กัวเหม่ยอิงไม่รู้ว่าเลขาธิการของหมู่บ้านทำยังไงให้ได้เงินจากบ้านใหญ่คืนมา แต่เมื่อเช้านี้เขาเป็นคนเอามาให้พวกเธอที่ตื่นมาทำกับข้าวมื้อเช้า ถึงแม้จำนวนเงินจะได้มาเพียง 1,000 หยวน แต่มันก็ทำให้พวกเธออยู่ได้อีกนาน เมื่อรวมกับเงินที่มีก็ถือว่ามากพอแล้ว
“เดี๋ยวสาย ๆ ฉันจะออกไปดูที่ดิน” กัวเหม่ยอิงบอกสะใภ้รองที่กำลังทุบไก่แห้ง
“งั้นฉันจะดูแลเด็ก ๆ ก็แล้วกันค่ะ เมื่อวานคุณแม่อยู่กับหลานทั้งวันท่านคงอยากจะพัก” สะใภ้รองพยักหน้า
อาหารมื้อเช้าของพวกเธอกัวเหม่ยอิงทำแกงจืดเนื้อไก่ให้ผู้เป็นแม่สามี ส่วนพวกเธอนั้นกัวเหม่ยอิงหุงข้าวแล้วนำไปผัดกับไข่ ปรุงรสด้วยเกลือ
“จริงสิ ให้น้องชายสามทำคอกไก่แล้วก็แปลงผักด้วยนะ ถ้าทำเสร็จแล้วค่อยให้ไปหาฟืน” กัวเหม่ยอิงว่าพลางยกหม้อแกงจืดลง
“ได้ค่ะ พี่จะไปดูที่ดินตอนไหน”
“กินข้าวเสร็จ เดี๋ยวอากาศจะร้อน”
สองสะใภ้ต่างช่วยกันทำกับข้าวมื้อเช้าของบ้าน ส่วนน้องชายสามนั้นไปหาบน้ำมาใส่โอ่งให้พวกเธอใช้เพราะน้ำเริ่มจะหมดแล้ว
กัวเหม่ยอิงเทน้ำในชามที่เทน้ำร้อนใส้ไว้เมื่อคืนทิ้ง นำชามไปล้างให้สะอาดแล้วก็นำมาลวกในน้ำร้อน จากนั้นนำไปคว่ำไว้ พอแห้งจึงจะเทน้ำต้มสุกเก็บไว้ จริง ๆ กัวเหม่ยอิงต้องการที่จะเก็บน้ำไว้ในโถหรือไหมากกว่าชาม แต่เพราะไหนั้นกัวเหม่ยอิงกลัวว่าจะไม่สะอาด
ต่อให้ล้างฆ่าเชื้อมากแค่ไหน ถ้าเก็บพวกของกินกัวเหม่ยอิงก็ใส่ได้แต่นี้เป็นน้ำต้มสุกให้เด็กเล็ก
“เสี่ยวลู่หิวแล้วเหรอจ๊ะ” กัวเหม่ยอิงก้มพูดกับเด็กในอ้อมแขน
หลังจากกินข้าวมื้อเช้าเสร็จเด็ก ๆ ก็พากันตื่นพอดี กัวเหม่ยอิงจึงชงนมโดยใช้น้ำที่ต้มไว้ก่อนจะทำกับข้าวมื้อเช้าเพราะต้องรอให้เย็นด้วยจะทำให้สารอาหารในนมไม่ลดลง อันนี้เธอก็ไม่รู้ว่าจริงไหมแต่เห็นคนรู้จักเขาบอกมาแบบนี้ เธอจึงทำตามเพราะมันก็ไม่ได้เสียหายอะไร อีกอย่างต่อให้ใช้น้ำร้อนก็ต้องรอให้เย็นอีกอยู่ดี
หานเมิ่งลู่น้อยกินนมเก่งมาก คงเพราะน้ำข้าวมีความเหนียวจึงต้องกินช้า ๆ แต่นมที่เธอซื้อมานั้นมันสำหรับเด็กแรกเกิดพอดีหล่อนจึงกินได้ง่ายมาก
กัวเหม่ยอิงรวบมัดผมด้วยผ้าผูกผมจากนั้นจึงหยิบตะกร้าไม้สานขึ้นมาสะพายพร้อมกับหยิบเอาเสียม
ติดมือออกจากบ้าน เธอจะไปดูที่ดินแล้วก็จะลองเข้าป่าแถวนั้นดู
ในหมู่บ้านนั้นล้อมรอบไปด้วยภูเขา ต้นไม้นานาพันธุ์ และทางออกของหมู่บ้านมีเพียงทางเดียวที่จะออกไปได้ หากไม่รวมกับที่ต้องออกไปทางป่าและแน่นอนว่าไม่มีใครใช้วิธีนี้ โดยป่าที่คนในหมู่บ้านนิยมไปจะเป็นป่าที่คนในหมู่บ้านเข้ากันตั้งแต่ก่อสร้างหมู่บ้านแห่งนี้ขึ้นมาแล้ว
ส่วนป่าที่กัวเหม่ยอิงอยากจะลองเข้าไปในเป็นป่าที่คนในหมู่บ้านไม่เดินเข้าใกล้ ป่าแห่งนี้อยู่ตรงข้ามกับป่าที่เธอเข้าไปวันก่อน และน่าจะเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์มาก คนในหมู่บ้านไม่ได้เข้าไปเป็นสิบกว่าปีแล้วเพราะตอนนั้นเห็นว่ามีนายพรานเข้าไปแล้วไม่ได้กลับออกมา
กัวเหม่ยอิงกระชับตะกร้าขึ้นบ่าอย่างมั่นคงพร้อมกับเดินไปยังจุดหมาย ระหว่างเดินไปคนในหมู่บ้านต่างหันมามองแล้วซุบซิบกัน ใครจะไม่รู้เรื่องราวเมื่อวานกันล่ะ อีกอย่างได้ยินว่าบ้านสามได้เงินคืนเป็นพันหยวน
ไหนสะใภ้รองจะหยุดงานในแปลงนาอีก ทุกคนต่างอิจฉากันมาก ใคร ๆ ก็ไม่อยากทำงาน แต่ก็นั่นแหละ หากไม่ทำงานก็ไม่ได้กิน
โดยเฉพาะบ้านใหญ่สกุลหานที่ไม่ลงรอยกันตั้งแต่เมื่อคืน ไหนเมื่อเช้าเลขาธิการหมู่บ้านยังมาเอาเงินที่พวกเขาไม่รู้ว่ามีเยอะขนาดนั้นไปให้บ้านสามยิ่งทำให้สถานการณ์ภายในแย่ลง หากเรื่องพวกนี้ไม่แดงขึ้นมาพวกเขาก็ไม่รู้ว่าคุณย่าหานเก็บเงินและเก็บทุกอย่างไว้ให้ครอบครัวของลูกชายคนโต แล้วครอบครัวของพวกเขาล่ะ? คุณย่าหานช่างลำเอียง!
‘เหอะ!’
‘ถ้าคุณแม่ไม่เก็บเงินไว้คนเดียวก็คงจะไม่ต้องคืนเยอะขนาดนั้นหรอก’
‘เงียบ ๆ ’
‘จริงค่ะ ฉันไม่คิดว่าคุณแม่จะเก็บไว้ให้บ้านใหญ่หมด’
‘เก็บเงินไว้มากมายแล้วสุดท้ายก็ไม่ได้ใช้ หึ’
‘หุบปาก!’
ที่ดิน 12 หมู่ ที่พ่อสามีซื้อไว้เป็นที่ดินที่ได้มาในราคาถูก หากเป็นคนอื่นขายคงไม่ต่ำกว่า 200 หยวน แต่พ่อสามีของเธอได้มาในราคา 125 หยวนเท่านั้น กัวเหม่ยอิงไม่รู้ว่าที่ดินมันจะกว้างขนาดนี้ และอีกอย่างที่ดินผืนนี้ก็มีครบแทบจะทุกอย่าง
ไม่ว่าจะเป็นรั้วไม้ที่สูงมากกว่า 2 เมตร แต่หนาแน่นไม่ผุเหมือนกับบ้านที่อยู่ปัจจุบัน บ่อน้ำที่อยู่หลังบ้านไม่ต้องไปลำบากหาบน้ำมาใช้ ไหนจะมีเล้าไก่ เล้าหมูอีก 2-3 เล้า แต่เสียดายที่เจ้าของที่คนเก่านั้นรื้อตัวบ้านออกไปแล้วไม่งั้นเธอคงจะรีบย้ายเข้ามาอยู่
ตรงข้ามกับที่ดินผืนนี้เป็นบ้านของครอบครัวสกุลกัวที่กัวเหม่ยอิงได้เติบโตมา บ้านสกุลกัวมีขนาดน้อยกว่าที่ดินของสามีเธอถึงครึ่งหนึ่ง
ตัวบ้านเป็นดินโคลนที่สร้างมามากว่าสิบปีแล้ว บ้านสามที่ว่าผุพังยังต้องยอมให้กับบ้านกัว แต่ภายในรั้วบ้านนั้นคงจะดีกว่าบ้านสามเพราะได้รับการดูแลทุกวันจากสมาชิกในครอบครัว
ส่วนบ้านของคนอื่น ๆ ก็อยู่ห่างกันไป แต่บ้านของสกุลกัวนั้นเรียกได้ว่าแยกออกมาจากหมู่บ้านเลยก็ว่าได้ ด้วยความที่เกิดเรื่องครั้งนั้นขึ้น หลายบ้านที่อยู่บริเวณนี้ก็ต่างย้ายกันเข้าไปรวมในหมู่บ้าน แต่บ้านสกุลกัวไม่ได้มีเงินพอที่จะย้ายไปจึงต้องอยู่ที่นี่และห่างจากคนอื่น ส่วนที่ดินผืนของสามี สหายของปู่สามีอาศัยอยู่คนเดียวจึงไม่คิดจะย้ายไปไหน ได้ยินว่าเขามีลูกเพียง 3 คน คนโตกับคนรองเป็นผู้หญิงแต่งออกไปอยู่บ้านสามี ส่วนลูกชายคนเล็กทำงานในเมืองและสร้างบ้านอยู่ที่นั่น พอคนเป็นพ่อเกิดเรื่องก็มารับไปอยู่ด้วย
ระหว่างน้องชายสามกลับไปเรียนเธอจะให้เขาหาทางซื้ออิฐมาสร้างบ้านใหม่ ตอนนี้เธอมีคูปองสำหรับใช้สร้างบ้านจำนวนหนึ่งซึ่งคาดว่าจะพอ
กัวเหม่ยอิงหยุดสำรวจที่ดินแล้วสะพายตะกร้าไม้สานเข้าป่า ตอนนี้เธอยังสร้างบ้านใหม่ไม่ได้จึงไม่จำเป็นที่จะต้องสำรวจนาน เธอเพียงมาดูพื้นที่ และที่ดินก็รกมากเพราะไม่มีคนอยู่หลายปีแล้ว
บรรยากาศภายในป่าเงียบสงบและเต็มไปด้วยใบไม้แห้งที่ร่วงลงพื้นดิน กัวเหม่ยอิงหยุดมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินต่อ บรรยากาศเต็มไปด้วยความวังเวงจนน่ากลัวแต่กัวเหม่ยอิงคิดว่าในป่านี้จะต้องเต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์แน่ ๆ
หน่อไม้ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและไม่มีใครเก็บเกิดขึ้นเต็มกอไผ่ กัวเหม่ยอิงจึงเก็บใส่ตะกร้าจนเต็ม วันนี้เธอมาคนเดียวจึงไม่กล้าที่จะอยู่นาน เอาไว้ให้พี่ใหญ่กัวพาเข้ามาจะดีกว่า
ส่วนหน่อไม้กัวเหม่ยอิงคิดว่าจะต้มเก็บไว้แล้วลองเอาไปขายในตลาดมืดที่เคยอ่านในนิยายดู ในความทรงจำของกัวเหม่ยอิงแล้วเธอเคยเข้าไปอยู่หลายครั้งแต่เธอเข้าไปซื้อไม่ได้เข้าไปขาย
‘หนักจริง ๆ’ กัวเหม่ยอิงบ่นแต่เธอก็สะพายตะกร้าไม้สานออกจากป่าแล้วกลับบ้าน
เพราะกัวเหม่ยอิงใช้เวลาไม่นานในการเข้าป่าครั้งนี้และรวม ๆ กับที่เดินดูที่ดิน เวลาเธอเดินกลับบ้านจึงเป็นเวลาพักของคนในหมู่บ้านพอดี
“โอ้ หน่อไม้อวบมาก!” คนในหมู่บ้านที่นั่งพักอยู่สังเกตเห็น
กัวเหม่ยอิงไม่ได้ใช้ผักหรืออะไรปิดหน่อไม้ไว้มันจึงไม่แปลกที่คนในหมู่บ้านจะเห็น และไม่ใช่เพราะเธอตั้งใจให้ทุกคนเห็นแต่เธอลืมหาอะไรปิดต่างหาก
“เธอไปหาหน่อไม้มาจากไหนน่ะสะใภ้ใหญ่!” สะใภ้บ้านเฉียววิ่งเข้ามาดู
หน่อไม้ที่คนในหมู่บ้านเข้าไปหานั้นน้อยมากที่จะอวบและโตขนาดนี้ แค่พ้นดินไม่ถึงวันก็ถูกคนไปขุดเอาแล้ว จะดีหน่อยก็คนที่กล้าเข้าไปหาลึก ๆ ที่จะได้หน่อไม้มาหลายหน่อ
“ในป่าน่ะค่ะ” เพราะเธอไม่ได้มีปัญหากับสะใภ้บ้านเฉียวจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไม่ตอบ
“ฉันเข้าไปหาทุกวันแต่ไม่เจอ” หล่อนว่า
“ต้องเข้าไปหาลึก ๆ น่ะค่ะถึงจะเจอ ฉันต้องขอตัวก่อนนะคะ” กัวเหม่ยอิงบอกหลังเห็นคนบ้านใหญ่สกุลหานลุกขึ้นยืน
เธอไม่ได้กลัวว่าพวกเขาจะมาเอาหน่อไม้ไป แต่วันนี้เธอไม่ได้อยากปะทะกับใครจึงหลีกเลี่ยง อีกอย่างช่วงนี้ไม่เข้าใกล้บ้านใหญ่จะดีที่สุดแล้ว
“ให้พี่เอาไปส่งไหม” เป็นพี่ใหญ่กัวที่นั่งอยู่บริเวณนี้วิ่งมาดูเมื่อเห็นน้องสาวสะพายของหนัก
กัวเหม่ยอิงส่ายหัว“ไม่ล่ะค่ะ พี่ไปพักเถอะ ฉันเดินไม่นานก็ถึงแล้ว”
“ได้ ๆ ”
กัวเหม่ยอิงเร่งฝีเท้าให้เดินเร็วขึ้นเพราะรู้สึกหนัก กว่าจะถึงบ้านคนในบ้านก็พากันกินข้าวมื้อกลางวันกันแล้ว อันที่จริงเป็นกัวเหม่ยอิงเองที่บอกกับทุกคนว่าไม่ต้องรอเธอ ให้กินกันไปก่อนเลย
“โอ้! หน่อไม้” สะใภ้รองอุทาน
นาน ๆ ทีบ้านสามของพวกเธอจะได้หน่อไม้เพราะไปไม่ทันใคร หน่อไม้ที่ต้มเก็บไว้ก็ยังมีอีก คาดไม่ถึงว่าพี่สะใภ้จะหามันมาได้อีก
“ต้มเหมือนเดิมเลยนะ” กัวเหม่ยอิงว่าเพราะเธอต้องไปอาบน้ำ
“ได้ค่ะ” สะใภ้รองพยักหน้า
กัวเหม่ยอิงที่ทำความสะอาดร่างกายและกินข้าวเสร็จแล้วออกมาดูน้องชายสามทำเล้าไก่และแปลงผัก คาดว่าพรุ่งนี้คงจะเสร็จทันก่อนที่น้องชายสามจะกลับไปเรียน
“พี่สะใภ้” น้องชายสามทัก
“ไม่ต้องหนาแน่นมากแต่สามารถอยู่ได้อีกหลายเดือน” กัวเหม่ยอิงบอกกับน้องชายสามที่มัดเชือกเล้าไก่
2-3 วันมานี้ไก่ที่ไม่ค่อยออกไข่นั้นออกไข่ให้พวกเธอวันละเกือบสิบฟอง คาดว่าหากพวกเธอบำรุงไก่และให้กินแต่ของดี ๆ ไม่นานมันก็คงจะออกเยอะกว่านี้
“ได้ครับ” น้องชายสามพยักหน้า
กัวเหม่ยอิงเอ่ยเสียงเบา“นายพอจะรู้จักคนขายอิฐไหม”
น้องชายสามตาโตก่อนจะพยักหน้า “สหายของผมเป็นลูกชายของคนขายอิฐในอำเภอครับ”
“อ่อ” กัวเหม่ยอิงพยักหน้ารับรู้
เอาไว้เขากลับเธอค่อยคุยกับเขาอีกทีดีกว่า เพราะตอนนี้น้องชายสามกำลังทำเล้าไก่อยู่ พอเธอชวนคุยเขาจึงต้องหยุดมือและหันมาคุยกับเธอ
กัวเหม่ยอิงเดินกลับเข้าตัวบ้านไปช่วยสะใภ้รองปอกหน่อไม้เพื่อต้มเก็บเอาไว้ โชคดีที่ที่บ้านมีไหเก็บไว้หลายไหจึงไม่ต้องไปหาซื้อมาไว้
“มื้อเย็นเราจะทำอะไรดี” เพราะเธอทำอาหารได้ก็จริงแต่ก็ทำไม่ค่อยอร่อยเท่าสะใภ้รอง คงจะเป็นเพราะหล่อนทำกับข้าวมาตลอด
“แกงหน่อไม้ใส่เห็ดป่าดีไหมคะ เรายังไม่ได้ใช้เห็ดป่าแห้งเลย” สะใภ้รองว่า เห็ดป่าที่พวกเธอตากเอาไว้และเก็บใส่ไหนั้นมีเต็มไห และพวกเธอก็ยังไม่ได้เอาออกมาทำกับข้าว
กัวเหม่ยอิงพยักหน้า เอาออกมากินก็ดีเหมือนกัน ส่วนแม่สามีก็เพิ่มไข่ต้มให้ก็แล้วกัน
“ไก่ตากแห้ง เห็ดตากแห้งแล้วก็หน่อไม้ที่เราต้มเก็บไว้ พรุ่งนี้แบ่งเตรียมให้น้องชายสามด้วยนะ” กัวเหม่ยอิงบอก
เพราะอีกเพียงเดือนเดียวเท่านั้นน้องชายสามจะจบมัธยมปลาย เธอจึงไม่ได้เตรียมอะไรไปให้เขามาก หรือไม่หากขาดเหลืออะไรก็ให้ไปซื้อเอาเอง
“หน่อไม้พวกนี้ถ้าเราต้มเสร็จแล้วก็น่าจะใช้ไหหลายใบเลยนะคะ” เพราะหน่อไม้มีขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับไหที่มีขนาดกลางจึงจำเป็นต้องใช้ไหหลายใบ
กัวเหม่ยอิงกระแอม “เธอเคยเข้าไปในตลาดมืดหรือเปล่า” เธอถามเสียงเบาจนเรียกได้ว่าแทบจะกระซิบ
สะใภ้รองตาโตพลางส่ายหัว “ไม่ค่ะ ฉันไม่มีความจำเป็นต้องไปที่นั่น”
และคนในหมู่บ้านอย่างพวกเธอมีน้อยมากที่จะเข้าไปเพราะราคาค่อนข้างจะสูงแม้จะไม่ต้องใช้คูปองก็ตาม
กัวเหม่ยอิงพยักหน้าเบา ๆ เพื่อบอกว่าเธอรับรู้แล้ว แต่เธอก็คิดหาเหตุผลที่จะเข้าไปให้สะใภ้รองไม่ห้าม กัวเหม่ยอิงต้องการที่จะนำหน่อไม้ไปขายในตลาดมืด ไหหนึ่งได้สัก 3-4 เหมาก็คงจะดี
อีกอย่างหน่อไม้ในป่าที่เพิ่งเข้าไปเธอก็เจอเยอะมาก และคงต้องรีบ ๆ ให้น้องชายสามหาอิฐมาสร้างบ้านเพราะเธอไม่อยากแบกหน่อไม้หนัก ๆ กลับมาที่บ้านเพราะมันเหนื่อยมาก
“กรี๊ด”“พี่เสี่ยวลู่!”“หลิงเฟยยย”“ช่วยด้วย!”“ฮ่า ฮ่า”กัวเหม่ยอิงส่ายหัวให้กับภาพตรงหน้า ในรอบหลายเดือนที่สาว ๆ ได้กลับมาเจอกันยังทำตัวเป็นเด็กเหมือนเดิมหานหลินเฟยกับหานหลิงเฟยปิดเทอมได้สองสัปดาห์แล้ว แต่ที่เพิ่งมาถึงปักกิ่งก็เพราะทั้งสองกลับไปหาพ่อกับแม่ที่บ้านก่อน ค่อยขึ้นมาหาผู้เป็นป้าที่ปักกิ่งแต่น้องชายคนเล็กไม่ได้มาด้วยกัวเหม่ยอิงที่เห็นว่าเด็ก ๆ ได้กลับมาเจอกันในรอบหลายเดือนจึงชวนพี่น้องบ้านหลี่ บ้านสามของน้องชายสามมากินข้าวมื้อเย็นนอกบ้านนอกบ้านก็คือนอกบ้านจริง ๆ บริเวณหน้าบ้านของกัวเหม่ยอิงนอกจากจอดรถไว้แล้วก็ยังมีที่ให้นั่งได้อีก และแต่ก่อนเด็ก ๆ เรียนอยู่ในปักกิ่งก็จะนั่งกินข้าวด้านนอกกันเพราะคนเยอะ ซึ่งทุกคนก็คุ้นเคยกันดีวันนี้กัวเหม่ยอิงลงมือทำกับข้าวมื้อเย็น ทั้งเคาหยก ไข่ตุ๋น ต้มยำปลา ไก่ทอด สามชั้นทอดเกลือ หมูต้มสาหร่าย และของหวานอีกหลายอย่าง เป็นการลงครัวในรอบเดือนด้วยซ้ำเพราะทุกวันนี้หานเมิ่งลู่ลูกสาวคนเดียวของเธอห้ามไม่ให้กัวเหม่ยอิงทำกับข้าว หรือทำงานบ้านเพราะหล่อนจะทำเอง แต่กว่าจะเลิกงานในแต่ละวันกัวเหม่ยอิงทำงานบ้านรอแล้ว“เล่นกันเป็นเด็ก ๆ เลย” เหอลี่
ในระแวกตลาดประจำกรุงปักกิ่งใคร ๆ ก็รู้จักบ้านของคุณนายหานที่มีลูกสาวแสนสวยกับหลาน ๆ ที่สวยไม่แพ้กัน ยิ่งปีนี้พากันเรียนจบถึงมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศแล้วต้องบอกว่านอกจากภูมิใจลูกสาวแล้วกัวเหม่ยอิงก็ภูมิใจหลาน ๆ ด้วย เลี้ยงมาตั้งแต่ตีนเท้าฝาหอย ตอนนี้โตพอจะเลี้ยงเธอได้กันหมดแล้ว“คุณนายแม่”“หื้ม”กัวเหม่ยอิงลูบหัวลูกสาวที่พุ่งเข้ามากอด เธอรู้ว่าลูกสาวเครียดเพราะช่วงนี้หล่อนเข้าไปเรียนรู้งานในร้าน แม้จะมีผู้เป็นแม่คอยช่วยเหลือแต่ก็เครียดอยู่ดี เสี่ยวลู่บอกที่ผ่านมาคนเป็นแม่เก่งมาก จากที่มีร้านเล็ก ๆ ตอนนี้ขยายร้านใหญ่มากร้านเสื้อผ้าเมิ่งลู่มีมากถึงสิบสาขา สาขาหลักและสาขาที่สามตั้งอยู่มณฑลบ้านเกิด สาขารอง สาขาสี่ และสาขาห้า กระจายอยู่ในปักกิ่งแต่ก็ไม่ได้ห่างกันมาก เพราะกัวเหม่ยอิงกลัวลูกสาวจะไปมาร้านลำบากสาขาที่หกและสาขาที่เก้าตั้งอยู่ในมหานครฉงชิ่ง สาขาที่เจ็ดและสาขาที่แปดตั้งอยู่ในมหานครเซี่ยงไฮ้ และสาขาที่สิบตั้งอยู่ในมหานครเทียนสินยังไม่รวมกับพ่อค้า แม่ค้า ที่เข้ามาขอซื้อเสื้อไปขายต่ออีก หลัง ๆ มานี้กัวเหม่ยอิงให้สั่งเป็นรอบ ๆ จะได้ตัดแยกกับที่เอามาขายในร้าน“เหนื่อยมากเหรอจ๊ะ
หลังจากเสร็จงานของย่าหานกัวเหม่ยอิงก็พาสามีกลับปักกิ่งทันที เพราะเป็นห่วงเด็ก ๆ นี่ก็ทิ้งมากันหลายวันแล้วและเป็นไปตามที่สะใภ้รองบอกจริง ๆ แม่หานไม่ยอมไปปักกิ่งด้วย หลานก็เป็นห่วง แต่ห่วงลูกชายคนกลางที่ต้องทำงานอยู่ที่บ้านคนเดียวกัวเหม่ยอิงก็ไม่ได้ว่าอะไรแต่เธอก็ให้สะใภ้รองไปด้วย ให้สะใภ้รองไปช่วยงานสักเดือนสองเดือนก็จะให้กลับมาอยู่ที่บ้านจริง ๆ ก็ไม่ได้ช่วยงานหรอก แค่ช่วยอยู่กับเด็ก ๆ ระหว่างที่กัวเหม่ยอิงกับหานหรงเจ๋อไปทำธุระกันก็พอ ยิ่งช่วงนี้มีการติดประกาศขายที่ดิน ขายบ้าน ขายตึก กัวเหม่ยอิงก็อยากซื้อเก็บไว้ ถ้าไม่ใช้ค่อยขายต่อหรือให้คนอื่นเช่าแทนกัวเหม่ยอิงคิดว่าตัวเองจะทำงานได้อีกไม่เกินสามสิบปี ระหว่างที่สามารถทำงานได้เธอจึงรีบทำ ยิ่งพื้นที่ทำเลทองในอนาคตกัวเหม่ยอิงก็ต้องรีบซื้อเก็บไว้ เพราะบางผืนสามารถขายต่อในอนาคตได้มากกว่าเดิมหลานพันหยวน“พี่จะทำแบบนี้ทุกวันเลยเหรอคะ” สะใภ้รองถามกัวเหม่ยอิงที่ล้างผลไม้อยู่ทั้งสี่คน กัวเหม่ยอิง หานหรงเจ๋อ สะใภ้รอง และน้องชายสามพึ่งมาถึงบ้านเมื่อไม่กี่ชั่วโมงนี้ แต่เด็ก ๆ ไปโรงเรียนกันแล้ว กัวเหม่ยอิงเลยปล่อยให้ไปพักกัน แต่ถ้าถึงเวลาเด็ก
กัวเหม่ยอิงมองคนในบ้านใหญ่ที่ร้องห่มร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตาตั้งแต่ที่เธอ หานหรงเจ๋อกลับมาถึงบ้านแล้วแวะมาดูย่าหาน มันคงจะดีกว่านี้ถ้าคนในบ้านใหญ่ร้องไห้มีน้ำตาบ้าง และย่าหานยังไม่ถึงแก่กรรมแต่บ้านใหญ่กลับทำเหมือนย่าหานถึงแก่กรรมแล้ว“ทำไมเขาร้องไห้ไม่มีน้ำตาเลยล่ะคะ” กัวเหม่ยอิงกระซิบถามสามีด้วยความอยากรู้ แต่จริง ๆ ก็คือจะบอกว่าพวกเขาแสดงไม่เนียนกันเลยหานหรงเจ๋อส่ายหน้าเพราะไม่มีคำตอบ แค่ตอนนี้เขาก็เอือมระอาเต็มทนแล้ว มีที่ไหนบ้างที่คนป่วยไม่ไหวแล้วแต่เอาออกมานอนกลางบ้าน ทั้งยังฉุนไปด้วยกลิ่นฉี่และสิ่งปฏิกูลอีก นอกจากกลิ่นแล้วยังไม่ทำความสะอาดอีก“จะ..เจ้าใหญ่ แค่ก ๆ ละ…หลาน มารับ…พี่ ชะ ชาย นะ…น้อง ชาย ไป…ทะ ทำงาน ดะ…ด้วย ใช่…มะ ไหม แค่ก ๆ ”กัวเหม่ยอิงหันขวับทันที แค่ตอนนี้ตัวเองก็ยังเอาชีวิตจะไม่รอดยังจะมาห่วงหลานจากบ้านใหญ่แต่มาทำให้หลานอีกบ้านหนักใจอีก แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไร เดี๋ยวจะกระอักเลือดซะก่อน“บ้านใหญ่บอกย่าป่วยครับ ผมเลยลงมาดู แต่มานานไม่ได้” หานหรงเจ๋อบอกยังดีที่น้องชายสามทำงานในโรงงานของคนรู้จักจึงลางานมาได้ แต่ก็แลกกับการต้องหาคนไปทำงานแทนระหว่างที่ไม่อยู่ ซึ่งโชคดีที
ความสำเร็จของลูกสาวถึงแม้จะเป็นเพียงก้าวเล็ก ๆ แต่มันก็ทำให้กัวเหม่ยอิงร้องไห้ออกมาด้วยความตื้นตันใจ แค่ไม่กี่ปีลูกสาวของเธอก็จบในระดับชั้นประถมแล้ว และตอนนี้ยังเข้าเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นกัวเหม่ยอิงรู้สึกว่าวันนี้มันเร็วมาก เหมือนเมื่อวานเด็กคนนี้ยังร้องไห้ข้าง ๆ เธออยู่ แต่จริง ๆ มันผ่านไปเป็นสิบ ๆ ปีแล้วปีนี้เสี่ยวลู่อายุสิบสามแล้วแต่เสี่ยวหนิงยังสิบสองย่างสิบสามอยู่ และเด็กแฝดตอนนี้ก็สิบขวบกันแล้ว ส่วนหลานชายคนเล็กก็เพิ่งจะเจ็ดขวบและกัวเหม่ยอิงก็ให้สามีไปรับเขามาเรียนในปักกิ่งแล้วด้วยหลี่เวยเวยกับหลี่หม่าฮัวเรียนจบโรงเรียนภาคค่ำสาขาบัญชีเมื่อสามปีก่อน ทั้งสองมีงานที่มั่นคงแล้วนั้นก็คืองานในร้านเลยขอออกไปใช้ชีวิตข้างนอกกันสองคน ซึ่งกัวเหม่ยอิงก็อนุญาต ที่บ้านเลยมีแค่กัวเหม่ยอิง หานหรงเจ๋อ เสี่ยวหนิง หานหลินเฟย หานหลิงเฟยและหานหลงเฟย แต่พอมีหลานชายคนเล็กมา กัวเหม่ยอิงก็ให้หลี่เวยเวยกลับมาช่วยในบ้าน บางวันก็ให้น้องชายสามมารับเด็ก ๆ ไปนอนด้วยน้องชายสามเรียนจบเศรษฐศาสตร์สาขาวิชาการเงิน ตอนนี้ทำงานในโรงงานขนาดใหญ่ เงินเดือนยังไม่มั่นคงเพราะเพิ่งเริ่มทำงาน แต่ก็มีเงินที่สามารถเลี้ยงครอ
การปรับตัวช่วงแรกของเด็กแฝดเป็นการปรับตัวที่ต้องให้เสี่ยวลู่กับเสี่ยวหนิงต้องไปปรับพื้นฐานก่อนเข้าเรียนด้วย เนื่องจากเด็กแฝดไม่ได้เรียนแบบจริงจังและยังไม่เคยเรียนโรงเรียนประถมส่วนสองพี่น้องบ้านลู่ก็ไม่ยากอย่างที่คิด เพราะทั้งสองมีพื้นฐานที่กัวเหม่ยอิงสอนก่อนเปิดเรียนภาคค่ำแล้ว ยิ่งในแต่ละวันสอนแค่หนึ่งถึงสองชั่วโมง ทั้งหลี่เวยเวยกับหลี่หม่าฮัวก็มีเวลาทบทวนการเรียนมากขึ้นห้องนอนห้องแรกเป็นห้องนอนของกัวเหม่ยอิงกับสามี ห้องนอนห้องที่สองเป็นห้องของลูกสาวกับเสี่ยวหนิงเวลาหล่อนจะมานอนที่บ้านห้องนอนห้องที่สามเป็นห้องของหลินเฟย หลิงเฟย ห้องนอนห้องที่สี่เป็นห้องของหลี่เวยเวย ห้องนอนที่ห้าจะเป็นห้องนอนของหลี่หม่าฮัวและสุดท้ายห้องนอนที่หกกัวเหม่ยอิงสั่งให้หานหรงเจ๋อเอาโต๊ะเข้ามาตั้ง และเอาเตียงนอนชิดผนัง ห้องนี้จะเป็นห้องไว้ทำการบ้านหรือห้องอ่านหนังสือของเด็ก ๆเวลามีการบ้านกัวเหม่ยอิงก็จะสอนให้ทำก่อนที่จะไปเล่น เพราะตอนนี้เด็กทั้งสี่มาอยู่ด้วยกันจึงต้องจัดเวลาให้ดี เลิกเรียนกลับมาถึงบ้านให้ทำการบ้านให้เสร็จ หลังจากนั้นจะทำอะไรก็ไม่มีใครว่า ถ้าให้ทำตอนเย็นก็ยุ่งทำกับข้าว ไม่ต้องพูดถึงเวลาอื่