การที่คุณย่าหานตกใจจนเข่าอ่อนก็เป็นเหมือนกับการยืนยันว่าคุณย่าหานเอาโฉนดที่ดินของบ้านสามไปจริง ๆ ป้าสะใภ้ใหญ่ที่ได้ยินแม่สามีบอกว่าเป็นของลูกชายของนางก็ทำตัวไม่ยอมขึ้นมา แม่สามีของนางตั้งใจจะเอาให้หลานชาย ซึ่งคนนั้นก็คือลูกชายของนางและนางไม่ยอมให้มันหลุดมือไป
“เดี๋ยวสิ! หากมันเป็นของหลานชายจริง มันก็ต้องอยู่กับพวกเธอสิ” ป้าสะใภ้ใหญ่กล่าว
กัวเหม่ยอิงหัวเราะ “ขนาดนี้แล้วป้าสะใภ้ใหญ่ก็คงจะไม่ยอมรับสินะคะ แต่อย่าลืมเรื่องเงินที่ยืมไปด้วยค่ะ” กัวเหม่ยอิงเปลี่ยนเรื่องให้ป้าสะใภ้ใหญ่ไม่ต้องเข้ามายุ่ง
ลุงใหญ่มาเอาเงินไปมากกว่าห้าร้อยหยวนโดยที่พวกนางไม่รู้ก็ว่าแย่แล้ว นางที่มีลายมือการยืมเงินบนเอกสารก็ยิ่งมีชะงักติดหลัง แม่สามีของนางถึงจะไม่ได้ถือเงินเองแล้วแต่นางก็ต้องรับรู้เรื่องเงินที่เข้ามาและออกไป
“ฉันจะแน่ใจได้ยังไงว่าพวกเธอไม่ได้โกหก อีกอย่างปู่ของเธอก็ตายไปแล้ว จะให้ไปปลุกสหายของปู่เธอขึ้นมาอีกคนก็คงจะไม่ได้” คุณย่าหานที่มีหลานสาวเข้ามาพยุงเอ่ยขึ้น
นางผ่านโลกมานานกว่าหลานสะใภ้จึงปรับอาการได้อย่างรวดเร็ว ถึงแม้จะยังไม่ปักใจเชื่อว่าเป็นชื่อของหลานชายแต่นางก็หาข้อโต้แย้งไม่ได้ ขนาดนางยังจะเอาให้หลานชายคนโตแล้วคนเป็นพ่ออย่างลูกชายคนที่สามย่อมต้องเอาให้ลูกคนโตเหมือนกัน ครั้งนี้พวกนางพลาดแล้ว
“บนโฉนดจะมีชื่อของสามีฉันค่ะ ให้คุณย่าไปเอามาก็รู้แล้วว่ามันเป็นชื่อใคร” กัวเหม่ยอิงยิ้ม
“ได้!”
กัวเหม่ยอิงมองใบหน้าไม่สบอารมณ์ของคนบ้านใหญ่ด้วยความอารมณ์ดี จะว่าไปแล้วย่าสามีของเธอไม่คิดว่านางจะลำเอียงได้ขนาดนี้ นางเอ่ยปากออกมาเองว่าเป็นชื่อของพี่ใหญ่หานเซินลูกพี่ลูกน้องของสามีเธอ และกัวเหม่ยอิงคิดว่านอกจากย่าสามีแล้ว ก็ไม่มีคนอื่นรู้ ไม่งั้นจะมีอาการตกใจหรือเมื่อย่าสามีบอกว่าเป็นของพี่ใหญ่หานเซิน
พี่ใหญ่หานเซินไม่ได้ทำงานในอำเภอหรือรับตำแหน่งใด ๆ ภายในหมู่บ้าน เขาทำงานเก็บแต้มเหมือนกับคนอื่น ๆ จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะซื้อที่ดินผืนนั้นได้ อีกอย่างทุกคนยังไม่ได้แยกบ้านแล้วพี่ใหญ่หานเซินจะไปเอาเงินมาแต่ไหน
คนที่ทำหน้าไม่ยอมรับที่สุดก็คงจะเป็นป้าสะใภ้ใหญ่ นางคิดว่าลูกชายของนางจะได้ที่ดินผืนนั้นในวันที่มันกลับคืนเจ้าของอย่างถูกต้อง
“ต้องขอบคุณเลขาธิการด้วยนะคะ ฉันกับน้องสะใภ้และน้องชายสามต้องขอตัวลาก่อน” กัวเหม่ยอิงหันไปพูดกับเลขาธิการหลังบ้านใหญ่เดินกระฟัดกระเฟียดออกไป
“ดูแลตัวเองกันดี ๆ ส่วนอีกเรื่องพรุ่งนี้ลุงกับคณะกรรมจะจัดการให้” เลขาธิการตอบ
“ขอบคุณค่ะ”
รอบนี้กัวเหม่ยอิงเดินตามน้องชายสามกลับเพราะไม่ต้องแวะที่ไหนอีกจึงไม่ต้องรีบก็ได้ สองข้างทางเต็มไปด้วยธัญพืชที่เริ่มแตกหน่อขึ้นมา
“นับตั้งแต่พรุ่งนี้เธอไม่ต้องไปลงแปลงนาแล้ว” กัวเหม่ยอิงบอกสะใภ้รองที่เดินข้างกัน
“ทำไมคะ? ถ้าฉันไม่ลงแปลงนาแล้วเราจะมีอะไรกิน” สะใภ้รองแย้ง
เพราะตอนนี้เสาหลักของครอบครัวไม่สามารถส่งเงินมาได้แล้ว ไหนจะน้องสามีที่เรียนกำลังจะจบ หลานสาวสองคนที่ยังเล็ก และแม่สามีที่ป่วยอีก หากหล่อนมัวแต่อู้ทุกคนจะกินอะไรกัน
“ไม่ใช่ว่าเธอรับปากน้องชายสามหรือว่าจะเลี้ยงหลานให้? เธอก็รู้ว่าลำพังแค่เสี่ยวลู่ฉันก็ไม่ไหวแล้ว จะเอาให้แม่สามีเลี้ยงเธอก็คงรู้ว่ามันจะเป็นยังไง” กัวเหม่ยอิงอธิบาย
สะใภ้รองที่แต่งเข้าบ้านสามหลังจากเธอแต่งเข้าไม่ถึงเดือนในตอนนี้หล่อนยังไม่ตั้งครรภ์ น้องชายรองที่ได้รับบาดเจ็บไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นยังไงบ้าง หากสะใภ้รองยังอยากจะมีลูกก็คงต้องพักร่างกายเพราะตั้งแต่แต่งเข้ามานางก็ทำงานหนักมาตลอด ยิ่งช่วงเธอท้องสะใภ้รองยิ่งทำงานหนักกว่าเดิมจนแทบจะไม่ได้พัก
“แต่เราไม่มีเงิน…”
“เธอคิดว่าตอนนี้เราไม่มีเงิน? เธอคงจะลืมไปว่าอีกไม่นานค่าพลีชีพของสามีฉันคงจะถูกส่งมาให้ และสามีเธอถึงเขาจะถูกปลดก็มีเงินเดือนจ่ายให้ในวันสุดท้ายที่ปฏิบัติหน้าที่” กัวเหม่ยอิงว่า
เงินค่าพลีชีพหรือก็คือค่าทำขวัญของครอบครัวนั้นจะมากจะน้อยก็ขึ้นอยู่กับความสำคัญในกองทัพ หากเป็นทหารใหม่ก็ร้อยกว่าหยวน ทหารที่ผ่านการฝึกก็คงจะ 200-300 ร้อยหยวน เป็นขั้น ๆ ไป และสามีของเธอก็เป็นทหารที่ประจำนานแล้วย่อมไม่ต่ำกว่า 1,000 หยวน แน่นอน
“แต่ตอนนี้ยังไม่ได้นี่คะ” สะใภ้รองกังวล
หล่อนไม่ได้กังวลว่าจะไม่ได้เงิน แต่หล่อนกังวลว่าเงินและธัญพืชที่มีอยู่ในตอนนี้จะไม่พอใช้ ยิ่งมีเด็กเล็กและไม่มีนมให้กินอีกยิ่งต้องมีเงินสำรอง ถึงแม้งานในแปลงนาจะทำให้หล่อนได้เงินไม่เยอะ
แต่ก็เป็นทางเดียวที่ทำให้มีเงินไว้ซื้อธัญพืชและได้ธัญพืชมาเป็นเสบียงสำรองอีก
“เดี๋ยวเราค่อยคุยกันที่บ้าน ส่วนนายระหว่างรอกลับไปเรียนก็หาฟืนมาเก็บไว้ก็แล้วกัน” กัวเหม่ยอิงหยุดพูดเพราะอยู่นอกบ้าน อีกอย่างคนในหมู่บ้านที่อยู่ใกล้ต่างเอียงคอมองใกล้จะเคล็ดอยู่แล้ว
“ค่ะ/ครับ”
บรรยากาศของสมาชิกบ้านสามสกุลหานตอนเดินกลับนั้นมีเพียงความเงียบ ช่างแตกต่างจากบ้านใหญ่ที่เดินลากถูกันกลับบ้านพร้อมกับเสียงประท้วงผู้เป็นแม่สามี
ก็แน่สิหากนับรวม ๆ แล้ว หลานชายของคุณย่าหานมีมากกว่าสิบห้าคน แต่คุณย่าหานกลับจะเอาโฉนดที่ดินที่ได้มาจากบ้านสามให้หลานชายคนโต ทุกคนต่างไม่พอใจ พวกเขาที่เป็นลูกและหลานชายต่างก็มีสิทธิ์ในโฉนดนี้
กัวเหม่ยอิงชวนสะใภ้รองปอกหน่อไม้ เธอจะต้มแล้วเก็บเอาไว้กินในวันหน้า ส่วนน้องชายสามให้เขาไปหาฟืนและหากเจอหน่อไม้ก็ให้เก็บมาด้วย ถึงแม้เธอจะบอกแบบนั้นแต่ก็ไม่ได้คาดหวังเพราะยามนี้ทุกคนคงจะไปเก็บหมดแล้ว
หน่อไม้แปรรูปออกมาได้หลายอย่าง อย่างแรกกัวเหม่ยอิงนำไปนึ่งครึ่งชั่วโมงให้มันสุก หากเป็นอนาคตคงจะเก็บด้วยการนำใส่ถุงแล้วแขวนไว้ แต่เพราะตอนนี้ไม่มีเธอจึงต้องนำไหที่มีในบ้านไปต้มฆ่าเชื้อในน้ำเดือดแล้วรอให้แห้งค่อยเอามาใส่ อย่างที่สองกัวเหม่ยอิงสับให้เป็นชิ้นบาง ๆ แล้วนำไปใส่ไหที่ต้มฆ่าเชื้อแล้ว
หน่อไม้ที่ได้มามันสามารถทำให้พวกเธอเก็บไว้กินได้เป็นเดือน เพราะพวกเธอมีแต่คนที่กินไม่เยอะ ไหนจะเห็นที่ตากแห้งไว้อีก พวกเธอคงจะมีเสบียงเก็บไว้กินได้อีกนาง
กุ้งที่จับมามันยังเหลือ อาหารมื้อกลางวันกัวเหม่ยอิงจึงผัดหน่อไม้ใส่กุ้งตัวโต ๆ ปรุงรสด้วยเกลือ
และซอสมักเค็มก็พอใช้ได้ นอกจากผัดหน่อไม้ใส่กุ้ง กัวเหม่ยอิงยังตุ๋นไข่ใส่กุ้งสับและผักที่มีให้แม่สามีกินอีก เพราะผัดหน่อไม้มีรสจัดกัวเหม่ยอิงจึงเพิ่มอย่างอื่นให้แค่แม่สามี
หานเมิ่งลู่กับหานเผยหนิงนั้นรู้ความมากหลังจากดื่มนมอิ่มก็หลับไป กัวเหม่ยอิงจึงให้สะใภ้รองเอากับข้าวไปให้แม่สามีส่วนเด็ก ๆ เธอก็เช็ดตัวให้ระหว่างรอแม่สามีกินข้าวเสร็จ พอทุกอย่างเรียบร้อยเธอก็เอาเด็ก ๆ ย้ายเข้าไปนอนในห้องของแม่สามีให้นางไม่เหงาเกินไป
ส่วนเธอกับสะใภ้รองก็พากันกินข้าวก่อนน้องชายสามเพราะเธอแยกเอาไว้แล้ว และกว่าจะรอน้องชายสามกลับมาก็ไม่รู้ว่าต้องรออีกนานไหม จึงกินข้าวก่อนและเก็บในส่วนของน้องชายสามเอาไว้
ปลาตัวเล็กถูกกัวเหม่ยอิงขอดเกล็ดและแล่แผ่ออก เธอจะนำไปหมักแล้วก็ตากแดดเอาไว้ ตอนนี้กับข้าวที่บ้านมีแต่จานเนื้อที่เธอคิดว่าสำคัญต่อครอบครัวเพียงพอจึงต้องนำปลาที่ได้มาตากแดด ส่วนปลาตัวใหญ่ค่อยตุ๋นเย็นนี้
“นายได้อะไรมาเยอะแยะ” สะใภ้รองถามน้องชายสามีที่สะพายตะกร้ากับฟืนเข้าบ้าน
“หน่อไม้ครับ ผมเห็นมันขึ้นเยอะเลยใช้เวลานาน” น้องชายสามตอบเสียงเบาเพราะกลัวบ้านอื่นได้ยิน
จริง ๆ เขาก็คำนวนเวลาในการกลับมาแล้ว แต่ระหว่างกลับบ้านเขาบังเอิญเห็นหน่อไม้พอดีจึงเก็บกลับมาด้วย
“ดี ๆ ” สะใภ้รองว่าพลางลุกเอาข้าวไปให้น้องชายสามี
ส่วนกัวเหม่ยอิงนั้นหมักปลาที่กำลังจะนำไปตากแดดจึงไม่สามารถลุกไปคุยกับน้องชายสามได้
หน่อไม้ถูกปอกอีกครั้งด้วยสองสะใภ้ และเพราะทำคล่องมือแล้วการปอกหน่อไม้เกือบร้อยหน่อจึงใช้เวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมง
แต่ถึงจะปอกเสร็จถ้าไม่นึ่งมันก็ไม่เสร็จ กว่าจะทำเรียบร้อยก็ปาไปสามชั่วโมง ส่วนปลาที่หมักไว้นั้นเอาไปตากตั้งแต่สองชั่วโมงก่อนแล้ว
กัวเหม่ยอิงต้มน้ำร้อนเสียดายที่เธอไม่สามารถหาซื้อขาดนมให้เด็ก ๆ ได้ ไม่อย่างงั้นเด็ก ๆ ก็คงไม่ต้องนอนรอให้พวกเธอใช้ช้อนป้อนแบบนี้
“ต้มน้ำให้เด็ก ๆ เหรอคะ” สะใภ้รองที่ยกไหหน่อไม้ไปเก็บถาม
“อืม น้ำที่ต้มไว้เหลือก็จริงแต่มันก็สกปรกแล้ว” เพราะพวกเธอต้มน้ำแล้วเทใส่ชามไว้ พอทิ้งไว้สักพักฝุ่นก็เริ่มจับ จึงไม่ควรจะดื่มมัน
“ฉันไปแจ้งเลขาธิการแล้วนะคะ เขาตกใจมาก” สะใภ้รองหัวเราะ
เพราะกัวเหม่ยอิงให้เหตุผลสะใภ้รองว่าทำไมหล่อนต้องหยุดงาน ในที่สุดสะใภ้รองก็ไปบอกกับเลขาธิการว่าจะหยุดงานเพราะต้องเลี้ยงเด็กเพิ่ม ส่วนงานที่ทำไปก่อนหน้านี้ก็รอแค่แจกจ่าย ซึ่งทางเลขาธิการก็ไม่ได้ห้ามเพราะมันไม่เกี่ยวกับเขา
“ดีแล้ว แล้วเธอได้ไปถามข่าวน้องชายรองหรือเปล่า” เพราะคนที่มาแจ้งข่าวคือสหายของน้องชายรอง ซึ่งกัวเหม่ยอิงไม่รู้จักและหากจะไปถามก็ยังไง ๆ อยู่เพราะเธอเป็นที่สะใภ้ของเขา จึงต้องให้สะใภ้รองเป็นคนไปถามเอาเอง
“ฉันถามสหายเขาแล้วค่ะ เขาบอกเดี๋ยวจะถามทางนู้นให้” สะใภ้รองพยักหน้า
เพราะสหายของน้องชายรองนั้นไม่ได้เป็นทหารแต่ก็ทำงานในที่เดียวกัน การติดต่อจึงง่ายกว่าพวกเธอที่ต้องไปขอติดต่อและยืนยันตัวตนอีกมากมาย
“อืม” กัวเหม่ยอิงพยักหน้า
พรุ่งนี้คงต้องไปดูที่ดินผืนนั้นซะแล้ว บ้านหลังนี้อยู่ห่างจากบ้านอื่นก็จริงแต่มันก็ทำให้เธออึดอัด สู้ย้ายไปอยู่อีกที่ที่ปลอดภัยจะดีกว่า
“อีกไม่นานน้องชายสามก็คงเรียนจบแล้ว” สะใภ้รองกล่าว
น้องชายสามเรียนอีก 1 เดือนก็น่าจะได้จบแล้วหากคะแนนหรือการสอบครบก็ไม่มีจะมีอะไรที่น่าผิดคาด ซึ่งหลังจากนี้ก็ต้องหาที่ทำงาน และที่รู้ ๆ กันว่าหากไม่มีเส้นสายงานก็จะหายากมาก
“ใช่ ค่าใช้จ่ายก็คงจะลดลงพอสมควร ให้เขากลับมาอยู่ที่บ้านหลังเรียนจบ” เพราะไม่รู้ว่าเขาจะสามารถหางานได้หรือเปล่า การที่เรียนจบแล้วกลับมาพักอยู่บ้านก่อนเพื่อหางานเป็นการประหยัดเงินได้บ้าง
เธอไม่ได้ว่าเขาเป็นภาระเพราะหากว่ากันตามจริงเธอก็คงจะเหมือนภาระมากกว่า
พ่อสามีและพี่ชายต่างคาดหวังให้เขาได้เรียนจบในระดับที่สูง และหาเงินเพื่อเลี้ยงครอบครัวเหมือนกับที่พวกเขาเคยหาให้
“เดี๋ยวฉันทำเองดีกว่าค่ะ พี่ไปดูหลานสาวเถอะ” เพราะเธอได้ยินเสียงเด็กร้อง หากปล่อยไว้นานเกรงว่าแม่สามีจะแย่เอา
“ได้”
“กรี๊ด”“พี่เสี่ยวลู่!”“หลิงเฟยยย”“ช่วยด้วย!”“ฮ่า ฮ่า”กัวเหม่ยอิงส่ายหัวให้กับภาพตรงหน้า ในรอบหลายเดือนที่สาว ๆ ได้กลับมาเจอกันยังทำตัวเป็นเด็กเหมือนเดิมหานหลินเฟยกับหานหลิงเฟยปิดเทอมได้สองสัปดาห์แล้ว แต่ที่เพิ่งมาถึงปักกิ่งก็เพราะทั้งสองกลับไปหาพ่อกับแม่ที่บ้านก่อน ค่อยขึ้นมาหาผู้เป็นป้าที่ปักกิ่งแต่น้องชายคนเล็กไม่ได้มาด้วยกัวเหม่ยอิงที่เห็นว่าเด็ก ๆ ได้กลับมาเจอกันในรอบหลายเดือนจึงชวนพี่น้องบ้านหลี่ บ้านสามของน้องชายสามมากินข้าวมื้อเย็นนอกบ้านนอกบ้านก็คือนอกบ้านจริง ๆ บริเวณหน้าบ้านของกัวเหม่ยอิงนอกจากจอดรถไว้แล้วก็ยังมีที่ให้นั่งได้อีก และแต่ก่อนเด็ก ๆ เรียนอยู่ในปักกิ่งก็จะนั่งกินข้าวด้านนอกกันเพราะคนเยอะ ซึ่งทุกคนก็คุ้นเคยกันดีวันนี้กัวเหม่ยอิงลงมือทำกับข้าวมื้อเย็น ทั้งเคาหยก ไข่ตุ๋น ต้มยำปลา ไก่ทอด สามชั้นทอดเกลือ หมูต้มสาหร่าย และของหวานอีกหลายอย่าง เป็นการลงครัวในรอบเดือนด้วยซ้ำเพราะทุกวันนี้หานเมิ่งลู่ลูกสาวคนเดียวของเธอห้ามไม่ให้กัวเหม่ยอิงทำกับข้าว หรือทำงานบ้านเพราะหล่อนจะทำเอง แต่กว่าจะเลิกงานในแต่ละวันกัวเหม่ยอิงทำงานบ้านรอแล้ว“เล่นกันเป็นเด็ก ๆ เลย” เหอลี่
ในระแวกตลาดประจำกรุงปักกิ่งใคร ๆ ก็รู้จักบ้านของคุณนายหานที่มีลูกสาวแสนสวยกับหลาน ๆ ที่สวยไม่แพ้กัน ยิ่งปีนี้พากันเรียนจบถึงมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศแล้วต้องบอกว่านอกจากภูมิใจลูกสาวแล้วกัวเหม่ยอิงก็ภูมิใจหลาน ๆ ด้วย เลี้ยงมาตั้งแต่ตีนเท้าฝาหอย ตอนนี้โตพอจะเลี้ยงเธอได้กันหมดแล้ว“คุณนายแม่”“หื้ม”กัวเหม่ยอิงลูบหัวลูกสาวที่พุ่งเข้ามากอด เธอรู้ว่าลูกสาวเครียดเพราะช่วงนี้หล่อนเข้าไปเรียนรู้งานในร้าน แม้จะมีผู้เป็นแม่คอยช่วยเหลือแต่ก็เครียดอยู่ดี เสี่ยวลู่บอกที่ผ่านมาคนเป็นแม่เก่งมาก จากที่มีร้านเล็ก ๆ ตอนนี้ขยายร้านใหญ่มากร้านเสื้อผ้าเมิ่งลู่มีมากถึงสิบสาขา สาขาหลักและสาขาที่สามตั้งอยู่มณฑลบ้านเกิด สาขารอง สาขาสี่ และสาขาห้า กระจายอยู่ในปักกิ่งแต่ก็ไม่ได้ห่างกันมาก เพราะกัวเหม่ยอิงกลัวลูกสาวจะไปมาร้านลำบากสาขาที่หกและสาขาที่เก้าตั้งอยู่ในมหานครฉงชิ่ง สาขาที่เจ็ดและสาขาที่แปดตั้งอยู่ในมหานครเซี่ยงไฮ้ และสาขาที่สิบตั้งอยู่ในมหานครเทียนสินยังไม่รวมกับพ่อค้า แม่ค้า ที่เข้ามาขอซื้อเสื้อไปขายต่ออีก หลัง ๆ มานี้กัวเหม่ยอิงให้สั่งเป็นรอบ ๆ จะได้ตัดแยกกับที่เอามาขายในร้าน“เหนื่อยมากเหรอจ๊ะ
หลังจากเสร็จงานของย่าหานกัวเหม่ยอิงก็พาสามีกลับปักกิ่งทันที เพราะเป็นห่วงเด็ก ๆ นี่ก็ทิ้งมากันหลายวันแล้วและเป็นไปตามที่สะใภ้รองบอกจริง ๆ แม่หานไม่ยอมไปปักกิ่งด้วย หลานก็เป็นห่วง แต่ห่วงลูกชายคนกลางที่ต้องทำงานอยู่ที่บ้านคนเดียวกัวเหม่ยอิงก็ไม่ได้ว่าอะไรแต่เธอก็ให้สะใภ้รองไปด้วย ให้สะใภ้รองไปช่วยงานสักเดือนสองเดือนก็จะให้กลับมาอยู่ที่บ้านจริง ๆ ก็ไม่ได้ช่วยงานหรอก แค่ช่วยอยู่กับเด็ก ๆ ระหว่างที่กัวเหม่ยอิงกับหานหรงเจ๋อไปทำธุระกันก็พอ ยิ่งช่วงนี้มีการติดประกาศขายที่ดิน ขายบ้าน ขายตึก กัวเหม่ยอิงก็อยากซื้อเก็บไว้ ถ้าไม่ใช้ค่อยขายต่อหรือให้คนอื่นเช่าแทนกัวเหม่ยอิงคิดว่าตัวเองจะทำงานได้อีกไม่เกินสามสิบปี ระหว่างที่สามารถทำงานได้เธอจึงรีบทำ ยิ่งพื้นที่ทำเลทองในอนาคตกัวเหม่ยอิงก็ต้องรีบซื้อเก็บไว้ เพราะบางผืนสามารถขายต่อในอนาคตได้มากกว่าเดิมหลานพันหยวน“พี่จะทำแบบนี้ทุกวันเลยเหรอคะ” สะใภ้รองถามกัวเหม่ยอิงที่ล้างผลไม้อยู่ทั้งสี่คน กัวเหม่ยอิง หานหรงเจ๋อ สะใภ้รอง และน้องชายสามพึ่งมาถึงบ้านเมื่อไม่กี่ชั่วโมงนี้ แต่เด็ก ๆ ไปโรงเรียนกันแล้ว กัวเหม่ยอิงเลยปล่อยให้ไปพักกัน แต่ถ้าถึงเวลาเด็ก
กัวเหม่ยอิงมองคนในบ้านใหญ่ที่ร้องห่มร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตาตั้งแต่ที่เธอ หานหรงเจ๋อกลับมาถึงบ้านแล้วแวะมาดูย่าหาน มันคงจะดีกว่านี้ถ้าคนในบ้านใหญ่ร้องไห้มีน้ำตาบ้าง และย่าหานยังไม่ถึงแก่กรรมแต่บ้านใหญ่กลับทำเหมือนย่าหานถึงแก่กรรมแล้ว“ทำไมเขาร้องไห้ไม่มีน้ำตาเลยล่ะคะ” กัวเหม่ยอิงกระซิบถามสามีด้วยความอยากรู้ แต่จริง ๆ ก็คือจะบอกว่าพวกเขาแสดงไม่เนียนกันเลยหานหรงเจ๋อส่ายหน้าเพราะไม่มีคำตอบ แค่ตอนนี้เขาก็เอือมระอาเต็มทนแล้ว มีที่ไหนบ้างที่คนป่วยไม่ไหวแล้วแต่เอาออกมานอนกลางบ้าน ทั้งยังฉุนไปด้วยกลิ่นฉี่และสิ่งปฏิกูลอีก นอกจากกลิ่นแล้วยังไม่ทำความสะอาดอีก“จะ..เจ้าใหญ่ แค่ก ๆ ละ…หลาน มารับ…พี่ ชะ ชาย นะ…น้อง ชาย ไป…ทะ ทำงาน ดะ…ด้วย ใช่…มะ ไหม แค่ก ๆ ”กัวเหม่ยอิงหันขวับทันที แค่ตอนนี้ตัวเองก็ยังเอาชีวิตจะไม่รอดยังจะมาห่วงหลานจากบ้านใหญ่แต่มาทำให้หลานอีกบ้านหนักใจอีก แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไร เดี๋ยวจะกระอักเลือดซะก่อน“บ้านใหญ่บอกย่าป่วยครับ ผมเลยลงมาดู แต่มานานไม่ได้” หานหรงเจ๋อบอกยังดีที่น้องชายสามทำงานในโรงงานของคนรู้จักจึงลางานมาได้ แต่ก็แลกกับการต้องหาคนไปทำงานแทนระหว่างที่ไม่อยู่ ซึ่งโชคดีที
ความสำเร็จของลูกสาวถึงแม้จะเป็นเพียงก้าวเล็ก ๆ แต่มันก็ทำให้กัวเหม่ยอิงร้องไห้ออกมาด้วยความตื้นตันใจ แค่ไม่กี่ปีลูกสาวของเธอก็จบในระดับชั้นประถมแล้ว และตอนนี้ยังเข้าเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นกัวเหม่ยอิงรู้สึกว่าวันนี้มันเร็วมาก เหมือนเมื่อวานเด็กคนนี้ยังร้องไห้ข้าง ๆ เธออยู่ แต่จริง ๆ มันผ่านไปเป็นสิบ ๆ ปีแล้วปีนี้เสี่ยวลู่อายุสิบสามแล้วแต่เสี่ยวหนิงยังสิบสองย่างสิบสามอยู่ และเด็กแฝดตอนนี้ก็สิบขวบกันแล้ว ส่วนหลานชายคนเล็กก็เพิ่งจะเจ็ดขวบและกัวเหม่ยอิงก็ให้สามีไปรับเขามาเรียนในปักกิ่งแล้วด้วยหลี่เวยเวยกับหลี่หม่าฮัวเรียนจบโรงเรียนภาคค่ำสาขาบัญชีเมื่อสามปีก่อน ทั้งสองมีงานที่มั่นคงแล้วนั้นก็คืองานในร้านเลยขอออกไปใช้ชีวิตข้างนอกกันสองคน ซึ่งกัวเหม่ยอิงก็อนุญาต ที่บ้านเลยมีแค่กัวเหม่ยอิง หานหรงเจ๋อ เสี่ยวหนิง หานหลินเฟย หานหลิงเฟยและหานหลงเฟย แต่พอมีหลานชายคนเล็กมา กัวเหม่ยอิงก็ให้หลี่เวยเวยกลับมาช่วยในบ้าน บางวันก็ให้น้องชายสามมารับเด็ก ๆ ไปนอนด้วยน้องชายสามเรียนจบเศรษฐศาสตร์สาขาวิชาการเงิน ตอนนี้ทำงานในโรงงานขนาดใหญ่ เงินเดือนยังไม่มั่นคงเพราะเพิ่งเริ่มทำงาน แต่ก็มีเงินที่สามารถเลี้ยงครอ
การปรับตัวช่วงแรกของเด็กแฝดเป็นการปรับตัวที่ต้องให้เสี่ยวลู่กับเสี่ยวหนิงต้องไปปรับพื้นฐานก่อนเข้าเรียนด้วย เนื่องจากเด็กแฝดไม่ได้เรียนแบบจริงจังและยังไม่เคยเรียนโรงเรียนประถมส่วนสองพี่น้องบ้านลู่ก็ไม่ยากอย่างที่คิด เพราะทั้งสองมีพื้นฐานที่กัวเหม่ยอิงสอนก่อนเปิดเรียนภาคค่ำแล้ว ยิ่งในแต่ละวันสอนแค่หนึ่งถึงสองชั่วโมง ทั้งหลี่เวยเวยกับหลี่หม่าฮัวก็มีเวลาทบทวนการเรียนมากขึ้นห้องนอนห้องแรกเป็นห้องนอนของกัวเหม่ยอิงกับสามี ห้องนอนห้องที่สองเป็นห้องของลูกสาวกับเสี่ยวหนิงเวลาหล่อนจะมานอนที่บ้านห้องนอนห้องที่สามเป็นห้องของหลินเฟย หลิงเฟย ห้องนอนห้องที่สี่เป็นห้องของหลี่เวยเวย ห้องนอนที่ห้าจะเป็นห้องนอนของหลี่หม่าฮัวและสุดท้ายห้องนอนที่หกกัวเหม่ยอิงสั่งให้หานหรงเจ๋อเอาโต๊ะเข้ามาตั้ง และเอาเตียงนอนชิดผนัง ห้องนี้จะเป็นห้องไว้ทำการบ้านหรือห้องอ่านหนังสือของเด็ก ๆเวลามีการบ้านกัวเหม่ยอิงก็จะสอนให้ทำก่อนที่จะไปเล่น เพราะตอนนี้เด็กทั้งสี่มาอยู่ด้วยกันจึงต้องจัดเวลาให้ดี เลิกเรียนกลับมาถึงบ้านให้ทำการบ้านให้เสร็จ หลังจากนั้นจะทำอะไรก็ไม่มีใครว่า ถ้าให้ทำตอนเย็นก็ยุ่งทำกับข้าว ไม่ต้องพูดถึงเวลาอื่