ตลอดการเดินทางหลิงเชี่ยนเอ๋อร์มุ่งหน้าไปยังทิศทางที่เข้าใกล้ตำแหน่งของพี่ชายตน รู้สึกกระวนกระวายภายในใจทั้งๆ ที่พวกเขาจัดการเรื่องที่สมควรทำก่อนกลับเมืองหลวงไว้ดีแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นอุทกภัยเมืองผิงหยางเกิดขึ้นโดยบังเอิญได้ไม่นาน พวกเขาฉวยโอกาสกอบโกยทรัพย์สินก่อนจะจากไป ปัญหาที่เกิดขึ้นก็ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาเดิมทีขอเพียงพี่ใหญ่จัดการเรียบร้อยแล้วก็สามารถกลับเมืองหลวงได้ บัดนี้ยังไม่ยอมกลับจึงเรียกความสนใจจากคนมากมาย ตกลงเกิดเรื่องอันใดทำให้เสียเวลากันแน่?ฉู่จวินถิงมุ่งหน้าไปยังเมืองผิงหยาง ราชครูกู้เองก็ไม่ใช่คนรับมือง่าย คงไม่เกิดเรื่องอันใดหรอกกระมัง?เดิมทีนางอยากพาฉู่จวินถิงไปด้วยกัน ขอเพียงขัดขวางพวกเขาได้ ก็สามารถยื้อเวลาให้พี่ใหญ่ได้มากขึ้น ใครคิดเล่าว่าฉู่จวินถิงจะเป็นคนหัวรั้น ไม่สนใจนางเลยสักนิด!นางไม่เชื่อหลอกว่าฉู่จวินถิงจะสามารถต้านทานความเย้ายวนได้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นบุรุษคนหนึ่ง จะโทษก็ต้องโทษซ่งรั่วเจินมีเล่ห์เหลี่ยมมากเกินไป ไม่เพียงมีราชครูกู้ ยังมีสองพี่น้องสกุลซ่งร่วมเดินทางอีกด้วยต่อให้ฉู่จวินถิงเกิดความคิด ก็ไม่อาจทำอันใดยามอยู่ต่อหน้าพวกเขาได้ น่าแ
“ตำแหน่งของท่านพ่ออยู่ห่างจากพวกเราไม่ไกล พรุ่งนี้พวกเราก็น่าจะสามารถตามหาพบ”ภายในสายตาซ่งจืออวี้เปี่ยมความหวัง เขาไม่ได้พบบิดานานมากแล้ว ก่อนหน้านี้ข่าวร้ายถูกส่งมาไม่เคยคิดเชื่อ บัดนี้ใกล้จะได้พบบิดาแล้ว เขารู้สึกดีใจอย่างมาก!ซ่งรั่วเจินเองก็เกิดความหวังอย่างอดไม่ได้ นางรู้ว่าซ่งหลินเป็นบิดาที่มีความเมตตาและดีต่อนางมากมาโดยตลอดผ่านความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมเพราะมีนางเป็นลูกสาวเพียงคนเดียว ดังนั้นจึงได้รับความรักและเอ็นดูเป็นพิเศษ รอกลับถึงเมืองหลวง พวกเขาก็จะได้อยู่ร่วมกันพร้อมหน้าทั้งครอบครัวแล้วราชครูกู้อยู่บัญชาการที่เมืองไห่เทียนดังเดิม รับผิดชอบให้พ่อค้าปล่อยข่าว ในเวลาเดียวกันยังติดต่อทางการให้เพิ่มราคาธัญพืช ดังนั้นจึงไม่ได้ร่วมเดินทางมาด้วย“ท่านอ๋อง ท่านกำลังคิดอันใดอยู่หรือ?”สายตาซ่งรั่วเจินมองเห็นสายตาลุ่มลึกของฉู่จวินถิงคล้ายกำลังถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาเป็นชั้นๆ ภายในนั้นเป็นความหนักใจที่นางมองแล้วไม่เข้าใจฉู่จวินถิงมองซ่งรั่วเจิน กลับไม่คิดปิดบัง เขาเชื่อใจซ่งรั่วเจินอย่างมาก“ก่อนหน้านี้เจ้าพูดว่าดวงชะตาของหลิงเชี่ยนเอ๋อร์แปลกอยู่บ้าง มีพลังโลหิตแฝงอยู่ เป็น
อีกด้านหนึ่งซ่งหลินซ่อนตัวอยู่ในป่าบนภูเขา ตรงทรวงอกมีเลือดซึมออกมา ใบหน้าหล่อเหลาเด็ดเดี่ยวบัดนี้เป็นสีขาวซีด“ท่านแม่ทัพ ท่านยังทนไหวหรือไม่?” หร่วนเฉิงมีสีหน้าเป็นห่วงซ่งหลินโบกมือเบาๆ “แผลเล็กน้อยแค่นี้ ไม่เป็นไรหรอก”เขาเคยออกรบมาตั้งหลายครั้ง เคยได้แผลใหญ่น้อยมานับไม่ถ้วน อาการบาดเจ็บแค่นี้ไม่สะเทือนเขาเลยสักนิด“ท่านแม่ทัพ เจ้าหมอนั่นเจ้าเล่ห์เกินไปแล้ว คราวนี้ไม่รู้ว่าไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน แต่เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส คงหนีไปได้ไม่ไกลนักหรอก”หร่วนเฉิงกวาดสายตามองบริเวณใกล้เคียง ภูมิประเทศในป่าแถบนี้เดิมก็ซับซ้อน นอกจากนี้แถวนี้ยังไม่ค่อยมีคนอาศัยอยู่ พวกเขาคงยากจะหาคนพบในเวลาอันสั้น“คราวนี้จะต้องจับเจ้าหมอนี่ให้ได้เลยเชียว!”ซ่งหลินกล่าวอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ไล่สังหารข้ามานานปานนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าพวกสารเลวนี่ ข้าก็คงไม่ถึงกับไม่ได้กลับบ้าน!”เพียงคิดถึงว่าข่าวการเสียชีวิตของเขาส่งกลับไปแล้ว ภรรยาและลูกๆ จะต้องโศกเศร้าเสียใจเพราะเรื่องนี้เป็นแน่ เดิมทีทั้งตระกูลซ่งล้วนต้องพึ่งพาเขา แต่บัดนี้ทุกคนล้วนเข้าใจว่าเสาหลักอย่างเขาไม่อยู่แล้ว ไม่รู้ว่าหรูเยียนและพวกเด็กๆ จ
พวกเขาทุกคนล้วนเป็นคนที่ผ่านสนามรบมาอย่างโชกโชน บัดนี้พยัคฆ์ร้ายตกที่นั่งลำบากถูกสุนัขรังแก กระทั่งยังถูกคนกลุ่มนี้ตามล่าสังหารไปทั่ว ยามนี้จึงเข่นฆ่าจนประสาทด้านชามาแต่แรกแล้วซ่งหลินฉีกผ้าแถบหนึ่งลงมาพันแผลอย่างง่ายๆ แล้วถือกระบี่คมกริบกระโจนเข้าไปในวงตะลุมบอนขณะเดียวกัน ซ่งรั่วเจินเห็นยันต์นำทางของตนเองย้อมสีแดงบางส่วน แววตาก็พลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย กล่าวว่า “ท่านพ่ออยู่ในอันตราย!”สิ้นเสียงนั้น ซ่งจืออวี้และฉู่จวินถิงล้วนหน้าเปลี่ยนสี“ท่านอ๋อง ท่านดูแลน้องสาวข้าด้วย ข้าขอล่วงหน้าไปก่อนก้าวหนึ่ง!” ซ่งจืออวี้กล่าวด้วยความร้อนใจฉู่จวินถิงมองไปทางพวกอวิ๋นหยาง “เร็วเข้า ตามไปทั้งหมด จะต้องรับรองความปลอดภัยของแม่ทัพซ่งให้ได้!”“ข้าน้อยรับบัญชา!”พวกอวิ๋นหยางสะบัดแส้ยาวในมือ เร่งรุดไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วราวติดปีกซ่งรั่วเจินก็ร้อนใจเช่นกัน รีบลงมาจากรถม้าแล้วมองไปทางฉู่จวินถิงโดยไม่รู้ตัว“ขึ้นม้า พวกเราก็ตามไปเหมือนกัน” ฉู่จวินถิงยื่นมือมาให้ฉับพลันนั้น ซ่งรั่วเจินก็ถลาขึ้นไปบนหลังม้า คนทั้งสองโผนทะยานไปท่ามกลางป่าเขา“เคร้ง เคร้ง เคร้ง!”พวกซ่งหลินตกอยู่ในวงล้อม ถึงยามนี้จ
ซ่งจืออวี้แทงสังหารคนชุดดำที่โถมเข้ามาหาในกระบี่เดียวแล้วหันมามองซ่งหลินอย่างหมดคำจะพูด “ข้าไม่ได้โง่เสียหน่อย แต่เป็นห่วงท่านจึงรีบมา คนอื่นๆ กำลังตามมาแต่ยังมาไม่ถึงต่างหากเล่า”ซ่งหลินได้ยินอย่างนั้นก็ถอนหายใจออกมา “ข้ากลัวว่าเจ้าจะทำอะไรหุนหันพลันแล่นน่ะสิ! ยังดียังดี ลูกชายคนนี้ของข้ายังมีหัวคิดอยู่สินะ”หากเป็นลูกชายคนอื่นมา เขาคงไม่กังวลแบบนี้ แต่อวี้เอ๋อร์มีนิสัยเถรตรงมาตั้งแต่เด็ก พลิกแพลงไม่เป็น การบุกเดี่ยวมาหาจึงไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้คนอื่นๆ เห็นอย่างนั้นก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ ทั้งที่เนื้อตัวเปื้อนเลือดไปหมดแล้ว แต่จิตใจทุกคนกลับปลอดโปร่งอย่างยิ่งขณะนั้น พวกอวิ๋นหยางก็ตามมาถึงแล้วบุกเข้ามาอย่างรวดเร็วสถานการณ์ที่เดิมเป็นฝ่ายตั้งรับเปลี่ยนจากอันตรายเป็นปลอดภัยในชั่วพริบตา ในที่สุดพวกซ่งหลินก็มีโอกาสหายใจหายคอเสียทีเห็นว่าซ่งจืออวี้รุกรับอย่างทรงพลังประหนึ่งมีพละกำลังมหาศาลมาแต่กำเนิด ลงมือโดยไม่ไว้ไมตรีแม้แต่น้อย หร่วนเฉิงอดชมเชยไม่ได้“ท่านแม่ทัพ ลูกชายคนนี้ของท่านมีฝีมือต่อสู้ยอดเยี่ยมจริงๆ ถ้าได้ลงสนามรบจะต้องเอาชนะคู่ต่อสู้ได้อย่างราบคาบเป็นแน่!”“เ
อย่างไรเสียก็มีลูกชายสี่คนแล้ว แต่มีลูกสาวเพียงคนเดียว จะไม่เห็นเป็นแก้วตาดวงใจได้อย่างไรเล่า?ซ่งรั่วเจินเห็นชายสองคนตรงหน้าเนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือด แต่กลับถามอย่างอ่อนโยนด้วยกลัวว่าจะทำให้ตนเองตกใจกลัวก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ไหว“ข้าไม่กลัวเจ้าค่ะ”ซ่งหลินระบายลมหายใจออกมา ถึงตอนนี้ค่อยสังเกตเห็นฉู่จวินถิงที่มาพร้อมกับซ่งรั่วเจินจึงแสดงคารวะ “คารวะฉู่อ๋อง”คนอื่นๆ เห็นว่าฉู่อ๋องเสด็จมาก็ล้วนแต่ประหลาดใจอย่างยิ่ง รีบแสดงคารวะอย่างนอบน้อม “คารวะฉู่อ๋อง!”“คราวนี้ลำบากแม่ทัพซ่งและทหารกล้าทุกท่านแล้ว”ฉู่จวินถิงมองปราดเดียวก็จำฉีอู่กับหร่วนเฉิงได้ คิดถึงข่าวคราวที่ส่งกลับมาก่อนหน้านี้ หลังจากที่แม่ทัพซ่งเป็นตายไม่แน่ชัด ทหารกล้าข้างกายหลายคนก็ไม่ได้กลับเมืองหลวงพวกเขาไม่รับกระทั่งการปูนบำเหน็จจากการรบ เพื่อไปตามหาแม่ทัพซ่งที่หายสาบสูญเป็นต้องเห็นคน ตายต้องพบศพบัดนี้ พวกเขาอยู่กับแม่ทัพซ่งจริงดังคาด อาศัยเพียงน้ำมิตรตรงนี้ก็เพียงพอให้คนนับถือเลื่อมใสแล้วไม่เพียงเท่านั้น เขายังพบคนอีกหลายคนที่ทุกคนเข้าใจว่าสิ้นชีวิตในสมรภูมิไปแล้ว พวกเขายังไม่ตาย ทุกคนล้วนอยู่ที่นี่!“ท่านอ๋อ
ยามปกติซ่งรั่วเจินจะทำยันต์คุ้มภัยไม่กี่ใบเผื่อไว้ใช้ในคราวจำเป็น แต่หลังจากได้เผชิญหน้ากับไต้ซือเทียนจี ความจำเป็นในการใช้ยันต์ก็เพิ่มขึ้นอย่างมากเพื่อเลี่ยงไม่ให้ทุกคนถูกจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัว เวลาว่างนางจึงมักทำเผื่อเอาไว้ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามสามารถใช้ไอมรณะ ไม่แน่ว่าข้างกายอาจมีคนในสำนักเต๋าคอยช่วยเหลืออยู่ก็เป็นได้ ดังนั้นพกไปด้วยสามารถช่วยป้องกันเหตุไม่คาดฝันได้ฉู่จวินถิงพยักหน้า “รอข้ากลับมา”ซ่งหลินเห็นลูกสาวตนเองกับฉู่อ๋องมีท่าทางคุ้นเคยกันปานนี้ ในใจก็นึกสงสัยอย่างไม่อาจเลี่ยงควรรู้ว่าที่ผ่านมาลูกสาวตนเองแทบไม่เคยพบหน้าฉู่อ๋อง นอกจากนี้ ฉู่อ๋องมีนิสัยอย่างไร เขาอยู่ในกองทัพมานานปานนี้ย่อมรู้แจ่มแจ้งเป็นที่สุดคิดถึงว่าตอนแรกเขาก็เคยอยากให้ฉู่อ๋องเป็นลูกเขยของตัวเอง หากจนใจที่ฉู่อ๋องมีนิสัยเย็นชาเกินไป ทั้งยังไม่รู้จักรักหยกถนอมบุปผา กอปรกับยังมีฐานะสูงศักดิ์ ไม่เหมาะสมกันจริงๆ จึงเลิกล้มความคิดนั้นไป“อวี้เอ๋อร์ เจ้ามาเองก็แล้วไปเถอะ ทำไมถึงยังพาน้องสาวเจ้ามาด้วย?”“ตอนนี้นางออกเรือนไปแล้ว ไฉนหลินจือเยว่จึงไม่มา แต่กลับให้นางมาเสียอย่างนั้น?”ซ่งหลินมีสีหน้าไม่เข้าใ
นี่คือดาวหายนะตกสวรรค์แบบไหนกัน?สามารถบันดาลหายนะให้คนทั้งครอบครัวได้ขนาดนี้ จะร้ายกาจเกินไปแล้ว!เนื่องจากตอนมาคาดการณ์ไว้แล้วว่าซ่งหลินคงได้รับบาดเจ็บจึงเตรียมยารักษาอาการบาดเจ็บมาด้วย ซ่งรั่วเจินด้านหนึ่งช่วยทำแผลให้ซ่งหลิน ด้านหนึ่งก็ตอบคำถามเขาไปด้วย“ตอนนี้ท่านแม่สบายดีมากเจ้าค่ะ แค่เป็นห่วงความปลอดภัยของท่าน หวังให้ท่านกลับไปไวๆ”ซ่งหลินได้ยินอย่างนั้น ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มออกมา “พวกเจ้าล้วนสบายดีก็ดีแล้ว”ซ่งจืออวี้ได้ยินถ้อยคำทอดถอนใจนั้นก็นึกถึงก่อนหน้านี้ที่พี่ใหญ่สองขาพิการ พี่รองตาบอดสองข้าง หากไม่มีน้องหญิงห้าอยู่ด้วย ตระกูลซ่งในตอนนี้คงยากจะบรรยายได้ด้วยถ้อยคำไม่กี่คำกล่าวถึงที่สุดแล้ว น้องหญิงห้าช่างเป็นดาวนำโชคของคนทั้งครอบครัวเสียจริงๆ!“ท่านพ่อ ตอนนี้พวกข้าตัดขาดกับตระกูลหลิ่วแล้วเจ้าค่ะ” ซ่งรั่วเจินพูดซ่งหลินเริ่มจากนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ต่อมาก็ขมวดคิ้วแน่น “พวกเขารังแกแม่เจ้าระหว่างที่ข้าไม่อยู่ใช่หรือไม่?”ซ่งรั่วเจินยิ้มบาง “เรื่องนี้ไว้ท่านกลับไปแล้วให้ท่านแม่ค่อยๆ เล่าให้ท่านฟังดีกว่าเจ้าค่ะ แต่ว่าตอนนี้พ่อตาของท่านคือราชครูกู้นะเจ้าคะ”“หมายความว่าอะไรรึ
เพียงเอ่ยปาก โทสะทั้งหมดก็พรั่งพรูออกมาแล้วความเจ็บปวดและอึดอัดใจที่สั่งสมอยู่ภายในใจล้วนระเบิดออกมาในเวลานี้อวิ๋นเฉิงเจ๋อได้ยินอวิ๋นเนี่ยนชูพูดเช่นนี้เป็นครั้งแรก มองนางตวาดถามไล่เรียงตนเอง ภายในใจเปี่ยมความรู้สึกผิด“ขอโทษ ล้วนเป็นความผิดของข้า”เห็นสายตาเปี่ยมความรู้สึกผิดของฝ่ายชาย อวิ๋นเนี่ยนชูตาแดงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว “เดิมทีทั้งหมดนี้ก็เป็นความผิดของท่านอยู่แล้ว! เหตุใดท่านไม่บอกข้าเร็วสักหน่อย ท่านรู้ว่าหลายปีมานี้ข้าฝืนได้ลำบากมากเพียงใดหรือไม่?”“ในเมื่อท่านไม่พูดมาโดยตลอด เหตุใดไม่เก็บเอาไว้ชั่วชีวิตเล่า?”น้ำตานางไหลลงมา ตลอดหลายปีมานี้ไม่ตอบรับความรู้สึกนาง นี่ทุกข์ใจมากเพียงใด?นางอยากบริภาษเขาแรงๆ อยากทุบตีเขา ชนิดที่ว่าอยากไม่สนใจเขาอีก ทำให้เขาเสียใจภายหลังไปชั่วชีวิตเพียงแต่ ยามได้เห็นของเหล่านั้นที่เขาซ่อนไว้ภายในห้อง รวมถึงภาพเหมือนของนางที่วาดไว้นับไม่ถ้วนยามค่ำคืน นางก็อยากร้องให้อย่างอดไม่ได้...“เป็นความผิดของข้าเอง ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของข้า เจ้าตีข้าด่าข้าโทษข้า ล้วนสมควรทั้งสิ้น”อวิ๋นเฉิงเจ๋อสืบเท้าขึ้นไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ภายในสายตาเปี่ยมความเอ็
“อะไรนะ?” อวิ๋นเนี่ยนชูชะงัก ภายในสายตาสะท้อนความตกตะลึงทั้งๆ ที่ตลอดมาล้วนเป็นนางตอแยญาติผู้พี่หากไม่ใช่เพราะหลายปีมานี้นางทำเช่นนี้มาโดยตลอด คาดว่าญาติผู้พี่ก็คงไม่ชอบนาง ทว่าได้ยินคำพูดของมารดาแล้ว เหตุใดญาติผู้พี่ถึงผลักทั้งหมดนี้ลงบนศีรษะของเขาเล่า?“เฉิงเจ๋อพูดว่าเขาพยายามสอบสร้างผลงานก็เพื่อจะได้คู่ควรกับเจ้า จะได้มีโอกาสสู่ขอเจ้า”“หากเปลี่ยนเป็นในอดีต ข้าจะต้องไม่เห็นด้วยที่พวกเจ้าคบหากัน บัดนี้ผ่านเรื่องมามากถึงเพียงนี้ ความคิดของแม่ก็เปลี่ยนไปไม่น้อย”“หากเจ้าชอบเฉิงเจ๋อจริง ข้าเองก็ไม่คัดค้าน แต่หากเจ้าไม่ชอบ...”สีหน้าจางเหวินสับสน ก่อนหน้านี้เคยเห็นท่าทางของเด็กทั้งสอง ไม่ว่ามองอย่างไรเนี่ยนชูก็ไม่คล้ายไม่ชอบเฉิงเจ๋อ“ข้าชอบญาติผู้พี่เจ้าค่ะ” อวิ๋นเนี่ยนชูตอบอย่างไม่ลังเล “ข้าชอบญาติผู้พี่มาโดยตลอด”มองเห็นท่าทางมุ่งมั่นของลูกสาว จางเหวินรู้สึกเอือมระอาระคนโชคดีอยู่บ้าง “ช่างแล้วๆ น้ากู้ของเจ้าพูดถูกแล้ว ลูกหลานมีความสุขของลูกหลาน พวกเจ้าคบหากันก็เป็นพวกเจ้าสร้างขึ้น”“แม้ว่าปีนั้นเฉิงเจ๋อทำไม่ถูก ไม่สมควรเกิดความคิดต่อเจ้า แต่ข้าล้วนเห็นความพยายามของเขาตลอดหลา
ยิ่งไปกว่านั้น ขอเพียงเขาพยายาม เขาเชื่อว่าตนเองจะต้องมีอนาคตแน่ตระกูลตกต่ำ บิดามารดาจากไปก่อนวัยอันควร เดิมทีเขาก็เป็นเด็กกำพร้าคนหนึ่ง ไม่แน่ว่าอาจตายที่ข้างถนนตั้งนานแล้ว บัดนี้ไม่เพียงมีข้าวกิน มีเสื้อผ้าสวมใส่ ท่านน้ายังเชิญอาจารย์มาสอนหนังสือเขา เขาไม่มีวันอกตัญญูเขาคิด...รออีกหน่อย รอจนเขามีความสามารถ รอจนเขาฉายแววโดดเด่น บางทีอาจมีโอกาสขอท่านน้าแต่งงานกับเนี่ยนชูทว่า ขณะเขากำลังตรากตรำร่ำเรียนอยู่นั้น ในที่สุดก็ได้รับคำชมจากอาจารย์ ได้เข้าเรียนที่สำนักศึกษาหลวง อาจารย์ของสำนักศึกษาหลวงเองก็ชื่นชมว่าเขาจะต้องมีโอกาสสอบผ่านขุนนางแน่ ตอนเขาคิดว่าตนเองอาจจะสามารถตอบรับความรู้สึกของเนี่ยนชูได้ กลับได้ยินท่านน้าและแม่นมพูดสนทนากันที่แท้...เขาไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของบิดามารดาลูกของมารดาตายไปตั้งนานแล้ว ส่วนเขาคือเด็กที่วันนั้นถูกทิ้งไว้หน้าประตูเรือนด้านหลังของมารดาเดิมทีมารดาก็ยากจะยอมรับความเจ็บปวดได้ อีกทั้งยังสงสารเขา หมอพูดว่าร่างกายนางเสียหาย ภายภาคหน้ายากจะมีลูกได้อีก นี่ถึงรับอุปการะเขา ประกาศต่อโลกภายนอกว่าเขาเป็นลูกของตนเขาเป็นแค่เด็กถูกทิ้งคนหนึ่ง เศษสวะที่ไม่ยอมหนาว
ซ่งรั่วเจินพยักหน้า “ข้าเคยไม่สนับสนุนเจ้าตั้งแต่ยามใด? แต่ไหนแต่ไรมาข้าล้วนสนับสนุนการตัดสินใจของเจ้า”ก่อนหน้านี้นางทำนายมาก่อนแล้ว ภายในเรื่องนี้มีเงื่อนงำซ่อนอยู่มากมาย อวิ๋นเฉิงเจ๋ออ่อนแอเกินไปสำหรับเรื่องนี้ ไม่มีความรับผิดชอบมากเพียงพอเพียงแต่ หากไม่เคยผ่านความทุกข์ของผู้อื่น ก็ไม่สามารถตัดสินตามใจได้อวิ๋นเฉิงเจ๋อกลายเป็นเช่นนี้ ย่อมหนีไม่พ้นประสบการณ์ที่เขาเคยเจอมาในช่วงหลายปีมานี้เรื่องเดียวกัน บางคนมีความรับผิดชอบที่แข็งแกร่งมาก ไม่ได้รับผลกระทบใด แต่บางคนคิดอ่านอย่างละเอียด ยากจะสามารถรับได้ใต้หล้ากว้างใหญ่ รวมทุกสรรพสิ่งไว้แล้ว ทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นเพราะตนเอง นางย่อมไม่วู่วามสอดมือเข้าไปอวิ๋นเนี่ยนชูยิ้มกว้าง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าผลลัพธ์เป็นเช่นไรข้าก็ไม่ใส่ใจแล้ว หากไม่พูดเรื่องนี้ออกมา ข้าจะต้องเสียใจภายหลังแน่”“ตอนนี้ท่านป้าจ้างกำลังอยู่กับท่านแม่ข้า รอกลับไปแล้วค่อยหาโอกาสพูดเถอะ”ซ่งรั่วเจินจิกนิ้วทำนาย ภายในสายตาเผยแววประหลาดใจ เปลี่ยนคำพูด “ดูท่าแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดออกจากปากของตนแล้วล่ะ”อวิ๋นเนี่ยนชูสงสัย “หมายความว่าอะไร?”“ญาติผู้พี่เจ้าพูด
ตอนนั้นสมองของนางขาวโพลน ชนิดที่ว่ายังเจือความขุ่นเคืองระคนเขินอายอีกด้วย คิดว่าญาติผู้พี่จำคนผิดไปจนกระทั่งได้ยินเขาพูดพึมพำชื่อของนางไม่หยุด ได้เห็นน้ำตาเจืออยู่ในสายตาของเขา ความรู้สึกของนางก็ซับซ้อนขึ้นมาจากนั้น นางประคองญาติผู้พี่เข้าห้อง ได้ยินเขาพูดพึมพำภายในความฝัน เรียกชื่อของนางเบาๆตอนจากมา นางชนเข้ากับหนังสือบนโต๊ะของเขาโดยไม่ทันระวัง ตอนหยิบของขึ้นมา จู่ๆ ก็ได้พบภาพวาดของตนถูกซ่อนไว้ด้านในบนภาพวาดนั้นเป็นนางสวมใส่ชุดที่ไปฟังเรื่องเล่านางเปิดลิ้นชักของโต๊ะเขียนหนังสือตัวนั้นออกดู พบว่าภายในล้วนเป็นภาพวาดของนางไม่เพียงแค่นางในตอนนี้ ยังมีนางในอดีต ทั้งหมดล้วนวาดเองกับมือของญาติผู้พี่คิดดูอย่างละเอียดแล้ว ตอนเด็กนางยังเคยไปที่ห้องของญาติผู้พี่ ต่อมาหลังความรักผลิบานในหัวใจก็ชอบไปหาญาติผู้พี่เพียงแต่จู่ๆ อยู่มาวันหนึ่ง ญาติผู้พี่บอกนางด้วยท่าทางเคร่งขรึมอย่างมาก นางเป็นหญิงสาวแล้ว ไม่สามารถเข้าห้องผู้ชายตามสะดวกได้ นางถึงเข้ามาน้อยครั้งทว่าชั่วขณะได้เห็นภาพวาดมากมายนี้ นางถึงเข้าใจอย่างชัดเจน เหตุใดญาติผู้พี่ไม่ให้นางเข้าห้องเพราะภายในห้องของเขามีของมากมายที
เมื่อเห็นกู้ฮวนเอ๋อร์ภาคภูมิใจเช่นนี้ ซ่งรั่วเจินและคนอื่น ๆ ก็อดมิได้ที่จะสงสัยใคร่รู้ ว่าของล้ำค่าที่ว่าคือสิ่งใดกันแน่? “ผ่าม!” กู้ฮวนเอ๋อร์เปิดกล่องผ้าไหมออกด้วยความตื่นเต้นยิ่ง แต่ทว่าหลังจากที่ทุกคนในงานเห็นของในกล่องผ้าไหมแล้ว ล้วนนิ่งงันไปทันที เนื่องด้วยในกล่องนั้นมีเจ้าแม่กวนอิมประทานบุตรอยู่องค์หนึ่ง! “แค่กๆ” ฉู่อวิ๋นกุยกระแอมครั้งหนึ่ง แต่ใบหน้ากลับกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ สตรีที่เขาชอบนั้น ช่างเป็นคนที่ชาญฉลาดนัก! ซ่งรั่วเจินพลันมองไปทางฉู่จวินถิงโดยไม่รู้ตัว ใบหน้ากลับเห่อแดงขึ้นมา แววตาของฉู่จวินถิงปรากฏแววขบขันวาบผ่าน ของขวัญชิ้นนี้ช่างมีความหมายยิ่งนัก กู้ฮวนเอ๋อร์เห็นว่าหลังจากที่ตนหยิบของขวัญออกมาแล้ว ทุกคนต่างตกอยู่ในความเงียบ จึงอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น ”นี่มันสีหน้าอะไรของพวกเจ้ากัน? หรือว่าไม่ดีงั้นหรือ?“ “เจ้าแม่กวนอิมประทานบุตรองค์นี้ ข้าไปกราบขอมาโดยเฉพาะ ผ่านพิธีปลุกเสก ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก!” ซ่งรั่วเจิน “...” หลายครั้งนางเองก็นับถือกู้ฮวนเอ๋อร์จริง ๆ ทั้ง ๆ ที่อายุน้อยขนาดนี้ แต่ความคิดที่จะมอบของขวัญให้กลับเหมือนค
ณ เวลาเดียวกันนั้น อวิ๋นเนี่ยนชูก็ได้มาหาซ่งรั่วเจินเช่นกัน “รั่วเจิน ยินดีกับเจ้าด้วยนะ ข้าเองก็เห็นเหตุการณ์ในงานเทศกาลโคมไฟแล้ว เดิมทีอยากจะไปแสดงความยินดีกับเจ้าอยู่หรอก แต่หลังจากนั้นเกิดเรื่องบางอย่างทำให้ล่าช้าไป จึงต้องมามอบของขวัญแสดงความยินดีในวันนี้” อวิ๋นเนี่ยนชูยิ้มพลางยื่นของขวัญแสดงความยินดีไปให้ “นี่คือของสิ่งนี้ข้าเตรียมไว้แต่เนิ่น ๆ แล้ว ฉู่อ๋องเป็นคนดีจริง ๆ เมื่อพวกเจ้าได้แต่งงานกันแล้วจักต้องครองรักกันอย่างร่มเย็นเป็นสุข จนผู้คนรอบข้างพากันริษยาแน่นอน” ซ่งรั่วเจินมองดูอวิ๋นเนี่ยนชูเปิดกล่องผ้าไหมออก ภายในบรรจุเครื่องประดับศีรษะของสตรีครบชุด เครื่องตกแต่งอื่น ๆ ไปจนถึงเครื่องประทินโฉม ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความตกใจอย่างถึงที่สุด “ของมากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ดูแล้วครบชุดเลย เจ้าให้จัดทำขึ้นมาโดยเฉพาะหรือ?” “ใช่แล้ว!” อวิ๋นเนี่ยนชูพยักหน้าพลางยิ้ม “แต่ก่อนข้าครุ่นคิดอยู่ตลอดว่าควรจะมอบสิ่งใดให้เจ้าเป็นของขวัญดี แต่คิดไปคิดมาก็ยังไม่มีสิ่งที่เหมาะสมที่สุดได้เลย” “หลังจากนั้น ข้าก็คิดว่า สิ่งที่สตรีมักจะใช้บ่อย ๆ ในชีวิตประจำวันก็มิพ้นเคร
เมื่อได้ฟังสิ่งที่จางเหวินพูด กู้หรูเยียนกับเยี่ยนชิงอวี้ต่างก็อดมิได้ที่จะตกตะลึง ตั้งแต่เมื่อเริ่มรู้จักความรักครั้งแรกก็ชอบพอเฉิงเจ๋อ ถ้าอย่างนั้น ก็ชอบพอหลายปีจริง ๆ พวกเขากลับมิรู้มาโดยตลอด คิดดูแล้ว ในใจเด็กทั้งสองคงมีสิ่งที่เก็บกลั้นไว้อยู่ “จะว่าไป ก็ต้องโทษที่ก่อนหน้านี้ที่ข้ามิได้ใส่ใจให้ดีนัก เอาแต่ให้เฉิงเจ๋อคอยดูแลน้องสาวให้ดี” “เนี่ยนชูชอบตามติดอยู่ข้างกายเฉิงเจ๋อมาตั้งแต่เล็ก ทุกครั้งที่เฉิงเจ๋อกลับจากสำนักศึกษา เป็นเวลาที่นางมักดีใจเป็นที่สุด ข้าก็นึกว่าเป็นเพียงความรักฉันพี่น้องมาโดยตลอด” “มาตรองดูดี ๆ แล้ว ตอนนั้นข้าก็ควรพบความผิดแผกได้ หากเป็นเพียงพี่น้องธรรมดา เหตุใดเด็กทั้งสองจึงมิยอมแต่งงานจนถึงตอนนี้?” จางเหวินยิ่งเอ่ยก็ยิ่งปวดใจ เมื่อนึกถึงคราวก่อนที่อนุอวิ๋นยังหมายจะยกอวิ๋นซีหว่านที่ยังไม่ได้แต่งงานให้แก่เฉิงเจ๋อ เกรงว่าตอนนั้น หัวใจของเด็กทั้งสองคงรวดร้าวมิใช่น้อย ถึงขั้นที่ เมื่อเกิดเรื่องนี้ขึ้นในตอนนั้น นางยังเคยกล่าวกับเฉิงเจ๋อด้วยว่า เรื่องนี้ช่างน่าขันเสียจริง นางมองเขาเป็นดั่งบุตรชายแท้ ๆ มาโดยตลอด อนาคตจะต้องเลือกคู่ค
“พวกเราล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน เจ้ายังจะเกรงใจข้าอีกหรือ? ที่ข้ามานี้ มิใช่เพียงเพื่อช่วยรั่วเจินเตรียมงานแต่งเท่านั้น อีกทั้งยังได้เห็นหน้าชิงอินด้วย ช่างเป็นเรื่องดีเสียจริง” ขณะที่กู้หรูเยียนและเยี่ยนชิงอวี้กำลังสนทนาหยอกเย้ากันอยู่นั้น ก็พลันสังเกตเห็นว่าจางเหวินราวกับเหม่อลอยอยู่ไม่น้อย “หรือว่ามีเรื่องอันใดเกิดขึ้นหรือ? เหตุใดเจ้าจึงมีท่าทีเหม่อลอยเช่นนี้?” กู้หรูเยียนเอ่ยถาม จางเหวินจึงได้คืนสติ ในใจของนางล้วนมีแต่เรื่องของเนี่ยนชูกับเฉิงเจ๋อ จนเผลอใจลอยไปโดยไม่รู้ตัว “ข้า...” นางเหมือนจะเอื้อนเอ่ย แต่กลับชะงักไป เยี่ยนชิงอวี้ขมวดคิ้ว “เจ้ามีเรื่องอะไรที่ไม่สามารถบอกพวกเราได้งั้นหรือ? บอกมาตามตรงเถิด” “ที่อนุอวิ๋นพูดมามิผิดเลย ระหว่างเนี่ยนชูและเฉิงเจ๋อต่างก็มีใจให้กัน” จางเหวินทอดถอนใจครั้งหนี่ง เมื่อนึกถึงภาพที่นางได้เห็นเมื่อวานยามกลับจวน เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นเฉิงเจ๋อในสภาพเช่นนั้น บทสนทนาของทั้งสอง นางก็พลอยได้ยินไปด้วย นางจึงได้รู้ว่าที่แท้เนียนชู่ชอบพอเฉิงเจ๋อมาหลายปีเพียงนี้ ในฐานะมารดาเช่นนาง นางคิดว่าตนใส่ใจบุตรเป็นอย่าง