ไม่รู้ก็ช่างเถอะ บัดนี้รู้แล้ว ย่อมไม่สามารถปล่อยให้ข่าวนี้หลุดรอดไปได้เสิ่นหวยอันได้ยินถ้อยคำนี้แล้วสีหน้าก็เปลี่ยนไป ครู่ต่อมามองซ่งรั่วเจินแวบหนึ่ง เขานับว่ามองออกแล้ว ฉู่มู่เหยาไม่เพียงมีความสัมพันธ์อันดีกับนางมาก ถึงขั้นยังเชื่อฟังคำพูดของนางอีกด้วยหากนางก่อกวนอยู่ตรงกลาง น่ากลัวว่าความยากที่เขาจะได้อยู่ร่วมกับฉู่มู่เหยาก็เพิ่มขึ้นมากบัดซบ! เหตุใดบังเอิญไปล่วงเกินผู้หญิงคนนี้ได้เล่า!“พี่สะใภ้ วันนี้เจ้ามาที่นี่ทำอันใด?” ฉู่มู่เหยาเอ่ยถาม“เล็งร้านอาหารร้านนี้ไว้จึงตั้งใจมาซื้อ ช่วงนี้หม่อมฉันเปิดร้านปิ้งย่าง ท่านรู้แล้วหรือไม่?” ซ่งรั่วเจินคลี่ยิ้มบางๆฉู่มู่เหยาพยักหน้า “วันนี้ตอนข้าออกจากบ้านบังเอิญได้ชิมปิ้งย่างของร้านเจ้า รสชาติยอดเยี่ยมมาก!”“ท่านตั้งใจให้คนไปซื้อหรือ?”ซ่งรั่วเจินแปลกใจ ทว่านางรู้ฉู่มู่เหยาเองก็ชอบสิ่งเหล่านี้ ก่อนหน้านี้ยามเปิดร้านเดิมทีก็อยากส่งไปให้นางชิม ทว่าได้รู้ว่านางบาดเจ็บ ฉู่อวิ๋นกุยจึงนำไปกินหมดแล้ว“วันนี้บังเอิญท่านน้าไปเข้าเฝ้าเสด็จแม่แล้วนำติดไปด้วย ตอนข้าไปพบเสด็จแม่ก็บังเอิญเห็นเข้า พวกเขายังชื่นชมว่าร้านของเจ้าเปิดได้ดีมากจริงๆ
“พูดเช่นนี้ วันนี้รั่วเจินมาก่อนกระนั้น?”ฉู่มู่เหยาขมวดคิ้ว แม้พูดว่ากำลังเอ่ยถาม แต่ภายในใจกลับเข้าใจเสิ่นหวยอันย่อมรู้ความคิดของฉู่มู่เหยา กระซิบเสียงแหบพร่า“องค์หญิง ข้าเล็งร้านอาหารนี้ไว้ตั้งนานแล้ว ท่านเองก็รู้สถานการณ์ของข้าภายในครอบครัว จึงอยากทำการค้ามาโดยตลอดเพื่อให้ทุกคนได้เห็นและชื่นชม”“บัดนี้ข้ามีเป้าหมายที่ชัดเจนแล้ว ดังนั้นแม้รู้ว่าคนในครอบครัวไม่เห็นด้วย แต่ยังหาเงินจากทั่วสารทิศ ร้านอาหารแห่งนี้เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับข้าในตอนนี้”สายตาเสิ่นหวยอันตกลงบนตัวฉู่มู่เหยา แม้ไม่ได้พูดความจริงอย่างชัดเจน แต่สายตาเปี่ยมความนัยลึกซึ้งกลับบ่งบอกทั้งหมดแล้วสิ่งที่เขาทำทั้งหมดล้วนเพื่อฉู่มู่เหยา“บางทีสิ่งที่ข้าพูดก่อนหน้านี้อาจไม่เหมาะสมนัก แต่สกุลซ่งกิจการใหญ่โต มีการค้าในเมืองหลวงทุกหนแห่ง ไม่รู้ว่าท่านสามารถช่วยขอความเห็นใจให้ข้าสักครั้ง ขอให้พวกเขามอบร้านอาหารแห่งนี้ให้ข้าได้หรือไม่?”ฉู่มู่เหยาขมวดคิ้ว สบสายตาของเสิ่นหวยอัน กลับพูดปฏิเสธไม่ออกซ่งจิ่งเซินเห็นเสิ่นหวยอันและฉู่มู่เหยาซุบซิบคุยกัน นี่จึงพูดว่า “เห็นชัดว่าคนผู้นี้อาศัยบารมีขององค์หญิง ข่าวลืออะ
ซ่งปี้อวิ๋นเห็นซ่งรั่วเจินถึงขั้นรับปากแล้ว รู้สึกดีใจอย่างอดไม่ได้ สายตากลับโหดเหี้ยมคล้ายอาบยาพิษช่างเป็นนางแพศยาโดยแท้!พวกเขาดีชั่วอย่างไรก็เป็นญาติกัน เมื่อครู่ยามนางเอ่ยปาก ซ่งรั่วเจินไม่ยอมถอยเลยแม้แต่น้อย ทว่าเพียงฉู่มู่เหยาเอ่ยปาก ก็รับปากในทันทีทันใด นี่คือกำลังตบหน้านางอย่างแท้จริง!เสิ่นหวยอันกลับไม่สบอารมณ์ เขาสังเกตเห็นความนัยในคำพูดของซ่งรั่วเจิน ทว่าอีกฝ่ายพูดถึงเพียงนี้แล้ว เขาทำได้เพียงยิ้มรับหลังออกจากร้านอาหาร ซ่งรั่วเจินและซ่งจิ่งเซินขอแยกออกไปก่อนเพื่อหาร้านอาหารที่เหมาะสมแห่งอื่นในละแวกใกล้เคียงนี้ต่อ“น้องหญิงห้า เจ้าไม่ตามไปดูกับพวกเขาหรือ?”“ไอ้คนหน้าตาไม่น่าไว้ใจคนนั้น เพียงมองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่คนดีอะไร หากเกิดแผนชั่วอันใดขึ้นมา ข้าคิดว่าเจ้าจะห้ามไว้เสียอีก”ซ่งจิ่งเซินเลิกคิ้ว สายตาตกลงบนเงาร่างของสามคนทางด้านหลังที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล “ซ่งปี้อวิ๋นและคนผู้นั้นมีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดา ระยะก่อนข้าเคยพบโดยบังเอิญ ยังคิดว่าพวกเขาจะแต่งงานกันเสียอีก”“เสิ่นหวยอันย่อมต้องการสู่ขอองค์หญิงกลับไป บัดนี้ใช่ว่าไม่มีโอกาส กำลังคิดหาทางทำให้มู่เหยาชอบเขา ย
เห็นว่าเพียงฉู่จวินถิงเข้ามาก็พูดเข้าประเด็นถึงเรื่องนี้ ไม่คิดพูดอ้อมค้อม ฮองเฮาเกิดความรู้สึกสับสนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก“บัดนี้ภายในสายตาเจ้ายังมีข้าเสด็จแม่คนนี้อยู่หรือไม่?”“ที่ผ่านมาเจ้ามักมาเยี่ยมเยียนเสด็จแม่ แต่วันนี้ดูเถอะ นอกจากมาหาครั้งก่อนหลังเพิ่งกลับมา ก็แทบไม่เห็นตัวเจ้าอีก คงไม่ใช่ว่าเสด็จแม่ไม่อนุญาตเจ้าเรื่องงานแต่งนี้ เจ้าก็ไม่ต้องการแม้แต่เสด็จแม่แล้วกระมัง?”ภายในเสียงฮองเฮาเจือความขุ่นเคืองหลายส่วน นางให้ความสำคัญต่อลูกชายคนนี้ที่สุด ไม่รู้ว่าทุ่มเทกับเขาไปมากน้อยเพียงใด ปรากฏว่าบัดนี้กลับดีนัก ถึงขั้นห่างเหินกับนางเพราะแม่นางคนหนึ่งฉู่อวิ๋นกุ่ยทางด้านข้างได้ยินท่าทีผ่านคำพูดของเสด็จแม่ รับรู้ได้ว่าต่อจากนี้จะต้องระบายความทุกข์ใจออกมาแน่ เอ่ยปากอย่างอดไม่ได้“เสด็จแม่ เสด็จพี่กตัญญูต่อท่านมาโดยตลอด หลังกลับมาแล้วก็งานยุ่ง นี่ถึงมาน้อยครั้งนัก แต่เสด็จพี่ก็นำของขวัญกลับมาให้เสด็จแม่ไม่น้อย นั่นล้วนเลือกมาด้วยความตั้งใจพ่ะย่ะค่ะ”ฮองเฮาเหล่มองฉู่อวิ๋นกุยแวบหนึ่ง รู้ว่าพวกเขาสองพี่น้องมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ปกติก็มักช่วยเหลืออีกฝ่ายนางยังไม่ทันพูดอันใด อว
นางที่เป็นน้าได้เห็นแล้วก็ชอบมากนัก!“นี่เจ้ากำลังขู่ข้า?” ฮองเฮาพูดอย่างเหลือจะเชื่อ“ลูกไม่ได้ขู่ ที่พูดไปก็คือความจริงพ่ะย่ะค่ะ”สีหน้าฉู่จวินถิงจริงจัง สุ้มเสียงจริงใจ “อันที่จริงไม่ขอปิดบังเสด็จแม่ เริ่มแรกเป็นลูกชอบรั่วเจิน เดิมทีนางก็ไม่ยินดีเข้ามาข้องเกี่ยว”“ชาตินี้ลูกไม่เคยชอบแม่นางคนหนึ่งมาก่อน หลังได้รู้จักนางแล้วถึงคิดว่าอดีตที่ผ่านมามีส่วนหนึ่งขาดไป”“ลูกทุ่มเทพยายามอย่างหนัก นี่ถึงทำให้นางยอมมอบโอกาสให้ได้”สีหน้าฮองเฮาแข็งทื่อดุจเหล็ก ก่อนหน้านี้ฉู่จวินถิงเองก็เคยพูดเช่นนี้ ทว่านางไม่เชื่อแม่นางคนใดจะปฏิเสธโอกาสอันดีเช่นนี้?ยิ่งไม่ต้องพูดว่าจวินถิงดีไปหมดทุกอย่าง เป็นที่หมายปองของแม่นางมากมายภายในเมืองหลวง หวังว่าจะได้แต่งงานกับเขา เกียรติยศนี้ตกลงที่ซ่งรั่วเจิน ไฉนเลยนางจะไม่เต็มใจ?“เสด็จแม่ เพียงเพราะลูกเป็นลูกชายของท่าน ท่านถึงคิดว่าข้าดีมาก”“ผลัดเปลี่ยนตำแหน่งกัน หากท่านเป็นรั่วเจิน สกุลซ่งไม่ขาดเงินทอง ปกติดื่มกินสวมใส่ล้วนเป็นของดีที่สุด มิหนำซ้ำบิดาและพี่ชายล้วนอยู่ในราชสำนัก มีความสามารถอย่างมาก”“ไม่ว่านางแต่งกับใคร ชีวิตก็ไม่มีวันย่ำแย่ มีบิดาพี
“เดิมทีข้าก็ไม่ดีอะไร เพียงแต่เสด็จแม่คิดว่าข้าดีก็เท่านั้น ดูท่าแล้ว บางทีข้าอาจเหมาะกับการอยู่เพียงคนเดียว”“อันที่จริงหลายปีที่ผ่านมาข้าอยู่คนเดียวก็ดีมากนัก เดิมทีก็ไม่ควรคาดหวังอะไร ที่ควรพยายามข้าก็พยายามแล้ว สรุปคือหากไม่สำเร็จก็ไม่เสียใจ”ใบหน้าฉู่จวินถิงปรากฏรอยยิ้ม เสียงเรียบเฉยอย่างมาก เพียงแต่รอยยิ้มนั้นในสายตาของฮองเฮา ไม่ว่ามองอย่างไรก็คือกำลังฝืนเหตุใดกลายเป็นเช่นนี้ไปได้?เดิมทีลู่หมิ่นฮุ่ยคิดว่าไม่เป็นไร ทว่าได้ฟังดูก็เริ่มเชื่อ ด้วยเงื่อนไขของแม่นางซ่ง เดิมทีก็ไม่จำเป็นต้องหาคู่ครองจริงๆ“ก่อนหน้านี้ข้าก็เคยพูดไปแล้ว แม่นางซ่งมีความสามารถถึงเพียงนี้ เจ้าจะต้องคว้าเอาไว้ให้ดีๆ เหตุใดถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้?”“หลายปีมานี้เจ้าล้วนอยู่อย่างโดดเดี่ยว เดิมทีก็ไม่มีประสบการณ์เกี้ยวพาสตรี หนำซ้ำหน้าตายังเย็นชา ทำให้แม่นางตกใจกลัววิ่งหนีไปก็ไม่แปลกใจเลยสักนิด”“เจ้ารีบพูดเถอะ ใช่หรือไม่ว่าทะเลาะกันรุนแรง ยังมีทางแก้หรือไม่?”ฉู่จวินถิงส่ายหน้าและพูดว่า “ท่านน้า ข้ารู้แต่ไหนแต่ไรมาท่านดีต่อข้ามาก เรื่องนี้ข้าพยายามจนถึงที่สุดแล้ว”“นั่นจะได้อย่างไร? ได้ผู้ที่ทุกคนต่าง
เพียงฮองเฮาได้ยินก็ร้อนใจอย่างอดไม่ได้ “ไม่ใช่พูดว่าก่อนหน้านี้ฝ่าบาทรับปากมอบพระราชโองการประทานสมรสแล้วหรือ ขอเพียงออกพระราชโองการ หรือว่าสกุลซ่งยังจะสามารถปฏิเสธได้อีก?”“ลูกไม่อยากบังคับนาง ยิ่งไปกว่านั้นหากแต่งกลับมาแล้วต้องทำให้นางทุกข์ใจ ก็ไม่ใช่สิ่งที่ข้าปรารถนา”สุ้มเสียงฉู่จวินถิงเรียบเฉย พูดอีกครั้งว่า “เรื่องนี้พัฒนามาถึงขั้นนี้แล้ว พวกท่านเองก็ไม่ต้องกังวลแทนข้าอีก ไม่เป็นไร ยิ่งไปกว่านั้นบัดนี้สกุลหลิงก็กลับมาจากเมืองผิงหยางแล้ว อันที่จริงชายแดนก็ต้องการคนไปเฝ้า...”สีหน้าฮองเฮาเปลี่ยนไป “หรือเจ้าคิดจะไปเฝ้าชายแดน?”“แต่ไหนแต่ไรมาเสด็จพ่อกังวลเรื่องชายแดนมาโดยตลอด ต้องการส่งคนไปเฝ้า บังเอิญบัดนี้เสด็จพ่อยังไม่มีตัวเลือกที่เหมาะสม ลูกย่อมยินดีคลายความกังวลให้เสด็จพ่อ” ฉู่จวินถิงพูด“ไม่ได้!” ฮองเฮาปฏิเสธอย่างไม่ลังเล“นี่ไม่ได้เป็นอันขาด ก่อนหน้านี้เจ้าอยู่ภายนอกมานานหลายปี รอชายแดนสงบสุขอย่างยากลำบากแล้วถึงกลับมาได้ หากบัดนี้ยังไปอีก เจ้าจะกลับมาได้อีกยามใด?”ฉู่จวินถิงเงียบงันไม่พูดจา ท่าทีแสดงออกอย่างชัดเจนแล้วเดิมทีเขาก็ไม่คิดกลับมาอีกหัวใจฮองเฮาหนักอึ้ง คิดไ
“โอ๊ย...”จู่ๆ เสียงร้องอุทานของผู้ชราก็ดังขึ้นข้างกายซ่งรั่วเจินซ่งรั่วเจินหันหน้าก็พบฮูหยินผู้เฒ่าท่านหนึ่งถูกชนจนล้มลงนางรีบเข้าไปประคองฮูหยินผู้เฒ่าพลางเอ่ยถามอย่างกังวล “ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านไม่เป็นไรกระมัง?”ใบหน้าฮูหยินผู้เฒ่ายังเจือความตกตะลึง คล้ายคิดไม่ถึงเลยว่าจะมีคนประคองนาง ทันใดนั้นถอนหายใจโล่งอกเฮือกหนึ่งนางเงยหน้ามองก็พบว่าคนประคองนางคือแม่นางอายุยังน้อยท่านหนึ่ง สำคัญที่สุดคือแม่นางคนนี้หน้าตางดงามอย่างมาก นางยังไม่เคยพบแม่นางงดงามถึงเพียงนี้มาก่อน“แม่นาง ขอบคุณเจ้ามาก หากไม่ใช่เจ้า น่ากลัวว่าข้าคงล้มไปแล้ว”ฮูหยินผู้เฒ่าลู่รู้สึกกลัวขึ้นมาในภายหลัง นางอายุปูนนี้ กังวลที่สุดก็คือหกล้ม ล้มลงไปครั้งนี้ ไม่ใช่พักผ่อนเพียงชั่วครู่ก็สามารถดีขึ้นได้ ไม่แน่ว่าอาจกระดูกหักและต้องนอนบนเตียงเป็นเดือน“ท่านจะต้องระวังตอนเดิน หกล้มขึ้นมาจะต้องแย่แน่เจ้าค่ะ”ซ่งรั่วเจินคลี่ยิ้มน้อยๆ หลังเห็นว่าฮูหยินผู้เฒ่ายืนมั่นคงดีแล้ว นี่ถึงช่วยหยิบห่อยาสมุนไพรบนพื้นขึ้นมา เพียงแต่มีสองห่อตกกระจายบนพื้นไปแล้วนางมองยาสมุนไพรบนพื้นแวบหนึ่งก็รู้ว่านางป่วยเป็นโรคอะไรจึงเอ่ยออกมาอย่างอดไ
เพียงเอ่ยปาก โทสะทั้งหมดก็พรั่งพรูออกมาแล้วความเจ็บปวดและอึดอัดใจที่สั่งสมอยู่ภายในใจล้วนระเบิดออกมาในเวลานี้อวิ๋นเฉิงเจ๋อได้ยินอวิ๋นเนี่ยนชูพูดเช่นนี้เป็นครั้งแรก มองนางตวาดถามไล่เรียงตนเอง ภายในใจเปี่ยมความรู้สึกผิด“ขอโทษ ล้วนเป็นความผิดของข้า”เห็นสายตาเปี่ยมความรู้สึกผิดของฝ่ายชาย อวิ๋นเนี่ยนชูตาแดงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว “เดิมทีทั้งหมดนี้ก็เป็นความผิดของท่านอยู่แล้ว! เหตุใดท่านไม่บอกข้าเร็วสักหน่อย ท่านรู้ว่าหลายปีมานี้ข้าฝืนได้ลำบากมากเพียงใดหรือไม่?”“ในเมื่อท่านไม่พูดมาโดยตลอด เหตุใดไม่เก็บเอาไว้ชั่วชีวิตเล่า?”น้ำตานางไหลลงมา ตลอดหลายปีมานี้ไม่ตอบรับความรู้สึกนาง นี่ทุกข์ใจมากเพียงใด?นางอยากบริภาษเขาแรงๆ อยากทุบตีเขา ชนิดที่ว่าอยากไม่สนใจเขาอีก ทำให้เขาเสียใจภายหลังไปชั่วชีวิตเพียงแต่ ยามได้เห็นของเหล่านั้นที่เขาซ่อนไว้ภายในห้อง รวมถึงภาพเหมือนของนางที่วาดไว้นับไม่ถ้วนยามค่ำคืน นางก็อยากร้องให้อย่างอดไม่ได้...“เป็นความผิดของข้าเอง ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของข้า เจ้าตีข้าด่าข้าโทษข้า ล้วนสมควรทั้งสิ้น”อวิ๋นเฉิงเจ๋อสืบเท้าขึ้นไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ภายในสายตาเปี่ยมความเอ็
“อะไรนะ?” อวิ๋นเนี่ยนชูชะงัก ภายในสายตาสะท้อนความตกตะลึงทั้งๆ ที่ตลอดมาล้วนเป็นนางตอแยญาติผู้พี่หากไม่ใช่เพราะหลายปีมานี้นางทำเช่นนี้มาโดยตลอด คาดว่าญาติผู้พี่ก็คงไม่ชอบนาง ทว่าได้ยินคำพูดของมารดาแล้ว เหตุใดญาติผู้พี่ถึงผลักทั้งหมดนี้ลงบนศีรษะของเขาเล่า?“เฉิงเจ๋อพูดว่าเขาพยายามสอบสร้างผลงานก็เพื่อจะได้คู่ควรกับเจ้า จะได้มีโอกาสสู่ขอเจ้า”“หากเปลี่ยนเป็นในอดีต ข้าจะต้องไม่เห็นด้วยที่พวกเจ้าคบหากัน บัดนี้ผ่านเรื่องมามากถึงเพียงนี้ ความคิดของแม่ก็เปลี่ยนไปไม่น้อย”“หากเจ้าชอบเฉิงเจ๋อจริง ข้าเองก็ไม่คัดค้าน แต่หากเจ้าไม่ชอบ...”สีหน้าจางเหวินสับสน ก่อนหน้านี้เคยเห็นท่าทางของเด็กทั้งสอง ไม่ว่ามองอย่างไรเนี่ยนชูก็ไม่คล้ายไม่ชอบเฉิงเจ๋อ“ข้าชอบญาติผู้พี่เจ้าค่ะ” อวิ๋นเนี่ยนชูตอบอย่างไม่ลังเล “ข้าชอบญาติผู้พี่มาโดยตลอด”มองเห็นท่าทางมุ่งมั่นของลูกสาว จางเหวินรู้สึกเอือมระอาระคนโชคดีอยู่บ้าง “ช่างแล้วๆ น้ากู้ของเจ้าพูดถูกแล้ว ลูกหลานมีความสุขของลูกหลาน พวกเจ้าคบหากันก็เป็นพวกเจ้าสร้างขึ้น”“แม้ว่าปีนั้นเฉิงเจ๋อทำไม่ถูก ไม่สมควรเกิดความคิดต่อเจ้า แต่ข้าล้วนเห็นความพยายามของเขาตลอดหลา
ยิ่งไปกว่านั้น ขอเพียงเขาพยายาม เขาเชื่อว่าตนเองจะต้องมีอนาคตแน่ตระกูลตกต่ำ บิดามารดาจากไปก่อนวัยอันควร เดิมทีเขาก็เป็นเด็กกำพร้าคนหนึ่ง ไม่แน่ว่าอาจตายที่ข้างถนนตั้งนานแล้ว บัดนี้ไม่เพียงมีข้าวกิน มีเสื้อผ้าสวมใส่ ท่านน้ายังเชิญอาจารย์มาสอนหนังสือเขา เขาไม่มีวันอกตัญญูเขาคิด...รออีกหน่อย รอจนเขามีความสามารถ รอจนเขาฉายแววโดดเด่น บางทีอาจมีโอกาสขอท่านน้าแต่งงานกับเนี่ยนชูทว่า ขณะเขากำลังตรากตรำร่ำเรียนอยู่นั้น ในที่สุดก็ได้รับคำชมจากอาจารย์ ได้เข้าเรียนที่สำนักศึกษาหลวง อาจารย์ของสำนักศึกษาหลวงเองก็ชื่นชมว่าเขาจะต้องมีโอกาสสอบผ่านขุนนางแน่ ตอนเขาคิดว่าตนเองอาจจะสามารถตอบรับความรู้สึกของเนี่ยนชูได้ กลับได้ยินท่านน้าและแม่นมพูดสนทนากันที่แท้...เขาไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของบิดามารดาลูกของมารดาตายไปตั้งนานแล้ว ส่วนเขาคือเด็กที่วันนั้นถูกทิ้งไว้หน้าประตูเรือนด้านหลังของมารดาเดิมทีมารดาก็ยากจะยอมรับความเจ็บปวดได้ อีกทั้งยังสงสารเขา หมอพูดว่าร่างกายนางเสียหาย ภายภาคหน้ายากจะมีลูกได้อีก นี่ถึงรับอุปการะเขา ประกาศต่อโลกภายนอกว่าเขาเป็นลูกของตนเขาเป็นแค่เด็กถูกทิ้งคนหนึ่ง เศษสวะที่ไม่ยอมหนาว
ซ่งรั่วเจินพยักหน้า “ข้าเคยไม่สนับสนุนเจ้าตั้งแต่ยามใด? แต่ไหนแต่ไรมาข้าล้วนสนับสนุนการตัดสินใจของเจ้า”ก่อนหน้านี้นางทำนายมาก่อนแล้ว ภายในเรื่องนี้มีเงื่อนงำซ่อนอยู่มากมาย อวิ๋นเฉิงเจ๋ออ่อนแอเกินไปสำหรับเรื่องนี้ ไม่มีความรับผิดชอบมากเพียงพอเพียงแต่ หากไม่เคยผ่านความทุกข์ของผู้อื่น ก็ไม่สามารถตัดสินตามใจได้อวิ๋นเฉิงเจ๋อกลายเป็นเช่นนี้ ย่อมหนีไม่พ้นประสบการณ์ที่เขาเคยเจอมาในช่วงหลายปีมานี้เรื่องเดียวกัน บางคนมีความรับผิดชอบที่แข็งแกร่งมาก ไม่ได้รับผลกระทบใด แต่บางคนคิดอ่านอย่างละเอียด ยากจะสามารถรับได้ใต้หล้ากว้างใหญ่ รวมทุกสรรพสิ่งไว้แล้ว ทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นเพราะตนเอง นางย่อมไม่วู่วามสอดมือเข้าไปอวิ๋นเนี่ยนชูยิ้มกว้าง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าผลลัพธ์เป็นเช่นไรข้าก็ไม่ใส่ใจแล้ว หากไม่พูดเรื่องนี้ออกมา ข้าจะต้องเสียใจภายหลังแน่”“ตอนนี้ท่านป้าจ้างกำลังอยู่กับท่านแม่ข้า รอกลับไปแล้วค่อยหาโอกาสพูดเถอะ”ซ่งรั่วเจินจิกนิ้วทำนาย ภายในสายตาเผยแววประหลาดใจ เปลี่ยนคำพูด “ดูท่าแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดออกจากปากของตนแล้วล่ะ”อวิ๋นเนี่ยนชูสงสัย “หมายความว่าอะไร?”“ญาติผู้พี่เจ้าพูด
ตอนนั้นสมองของนางขาวโพลน ชนิดที่ว่ายังเจือความขุ่นเคืองระคนเขินอายอีกด้วย คิดว่าญาติผู้พี่จำคนผิดไปจนกระทั่งได้ยินเขาพูดพึมพำชื่อของนางไม่หยุด ได้เห็นน้ำตาเจืออยู่ในสายตาของเขา ความรู้สึกของนางก็ซับซ้อนขึ้นมาจากนั้น นางประคองญาติผู้พี่เข้าห้อง ได้ยินเขาพูดพึมพำภายในความฝัน เรียกชื่อของนางเบาๆตอนจากมา นางชนเข้ากับหนังสือบนโต๊ะของเขาโดยไม่ทันระวัง ตอนหยิบของขึ้นมา จู่ๆ ก็ได้พบภาพวาดของตนถูกซ่อนไว้ด้านในบนภาพวาดนั้นเป็นนางสวมใส่ชุดที่ไปฟังเรื่องเล่านางเปิดลิ้นชักของโต๊ะเขียนหนังสือตัวนั้นออกดู พบว่าภายในล้วนเป็นภาพวาดของนางไม่เพียงแค่นางในตอนนี้ ยังมีนางในอดีต ทั้งหมดล้วนวาดเองกับมือของญาติผู้พี่คิดดูอย่างละเอียดแล้ว ตอนเด็กนางยังเคยไปที่ห้องของญาติผู้พี่ ต่อมาหลังความรักผลิบานในหัวใจก็ชอบไปหาญาติผู้พี่เพียงแต่จู่ๆ อยู่มาวันหนึ่ง ญาติผู้พี่บอกนางด้วยท่าทางเคร่งขรึมอย่างมาก นางเป็นหญิงสาวแล้ว ไม่สามารถเข้าห้องผู้ชายตามสะดวกได้ นางถึงเข้ามาน้อยครั้งทว่าชั่วขณะได้เห็นภาพวาดมากมายนี้ นางถึงเข้าใจอย่างชัดเจน เหตุใดญาติผู้พี่ไม่ให้นางเข้าห้องเพราะภายในห้องของเขามีของมากมายที
เมื่อเห็นกู้ฮวนเอ๋อร์ภาคภูมิใจเช่นนี้ ซ่งรั่วเจินและคนอื่น ๆ ก็อดมิได้ที่จะสงสัยใคร่รู้ ว่าของล้ำค่าที่ว่าคือสิ่งใดกันแน่? “ผ่าม!” กู้ฮวนเอ๋อร์เปิดกล่องผ้าไหมออกด้วยความตื่นเต้นยิ่ง แต่ทว่าหลังจากที่ทุกคนในงานเห็นของในกล่องผ้าไหมแล้ว ล้วนนิ่งงันไปทันที เนื่องด้วยในกล่องนั้นมีเจ้าแม่กวนอิมประทานบุตรอยู่องค์หนึ่ง! “แค่กๆ” ฉู่อวิ๋นกุยกระแอมครั้งหนึ่ง แต่ใบหน้ากลับกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ สตรีที่เขาชอบนั้น ช่างเป็นคนที่ชาญฉลาดนัก! ซ่งรั่วเจินพลันมองไปทางฉู่จวินถิงโดยไม่รู้ตัว ใบหน้ากลับเห่อแดงขึ้นมา แววตาของฉู่จวินถิงปรากฏแววขบขันวาบผ่าน ของขวัญชิ้นนี้ช่างมีความหมายยิ่งนัก กู้ฮวนเอ๋อร์เห็นว่าหลังจากที่ตนหยิบของขวัญออกมาแล้ว ทุกคนต่างตกอยู่ในความเงียบ จึงอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น ”นี่มันสีหน้าอะไรของพวกเจ้ากัน? หรือว่าไม่ดีงั้นหรือ?“ “เจ้าแม่กวนอิมประทานบุตรองค์นี้ ข้าไปกราบขอมาโดยเฉพาะ ผ่านพิธีปลุกเสก ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก!” ซ่งรั่วเจิน “...” หลายครั้งนางเองก็นับถือกู้ฮวนเอ๋อร์จริง ๆ ทั้ง ๆ ที่อายุน้อยขนาดนี้ แต่ความคิดที่จะมอบของขวัญให้กลับเหมือนค
ณ เวลาเดียวกันนั้น อวิ๋นเนี่ยนชูก็ได้มาหาซ่งรั่วเจินเช่นกัน “รั่วเจิน ยินดีกับเจ้าด้วยนะ ข้าเองก็เห็นเหตุการณ์ในงานเทศกาลโคมไฟแล้ว เดิมทีอยากจะไปแสดงความยินดีกับเจ้าอยู่หรอก แต่หลังจากนั้นเกิดเรื่องบางอย่างทำให้ล่าช้าไป จึงต้องมามอบของขวัญแสดงความยินดีในวันนี้” อวิ๋นเนี่ยนชูยิ้มพลางยื่นของขวัญแสดงความยินดีไปให้ “นี่คือของสิ่งนี้ข้าเตรียมไว้แต่เนิ่น ๆ แล้ว ฉู่อ๋องเป็นคนดีจริง ๆ เมื่อพวกเจ้าได้แต่งงานกันแล้วจักต้องครองรักกันอย่างร่มเย็นเป็นสุข จนผู้คนรอบข้างพากันริษยาแน่นอน” ซ่งรั่วเจินมองดูอวิ๋นเนี่ยนชูเปิดกล่องผ้าไหมออก ภายในบรรจุเครื่องประดับศีรษะของสตรีครบชุด เครื่องตกแต่งอื่น ๆ ไปจนถึงเครื่องประทินโฉม ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความตกใจอย่างถึงที่สุด “ของมากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ดูแล้วครบชุดเลย เจ้าให้จัดทำขึ้นมาโดยเฉพาะหรือ?” “ใช่แล้ว!” อวิ๋นเนี่ยนชูพยักหน้าพลางยิ้ม “แต่ก่อนข้าครุ่นคิดอยู่ตลอดว่าควรจะมอบสิ่งใดให้เจ้าเป็นของขวัญดี แต่คิดไปคิดมาก็ยังไม่มีสิ่งที่เหมาะสมที่สุดได้เลย” “หลังจากนั้น ข้าก็คิดว่า สิ่งที่สตรีมักจะใช้บ่อย ๆ ในชีวิตประจำวันก็มิพ้นเคร
เมื่อได้ฟังสิ่งที่จางเหวินพูด กู้หรูเยียนกับเยี่ยนชิงอวี้ต่างก็อดมิได้ที่จะตกตะลึง ตั้งแต่เมื่อเริ่มรู้จักความรักครั้งแรกก็ชอบพอเฉิงเจ๋อ ถ้าอย่างนั้น ก็ชอบพอหลายปีจริง ๆ พวกเขากลับมิรู้มาโดยตลอด คิดดูแล้ว ในใจเด็กทั้งสองคงมีสิ่งที่เก็บกลั้นไว้อยู่ “จะว่าไป ก็ต้องโทษที่ก่อนหน้านี้ที่ข้ามิได้ใส่ใจให้ดีนัก เอาแต่ให้เฉิงเจ๋อคอยดูแลน้องสาวให้ดี” “เนี่ยนชูชอบตามติดอยู่ข้างกายเฉิงเจ๋อมาตั้งแต่เล็ก ทุกครั้งที่เฉิงเจ๋อกลับจากสำนักศึกษา เป็นเวลาที่นางมักดีใจเป็นที่สุด ข้าก็นึกว่าเป็นเพียงความรักฉันพี่น้องมาโดยตลอด” “มาตรองดูดี ๆ แล้ว ตอนนั้นข้าก็ควรพบความผิดแผกได้ หากเป็นเพียงพี่น้องธรรมดา เหตุใดเด็กทั้งสองจึงมิยอมแต่งงานจนถึงตอนนี้?” จางเหวินยิ่งเอ่ยก็ยิ่งปวดใจ เมื่อนึกถึงคราวก่อนที่อนุอวิ๋นยังหมายจะยกอวิ๋นซีหว่านที่ยังไม่ได้แต่งงานให้แก่เฉิงเจ๋อ เกรงว่าตอนนั้น หัวใจของเด็กทั้งสองคงรวดร้าวมิใช่น้อย ถึงขั้นที่ เมื่อเกิดเรื่องนี้ขึ้นในตอนนั้น นางยังเคยกล่าวกับเฉิงเจ๋อด้วยว่า เรื่องนี้ช่างน่าขันเสียจริง นางมองเขาเป็นดั่งบุตรชายแท้ ๆ มาโดยตลอด อนาคตจะต้องเลือกคู่ค
“พวกเราล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน เจ้ายังจะเกรงใจข้าอีกหรือ? ที่ข้ามานี้ มิใช่เพียงเพื่อช่วยรั่วเจินเตรียมงานแต่งเท่านั้น อีกทั้งยังได้เห็นหน้าชิงอินด้วย ช่างเป็นเรื่องดีเสียจริง” ขณะที่กู้หรูเยียนและเยี่ยนชิงอวี้กำลังสนทนาหยอกเย้ากันอยู่นั้น ก็พลันสังเกตเห็นว่าจางเหวินราวกับเหม่อลอยอยู่ไม่น้อย “หรือว่ามีเรื่องอันใดเกิดขึ้นหรือ? เหตุใดเจ้าจึงมีท่าทีเหม่อลอยเช่นนี้?” กู้หรูเยียนเอ่ยถาม จางเหวินจึงได้คืนสติ ในใจของนางล้วนมีแต่เรื่องของเนี่ยนชูกับเฉิงเจ๋อ จนเผลอใจลอยไปโดยไม่รู้ตัว “ข้า...” นางเหมือนจะเอื้อนเอ่ย แต่กลับชะงักไป เยี่ยนชิงอวี้ขมวดคิ้ว “เจ้ามีเรื่องอะไรที่ไม่สามารถบอกพวกเราได้งั้นหรือ? บอกมาตามตรงเถิด” “ที่อนุอวิ๋นพูดมามิผิดเลย ระหว่างเนี่ยนชูและเฉิงเจ๋อต่างก็มีใจให้กัน” จางเหวินทอดถอนใจครั้งหนี่ง เมื่อนึกถึงภาพที่นางได้เห็นเมื่อวานยามกลับจวน เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นเฉิงเจ๋อในสภาพเช่นนั้น บทสนทนาของทั้งสอง นางก็พลอยได้ยินไปด้วย นางจึงได้รู้ว่าที่แท้เนียนชู่ชอบพอเฉิงเจ๋อมาหลายปีเพียงนี้ ในฐานะมารดาเช่นนาง นางคิดว่าตนใส่ใจบุตรเป็นอย่าง