ณ เรือนหลังเล็กที่ตั้งอยู่ท้ายจวนเจ้าเมืองเหอเฟย ไม่มีใครสนใจว่าเด็กน้อยวัยหกหนาวย่างเจ็ดหนาว ที่ล้มป่วยซ้ำซ้อนจากการตกน้ำ และต้องลมเย็นของวสันต์ฤดูได้หมดลมหายใจ แม้แต่สาวใช้ทั้งสองที่สงสารเจ้านายตัวน้อย ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้านายตัวจริงได้ตายจากไป และบัดนี้มีดวงจิตของหญิงสาวจากโลกอนาคต ได้เข้ามาอยู่ในร่างนี้แล้ว
ร่างเล็ก ๆ ที่ผ่ายผอมเล็กน้อย เริ่มขยับเปลือกตาไปมาอยู่ครู่หนึ่ง จนดวงตางดงามประหนึ่งดอกท้อค่อย ๆ ลืมตา เมื่อรู้สึกว่าตนเองไม่มีแรงที่จะขยับตัวเอาเสียเลย
ที่นี่ที่ไหน? ทำไมฉันถึงไม่อยู่ในนรกหรือสวรรค์ล่ะ ฉันถูกไอ้สารเลวนั่นใช้มีดแทงจนตายเชียวนะ!
จางหมิ่นได้แต่กรอกตาไปมามองไปทั่วห้อง ที่มีเพียงเตียงไม้เก่า ๆ และโต๊ะสีซีดกลางห้อง
เกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ โอ๊ย!! ปวดหัวทำไมถึงปวดแบบนี้
จางหมิ่นนึกทบทวนเรื่องราวของตนเอง หลังจากมีภาพเรื่องราวของเด็กหญิงตัวน้อย จากอาการปวดหัวจนแทบระเบิดนั่น ครอบครัวนี้เป็นอะไรกันไปหมด รังเกียจได้แม้แต่ลูกแท้ ๆ ของตนเอง มีเพียงสาวใช้สองคนคอยเลี้ยงดูตั้งแต่แรกคลอดจนถึงปัจจุบัน แต่เรื่องราวของร่างนี้ยังไม่น่าตกใจเท่า หน้าจอโปร่งแสงที่ปรากฏอยู่ตอนนี้
[ติ๊ง! ขอต้อนรับเข้าสู่ระบบออนไลน์ขั้นเทพ]
[มีคนใจดีมอบระบบออนไลน์ขั้นเทพนี้ให้กับท่าน ระบบนี้สามารถเปลี่ยนสินค้าทุกอย่างให้เป็นเงินได้ หรือจะเลือกซื้อสินค้าจากโลกอนาคตก็ได้อีกเช่นกัน]
[กรุณากดยืนยันเพื่อลงทะเบียน ก่อนเริ่มทำการซื้อขายกับระบบ]
ฉู่จางหมิ่นที่ยังมึนกับอาการปวดหัว นั่งจ้องหน้าจอสีใสตรงหน้าอย่างงุนงง พอคิดดูอีกทีนี่มันเหมือนในซี่รี่ย์แนวทะลุมิติ และมีตัวช่วยสุดโกงแถมมาให้ นางจึงใช้นิ้วน้อย ๆ จิ้มลงไปเพื่อยืนยันตัวตน
[ติ๊ง ท่านได้ทำการยืนยันตัวตนเรียบร้อยแล้ว หากต้องการซื้อขายสินค้ากับระบบ สามารถเรียกได้ตลอดเวลา]
ฉู่จางหมิ่นหันซ้ายหันขวามองไปทั่วห้อง จึงสะดุดเข้ากับกระจกทองเหลือง จึงใช้เรี่ยวแรงอันน้อยนิดเดินไปหยิบที่โต๊ะ และยื่นไปตรงหน้าจอของระบบทันที
[ท่านต้องการขายกระจกทองเหลืองโบราณ เป็นวัตถุที่มีความต้องการสูงในตลาด ระบบกำลังประเมินราคาสินค้าของท่าน โปรดรอสักครู่]
ฉู่จางหมิ่นนั่งมองหน้าจอที่กำลังหมุนไปมา และเริ่มลุ้นกับการขายสินค้า ว่าจะได้ราคากี่ตำลึงเพื่อใช้ซื้ออาหารบำรุงตนเอง กับสาวใช้อีกสองคนที่คอยดูแลไม่ห่าง
[ติ้ง กระจกทองเหลืองโบราณประเมินราคาได้ หนึ่งร้อยตำลึงทองท่านต้องการขายทันทีหรือไม่]
ขายสิ! จะเก็บไว้ทำไมในเมื่อขายได้เงิน ต่อไปจะได้กินอิ่มท้องเสียที ไหนจะสาวใช้ผู้ซื่อสัตย์ทั้งสองคนของนางอีก หรือจะหาหนทางทำการค้าเพื่อหาเงินก็มิใช่เรื่องยาก เมื่อมีตัวช่วยสุดแสนวิเศษนี้อยู่กับตัว
[สินค้าของคุณมีนักสะสมของโบราณรับซื้อเรียบร้อยแล้ว เงินจากการขายสินค้าจะส่งไปยังช่องเก็บของด้านขวามือ ขอบคุณที่ใช้บริการระบบออนไลน์ขั้นเทพ ติ๊ง]
หมับ! “หนึ่งร้อยตำลึงทองก็ไม่น้อยเลยนะเนี่ย แต่คำอธิบายกับสาวใช้ของเด็กคนนี้น่ะสิ หนักใจไม่ใช่เล่น”
“หนิงอวี่เร็วเข้า ไม่รู้ตอนนี้คุณหนูจะฟื้นหรือยัง มีไข้สูงมาหลายวันข้ารู้สึกหวั่นใจพิกล” ฮุยอินเอ่ยเร่งสหายให้เพิ่มความเร็วของฝีเท้า
“หากวันนี้ไข้ยังไม่ยอมลด ข้าจะบากหน้าไปขอความช่วยเหลือจากฮูหยินเอง ถึงจะถูกโบยขอแค่มีท่านหมอมารักษาคุณหนู จะเจ็บหนักข้าก็ยอมนะฮุยอิน” หนิงอวี่ที่มาจากครอบครัวยากจน ขายตัวมาเป็นสาวใช้ที่จวนแห่งนี้ ไม่คิดว่าคุณหนูฐานะสูงส่ง จะพบเจอความอดสูยิ่งกว่าชาวบ้านเช่นนางเสียอีก
ฉู่จางหมิ่นได้ยินเสียงสาวใช้ทั้งสอง ก็รีบกลับไปที่เตียงและซ่อนถุงเงินไว้ ก่อนจะแสร้งนอนหลับเป็นคนป่วยอีกครั้ง
สาวใช้ทั้งสองยกอ่างน้ำมาเช็ดตัวให้ฉู่จางหมิ่น และมีถ้วยโจ๊กที่มีเม็ดข้าวอยู่น้อยนิด กับผัดผักไม่กี่ชิ้นสำหรับมื้อนี้ หนิงอวี่เช็ดตัวฉู่จางหมิ่นอย่างระมัดระวัง แต่นางกลับรู้สึกว่าความร้อนจากพิษไข้ แทบจะไม่มีหลงเหลืออยู่เช่นก่อนหน้านี้
ฉู่จางหมิ่นที่ทนนอนต่อไม่ไหว จึงทำทีว่าตนเริ่มรู้สึกตัวขึ้นมาเมื่อมีผ้าชุบน้ำมาถูกร่างของนาง ทำเอาหนิงอวี่เรียกเจ้านายตัวน้อยด้วยความดีใจฮุยอินก็รีบเข้ามาดูอาการด้วยอีกคน
“อืม”
“คุณหนู! คุณหนูของบ่าวฟื้นแล้ว ในที่สุดท่านก็ยอมฟื้นขึ้นมาเสียที ฮุยอิน ๆ คุณหนูได้สติจากพิษไข้แล้ว”
“คุณหนูเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ ยังปวดศีรษะอยู่หรือไม่” ฮุยอินดีใจไม่ต่างจากหนิงอวี่ ที่กำลังแตะตัวเพื่อตรวจดูความร้อนจากพิษไข้
“ไม่ปวดแล้วเจ้าค่ะแต่ยังรู้สึกเพลียอยู่เล็กน้อย พวกพี่สองคนเล่าได้พักผ่อนกันบ้างหรือไม่ มัวแต่ดูแลข้าเช่นนี้คงจะเหน็ดเหนื่อยไม่น้อยเลยนะเจ้าคะ ขอบคุณพวกท่านสองคนมาจริง ๆ ที่คอยดูแลข้าเสมอ” ฉู่จางหมิ่นมองใบหน้าของสาวใช้ ดูอิดโรยจากการคอยดูแลตนเอง
“ฮึก บ่าวไม่เหนื่อยเลยเจ้าค่ะ ขอเพียงคุณหนูหายป่วยไข้ก็พอ” หนิงอวี่ทั้งดีใจทั้งโล่งใจจนร้องไห้ออกมา นางกลัวมากกว่าคุณหนูน้อยที่เลี้ยงมากับมือ จะต้องมาตายตั้งแต่อายุยังน้อยเช่นนี้
“ตอนที่ข้าล้มป่วยคงมีเพียงพวกพี่สองคน คอยดูแลอยู่ข้าง ๆ สินะเจ้าคะ คนในครอบครัวไม่มีใครมาสนใจตัวเสนียดเช่นข้า”
“คุณหนูอย่าพูดเช่นนั้นสิเจ้าคะ ท่านไม่ใช่ตัวเสนียดอันใดสักนิด ใครไม่สนใจก็ช่าง แต่คุณหนูยังมีข้ากับฮุยอิน ที่จะอยู่เคียงข้างคอยดูแลคุณหนูเช่นนี้ตลอดไปนะเจ้าคะ” หนิงอวี่รีบเอ่ยห้ามมิให้ฉู่จางหมิ่นกล่าวว่าตนเองเป็นตัวเสนียด จนคนในครอบครัวรังเกียจ
“ใช่เจ้าค่ะคุณหนูใครจะคิดอย่างไรก็ช่างเถิด แต่สำหรับพวกบ่าวสองคนคุณหนูคือดาวนำโชคมากกว่าเจ้าค่ะ” ฮุยอินเห็นด้วยกับคำพูดนี้
“อย่าพูดถึงเรื่องไม่สบายใจดีกว่าเจ้าค่ะ บ่าวว่าคุณหนูทานโจ๊กเสียหน่อย จะได้แข็งแรงไว ๆ นะเจ้าคะ” หนิงอวี่รีบเปลี่ยนเรื่องพูดคุย
“ขอบคุณพวกพี่สองคนมากจริง ๆ ที่ไม่ทอดทิ้งข้าไว้เพียงลำพัง วันหน้าหากข้าได้ดีมีฐานะร่ำรวย ย่อมตอบแทนพวกท่านอย่างดีเจ้าค่ะ” ฉู่จางหมิ่นซึ้งใจแทนเจ้าของร่าง ที่มีสาวใช้ผู้ซื่อสัตย์สองคนนี้อยู่เคียงข้าง
ฉู่จางหมิ่นรับถ้วยโจ๊กมาทานเอง และยังนึกถึงเรื่องที่สาเหตุที่ทำให้ดวงจิตของตน ทะลุมิติย้อนมายังโลกคู่ขนาน ที่ไม่คิดว่าจะมีอยู่จริงก็น้ำตาคลอเล็กน้อย ความเจ็บปวดเสียใจยังคงมีอยู่ รวมกับความโดดเดี่ยวของเด็กน้อยเจ้าของร่างที่จากไป คนในครอบครัวคงมีชีวิตที่ดีขึ้นจากเงินประกันของนาง ส่วนผู้ชายสารเลวเช่นนั้น นางขอตัดวาสนาต่อกันทุกชาติไป
ขณะที่ฉู่จางหมิ่นตักโจ๊กกลืนลงท้องได้ไม่กี่คำ เสียงพูดจาดูถูกก็ดังขึ้นด้านหน้าประตูเรือน นางจึงหันไปถามหนิงอวี่กับฮุยอินด้วยสายตา ว่าเสียงที่ได้ยินนั้นเป็นใคร
“อี๋! ท่านแม่เจ้าคะทำไมพวกเราต้องมาที่นี่ด้วย มีแต่เศษฝุ่นเต็มไปหมดชายกระโปรงข้าสกปรกแล้วเจ้าค่ะ” ฉู่เฟินเยว่เดินมากับมารดาผู้เป็นอนุ ที่พาตนเองมาดูว่าฉู่จางหมิ่นใกล้จะตายหรือยัง
“เยว่เอ๋อร์แค่ชายกระโปรงเลอะเพียงเล็กน้อย เจ้าอดทนเสียหน่อยประเดี๋ยวกลับเรือนถอดชุดนี้ให้ซินอี๋เอาไปทิ้งก็ยังได้” ชุยเยี่ยนฟางก้มลงมองบุตรสาว ที่ยามนี้เป็นที่รักของครอบครัว มากกว่าบุตรสาวสายตรงของฮูหยินเอกอย่างฉู่จางหมิ่น
“เจ้าค่ะท่านแม่”
หนิงอวี่เห็นสายตาของเจ้านายน้อย ที่มีคำถามแม้จะสงสัยว่าทำไมถึงจำไม่ได้ แต่ยังคงตอบคำถามให้ฉู่จางหมิ่น
“..?..”
“เป็นอนุชุยกับคุณหนูรองฉู่เฟินเยว่เจ้าค่ะ พวกนางคงมาซ้ำเติมหรือไม่ก็มาดูว่าคุณหนูเป็นอย่างไรกระมัง”
“อ่อ บุตรสาวคนโปรดของคนทั้งจวน ที่ช่วยหนุนดวงชะตาให้ท่านพ่อ ได้ดิบได้ดีก้าวหน้าในตำแหน่งขุนนางน่ะหรือ”
“คุณหนูอย่าคิดมากเลยเจ้าค่ะ ถึงอย่างไรท่านก็เป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลฉู่” ฮุยอินพยายามปลอบใจฉู่จางหมิ่น
“หึ พวกพี่สองคนไม่ต้องห่วง ในเมื่อข้ารอดพ้นจากแม่น้ำเหลืองมาได้ ถึงจะมีอายุเพียงหกหนาว แต่ข้าจะไม่ยอมให้ใครมาหยามเกียรติได้แน่เจ้าค่ะ” ฉู่จางหมิ่นจากโลกอนาคต ที่ฟันฝ่าเรื่องราวต่าง ๆ มามากมาย จะกลัวกับเรื่องบ้านเล็กของบุรุษได้อย่างไร
ถ้วยโจ๊กอุ่น ๆ ยังคงอยู่ในมือน้อย ๆ แต่ผู้ถือกลับหยุดกินมันเสียอย่างนั้น และใช้สายตาจ้องมองไปที่ประตู ว่าแขกที่มาเยือนจะปรากฏเมื่อใด เพียงชั่วลมหายใจทั้งนายและบ่าว ก็ก้าวเข้ามาด้านในห้องพร้อมสายตาดูแคลนอย่างชัดเจน
อนุชุยยืนมองคุณหนูใหญ่ของจวน และแอบยิ้มเยาะออกมาเล็กน้อย “อา จางหมิ่น ข้าไม่ได้พบเจ้ามาพักใหญ่ ข้าก็ได้ยินข่าวมาว่าเจ้าล้มป่วยงั้นหรือเป็นอย่างไรบ้างเล่า?”
ฉู่เฟินเยว่หัวเราะเบา ๆ มองจางหมิ่นด้วยแววตาดูแคลน “ท่านแม่จะถามไปทำไมเจ้าคะโชคดีแค่ไหนที่นางยังไม่ตาย ไม่เช่นนั้นงานศพของนาง จะทำให้ท่านพ่อโชคร้ายได้นะเจ้าคะ”
ฉู่จางหมิ่นยิ้มบาง ๆ มองพวกนางด้วยแววตาที่สงบนิ่ง แต่ซ่อนความความไม่พอใจเอาไว้ “ขอบคุณอนุชุยที่เป็นห่วง บังเอิญข้ายังไม่ถึงเวลาตายกระมัง ขอโทษด้วยที่ทำให้พวกเจ้าต้องผิดหวัง"
อนุชุยยิ้มเหยียดกับคำพูดของฉู่จางหมิ่น “เชอะ แล้วอย่างไรเจ้าอยู่หรือตาย ทุกคนในจวนก็มิได้สนใจชีวิตนี้ของเจ้า เมื่อลองเทียบกับเยว่เอ๋อร์ของข้าแล้วเจ้าไม่มีทางเทียบได้ แม้แต่มารดาแท้ ๆ ของเจ้ายังไม่คิดมาเยี่ยม ลองตรองดูเถิดว่าเจ้าควรทำตัวเช่นไร”
ฉู่เฟินเยว่กอดอกเชิดหน้าอย่างถือดี “ท่านแม่อย่าพูดกับนางให้เสียเวลาดีกว่าเจ้าค่ะ ข้าอยากเลือกเสื้อผ้าชุดใหม่แล้ว”
“ได้สิจ๊ะลูกแม่ หึ จางหมิ่นเจ้าอยู่ที่เรือนนี้เงียบ ๆ ทำตัวให้ดีอย่าได้เสนอหน้าไปวุ่นวายที่เรือนใหญ่ เพราะอีกเจ็ดวันจะมีขุนนางจากเมืองหลวงนำราชโองการมาที่นี่ ถ้าไม่อยากถูกบิดาของเจ้าทำโทษจงอยู่อย่างเจียมตัวต่อไป พวกเจ้าสองคนก็เช่นกัน ควบคุมดูแลนางให้ดีอย่าปล่อยออกไปนอกเรือนเด็ดขาด หากการรับราชโองการเกิดมีปัญหา นายท่านจะขายพวกเจ้าสองคนออกไปเสีย” อนุชุยหันไปสั่งหนิงอวี่กับฮุยอิน ด้วยน้ำเสียงที่วางอำนาจกับบ่าวไพร่
“บ่าวทราบแล้วเจ้าค่ะ”
ฉู่จางหมิ่นยังคงจ้องมองสองแม่ลูก ด้วยแววตาที่แข็งกร้าวและไม่พอใจอย่างมาก
“อนุชุยไม่ต้องกังวลไป เชิญพวกท่านเสพสุขกันตามสบายเถิด ทางที่ดีอย่าได้มาเหยียบที่เรือนสกปรกของข้าอีกประเดี๋ยวเกิดโชคร้ายขึ้นมา จะกล่าวโทษว่าข้าเป็นคนทำไม่ได้หรอกนะ ถ้าหมดธุระแล้วก็เชิญ”
“หึ ก็ดี! ข้าจะรอดูน้ำหน้าคนอย่างเจ้า ว่าจะอยู่ในจวนนี้ได้นานแค่ไหนไปกันเถิดเยว่เอ๋อร์” อนุชุยไม่คิดว่าฉู่จางหมิ่น ที่ไม่เคยมองสบตา หรือแม้แต่ตอบโต้ตนเอง ยามนี้กลับเป็นคนละคนไปเสียได้
ฉู่จางหมิ่นยิ้มมุมปาก “รอดูต่อไป บางทีความจริงที่ท่านเห็นกับสิ่งที่ข้าสร้างอาจต่างกัน ข้าจะให้พวกท่านได้เห็นว่าชีวิตข้าไม่ได้จบลงที่นี่”
“แล้วข้าจะคอยดู ฮึ”
ชุยเยี่ยนฟางที่ตั้งใจมาตอกย้ำความต่ำต้อย ที่ฉู่จางหมิ่นไม่อาจได้รับเช่นบุตรสาวของนางได้ แต่ทุกอย่างกลับไม่เป็นอย่างที่คิด เมื่อเด็กหญิงอ่อนแออย่างฉู่จางหมิ่น จะกล้าพูดจาโต้ตอบนางกลับมา ซึ่งแตกต่างจากเดิมยิ่งนักถึงอย่างไรชุยเยี่ยนฟางมิได้สนใจนาน ขอเพียงบุตรสาวของนางได้รับทุกสิ่ง ที่ควรจะเป็นของฉู่จางหมิ่นทั้งหมดก็เพียงพอแล้ว
จ้าวจางหมิ่นพาทุกคนออกเดินทางอีกครั้ง และมาถึงเมืองหลวงตอนกลางยามเหม่า จึงได้ปลุกทุกคนให้ตื่นเพื่อเตรียมตัวผ่านประตูเมือง ซึ่งเสิ่นหนิงเทียนใช้ป้ายประจำตำแหน่ง ในการเปิดทางให้จ้าวจางหมิ่น ขับพาหนะแปลกประหลาดเข้าเมืองหลวง โดยได้สร้างความประหลาดใจให้ผู้คนที่พบเห็นอีกครั้งเมื่อรถตู้สีดำสนิทหยุดลงที่หน้าจวนเสิ่นอันโหว บ่าวที่เฝ้าหน้าประตูจวนจึงรีบวิ่งไปตามพ่อบ้านมาทันที“ไหน ๆ สิ่งแปลกประหลาดที่วิ่งได้ พวกเจ้าอย่าได้โกหกข้าเชียว”“ท่านพ่อบ้านข้าจะโกหกไปทำไมกัน ก็เจ้านั่นมันหยุดอยู่หน้าจวนจริง ๆ นะขอรับ”พ่อบ้านเสิ่นเมื่อวิ่งตามบ่าวออกมา ก็พบเสิ่นหนิงเทียนยืนอยู่กับจ้าวจางหมิ่น “คารวะคุณชาย ๆ ที่แท้เป็นท่านเองหรือนี่ บ่าวคิดว่าเจ้าพวกนี้โกหกเสียอีก เอ่อ คุณหนูผู้นี้คือ?”“นางก็คือนายหญิงจ้าวคู่หมั้นของข้าเอง และเป็นเจ้าของสีทาบ้านที่งดงามอย่างไรเล่า”“โอ้ว คารวะนายหญิงจ้าวขอรับ เชิญคุณชายกับนายหญิงจ้าวที่โถงรับแขกเถิด ป่านนี้นายท่านกับฮูหยินคงรู้เรื่องนี้ จากพวกสาวใช้ในจวนแล้วขอรับ”“อืม หมิ่นเอ๋อร์เข้าไปพักด้านในก่อนเถิด เจ้าคงเหนื่อยไม่น้อยเพราะขับเจ้ารถนี่เพียงลำพัง”“เจ้าค่ะพี่ชายเสิ่
ณ เมืองหลวงแคว้นเฉินภายหลังสินค้าจำนวนมากบนรถบรรทุก ที่สามารถมาถึงเมืองหลวงได้ในเวลาอันรวดเร็ว ก็ได้สร้างปรากฏการณ์แตกตื่นขึ้น เนื่องจากรถบรรทุกไม่สามารถเข้าประตูเมืองได้ จึงต้องจอดเรียงรายอย่างเป็นระเบียบอยู่ภายนอกกำแพงเมือง โดยหยางไห่รับหน้าที่เข้าไปรายงานต่อเสิ่นฮูหยินที่จวนเสิ่นอันโหวรู้สึกแปลกใจมากกับเรื่องนี้ เพราะไม่น่าเป็นไปได้ที่สินค้าจากเมืองชายแดน จะมาถึงเมืองหลวงได้รวดเร็วในเวลาไม่กี่วัน จึงได้ตามเสิ่นฮูหยินออกมาดูด้วยตาตนเอง ว่าที่หยางไห่บอกกับพวกเขานั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่เมื่อหยางไห่พาเสิ่นอันโหวและเสิ่นฮูหยิน ออกมาเจอกับรถบรรทุกขนาดใหญ่ ทำเอาทั้งสองคนตกตะลึงพูดอันใดไม่ออกไปชั่วขณะ แต่เป็นเสิ่นฮูหยินที่เรียกสติของตนกลับมาได้“หยางไห่เจ้าบอกว่าสินค้าที่อยู่บนรถ รถอะไรนะ?”“อ้อ นายหญิงเรียกมันว่ารถบรรทุกขอรับเสิ่นฮูหยิน” หยางไห่ตอบตามที่เขาจดจำมาจากคำพูดของจ้าวจางหมิ่น“ชะ ชะ ใช่เจ้ารถบรรทุก สินค้าที่ต้องส่งเข้าวังหลวงทั้งหมด อยู่บนหลังรถบรรทุกตรงหน้านี้ และนี่เป็นสิ่งที่หมิ่นเอ๋อร์จัดการด้วยตนเองงั้นรึ”หยางไห่ยืดอกตอบอย่างฉะฉาน “ถูกต้องแล้วขอรับเสิ่นฮูหยิน นายหญิงขอ
คำสั่งซื้อสินค้าจำนวนมากของเสิ่นฮูหยิน ถูกส่งผ่านนกพิราบสื่อสารของร้านอาหารหงอวิ้นไหล ซึ่งคำสั่งซื้อนี้มาถึงจวนตระกูลจ้าวแห่งเหอเฟย ขณะที่จ้าวจางหมิ่นกำลังสอนลูกจ้าง ฝึกทำปอเปี๊ยะทอดสำหรับเป็นอาหารเรียกน้ำย่อย ที่จะทำขายเพิ่มในร้านอาหารของนางเซิ่งปินที่ดูแลความเรียบร้อยของเรือนใหญ่ เมื่อเห็นนกพิราบบินมาเกาะยังกิ่งไม้ต้นเดิม ก็เดินไปหยิบจดหมายจากกระบอกไม้เล็ก ๆ และนำมามอบให้จ้าวจางหมิ่นยังห้องครัว“นายหญิงขอรับ มีจดหมายจากเมืองหลวงเพิ่งมาถึงที่นี่ขอรับ”จ้าวจางหมิ่นรับมาเปิดอ่านด้วยท่าทางปกติ แต่เพียงชั่วพริบตาก็เริ่มตาโตจากข้อความในจดหมาย “โอ้ว! แม่เจ้า เงินทองไหลมาเทมาหาพวกเราได้ทุกวันสิน่า”คนที่ทนไม่ไหวมากที่สุดคงหนีไม่พ้นสาวใช้ทั้งสอง และฮุยอินจึงถามเพื่อคลายความสงสัยแทนทุกคน “นายหญิงเจ้าคะ ที่ท่านพูดมาหมายความว่าเช่นไรหรือเจ้าคะ ท่านถึงดูตกใจและดีใจในเวลาเดียวกันเช่นนี้”จ้าวจางหมิ่นเงยหน้ามองทุกคนในห้องครัว ที่เฝ้ารอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ “นี่เป็นจดหมายจากมารดาของพี่ชายเสิ่น บอกเอาไว้ว่าฮ่องเต้ทรงต้องการสีทาบ้านจำนวนหนึ่งหมื่นถังเจ้าค่ะ”“ห๋า!! หนึ่งหมื่นถัง!!”หย่างไห่ถึงกับละล่ำ
การเปิดกิจการสีทาบ้านของจ้าวจางหมิ่นครั้งนี้ มิได้มีการจัดงานหรือจุดประทัดให้เสียงดังแต่อย่างใด นางเพียงอาศัยร้านอาหารเป็นตัวอย่างสินค้า และการตอบคำถามของเหล่าลูกจ้าง เมื่อมีลูกค้าในร้านอาหารสอบถามเท่านั้นเพียงเท่านี้ก็มีลูกค้ามาต่อแถวซื้อสีทาบ้าน จนพ่อบ้านห้าวต้องให้เหล่ยหง รวมถึงลูกจ้างอีกหลายคนในจวน ออกมาช่วยกันจัดระเบียบแถวของลูกค้า เพื่อป้องกันความวุ่นวายที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ในวันแรกที่เปิดขายสีทาบ้าน จ้าวจางหมิ่นได้กำไรถึงหลักพันตำลึงทองหนิงอวี่ที่ได้ช่วยนายหญิงของตนทำบัญชี ยังอุทานออกมาอย่างไม่อยากเชื่อ “โอ้ว นายหญิงเจ้าคะบ่าวมิได้คิดเลขผิดใช่หรือไม่ เพียงแค่ท่านเปิดขายสีทาบ้านวันแรก จากการพูดปากต่อปาก ก็ได้กำไรมากมายเช่นนี้แล้วนะเจ้าคะ”ฮุยอินที่นับทั้งก้อนเงินและตั๋วเงิน เพื่อให้ตรงกับบัญชีรายรับในมือของสหาย ยังคงมีอาการตื่นเต้นดีใจไม่หาย “นั่นสิเจ้าคะนายหญิง นี่ท่านเพิ่งขายให้คนในเมืองเหอเฟยเท่านั้น ยังได้กำไรหลักพันตำลึงทองแล้ว บ่าวไม่อยากจะคิดเลยว่าเมื่อสีทาบ้านไปถึงเมืองหลวง เหล่าขุนนางหรือคนที่ฐานะร่ำรวยไม่มีทางที่จะไม่อยากได้นะเจ้าคะ คงมีคนสั่งซื้อสินค้าชนิดนี้จำ
เรื่องการลงโทษสาวใช้ของเสิ่นหนิงเทียน บ่าวไพร่ในจวนปิดปากเงียบสนิท ไม่มีใครกล้าพูดหรือนำไปเล่าต่อแต่อย่างใด เนื่องจากพวกเขายังอยากมีชีวิต ทำงานแลกเงินส่งให้ครอบครัวและก่อนจะแยกย้ายกันเพื่อพักผ่อน จ้าวจางหมิ่นจึงบอกเสิ่นหนิงเทียนว่า นางมีเรื่องอยากพูดคุยกับเขาเล็กน้อย “พี่ชายเสิ่นเจ้าคะ รบกวนท่านอยู่พูดคุยกับข้าสักประเดี๋ยวเถิดเจ้าค่ะ”เมื่อเห็นว่ายังไม่ดึกมากเสิ่นหนิงเทียนจึงนั่งลงที่เดิม “ได้สิ ว่าแต่หมิ่นเอ๋อร์มีเรื่องอันใดจะคุยกับพี่งั้นหรือ”“ไม่มีอันใดมากหรอกเจ้าค่ะ ข้าแค่มีของมอบให้ท่านเล็กน้อย เพื่อขอบคุณที่ท่านอุตส่าห์ยกปิ่นปักผมให้ ซึ่งดูแล้วน่าจะเป็นของมีค่ากับท่านมาก ข้าจึงอยากตอบแทนสิ่งที่คล้ายกันกลับไปให้ท่านบ้างเจ้าค่ะ” จ้าวจางหมิ่นพูดจบก็หันไปรับกล่องไม้ ที่หนิงอวี่กลับไปหยิบจากในห้องพักมาให้นางเสิ่นหนิงเทียนมองกล่องไม้ในมือบาง พร้อมกับเลิกคิ้วเข้มด้วยความอยากรู้ ว่าสิ่งที่อยู่ด้านในนั้นคืออันใดกันแน่ “เจ้านำสิ่งใดมาให้พี่เช่นนั้นหรือ ความจริงแล้วไม่ว่าจะเป็นสิ่งของชิ้นใด ล้วนไม่สำคัญเท่ากับเจ้าหรอกนะหมิ่นเอ๋อร์”“ท่านรับไว้เถิดเจ้าค่ะ เพราะข้าตั้งใจมอบให้ท่านจริง ๆ”
หลังจากเห็นว่าจ้าวจางหมิ่นนอนหลับสนิท เสิ่นหนิงเทียนย้อนกลับไปที่เดิมอีกครั้ง เพื่อจัดการกับพวกหมิงเฉียว แต่เขากลับพบกับความว่างเปล่า คนตั้งมากมายกลับหายไปอย่างไร้ร่อยรอย แม้แต่เลือดสักหยดยังไม่มีให้เห็น “เป็นไปได้อย่างไรกัน? คนหลายสิบคนหายไปพร้อมกัน ใครจะมีความสามารถจัดการได้รวดเร็วเช่นนี้”เสิ่นหนิงเทียนจึงเดินกลับด้วยความงุนงง และมีข้อสงสัยมากมายอยู่ในใจของเขา ว่าเหตุการณ์ประหลาดนี้ เป็นฝีมือของคนหรือภูตผีปีศาจกันแน่ เสิ่นหนิงเทียนรู้สึกเสียดายไม่น้อย ที่คนของตนกลับนอนหลับสนิท ไม่มีทีท่าจะตื่นขึ้นมาสักนิด มิเช่นนั้นเขาคงได้รู้ว่าเป็นฝีมือของผู้ใดเมื่อยามเช้ามาถึงภายหลังจัดการเรื่องอาหารมื้อเช้า ทุกคนช่วยกันเก็บของทั้งหมดเพื่อเดินทางต่อ โดยไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงอันใดอีก ครั้งนี้ใช้เวลาเดินทางกลับเร็วกว่าเล็กน้อย แต่พวกเขามาถึงเมืองฟู่ชิงในเขตชายแดนแคว้นเฉิน ก็เข้าสู่ปลายยามเซินแล้ว เสิ่นหนิงเทียนไม่อยากให้จ้าวจางหมิ่นเดินทางยามค่ำคืน จึงได้เชิญนางพักเสียที่จวนของตน“หมิ่นเอ๋อร์ตอนนี้ใกล้จะมืดค่ำเข้าไปทุกที เจ้ากับคนอื่น ๆ พักเสียที่จวนของพี่เถิด พรุ่งนี้เช้าค่อยกลับเมืองเหอเฟยจะดีกว