“ไม่ได้!”
เสียงตวาดของคุณย่าหานดังลั่นบ้านใหญ่เมื่อน้องชายสามเอ่ยบอกเรื่องราวทั้งหมดและยืนยันที่จะเลี้ยงลูกสาว ไม่ให้ส่งลูกสาวกลับบ้านแม่เดิมของหล่อน
สำหรับคนสกุลหานนั้นพวกเขาถือตัวเป็นใหญ่เพราะมีสมาชิกในบ้านเยอะ รวมถึงบ้านเดิมของเหล่าสะใภ้อีก พวกเขาจึงคิดว่าตัวเองมีหน้ามีตาไม่ควรทำอะไรให้เสื่อมเสีย แต่แล้วเรื่องมันก็เกิดขึ้น
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ หล่อนเป็นลูกสาวของผม” น้องชายสามกล่าวด้วยความไม่พอใจ ปกติเขาจะเป็นคนที่ขี้ขลาดตาขาว ไม่กล้าจะปฎิเสธใคร แต่เว้นคนสกุลหานเอาไว้
ด้วยความที่เขาแทบจะเป็นแก้วตาดวงใจของบ้านจึงถูกเลี้ยงมาอย่างดี และที่เขาเป็นผู้เป็นคนอยู่ก็เพราะถูกสอนจากมารดา เว้นคนสกุลหานที่เขาไม่ค่อยจะฟังมารดา บ้านก็แยกกันแล้วบ้านใหญ่ก็ไม่ยอมปล่อยพวกเขาไป
“เจ้าสาม! นายลืมไปแล้วเหรอว่านายยังไม่ได้แต่งงานแต่นายกลับมีลูกกลับมา” คุณย่าหานพยายามโน้มน้าวหลานชาย
ในบรรดาหลานชายของนางที่มาจากบ้านสาม คุณย่าหานเอ็นดูหานหรงอี้ที่สุด เพราะเขาเรียนในระดับที่สูงกว่าเหล่าหลานชายในบ้านของนางที่ได้เรียน และเขายังเป็นหน้าเป็นตาให้กับคนสกุลหานได้ เพียงแต่วันนี้กลับทำให้นางโกรธมาก เมื่อหลานชายที่คิดว่าดีมาตลอดจะมีลูกแล้ว
“แล้วยังไงครับ”
“นายไม่คิดว่าชื่อเสียงสกุลหานจะเสียหายหรือยังไง!” เป็นป้าสะใภ้ใหญ่ที่ตวาดเสียงขึ้นมาด้วยความเดือดดาล
ป้าสะใภ้ใหญ่ไม่ชอบบ้านสามมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ยิ่งลูกชายคนโตกับคนรองได้เป็นทหารนางยิ่งเกลียดกว่าเดิม เป็นทหารว่าเกลียดแล้ว การที่ลูกชายคนเล็กหรือเจ้าสามหานหรงอี้ได้เข้าเรียนมัธยมยิ่งทำให้นางเกลียดเขาที่สุด ในขณะที่ลูกชายทั้งห้าคนของนางได้เรียนในระดับประถมเพียงสองคน เพราะค่าใช้จ่ายในบ้านก็แทบจะไม่มีแล้ว หากไม่ใช่ลูกของนางก็คงจะไม่ได้เรียน
“บ้านใหญ่สกุลหานกับบ้านสามสกุลหานพวกเราได้แยกบ้านกันแล้ว” กัวเหม่ยอิงที่ตั้งแต่มาก็นั่งเงียบพูดขึ้น
ไม่ใช่ว่าเธอกลัวบ้านใหญ่สกุลหาน แต่เธอกำลังสำรวจสมาชิกคนอื่น ๆ ในบ้านพร้อมกับคิดถึงความทรงจำที่มี ทุกคนในสกุลหานต่างไม่ชอบเธอเพราะตอนแรกพวกเขาต้องการเธอมาเป็นสะใภ้ แต่บ้านกัวกลับปฎิเสธเพราะเห็นว่าสกุลหานคนเยอะเกินไป
แต่หลังจากนั้นไม่กี่วันกัวเหม่ยอิงก็ได้จดทะเบียนสมรสกับหานหรงเจ๋อสร้างความไม่พอใจให้พวกเขาเป็นอย่างมาก
กัวเหม่ยอิงเป็นนักเรียนมัธยมปลายต่อให้บ้านของนางจะจนก็ไม่มีใครมาสนใจ พวกเขาสนเพียงต้องการสะใภ้ที่เรียนจบระดับสูง ๆ มาประดับบารมีสกุล
“ต่อให้บ้านสามจะแยกไปแล้วแต่ก็เพิ่งบารมีสกุลหานอยู่ดี!” ป้าสะใภ้รองกระแทกเสียง
เมื่อวานหลังจากกลับบ้านนางถูกสะใภ้ใหญ่ด่าที่ทำให้เสียหน้า นางจึงไม่พอใจมาก จะด่ากลับก็ไม่ได้เพราะสะใภ้ใหญ่เป็นคนคุมบ้าน
กัวเหม่ยอิงเหยียดยิ้ม บ้านสามนะเหรอจะพึ่งพาบารมีสกุลหาน? สกุลหานต่างหากที่เพิ่งพาพวกเธอ! เงินที่สกุลหานมาเอาไปนั้นไม่ต่ำกว่า 2,000 หยวน คิดแล้วกัวเหม่ยอิงก็เสียดาย
“ยังไงบ้านสามก็เป็นคนสกุลหาน ถ้าเกิดอะไรกับบ้านสามมันก็กระทบกับสกุลหานอยู่ดี ป้าสะใภ้อยากให้พวกเธอเก็บไปคิดอีกรอบ” คราวนี้เป็นป้าสะใภ้สี่ที่กัวเหม่ยอิงเพิ่งเคยเจอพูดขึ้น
หึ ทำตัวเป็นป้าสะใภ้ที่แสนดีแต่จริงๆ เป็นนางมากกว่าที่กลัวว่าจะเสียผลประโยชน์ ได้ยินมาว่าลูกชายคนเล็กของนางกำลังคบหาดูใจกับคนในเมือง ถึงนางไม่พูดแต่คนอื่นก็พากันพูดไปทั่ว นางคงจะกลัวว่าหากพวกเธอเอาเสี่ยวหนิงมาเลี้ยงก็เป็นการยืนยันข่าวว่าน้องชายสามทำผิดประเพณีก่อนแต่งงาน เรื่องแบบนี้มันจะไปกระทบกับลูกชายของนาง
“การที่พวกเราเอาหลานสาวมาเลี้ยงดู ป้าสะใภ้สี่คิดว่ามันเป็นเรื่องไม่สมควรหรือ?”
“ใช่! ในยามนี้เจ้าสามไม่มีเมียก็จริง แต่หลังจากเรียนจบฉันก็จะให้เขาแต่งงาน แบบนี้แล้วควรจะเอาเด็กคืนแม่หล่อนไป”คุณย่าหานว่า
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่นางคิดไว้นานแล้ว ลูกสะใภ้ของนางล้มป่วยจึงไม่มีแรงจะลุกมาจัดการเรื่องราวภายในบ้าน การหาลูกเขย ลูกสะใภ้เดิมทีเป็นหน้าที่ของพ่อกับแม่ แต่ลูกชายของนางตายไปแล้ว ลูกสะใภ้ก็ไม่รู้จะตายวันไหน หน้าที่หาหลานสะใภ้ก็ควรจะเป็นนางก็ถูกแล้ว และนางก็ได้ตัวหลานสะใภ้ที่รอเจ้าสามเรียนจบก็จะให้แต่งเข้าบ้านสาม เพียงแต่เกิดเรื่องซะก่อน
“ถ้าจำไม่ผิด คุณย่าเป็นคนบอกให้เลขาธิการของหมู่บ้านเขียนจดหมายแยกบ้านไว้ชัดเจนแล้วนะคะ” กัวเหม่ยอิงตอบเสียงเรียบ
ในเวลานี้เธอก็เป็นเหมือนผู้นำครอบครัว ย่าสามีของเธอกลับมองข้ามเธอไป และจะยื่นมือมาบงการพวกเธอ ซึ่งกัวเหม่ยอิงไม่มีทางยอม
“ไม่ใช่เรื่องของเธอ” คุณย่าหานตอบกลับหลานสะใภ้ที่นางไม่ชอบหน้า
ในเวลานี้บ้านสามแยกตัวออกไปแล้ว และบ้านสามกับพวกเขาหากให้ว่ากันตามตรงก็คือคนละบ้านกัน มั่งมีหรือยากจนก็ไม่เกี่ยวข้อง แต่เวลานี้คนที่จะขัดได้ก็คือเจ้ารองที่ยังไม่กลับมา พวกนางจึงต้องรีบลงมือ
“ค่ะ ถ้าไม่ใช่เรื่องของฉัน แบบนี้แล้วฉันกับน้องสะใภ้และน้องชายสามคงต้องขอตัวกลับก่อน” กัวเหม่ยอิงลุกขึ้นยืนอย่างไม่ไว้หน้าใคร ตามด้วยน้องสะใภ้รองและน้องชายของสามี
“เดี๋ยว! มันจะมากเกินไปแล้วนะ!” ป้าสะใภ้ใหญ่ร้องเสียงหลง นางไม่ยอมให้บ้านสามกลับไปตอนนี้แน่ นางต้องการให้พวกมันต้องเสียหน้าภายในสกุล
“มากเกินไปตรงไหนเหรอคะป้าสะใภ้ใหญ่ ที่ผ่านมาฉันยอมมากพอแล้วนะคะ บ้านสามไม่เคยไปทำอะไรให้บ้านใหญ่เลยด้วยซ้ำ มีแต่บ้านใหญ่ที่มารังควานบ้านสามของพวกเรา” กัวเหม่ยอิงยืนท้าทาย
แม้หน้าหลังจะล้อมไปด้วยคนสกุลหานหลายสิบคนแต่กัวเหม่ยอิงก็ไม่ได้กลัว หากคนสกุลหานกล้าลงมือจริงจะเป็นผลดีกับพวกนางเสียอีก
“เหอะ! ไม่เคย? หากไม่ใช่น้องชายสามพ่อสามีของเธอแย่งตำแหน่งทหารของสามีฉันไป พวกเธอจะได้อยู่ดีกินดีแบบนี้เหรอ!” ป้าสะใภ้ใหญ่ตะโกนอย่างอัดอั้นตันใจ
“ฮ่า ๆ ป้าสะใภ้ใหญ่ย่อมรู้แก่ใจดีนะคะ” กัวเหม่ยอิงหัวเราะ
หลายปีก่อนเนื่องจากจำนวนทหารไม่พอ เหล่าเด็กที่เริ่มจะแตกหนุ่มจึงถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร และในหมู่บ้านต้องส่งคนไปไม่ต่ำกว่าสามคนในการเข้าร่วมเกณฑ์ทหารครั้งนั้น 1 ในบ้านที่ถูกเลือกไปก็คือคนสกุลหานที่มีลูกชายเยอะและเป็นครอบครัวใหญ่ ตอนแรกคนในหมู่บ้านต้องการให้ลุงใหญ่เป็นตัวแทนของหมู่บ้านในครั้งนี้
แต่พวกเขาถูกคุณย่าหานปฎิเสธด้วยคำที่ว่าลูกชายคนโตต้องอยู่บ้านดูแลพ่อกับแม่ และเรื่องนี้คนในหมู่บ้านต่างรู้กันดี
แต่จะหวังเพิ่งลุงรองก็ไม่ได้เพราะเขาขี้ขลาดตาขาวเกินไป แม้คุณย่าหานจะรักลูกชายคนโตมากที่สุดแต่นางก็ยังมีใจห่วงลูกชายคนรองอยู่บ้านจึงไม่ต้องการส่งเขาไป
จะให้อาสี่ของสามีไปคุณย่าหานก็ยิ่งไม่ยอมอีก ลูกชายคนโตว่ารักมาแค่ไหนลูกชายคนเล็กก็รักไม่ต่างกัน
ส่วนพ่อสามีของเธอนั้นแทบจะเรียกได้ว่าเป็นลูกที่ถูกรักน้อยที่สุดในปีที่คุณย่าหานได้คลอดพ่อสามีนั้นเป็นช่วงต้นปี และช่วงท้ายปีคุณย่าหานยังได้คลอดลูกชายคนเล็กออกมาด้วย และเป็นพ่อสามีที่ถูกคุณย่าหานเลี้ยงน้อยที่สุดส่วนมากจะเป็นเหล่าพี่สะใภ้แล้วก็น้องสะใภ้ที่ช่วยเลี้ยงเพราะนางเอาเวลาไปให้ลูกชายคนเล็ก
รู้ตัวอีกทีลูกชายคนที่สามของบ้านก็ไม่ได้สนิทกับคนในครอบครัว แม้แต่การเข้าไปเป็นทหารเกณฑ์แทนพี่ชายทั้งสองแล้ว พ่อสามียังต้องแลกมากับการที่ต้องได้เลือกภรรยาเอง และช่างโชคดีที่ในเวลานั้นไม่ว่าพ่อสามีจะพูดอะไรทุกคนก็ยอมเพราะไม่ต้องการให้สามีหรือลูกชายสุดที่รักออกไป
ยิ่งพวกเขาไม่ได้แยกบ้านกันเงินเดือนของพ่อสามีที่ส่งกลับมาให้คนในบ้านก็เอาเข้ากองกลางไปทั้งหมด เป็นแบบนี้อยู่หลายปีโดยที่ทำอะไรไม่ได้ จนกระทั่งพ่อสามีหมดความอดทนจึงไม่ส่งเงินกลับบ้านเป็นระยะเวลาหลายเดือนจึงหาทางแยกบ้านได้สำเร็จ เรื่องนี้เป็นสามีของเธอเองที่เล่าให้ฟัง
ป้าสะใภ้ใหญ่ของพวกเธอถึงกับสะอึกเมื่อเธอแย้งขึ้นมา ก็เป็นนางเองไม่ใช่หรือที่ร้องห่มร้องไห้ไม่ยอมให้สามีไปเป็นทหารเกณฑ์เพราะกลัวเป็นม่าย มาวันนี้กลับมาว่าพ่อสามีของพวกเธอ
“อกตัญญู! อกตัญญู!” ป้าสะใภ้ใหญ่กระทืบเท้าด้วยความไม่พอใจ
กัวเหม่ยอิงเม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะกลั้นยิ้ม ป้าสะใภ้ใหญ่ทำตัวเหมือนเด็กที่ยังไม่โตทั้ง ๆ ที่ตอนนี้แก่มากแล้วยังไม่เจียมสังขารตัวเอง คาดว่าพรุ่งนี้นางคงจะลุกไม่ขึ้นเพราะกระทืบเท้าแรงเกินไป
“ฉันไม่คิดเลยนะคะว่าคนสกุลหานจะเป็นแบบนี้ พวกเราแยกบ้านกันมาได้หลายปีแล้วนะคะ ข้อตกลงที่คุณย่าเสนอพวกเราต่างก็รับทราบกันดี เงินที่บ้านใหญ่สกุลหานยืมไปเราก็ยังไม่ได้เอาคืนมาเลยด้วยซ้ำ” กัวเหม่ยอิงเหยียดยิ้ม
ไม่รู้ว่าพ่อสามีเจ้าเล่ห์หรือแม่สามีที่เป็นคนคิดขึ้นมา ทุกครั้งที่คนบ้านใหญ่เข้าไปหยิบเงินในบ้าน จำนวนเงินทุกหยวนจะถูกบันทึกเอาไว้ และมีรายมือของคนที่เอาไป หากนับรวมกันได้แล้วก็มีมากกว่าสองพันหยวนที่ไม่ได้รวมกับพวกข้าวของอื่น ๆ อีก
“อะไร เธอพูดอะไร”
“ก็ป้าสะใภ้ไปยืมเงินบ้านสามทุกเดือนนี่คะ” กัวเหม่ยอิงตอบ
“อย่ามาพูดมั่ว ๆ เงินบ้านสามฉันจะไปยืมได้ยังไง!” ป้าสะใภ้ใหญ่โพล่งขึ้นมา
ทุกครั้งที่นางไปเอาเงินที่บ้านสามก็เป็นช่วงที่คนในหมู่บ้านไม่อยู่ ไม่ก็ช่วงมืดที่ทุกคนกำลังจะหลับเพราะนางไม่ต้องการให้ใครรู้ว่านางไปเอาเงินของบ้านสาม แต่เรื่องนี้คนในบ้านใหญ่ต่างรับรู้เพราะหลายครั้งก็เป็นคนอื่นที่ไปเอา
“อืม งั้นเดี๋ยวฉันไปถามคณะกรรมการก็ได้ค่ะ”
หากจะถามว่าเธอรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไงก็คงต้องบอกว่าสามีของเธอนั้นไว้ใจเธอมาก ถึงกลับบอกเรื่องทุกอย่างในสกุลให้ทราบ และทุกครั้งที่บ้านใหญ่หยิบเอาเงินหรือเอาของไป
ลายนิ้วมือของพวกเขาก็ถูกปั้มลงบนกระดาษสัญญาการยืม ซึ่งสามีไม่ได้บอกกับกัวเหม่ยอิงว่าต้องทำยังไง
เพล้ง!
ว้ายยย
คุณแม่คะ!
คุณย่าครับ!
กรี๊ดดดด
เฮ้ยยย
เสียงวุ่นวายภายในตัวบ้านสกุลหานไม่ได้ทำให้กัวเหม่ยอิงหันกลับไปมอง เธอเดินกลับบ้านอย่างเงียบสงบพร้อมกับน้องสะใภ้และน้องชายของสามี
ทุกอย่างเพิ่งจะเริ่มต้นก็เท่านั้น
“กรี๊ด”“พี่เสี่ยวลู่!”“หลิงเฟยยย”“ช่วยด้วย!”“ฮ่า ฮ่า”กัวเหม่ยอิงส่ายหัวให้กับภาพตรงหน้า ในรอบหลายเดือนที่สาว ๆ ได้กลับมาเจอกันยังทำตัวเป็นเด็กเหมือนเดิมหานหลินเฟยกับหานหลิงเฟยปิดเทอมได้สองสัปดาห์แล้ว แต่ที่เพิ่งมาถึงปักกิ่งก็เพราะทั้งสองกลับไปหาพ่อกับแม่ที่บ้านก่อน ค่อยขึ้นมาหาผู้เป็นป้าที่ปักกิ่งแต่น้องชายคนเล็กไม่ได้มาด้วยกัวเหม่ยอิงที่เห็นว่าเด็ก ๆ ได้กลับมาเจอกันในรอบหลายเดือนจึงชวนพี่น้องบ้านหลี่ บ้านสามของน้องชายสามมากินข้าวมื้อเย็นนอกบ้านนอกบ้านก็คือนอกบ้านจริง ๆ บริเวณหน้าบ้านของกัวเหม่ยอิงนอกจากจอดรถไว้แล้วก็ยังมีที่ให้นั่งได้อีก และแต่ก่อนเด็ก ๆ เรียนอยู่ในปักกิ่งก็จะนั่งกินข้าวด้านนอกกันเพราะคนเยอะ ซึ่งทุกคนก็คุ้นเคยกันดีวันนี้กัวเหม่ยอิงลงมือทำกับข้าวมื้อเย็น ทั้งเคาหยก ไข่ตุ๋น ต้มยำปลา ไก่ทอด สามชั้นทอดเกลือ หมูต้มสาหร่าย และของหวานอีกหลายอย่าง เป็นการลงครัวในรอบเดือนด้วยซ้ำเพราะทุกวันนี้หานเมิ่งลู่ลูกสาวคนเดียวของเธอห้ามไม่ให้กัวเหม่ยอิงทำกับข้าว หรือทำงานบ้านเพราะหล่อนจะทำเอง แต่กว่าจะเลิกงานในแต่ละวันกัวเหม่ยอิงทำงานบ้านรอแล้ว“เล่นกันเป็นเด็ก ๆ เลย” เหอลี่
ในระแวกตลาดประจำกรุงปักกิ่งใคร ๆ ก็รู้จักบ้านของคุณนายหานที่มีลูกสาวแสนสวยกับหลาน ๆ ที่สวยไม่แพ้กัน ยิ่งปีนี้พากันเรียนจบถึงมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศแล้วต้องบอกว่านอกจากภูมิใจลูกสาวแล้วกัวเหม่ยอิงก็ภูมิใจหลาน ๆ ด้วย เลี้ยงมาตั้งแต่ตีนเท้าฝาหอย ตอนนี้โตพอจะเลี้ยงเธอได้กันหมดแล้ว“คุณนายแม่”“หื้ม”กัวเหม่ยอิงลูบหัวลูกสาวที่พุ่งเข้ามากอด เธอรู้ว่าลูกสาวเครียดเพราะช่วงนี้หล่อนเข้าไปเรียนรู้งานในร้าน แม้จะมีผู้เป็นแม่คอยช่วยเหลือแต่ก็เครียดอยู่ดี เสี่ยวลู่บอกที่ผ่านมาคนเป็นแม่เก่งมาก จากที่มีร้านเล็ก ๆ ตอนนี้ขยายร้านใหญ่มากร้านเสื้อผ้าเมิ่งลู่มีมากถึงสิบสาขา สาขาหลักและสาขาที่สามตั้งอยู่มณฑลบ้านเกิด สาขารอง สาขาสี่ และสาขาห้า กระจายอยู่ในปักกิ่งแต่ก็ไม่ได้ห่างกันมาก เพราะกัวเหม่ยอิงกลัวลูกสาวจะไปมาร้านลำบากสาขาที่หกและสาขาที่เก้าตั้งอยู่ในมหานครฉงชิ่ง สาขาที่เจ็ดและสาขาที่แปดตั้งอยู่ในมหานครเซี่ยงไฮ้ และสาขาที่สิบตั้งอยู่ในมหานครเทียนสินยังไม่รวมกับพ่อค้า แม่ค้า ที่เข้ามาขอซื้อเสื้อไปขายต่ออีก หลัง ๆ มานี้กัวเหม่ยอิงให้สั่งเป็นรอบ ๆ จะได้ตัดแยกกับที่เอามาขายในร้าน“เหนื่อยมากเหรอจ๊ะ
หลังจากเสร็จงานของย่าหานกัวเหม่ยอิงก็พาสามีกลับปักกิ่งทันที เพราะเป็นห่วงเด็ก ๆ นี่ก็ทิ้งมากันหลายวันแล้วและเป็นไปตามที่สะใภ้รองบอกจริง ๆ แม่หานไม่ยอมไปปักกิ่งด้วย หลานก็เป็นห่วง แต่ห่วงลูกชายคนกลางที่ต้องทำงานอยู่ที่บ้านคนเดียวกัวเหม่ยอิงก็ไม่ได้ว่าอะไรแต่เธอก็ให้สะใภ้รองไปด้วย ให้สะใภ้รองไปช่วยงานสักเดือนสองเดือนก็จะให้กลับมาอยู่ที่บ้านจริง ๆ ก็ไม่ได้ช่วยงานหรอก แค่ช่วยอยู่กับเด็ก ๆ ระหว่างที่กัวเหม่ยอิงกับหานหรงเจ๋อไปทำธุระกันก็พอ ยิ่งช่วงนี้มีการติดประกาศขายที่ดิน ขายบ้าน ขายตึก กัวเหม่ยอิงก็อยากซื้อเก็บไว้ ถ้าไม่ใช้ค่อยขายต่อหรือให้คนอื่นเช่าแทนกัวเหม่ยอิงคิดว่าตัวเองจะทำงานได้อีกไม่เกินสามสิบปี ระหว่างที่สามารถทำงานได้เธอจึงรีบทำ ยิ่งพื้นที่ทำเลทองในอนาคตกัวเหม่ยอิงก็ต้องรีบซื้อเก็บไว้ เพราะบางผืนสามารถขายต่อในอนาคตได้มากกว่าเดิมหลานพันหยวน“พี่จะทำแบบนี้ทุกวันเลยเหรอคะ” สะใภ้รองถามกัวเหม่ยอิงที่ล้างผลไม้อยู่ทั้งสี่คน กัวเหม่ยอิง หานหรงเจ๋อ สะใภ้รอง และน้องชายสามพึ่งมาถึงบ้านเมื่อไม่กี่ชั่วโมงนี้ แต่เด็ก ๆ ไปโรงเรียนกันแล้ว กัวเหม่ยอิงเลยปล่อยให้ไปพักกัน แต่ถ้าถึงเวลาเด็ก
กัวเหม่ยอิงมองคนในบ้านใหญ่ที่ร้องห่มร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตาตั้งแต่ที่เธอ หานหรงเจ๋อกลับมาถึงบ้านแล้วแวะมาดูย่าหาน มันคงจะดีกว่านี้ถ้าคนในบ้านใหญ่ร้องไห้มีน้ำตาบ้าง และย่าหานยังไม่ถึงแก่กรรมแต่บ้านใหญ่กลับทำเหมือนย่าหานถึงแก่กรรมแล้ว“ทำไมเขาร้องไห้ไม่มีน้ำตาเลยล่ะคะ” กัวเหม่ยอิงกระซิบถามสามีด้วยความอยากรู้ แต่จริง ๆ ก็คือจะบอกว่าพวกเขาแสดงไม่เนียนกันเลยหานหรงเจ๋อส่ายหน้าเพราะไม่มีคำตอบ แค่ตอนนี้เขาก็เอือมระอาเต็มทนแล้ว มีที่ไหนบ้างที่คนป่วยไม่ไหวแล้วแต่เอาออกมานอนกลางบ้าน ทั้งยังฉุนไปด้วยกลิ่นฉี่และสิ่งปฏิกูลอีก นอกจากกลิ่นแล้วยังไม่ทำความสะอาดอีก“จะ..เจ้าใหญ่ แค่ก ๆ ละ…หลาน มารับ…พี่ ชะ ชาย นะ…น้อง ชาย ไป…ทะ ทำงาน ดะ…ด้วย ใช่…มะ ไหม แค่ก ๆ ”กัวเหม่ยอิงหันขวับทันที แค่ตอนนี้ตัวเองก็ยังเอาชีวิตจะไม่รอดยังจะมาห่วงหลานจากบ้านใหญ่แต่มาทำให้หลานอีกบ้านหนักใจอีก แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไร เดี๋ยวจะกระอักเลือดซะก่อน“บ้านใหญ่บอกย่าป่วยครับ ผมเลยลงมาดู แต่มานานไม่ได้” หานหรงเจ๋อบอกยังดีที่น้องชายสามทำงานในโรงงานของคนรู้จักจึงลางานมาได้ แต่ก็แลกกับการต้องหาคนไปทำงานแทนระหว่างที่ไม่อยู่ ซึ่งโชคดีที
ความสำเร็จของลูกสาวถึงแม้จะเป็นเพียงก้าวเล็ก ๆ แต่มันก็ทำให้กัวเหม่ยอิงร้องไห้ออกมาด้วยความตื้นตันใจ แค่ไม่กี่ปีลูกสาวของเธอก็จบในระดับชั้นประถมแล้ว และตอนนี้ยังเข้าเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นกัวเหม่ยอิงรู้สึกว่าวันนี้มันเร็วมาก เหมือนเมื่อวานเด็กคนนี้ยังร้องไห้ข้าง ๆ เธออยู่ แต่จริง ๆ มันผ่านไปเป็นสิบ ๆ ปีแล้วปีนี้เสี่ยวลู่อายุสิบสามแล้วแต่เสี่ยวหนิงยังสิบสองย่างสิบสามอยู่ และเด็กแฝดตอนนี้ก็สิบขวบกันแล้ว ส่วนหลานชายคนเล็กก็เพิ่งจะเจ็ดขวบและกัวเหม่ยอิงก็ให้สามีไปรับเขามาเรียนในปักกิ่งแล้วด้วยหลี่เวยเวยกับหลี่หม่าฮัวเรียนจบโรงเรียนภาคค่ำสาขาบัญชีเมื่อสามปีก่อน ทั้งสองมีงานที่มั่นคงแล้วนั้นก็คืองานในร้านเลยขอออกไปใช้ชีวิตข้างนอกกันสองคน ซึ่งกัวเหม่ยอิงก็อนุญาต ที่บ้านเลยมีแค่กัวเหม่ยอิง หานหรงเจ๋อ เสี่ยวหนิง หานหลินเฟย หานหลิงเฟยและหานหลงเฟย แต่พอมีหลานชายคนเล็กมา กัวเหม่ยอิงก็ให้หลี่เวยเวยกลับมาช่วยในบ้าน บางวันก็ให้น้องชายสามมารับเด็ก ๆ ไปนอนด้วยน้องชายสามเรียนจบเศรษฐศาสตร์สาขาวิชาการเงิน ตอนนี้ทำงานในโรงงานขนาดใหญ่ เงินเดือนยังไม่มั่นคงเพราะเพิ่งเริ่มทำงาน แต่ก็มีเงินที่สามารถเลี้ยงครอ
การปรับตัวช่วงแรกของเด็กแฝดเป็นการปรับตัวที่ต้องให้เสี่ยวลู่กับเสี่ยวหนิงต้องไปปรับพื้นฐานก่อนเข้าเรียนด้วย เนื่องจากเด็กแฝดไม่ได้เรียนแบบจริงจังและยังไม่เคยเรียนโรงเรียนประถมส่วนสองพี่น้องบ้านลู่ก็ไม่ยากอย่างที่คิด เพราะทั้งสองมีพื้นฐานที่กัวเหม่ยอิงสอนก่อนเปิดเรียนภาคค่ำแล้ว ยิ่งในแต่ละวันสอนแค่หนึ่งถึงสองชั่วโมง ทั้งหลี่เวยเวยกับหลี่หม่าฮัวก็มีเวลาทบทวนการเรียนมากขึ้นห้องนอนห้องแรกเป็นห้องนอนของกัวเหม่ยอิงกับสามี ห้องนอนห้องที่สองเป็นห้องของลูกสาวกับเสี่ยวหนิงเวลาหล่อนจะมานอนที่บ้านห้องนอนห้องที่สามเป็นห้องของหลินเฟย หลิงเฟย ห้องนอนห้องที่สี่เป็นห้องของหลี่เวยเวย ห้องนอนที่ห้าจะเป็นห้องนอนของหลี่หม่าฮัวและสุดท้ายห้องนอนที่หกกัวเหม่ยอิงสั่งให้หานหรงเจ๋อเอาโต๊ะเข้ามาตั้ง และเอาเตียงนอนชิดผนัง ห้องนี้จะเป็นห้องไว้ทำการบ้านหรือห้องอ่านหนังสือของเด็ก ๆเวลามีการบ้านกัวเหม่ยอิงก็จะสอนให้ทำก่อนที่จะไปเล่น เพราะตอนนี้เด็กทั้งสี่มาอยู่ด้วยกันจึงต้องจัดเวลาให้ดี เลิกเรียนกลับมาถึงบ้านให้ทำการบ้านให้เสร็จ หลังจากนั้นจะทำอะไรก็ไม่มีใครว่า ถ้าให้ทำตอนเย็นก็ยุ่งทำกับข้าว ไม่ต้องพูดถึงเวลาอื่