากความบริสุทธิ์ของผู้สร้าง”ขุนนางบางคนส่ายหน้า “ฝ่าบาท องค์ชายรองพูดเช่นนี้ก็เท่ากับยอมรับว่ามันมีอิทธิพลต่อจิตใจจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมเห็นควรให้แยกทั้งสองออกจากกัน เพื่อป้องกันภัยในอนาคต!”เสียงเห็นด้วยดังขึ้นระลอกใหญ่ ฮ่องเต้ทอดพระเนตรอย่างเงียบ ๆ อยู่เนิ่นนาน ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำ“เจ้าบอกว่าให้ข้าแยกพวกเขาออกจากกันเพราะกลัวกลิ่นเช่นนั้นหรือ?”ขุนนางทุกคนก้มศีรษะ “พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท เพื่อความมั่นคงของราชสำนักพ่ะย่ะค่ะ”“แล้วเจ้าจะทำเช่นไร หากกลิ่นนี้ไม่ใช่อาวุธ แต่คือชีวิตของผู้คน?”ฮ่องเต้ยกพระหัตถ์ขึ้น ความเงียบปกคลุมทั่วทั้งตำหนัก“เมื่อสามวันก่อน กลิ่นนี้ช่วยชีวิตคนทั้งร้านหยกมรกตจากพิษหอมที่แผ่ไปทั่ว เจ้าจะเรียกมันว่าอาวุธได้หรือ?”ขุนนางหลายคนก้มหน้าด้วยความอับอาย องค์ชายรองค้อมกาย“ขอบพระทัยเสด็จพ่อที่ทรงเมตตา”ฮ่องเต้ทอดพระเนตรมาที่หลินเย่วเอ๋อร์ “หลินเย่วเอ๋อร์ เจ้าเป็นเพียงสามัญชน แต่สร้างกลิ่นที่แม้แต่สวรรค์ยังมิอาจคาดถึง ข้าขอถามเจ้าตรง ๆ เจ้าคิดเช่นไรกับอำนาจของสิ่งที่เจ้าสร้าง?”หลินเย่วเอ๋อร์สูด
เสียงนกร้องยามเช้าแว่วลอดหน้าต่างเข้ามาเบา ๆ แสงแดดอ่อนจากสวนเหมยลอดผ่านผ้าม่านบาง กระทบใบหน้าของหญิงสาวที่ยังหลับใหลบนเตียง อาเซียงนั่งเฝ้าข้างเตียงด้วยตาแดง ๆ“คุณหนู ตื่นเถิดเจ้าคะ ข้านั่งเฝ้าท่านมาสามวันแล้วนะ คุณหนู ฮืออ...”องค์ชายรองที่นั่งอยู่อีกฝั่งเงียบ ๆ เงยหน้าขึ้น เขายังอยู่ในชุดเรียบธรรมดา สีหน้าอ่อนล้าแต่ดวงตายังคงจ้องมองนางไม่ละสาย“นางยังไม่ฟื้นเลยหรือ” เขาเอ่ยเสียงแผ่ว“ยังเพคะ แต่ชีพจรกลับมาปกติแล้ว เพียงแต่อาจเหนื่อยจากการใช้พลังกลิ่นมากเกินไป” อาเซียงตอบทั้งน้ำตาองค์ชายรองลอบถอนหายใจ เขายื่นมือไปแตะหลังมือของหลินเย่วเอ๋อร์เบา ๆ และในวินาทีนั้นเอง...กลิ่นชาอุ่นปนดอกเหมยที่เคยลอยอ่อน ๆ ในห้อง เปลี่ยนเป็นกลิ่นใหม่ กลิ่นนั้นอ่อนโยนกว่าเดิม แต่มีความหอมแปลก คล้ายกลิ่นหวานของกลีบเหมยผสมกลิ่นน้ำผึ้ง อาเซียงเบิกตา“องค์ชาย! กลิ่นเปลี่ยนแล้วเพคะ!”องค์ชายรองชะงักไป “กลิ่นเปลี่ยน?”เขามองรอบห้อง แสงจากหน้าต่างสาดกระทบขวดแก้วที่ตั้งอยู่ข้างเตียง ขวดนั้นเปล่งสีทองอ่อนราวกับเรืองแสงจากภายใน หลินเย่วเอ๋อร์ขยับนิ้วเบา ๆ ก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้น“ที่นี่คือที่ใดกัน” เสียงของนางแผ่
“เขาคนนั้นเคยเป็นพี่ศิษย์ร่วมสำนักเดียวกับข้า” องค์ชายรองเอ่ยช้า ๆ“เขาเคยเป็นคนที่ท่านอาจารย์เฟยหานโปรดปรานที่สุด แต่เพราะความทะเยอทะยาน เขาขโมยสูตรยาสร้างกลิ่นต้องห้าม แล้วถูกขับออกจากวัง”หลินเย่วเอ๋อร์นิ่งงัน “เขากลับมาเพื่อแก้แค้นท่าน...”“ไม่ใช่แค่ข้า” เขามองออกไปนอกหน้าต่าง “แต่เพื่อล้มล้างทุกสิ่งที่เกี่ยวกับกลิ่นบริสุทธิ์ที่อาจารย์สร้างไว้”ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะพูดคุยกันต่อ เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นนอกห้อง อาเซียงวิ่งหน้าตื่นเข้ามา“คุณหนู! มีชายชุดดำเข้ามาในร้านอีกแล้วเจ้าค่ะ!”องค์ชายรองหันขวับ “พาเย่วเอ๋อร์ไปหลบข้างใน!”แต่ไม่ทันแล้ว เสียงเปิดประตูดังขึ้นพร้อมลมแรงพัดกลิ่นชาเย็นจัดเข้ามาปะทะกลิ่นเหมยอบอุ่นในห้องทันที อี้เฟยก้าวเข้ามาพร้อมรอยยิ้มเย็นตา“ข้าเพียงมาขอชาแก้วเดียว แต่เห็นทีจะได้กลิ่นของความกลัวกลับไปด้วย”องค์ชายรองก้าวไปข้างหน้า “เจ้ากลับมาทำไม อี้เฟย”“เพื่อพิสูจน์ว่า กลิ่นของข้าเหนือกว่ากลิ่นของเจ้า และเพื่อให้คนที่เจ้ารักฃได้รู้ว่า กลิ่นเดียวกัน ฃบางครั้งก็ใช้ทำร้ายได้”อี้เฟยเปิดขวดแก้วในมือ กลิ่นชาเย็นจัดแผ่กระจายไปทั่วห้องในชั่วพริบตา หลินเย่วเอ๋อร์รู้สึกเหมือ
สามวันหลังจากคืนฝนตกนั้น ร้านหยกมรกตกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง กลิ่นหอมของดอกชาหอมเอยและน้ำอบจากถังไม้ไผ่ลอยอบอวลไปทั่วร้าน อาเซียงวิ่งไปวิ่งมาด้วยสีหน้าระรื่น“คุณหนูกลับมาแล้ว! พวกพ่อค้าแม่ค้าหน้าร้านแทบตั้งโต๊ะบูชาท่านแล้ว!”หลินเย่วเอ๋อร์หัวเราะ “ตั้งโต๊ะบูชาอะไรกันเล่า ข้าเพียงไปวังหลวงไม่กี่วันเอง”“ก็เพราะไม่กี่วันนั่นแหละเจ้าค่ะ! แต่กลับมาพร้อมข่าวลือว่าองค์ชายรองถึงกับทรงชงชาให้ท่านด้วยพระองค์เอง!”นางรีบปิดปากสาวใช้ “อาเซียง! ระวังคำพูดหน่อย เจ้าอยากให้ร้านข้ากลายเป็นหัวข้อซุบซิบของเมืองเว่ยเจินหรืออย่างไร”อาเซียงยิ้มเจ้าเล่ห์ “ข้าเพียงพูดความจริงนะเจ้าคะ ว่าในที่สุดกลิ่นของคุณหนูก็หอมไปถึงหัวใจคนบางคนแล้ว~”หลินเย่วเอ๋อร์กลอกตา “หากเจ้ากล้าพูดอีก ข้าจะให้เจ้าไปกวนดอกไม้ในครกทั้งวันแน่!”“ไม่กล้าแล้วเจ้าค่ะ!” อาเซียงหัวเราะวิ่งหนีไปหลังร้านหลินเย่วเอ๋อร์เดินไปยังห้องปรุงกลิ่น โต๊ะไม้เรียงรายเต็มไปด้วยขวดแก้วหลากสี วัตถุดิบหายากวางอยู่ในถาดทองแดง มีกลีบดอกบัวแห้งจากบึงอวิ๋นเฟิง และไม้หอมจากหุบผาหลงหลิว“ครั้งนี้ ข้าจะสร้างกลิ่นใหม่ให้ท่าน” นางพึมพำเบา ๆมือเรียวเริ่มบดกลีบดอ
เวลาผ่านไปช้า ๆ เหมือนแม่น้ำที่ไหลในความเงียบ หลินเย่วเอ๋อร์เทน้ำชารอบสองให้องค์ชายรอง กลิ่นอ่อนหวานของใบชาผสมกลีบเหมยลอยขึ้นในอากาศ เขารับถ้วยไว้ แล้วพูดเสียงแผ่วแต่ชัดเจน“เจ้าเคยพูดว่ากลิ่นทุกกลิ่นมีความทรงจำซ่อนอยู่ เจ้าคิดว่ากลิ่นของข้าคืออะไร”หลินเย่วเอ๋อร์เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบอย่างช้า ๆ“เป็นกลิ่นของชาในคืนฝนตกเพคะ อุ่นแต่เศร้า ละมุนแต่หนักแน่น”องค์ชายรองหัวเราะเบา ๆ “ฟังดูเหมือนเจ้ามองข้าออกหมดทุกอย่าง”“เปล่าเพคะ ข้าเพียงรู้ว่าคนที่แบกความเจ็บไว้ในใจ มักจะพยายามทำให้กลิ่นรอบตัวสงบ เพื่อกลบเสียงของหัวใจตนเอง”“แล้วเจ้าจะช่วยข้าได้ไหม” เขาถามตรง ๆ “ได้เพคะ”“อย่างไร”หลินเย่วเอ๋อร์ยิ้มบาง “ด้วยกลิ่นของความสุขที่ข้าจะปรุงให้ท่านเองอย่างไรเล่าเพคะ”องค์ชายรองมองนางเนิ่นนาน แววตาที่เคยเย็นชาเริ่มอ่อนลงทีละน้อย“ในวังแห่งนี้ เจ้าคือคนเดียวที่กล้าพูดกับข้าเช่นนี้”“เพราะข้ามิได้อยู่ในวังเพคะ” หลินเย่วเอ๋อร์ตอบ “หัวใจข้าอยู่ที่ร้านหยกมรกต ที่ซึ่งกลิ่นทุกกลิ่นและทุกอย่างเกิดจากความจริง ไม่ใช่คำลวง”เขาพยักหน้าเบา ๆ “นั่นสินะ ความจริงของเจ้ามันหอมกว่าทุกสิ่ง”ทั้งสองนั่งนิ่งมองพระ







