“บ่าวว่าพวกเขาดูมีความสุขดี ไม่คล้ายจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นเจ้าค่ะ” ไป๋จื่อครุ่นคิดพลางเอ่ยตอบ ซ่งรั่วเจินและฉู่จวินถิงสบตากัน สองคนต่างก็งุนงง จึงไปที่โถงหน้าพร้อมกันอย่างไม่รีรอ ทันทีที่ทั้งสองคนปรากฏตัว ซ่งเยี่ยนโจวพร้อมด้วยน้องชายอีกสามคนต่างก็เผยรอยยิ้มยินดีออกมาบนใบหน้า “น้องหญิงห้า สุขสันต์วันเกิด!” ซ่งเยี่ยนโจวหยิบของขวัญวันเกิดที่ตนเองเตรียมเอาไว้ออกมา “สิ่งนี้คือสร้อยข้อมือหยกมรกตที่พี่ใหญ่เลือกมาให้เจ้าด้วยความตั้งใจ ขอให้เจ้าคงความงดงามเพริศพริ้งตลอดไป” “ส่วนสิ่งนี้คือหยกประดับที่พี่รองเลือกให้เจ้า แก้วใสบริสุทธิ์ ดั่งสวรรค์บรรจงเสกสรร แฝงด้วยความหมายอันเป็นมงคล วางประดับไว้บนโต๊ะก็ดูงดงามทีเดียว” ซ่งอี้อันเอ่ยพลางยิ้มบาง ๆ ซ่งจืออวี้ได้ฟังคำอวยพรของทั้งสองคน ก็โบกมือปัดอย่างรังเกียจ “น้องหญิงห้า ของขวัญของพวกเขาไม่น่าสนใจเลยสักนิด เจ้ามาดูของขวัญที่พี่สามเตรียมไว้ให้เจ้าดีกว่า” “เหล่านี้ล้วนเป็นของเล่นที่แพร่หลายกันมากที่สุดในหมู่ดรุณีทั่วเมืองหลวงช่วงนี้ ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะชอบ จึงเตรียมทั้งหมดนี้มามอบให้เจ้า เชื่อว่าต้องมีสักชิ้นที่ต้องตาเจ้า!” ซ่งรั่วเจินมอง
ซ่งรั่วเจินชิมบะหมี่ที่ฉู่จวินถิงต้มมาให้แล้ว ความจริงนอกจากหน้าตาภายนอกที่ดูไม่ดีเท่าใดนัก ทว่ารสชาตินั้นนับว่ายอดเยี่ยมเลยทีเดียว นางยกนิ้วโป้งขึ้นมาทันที “รสชาติดียิ่ง!” ฉู่จวินถิงเห็นซ่งรั่วเจินกินบะหมี่ชามนั้นจนหมดถ้วยแล้ว ท่าทางดูไม่คล้ายเสแสร้งแม้แต่น้อย จึงลอบถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เดิมทีก็คิดว่าการต้มบะหมี่สักชามหาใช่เรื่องยากอะไร แต่ใครจะรู้ว่าสำหรับคนที่ไม่เคยเข้าครัวเลยสักครั้งพอได้ลงมือทำอาหารเป็นครั้งแรก ก็พบว่าระดับความยากนั้นมิใช่เล่น ๆ เลยทีเดียว “จวินถิง ท่านรับประทานสำรับเช้าแล้วหรือยัง?” ซ่งรั่วเจินมองฉู่จวินถิงด้วยความเป็นห่วง เดาได้ไม่ยากเลยว่าเขาน่าจะตื่นมาต้มบะหมี่ตั้งแต่เช้าตรู่แน่ ๆ “ข้ากินเรียบร้อยแล้ว” ใบหน้าหล่อเหลาของฉู่จวินถิงแฝงความกระอักกระอ่วนเล็กน้อย เพราะบะหมี่ที่เขาทำเมื่อเช้า ไม่เพียงอวิ๋นหยางที่ได้กิน ตัวเขาเองก็กินไปไม่น้อยเหมือนกัน จากเรื่องนี้ เขาตระหนักได้ชัดเจนขึ้นว่าฮูหยินของเขาเก่งมากแค่ไหน ฝีมือการทำอาหารเป็นเพียงหนึ่งในหลากหลายความสามารถของนาง แต่ก็สามารถทำออกมาได้ยอดเยี่ยมมากถึงเพียงนี้ กระทั่งซ่งรั่วเจินรับประทานสำรับ
เขามองจนหัวใจอ่อนยวบ ฮูหยินของเขาจะมองสักร้อยรอบก็ไม่รู้เบื่อจริง ๆ “ท่านอ๋อง…” อวิ๋นหยางกำลังจะเรียกให้ท่านอ๋องลงจากรถม้า ก็เห็นฉู่จวินถิงส่งสัญญาณให้เขาอย่างส่งเสียงเอะอะ จึงรีบปิดปากเงียบทันที ฉู่จวินถิงอุ้มซ่งรั่วเจินลงจากรถม้า สองแขนของเขาแข็งแรง ก้าวเดินอย่างมั่นคง สตรีในอ้อมแขนนอกจากมุ่นหัวคิ้วอยู่ตั้งแต่แรก ก็หาท่าที่สบายหลับสนิทอยู่ในอ้อมอกของเขา ในดวงตาของฉู่จวินถิงเจือรอยยิ้มจาง ๆ เมื่อเดินมาถึงในห้อง ก็วางนางลงบนเตียงนอนอย่างระมัดระวัง เห็นนางสวมเสื้อนอกนอนไม่สบายตัว เขาจึงปลดชุดกระโปรงของนางออก ช่วยนางถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกไป และทันใดนั้น เมื่อเสื้อคลุมตัวนอกถูกถอดออก เขาเนินหยกสีขาวผุดผ่องกำลังขยับขึ้นลง เลือดลมในกายก็พลุ่งพล่านทันที สตรีผู้นี้ไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด มิหนำซ้ำแขนยังพาดมาวางตรงหน้าทองของเขาอีก ไม่รู้เลยว่ากำลังฝันถึงอะไรอยู่ ที่ยื่นมือออกมาบีบคลึงเบา ๆ แบบนี้ ฉู่จวินถิงเงียบไปก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา หากมิใช่เพราะวันนี้นางเหนื่อยล้ามากเกินไปจนนอนหลับลึกขนาดนี้ เขาคงต้องให้นางรับผิดชอบดับเปลวเพลิงร้อนระอุที่ลุกโชนขึ้นมานี้แน่ ๆ ในคืนนั้น ฉู่จวินถิ
ซ่งรั่วเจินออกมาจากจวนสกุลเมิ่งแล้วก็เห็นรถม้าที่คุ้นเคยคันหนึ่งจอดอยู่บริเวณห่างออกไปไม่ไกลอวิ๋นหยางเห็นว่าพระชายาออกมาแล้วก็รีบบังคับรถม้ามาหยุดลงตรงหน้าประตูเนื่องจากวันนี้ซ่งรั่วเจินกับเมิ่งชิ่นกลับมาด้วยกัน เมิ่งชิ่นจึงคิดว่าจะให้รถม้าของตนเองส่งรั่วเจินกลับไป แต่แล้วก็เห็นว่ามีรถม้ามารับแล้วครู่ถัดมา นางก็เห็นฉู่จวินถิงที่ลงมาจากรถม้า“คิดไม่ถึงว่าท่านอ๋องจะมารับเจ้าด้วยตนเอง น่าอิจฉาจริงๆ”เมิ่งชิ่นกะพริบตา นางรู้แต่แรกแล้วว่าฉู่อ๋องดีต่อรั่วเจินเป็นอย่างมาก วันนี้นับว่าได้เห็นแจ่มแจ้งว่าดีมากเพียงไรนางชมดูจนอยากหาใครสักคนออกเรือนด้วยเสียให้รู้แล้วรู้รอด ดูเหมือนออกเรือนแล้วก็มีความสุขมากเหมือนกันสินะซ่งรั่วเจินปรายตามองนางพลางกล่าว “ข้ากลับก่อนนะ”“ท่านอ๋อง พวกท่านกลับดีๆ นะเพคะ” เมิ่งชิ่นยิ้มกล่าวฉู่จวินถิงประคองซ่งรั่วเจินขึ้นรถม้า มองปราดเดียวก็สังเกตเห็นว่าดวงหน้าเล็กของนางค่อนข้างซีดขาว คิ้วคมขมวดเล็กน้อย แววตาเต็มไปด้วยความห่วงใย“วันนี้เหนื่อยเกินไปเพราะช่วยคนใช่หรือไม่?”ซ่งรั่วเจินค่อนข้างประหลาดใจ “ ท่านรู้แล้ว?““ตอนกลับจวนไปก็ได้ยินแล้ว เป็นเพราะเจ
“ใต้เท้าเมิ่งเกรงใจไปแล้ว ช่วยชีวิตคนประเสริฐกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น ข้าสามารถช่วยเหลือได้ก็เป็นเรื่องน่ายินดีมากเช่นกัน”ซ่งรั่วเจินยิ้มบาง ใต้เท้าเมิ่งเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ เดิมทีก็มีความสัมพันธ์อันดีกับจวินถิง มิหนำซ้ำนางกับเมิ่งชิ่นยังเป็นสหายสนิทกัน การยื่นมือช่วยเหลือย่อมควรทำอยู่แล้ว“ช่วยชีวิตฮูหยินน้อยกลับมาได้แล้ว แต่ตอนนี้ร่างกายนางอ่อนแออย่างยิ่ง ยังคงต้องดูแลอย่างเอาใจใส่”“ประเดี๋ยวข้าจะเขียนเทียบยาให้ใบหนึ่ง ต้มยาตามเทียบยานั้น กินติดต่อกันเจ็ดวัน อาการก็จะมั่นคงเอง”“พวกเราจะทำตามที่ท่านพูดมาอย่างแน่นอน”หลังช่วยเจิ้งซิ่วอิ๋งได้แล้ว ซ่งรั่วเจินก็มองทารกน้อยแล้วเขียนเทียบยาให้หนึ่งใบเช่นกันเด็กคนนี้ลมหายใจอ่อนยิ่ง ไม่ใช่ลักษณะที่จะอายุยืนเลยจริงๆ แต่ถ้าดูแลด้วยความเอาใจใส่ก็สามารถทำให้เด็กคนนี้เติบใหญ่อย่างปลอดภัยได้หลังจากทั้งหมดนั้นเสร็จสิ้นลง ท้องฟ้าก็มืดสนิทแล้ว สกุลเมิ่งรีบให้คนจัดเตรียมมื้อเย็น ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องให้ซ่งรั่วเจินอยู่รับประทานอาหารด้วยกันที่จวนให้ได้หลังจากที่ฉู่จวินถิงทราบว่าเวลานี้ภรรยาตนเองอยู่ที่บ้านสกุลเมิ่งยังไม่กลับมา คิ้วคมก็เลิกขึ้นเล็
ทุกคนได้ยินคำพูดของซ่งรั่วเจินแล้วก็หันหน้ามาขวับ ความหวังเสี้ยวหนึ่งจุดประกายขึ้นในแววตาได้ยินว่าพระชายาฉู่อ๋องมีวิชาแพทย์เป็นเลิศ แม้แต่โรคที่หมอหลวงในวังรักษาไม่หาย นางก็สามารถรักษาหายได้ ตอนนั้นขาของซ่งเยี่ยนโจวและดวงตาของซ่งอี้อันก็เป็นเช่นนี้ ไม่รู้ว่าครานี้จะมีหวังหรือไม่หมอหลวงเห็นว่ายามนี้สถานการณ์กลายเป็นเช่นนี้แล้ว พระชายาฉู่อ๋องยังต้องการลองดูก็อดจะตะลึงไม่ได้หากคนตรงหน้าเป็นแม่นางธรรมดาทั่วไป เขาจะต้องไม่เชื่อเด็ดขาด แต่คนที่อยู่ตรงหน้าคือพระชายาฉู่อ๋อง เขาไม่กล้าไม่เคารพแม้แต่น้อยคงต้องลองทุกวิถีทาง ถ้าสามารถช่วยชีวิตไว้ได้ ความสามารถของพระชายาฉู่อ๋องก็น่าตกใจเกินไปแล้ว!ซ่งรั่วเจินหยิบยาเม็ดหนึ่งออกมาให้เจิ้งซิ่วอิ๋งกินลงไป จากนั้นก็หยิบเข็มเงินออกมาเริ่มทำการรักษาสิ่งสำคัญที่สุดในเวลานี้คือการห้ามเลือด มิฉะนั้นหากปล่อยให้ตกเลือดเช่นนี้ต่อไป แม้แต่เทพเซียนก็คงช่วยไม่ได้แล้วใต้เท้าเมิ่งและเมิ่งฮูหยินมองดูซ่งรั่วเจินที่กำลังสาละวนอยู่ตรงหน้า ดวงตาเต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ ก่อนนี้พวกเขาได้ยินมาว่าเป็นเพราะได้ซ่งรั่วเจิน เมิ่งเจ๋อจึงไม่ถูกหลอกลวงนานไปกว่านี้ไม่ค