แชร์

บทที่8 สัญญาการกู้ยืม

last update ปรับปรุงล่าสุด: 2024-12-16 15:43:27

กัวเหม่ยอิงเดินนำสะใภ้รองกับน้องชายคนเล็กของสามีไปยังบ้านเลขาธิการขอฃหมู่บ้าน ที่เธอพูดกับบ้านใหญ่ไปเธอไม่ได้แค่ขู่ เธอพูดจริงแล้วก็ทำจริง และระหว่างนั้นเธอก็แวะไปเอาเอกสารทั้งหมดที่มีไปด้วย

โชคดีที่เลขาธิการหมู่บ้านทำธุระเสร็จแล้วก็เลยกลับมาดูแลหมู่บ้าน พรุ่งนี้ทุกคนก็จะต้องลงแปลงนาอีกครั้งเนื่องจากหยุดมาสามวันทุกอย่างก็เลยยุ่ง ๆ

“เลขาธิการคะ”

บริเวณที่กัวเหม่ยอิงมาเป็นกองผลิตของหมู่บ้าน จึงไม่แปลกหากบริเวณนี้จะเต็มไปด้วยผู้คนที่มาเฝ้าอาหาร ยุคนี้เป็นยุคข้าวยากหมากแพง คนในหมู่บ้านที่ไม่มีเงินซื้อหรืออดอยากต่างก็ดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด

บางครั้งพวกเขาก็จะหาทางขโมยอาหารของหน่วยผลิตแต่ละตำบลและหมู่บ้าน

หน่วยผลิตจะแยกออกเป็นหมู่บ้าน หมู่บ้านไหนมีคนเยอะก็แยกเป็น 1 หน่วย แต่ถ้าหมู่บ้านที่มีน้อยก็จะถูกจัดคู่กับหมู่บ้านข้างเคียงให้เป็น 1 หน่วย และหมู่บ้านของพวกเธอนั้นเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่จึงไม่ต้องรวมกับคนอื่น ๆ แต่เมื่อเก็บผลผลิตเสร็จธัญพืชบางส่วนก็จะถูกส่งเข้ากองกลางของตำบล และเข้าเมืองต่อไป

หากฤดูไหนได้ผลผลิตน้อยคนในหมู่บ้านต่างได้รับคงามเดือดร้อนกันทั่ว ลำพังผลผลิตน้อยมากแล้วยังต้องส่งเข้ากองกลางอีก

“อ้าว ว่ายังไงล่ะสะใภ้ใหญ่บ้านหาน พวกเธอพากันมาทำอะไรที่นี่” เลขาธิการของหมู่บ้านทัก

เลขาธิการของหมู่บ้านนั้นเป็นผู้ชายวัยกลางคนแล้ว อีกทั้งยังเป็นสหายของพ่อสามีอีก

เพราะแบบนี้แล้วกัวเหม่ยอิงจึงไว้ใจเขาเรื่องสัญญาที่มีชื่อลงนามเป็นพยาน

คนในหมู่บ้านที่อยู่รอบข้างต่างเดินเข้ามามุงอย่างอยากรู้อยากเห็น หากเป็นวันปกติพวกเขาคงจะมาออกันแบบนี้ไม่ได้หรอก แต่วันนี้เป็นวันหยุดเลขาธิการหมู่บ้านจึงไม่สามารถห้ามใครได้

“ฉันมาคุยเรื่องสัญญาแยกบ้านของบ้านสามกับบ้านใหญ่ค่ะ” กัวเหม่ยอิงปรายตามองน้องชายสามีเล็กน้อยแล้วหันกับมาคุยกับผู้อวุโสในหมู่บ้าน

“หื้ม พวกเจ้ามีเรื่องกันรึ!” 

แม้ตัวเขาจะเป็นสหายของพ่อสามีหล่อนแต่เขาก็เป็นเลขาธิการของหมู่บ้าน การจะทำอะไรจึงต้องมองฝั่งตรงข้ามด้วย

“ไหน ๆ เราก็ทำสัญญาตัดขาดกันมาหลายปีแล้ว ปีนี้สามีฉันตาย ลูกสาวก็ยังเล็ก” กัวเหม่ยอิงเกริ่น

ไม่ต้องพูดให้ขยายความเลขาธิการหมู่บ้านจึงสั่งให้คนไปตามบ้านใหญ่สกุลหานมาพบ จากนั้นก็หันไปรับเอกสารจากมือหลานสะใภ้ที่หอบมาด้วย เขาทำการเปิดอ่านสองฉบับก็ทำสีหน้าเรียบตึงแล้วเก็บเอกสารลง

เลขาธิการหมู่บ้านกล่าวเสียงเรียบ“เราจะคุยกันอีกที   

เอกสารพวกนี้เขาเห็นมาหลายครั้งแล้ว ไม่ใช่ว่าสหายเอาออกมาให้ดู แต่เขาก็ยังเป็นคนเซ็นเป็นพยานให้บ้านสามสกุลหานอีกด้วยว่าบ้านใหญ่ยืมเงินไป

เสียงไม่พอใจของป้าสะใภ้ใหญ่ดังขึ้นหลังจากที่คนไปเรียกตัวมา นางกำลังจะกินข้าวแท้ ๆ แต่กลับเจอมารผจญ

“มีอะไร!”

“บ้านสามมาแจ้งว่าบ้านใหญ่สกุลหานยืมเงินไปแล้วไม่คืน” เพื่อต้องการจบทุกอย่างเร็ว ๆ เลขาธิการจึงไม่พูดอ้อมคอม

“เหลวไหล! บ้านใหญ่สกุลหานคือใคร? บ้านสามคือใคร” นางเชิ่ดหน้าขึ้น 

“นั่นสิบ้านใหญ่สกุลหานยืมเงินบ้านสามไปเสวยสุขหลายครั้งแล้ว วันนี้พวกท่านจึงต้องคืนให้กับพวกเรา” กัวเหม่ยอิงฉีกยิ้ม แต่ดวงตาของเธอกลับไม่ยิ้มด้วย

คนรอบข้าวต่างซุบซิบเรื่องที่บ้านใหญ่จับฉวยของบ้านสามไป ไม่คิดว่านอกจากเอาของแล้วยังเอาเงินไปอีก มิน่าบ้านสามจึงไม่ค่อยมีเงิน ทั้ง ๆ ที่ผู้ชายบ้านสามต่างเป็นทหารกัน

“อกตัญญู! อกตัญญู!”

ป้าสะใภ้หันมองซ้ายขวาอย่างตื่นตระหนก ทุกคนรู้ได้อย่างไรว่าบ้านใหญ่มาเอาเงินจากบ้านสาม? ทุกครั้งที่นางไปเอาเงินมาก็ดึกมากแล้ว ทุกบ้านต่างปิดประตูนอน แต่ทำไมอยู่ ๆ ถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาได้

“นี่เป็นเอกสารลายมือทั้ง 92 ฉบับ เป็นเอกสารการกู้ยืมเงินอย่างถูกต้อง”

 เลขาธิการหมู่บ้านเดินไปหยิบซองเอกสารในตู้เอกสารของหมู่บ้านมายื่นให้คนในหมู่บ้านรอบ ๆ ดู

“เอกสาร? เอกสารอะไร!” ป้าสะใภ้ใหญ่ตะลึง แม้นางจะอ่านหนังสือไม่ได้แต่นางก็ไม่ได้ไปปั๊มลายมือมั่ว ๆ ยิ่งเป็นคนบ้านสามแล้ว แม่สามีกับพ่อสามีกำชับนางอย่างดีว่าห้ามทำเอกสารด้วย

ท่าทีลนลานของป้าสะใภ้ใหญ่ทำให้กัวเหม่ยอิงยกยิ้มริมฝีปาก เอกสารพวกนี้เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่ามีการกู้ยืมจริง โดยเฉพาะของลุงใหญ่ที่ยืมพ่อสามีไปแล้วห้าร้อยกว่าหยวน ซึ่งเขายืมทีละน้อยจนสะสมไปเป็นหลายร้อยหยวน และทุกครั้งที่ยืมไป เขาเอาไปดื่มเหล้าหมด แม้แต่ผู้เป็นแม่ก็ไม่รู้ ที่กัวเหม่ยอิงรู้ก็เพราะพ่อสามีเคยเล่าให้ฟัง

“เอกสารนี้มีพยานทุกฉบับและเป็นผู้อวุโสหลายท่านที่ลงชื่อเป็นพยาน แต่บางคนไปประชุมไม่ได้อยู่ที่นี่ แบบนี้บ้านใหญ่หานจะเอายังไง” เลขาธิการหมู่บ้านถามคนเป็นพี่สะใภ้สหายด้วยน้ำเสียงงุนงนเล็กน้อย

เขาต้องยอมรับจริง ๆ ว่าเอกสารที่เขาเป็นพยานนั้นมันไม่ได้ขาวสะอาด แต่เขาไม่รู้ว่าเอกสารอีกหลายฉบับทำไมถึงมีผู้อวุโสของหมู่บ้านเป็นพยานให้ด้วย? หากว่าสหายเขาเป็นคนทำเขาก็ไม่เชื่อเพราะสหายเขารอบครอบตลอด

“มะ…ไม่จริง” ป้าสะใภ้ใหญ่ส่ายหัวรัว ๆ

เลขาธิการไม่มีทางที่จะอ่านตัวหนังสือในเอกสารนั้นผิดแน่ แล้วเรื่องนี้มันเกิดอะไรขึ้น?

“ไปตามคุณย่าหานมา” เลขาธิการมาเอ่ยบอกผู้ช่วยข้างตัว

วันนี้แหละจะเป็นวันที่เขาจะทวงคืนความยุติธรรมให้กับครอบครัวของสหาย เพราะคณะกรรมการของหมู่บ้านไม่ได้มีเพียงเขาคนเดียว และมีหลายคนที่ถือหางบ้านใหญ่สกุลหาน เขาจึงไม่สามารถจะทำอะไรพวกเขาได้ แม้แต่การจะดุก็ต้องมองหน้าผู้อวุโส แต่วันนี้ผู้อวุโสต่างขนกันเข้าเมืองหมด คาดว่าจะกลับมาถึงกลางดึก

กัวเหม่ยอิงกระซิบกระซาบกับสะใภ้รองอย่างเบา ๆ คนในหมู่บ้านที่ยืนอยู่ด้านต่างชะโงกหน้ามาฟังคำที่สองสะใภ้คุยกัน

ดวงตาของสะใภ้รองเบิกโพลงอย่างยินดี วันนี้แหละจะเป็นวันนี้นางต้องได้รับเงินที่ถูกฉกไปของสามีกลับคืน 

ระหว่างที่รอคุณย่าหานเดินทางมาที่กองผลิต เลขาธิการของหมู่บ้านจึงยกกระดาษที่ว่าเป็นสัญญาการกู้ยืมขึ้นมาอ่านให้คนในหมู่บ้านรับฟัง

 ฉบับแรกที่เป็นสัญญาของหลายปีก่อนก็ยังมีอยู่ ในวันนั้นเป็นคุณปู่หานที่มายืมเงินไปให้ลูกชายคนโตเป็นจำนวน 20 หยวน

ฉบับที่เก้าเป็นคุณย่าหานที่ยืมเงินไป 10 หยวน เพื่อลูกชายคนรอง

ฉบับที่ยี่สิบเป็นคุณย่าหานที่มายืมเพราะลุงใหญ่อยากกินเนื้อ

ฉบับที่ยี่สิบสองป็นช่วงที่คุณย่าหานล้มป่วย จึงจำเป็นต้องใช้เงิน พวกเขาจึงมาเอาไปเกือบ 100 หยวน

“เลขาธิการมีอะไรถึงกลับต้องเรียกยายแก่คนนี้มา” นางที่กำลังจะนอนพักต้องรีบเดินเท้ามาที่กองผลิตเพราะเลขาธิการหมู่บ้านเรียก

“เนื่องจากบ้านสามสกุลหานมาแจ้งครับว่าบ้านใหญ่ยืมเงินไปและพวกเขาก็ต้องใช้เงิน” เป็นเลขาธิการตอบ

“ยืมเงิน? ยืมเงินใคร ฉันไม่เคยไปยืมเงินใคร!” คุณย่าหานตอบอย่างมั่นใจโดยที่ไม่หันไปมองลูกสะใภ้ที่กำลังจะร้องไห้

เลขาธิการหมู่บ้านยื่นเอกสารให้คุณย่าหานหนึ่งแผ่นแล้วกล่าว “เอกสารทุกอย่างถูกต้องทุกฉบับ”

คุณย่าหานไม่เข้าใจหนังสือนางจึงได้หันไปมองสะใภ้ที่ทำตัวสงบ

 สลับกับมองครอบครัวของลูกชายคนที่สามอย่างลังเล เกิดอะไรขึ้นกับลูกสะใภ้ของนางที่ทำตัวสงบได้?

“พวกมันทำเอกสารปลอม!” ป้าสะใภ้ใหญ่กัดฟันกระซิบแม่สามี 

“ฉันไม่เคยได้เซ็น!”

“แต่ที่เอกสารมีชื่อคุณแล้ว คุณประทับลายมือแล้วด้วย” เลขาธิการว่า

“ไม่จริง!”

“เรื่องนี้ผมจะทำการตรวจสอบอีกทีหากคณะกรรมการกลับมาแล้ว” เพราะพยานในเอกสารไม่อยู่สักคนทุกคนจึงต้องรอให้พวกเขากลับมาก่อน

คนรอบข้าวต่างซุบซิบเรื่องเอาของในบ้านสามไป ทุกคนต่างไม่มีใครว่าเพราะมันถือว่าเป็นเรื่องกตัญญู แต่เงินเป็นสิ่งที่พวกเขาจะต้องประหยัดที่สุดไม่รู้ว่าบ้านใหญ่มาเอาไปมากแค่ไหนแล้ว

“ส่วนเรื่องแยกบ้าน” กัวเหม่ยอิงเปรยขึ้นมาช้า ๆ

“แล้วมีอะไรทำไมสะใภ้ใหญ่บ้านสามถึงต้องการมาคุยเรื่องการแยกบ้าน บ้านใหญ่กับบ้านสามแยกบ้านไปหลายปีแล้ว” เลขาธิการหมู่บ้านถามพลางไปหาเอกสารการแยกบ้าน เนื่องจากเขาไม่ใช่พยานในการแยกบ้านและไม่ใช่คนเขียนเอกสาร จึงต้องใช้เวลาในการค้นเอกสาร

คุณย่าหานตวัดสายตามองหลานสะใภ้อย่างไม่พอใจ นางไม่คิดว่าหล่อนจะกล้ามาฟ้องเลขาธิการของหมู่บ้าน บ้านสามยอมบ้านใหญ่ของนางมาตลอด ทำไมวันนี้ถึงกล้าแข็งข้อขึ้นมาได้?

“ฉันอยากให้เลขาธิการบอกบ้านใหญ่น่ะค่ะว่าบ้านสามพวกเราแยกบ้านออกจากบ้านใหญ่แล้ว พวกเราไม่เกี่ยวข้องกัน แม้แต่ข่าวลืออะไรที่เกิดขึ้น” กัวเหม่ยอิงตอบ

“เหอะ หล่อนลืมไปหรือยังไงต่อให้แยกบ้านกันแล้วบ้านสามก็ยังใช้สกุลหานอยู่” ป้าสะใภ้ใหญ่พูดขึ้นเมื่อทุกคนไม่ได้สนใจเรื่องกู้เงินแล้ว

กัวเหม่ยอิงยิ้ม “หรือป้าสะใภ้ต้องการให้เราเปลี่ยนสกุลเหรอคะ แต่ฉันคิดว่ามันคงจะไม่ได้เพราะสามีของฉันเป็นคนสกุลหาน” เธอหัวเราะ

“เธอต้องการอะไร” คุณย่าหานถามหลานสะใภ้

“ที่ดินสุดเขตหมู่บ้านใต้เขาเป็นที่ดินของสามีฉันค่ะ พ่อสามียกให้ลูกชายคนโตของเขา แต่คุณย่าไม่ยอมให้เราใช้ที่ดินพื้นนั้น”

ตอนนี้ที่ดินไม่สามารถซื้อขายได้ การที่จะบอกว่าพ่อสามีซื้อที่ดินผืนนั้นมันคงทำให้พวกเธอถูกจับตามอง แต่ที่ดินผืนนั้นมันติดกับบ้านสกุลกัวและพ่อสามียกให้ครอบครัวของเธอแล้ว เธอจึงต้องเรียกสิทธิ์คืนเพราะย่าสามีเอาโฉนดที่ดินไป

“เหลวไหล! ที่ดินผืนนั้นเป็นของอาเซิน” คุณย่าหานว่า

อาเซินหรือหานเซินเป็นหลานชายคนโตของคุณย่าหานจากลูกชายคนโต นางที่รักลูกชายคนนี้มากจึงรักหลานที่เกิดจากลูกชายสุดที่รัก นางได้โฉนดหลังจากลูกชายของนางเสียไปไม่ถึงเดือน และเรื่องนี้มีแต่นางที่รู้เพราะนางต้องการเก็บไว้ให้หลานชาย หากนางบอกคนในบ้านทุกคนจะแย่งกันนางจึงไม่ได้บอก

“คุณย่าลืมไปหรือเปล่าคะว่าก่อนที่จะเป็นของพ่อสามีมันเป็นของใครมาก่อน” ว่าจบกัวเหม่ยอิงก็ยิ้มให้เลขาธิการของหมู่บ้าน

ที่ดินซื้อขายไม่ได้ก็จริงแต่หากจ่ายเงินมากหน่อยก็ไม่มีปัญหา และที่ดินพื้นนี้แต่ก่อนเป็นของคนที่พ่อสามีเคยช่วยชีวิตเอาไว้หลังจากตกน้ำ เขาจึงขอบคุณพ่อสามีมาก และลูกชายของเขาจึงมารับผู้เป็นพ่อไปอยู่ด้วย พ่อสามีจึงขอซื้อที่ดินมา และมีเลขาธิการของหมู่บ้านเป็นพยานในครั้งนั้น

“ของใคร? มันเป็นที่ดินของสหายปู่สามีของเธอยังไงล่ะ เขายกให้กับปู่สามีของเธอก่อนที่จะจากไป” คุณย่าหานตอบ

จริง ๆ หากสหายของปู่สามีไม่มีลูกชายมันคงจะเนียนกว่านี้ และกัวเหม่ยอิงก็คิดว่าย่าสามีคงจะไม่ได้อ่านชื่อเจ้าของโฉนดเพราะอ่านไม่ออก

“คุณย่าตลกเกินไปแล้ว ชื่อเจ้าของโฉนดมันเป็นชื่อของสามีฉัน ไม่ใช่ของพี่ใหญ่หานเซิน” กัวเหม่ยอิงหัวเราะ

“นี่!” คุณย่าหานตกใจ นางไม่คิดว่าชื่อโฉนดจะเป็นของหลานชายจากบ้านสาม นางคิดว่าเป็นชื่อของลูกชายนาง นางคิดว่าหากคนถามก็จะตอบว่าซื้อไว้ให้ลูกชายคนที่สาม แต่เขาตายไปแล้วก็เลยยกให้หลานชายคนโตแทน ไม่คิดว่าจะเป็นชื่อของหลานชาย

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ทะลุมิติไปเป็นแม่ม่ายเลี้ยงครอบครัวสามียุค70   บทที่89 บทส่งท้าย

    “กรี๊ด”“พี่เสี่ยวลู่!”“หลิงเฟยยย”“ช่วยด้วย!”“ฮ่า ฮ่า”กัวเหม่ยอิงส่ายหัวให้กับภาพตรงหน้า ในรอบหลายเดือนที่สาว ๆ ได้กลับมาเจอกันยังทำตัวเป็นเด็กเหมือนเดิมหานหลินเฟยกับหานหลิงเฟยปิดเทอมได้สองสัปดาห์แล้ว แต่ที่เพิ่งมาถึงปักกิ่งก็เพราะทั้งสองกลับไปหาพ่อกับแม่ที่บ้านก่อน ค่อยขึ้นมาหาผู้เป็นป้าที่ปักกิ่งแต่น้องชายคนเล็กไม่ได้มาด้วยกัวเหม่ยอิงที่เห็นว่าเด็ก ๆ ได้กลับมาเจอกันในรอบหลายเดือนจึงชวนพี่น้องบ้านหลี่ บ้านสามของน้องชายสามมากินข้าวมื้อเย็นนอกบ้านนอกบ้านก็คือนอกบ้านจริง ๆ บริเวณหน้าบ้านของกัวเหม่ยอิงนอกจากจอดรถไว้แล้วก็ยังมีที่ให้นั่งได้อีก และแต่ก่อนเด็ก ๆ เรียนอยู่ในปักกิ่งก็จะนั่งกินข้าวด้านนอกกันเพราะคนเยอะ ซึ่งทุกคนก็คุ้นเคยกันดีวันนี้กัวเหม่ยอิงลงมือทำกับข้าวมื้อเย็น ทั้งเคาหยก ไข่ตุ๋น ต้มยำปลา ไก่ทอด สามชั้นทอดเกลือ หมูต้มสาหร่าย และของหวานอีกหลายอย่าง เป็นการลงครัวในรอบเดือนด้วยซ้ำเพราะทุกวันนี้หานเมิ่งลู่ลูกสาวคนเดียวของเธอห้ามไม่ให้กัวเหม่ยอิงทำกับข้าว หรือทำงานบ้านเพราะหล่อนจะทำเอง แต่กว่าจะเลิกงานในแต่ละวันกัวเหม่ยอิงทำงานบ้านรอแล้ว“เล่นกันเป็นเด็ก ๆ เลย” เหอลี่

  • ทะลุมิติไปเป็นแม่ม่ายเลี้ยงครอบครัวสามียุค70   บทที่88 ลูกสาวคนสวย

    ในระแวกตลาดประจำกรุงปักกิ่งใคร ๆ ก็รู้จักบ้านของคุณนายหานที่มีลูกสาวแสนสวยกับหลาน ๆ ที่สวยไม่แพ้กัน ยิ่งปีนี้พากันเรียนจบถึงมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศแล้วต้องบอกว่านอกจากภูมิใจลูกสาวแล้วกัวเหม่ยอิงก็ภูมิใจหลาน ๆ ด้วย เลี้ยงมาตั้งแต่ตีนเท้าฝาหอย ตอนนี้โตพอจะเลี้ยงเธอได้กันหมดแล้ว“คุณนายแม่”“หื้ม”กัวเหม่ยอิงลูบหัวลูกสาวที่พุ่งเข้ามากอด เธอรู้ว่าลูกสาวเครียดเพราะช่วงนี้หล่อนเข้าไปเรียนรู้งานในร้าน แม้จะมีผู้เป็นแม่คอยช่วยเหลือแต่ก็เครียดอยู่ดี เสี่ยวลู่บอกที่ผ่านมาคนเป็นแม่เก่งมาก จากที่มีร้านเล็ก ๆ ตอนนี้ขยายร้านใหญ่มากร้านเสื้อผ้าเมิ่งลู่มีมากถึงสิบสาขา สาขาหลักและสาขาที่สามตั้งอยู่มณฑลบ้านเกิด สาขารอง สาขาสี่ และสาขาห้า กระจายอยู่ในปักกิ่งแต่ก็ไม่ได้ห่างกันมาก เพราะกัวเหม่ยอิงกลัวลูกสาวจะไปมาร้านลำบากสาขาที่หกและสาขาที่เก้าตั้งอยู่ในมหานครฉงชิ่ง สาขาที่เจ็ดและสาขาที่แปดตั้งอยู่ในมหานครเซี่ยงไฮ้ และสาขาที่สิบตั้งอยู่ในมหานครเทียนสินยังไม่รวมกับพ่อค้า แม่ค้า ที่เข้ามาขอซื้อเสื้อไปขายต่ออีก หลัง ๆ มานี้กัวเหม่ยอิงให้สั่งเป็นรอบ ๆ จะได้ตัดแยกกับที่เอามาขายในร้าน“เหนื่อยมากเหรอจ๊ะ

  • ทะลุมิติไปเป็นแม่ม่ายเลี้ยงครอบครัวสามียุค70   บทที่87 ของว่างของเด็ก ๆ

    หลังจากเสร็จงานของย่าหานกัวเหม่ยอิงก็พาสามีกลับปักกิ่งทันที เพราะเป็นห่วงเด็ก ๆ นี่ก็ทิ้งมากันหลายวันแล้วและเป็นไปตามที่สะใภ้รองบอกจริง ๆ แม่หานไม่ยอมไปปักกิ่งด้วย หลานก็เป็นห่วง แต่ห่วงลูกชายคนกลางที่ต้องทำงานอยู่ที่บ้านคนเดียวกัวเหม่ยอิงก็ไม่ได้ว่าอะไรแต่เธอก็ให้สะใภ้รองไปด้วย ให้สะใภ้รองไปช่วยงานสักเดือนสองเดือนก็จะให้กลับมาอยู่ที่บ้านจริง ๆ ก็ไม่ได้ช่วยงานหรอก แค่ช่วยอยู่กับเด็ก ๆ ระหว่างที่กัวเหม่ยอิงกับหานหรงเจ๋อไปทำธุระกันก็พอ ยิ่งช่วงนี้มีการติดประกาศขายที่ดิน ขายบ้าน ขายตึก กัวเหม่ยอิงก็อยากซื้อเก็บไว้ ถ้าไม่ใช้ค่อยขายต่อหรือให้คนอื่นเช่าแทนกัวเหม่ยอิงคิดว่าตัวเองจะทำงานได้อีกไม่เกินสามสิบปี ระหว่างที่สามารถทำงานได้เธอจึงรีบทำ ยิ่งพื้นที่ทำเลทองในอนาคตกัวเหม่ยอิงก็ต้องรีบซื้อเก็บไว้ เพราะบางผืนสามารถขายต่อในอนาคตได้มากกว่าเดิมหลานพันหยวน“พี่จะทำแบบนี้ทุกวันเลยเหรอคะ” สะใภ้รองถามกัวเหม่ยอิงที่ล้างผลไม้อยู่ทั้งสี่คน กัวเหม่ยอิง หานหรงเจ๋อ สะใภ้รอง และน้องชายสามพึ่งมาถึงบ้านเมื่อไม่กี่ชั่วโมงนี้ แต่เด็ก ๆ ไปโรงเรียนกันแล้ว กัวเหม่ยอิงเลยปล่อยให้ไปพักกัน แต่ถ้าถึงเวลาเด็ก

  • ทะลุมิติไปเป็นแม่ม่ายเลี้ยงครอบครัวสามียุค70   บทที่86 ย่าหานถึงแก่กรรม

    กัวเหม่ยอิงมองคนในบ้านใหญ่ที่ร้องห่มร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตาตั้งแต่ที่เธอ หานหรงเจ๋อกลับมาถึงบ้านแล้วแวะมาดูย่าหาน มันคงจะดีกว่านี้ถ้าคนในบ้านใหญ่ร้องไห้มีน้ำตาบ้าง และย่าหานยังไม่ถึงแก่กรรมแต่บ้านใหญ่กลับทำเหมือนย่าหานถึงแก่กรรมแล้ว“ทำไมเขาร้องไห้ไม่มีน้ำตาเลยล่ะคะ” กัวเหม่ยอิงกระซิบถามสามีด้วยความอยากรู้ แต่จริง ๆ ก็คือจะบอกว่าพวกเขาแสดงไม่เนียนกันเลยหานหรงเจ๋อส่ายหน้าเพราะไม่มีคำตอบ แค่ตอนนี้เขาก็เอือมระอาเต็มทนแล้ว มีที่ไหนบ้างที่คนป่วยไม่ไหวแล้วแต่เอาออกมานอนกลางบ้าน ทั้งยังฉุนไปด้วยกลิ่นฉี่และสิ่งปฏิกูลอีก นอกจากกลิ่นแล้วยังไม่ทำความสะอาดอีก“จะ..เจ้าใหญ่ แค่ก ๆ ละ…หลาน มารับ…พี่ ชะ ชาย นะ…น้อง ชาย ไป…ทะ ทำงาน ดะ…ด้วย ใช่…มะ ไหม แค่ก ๆ ”กัวเหม่ยอิงหันขวับทันที แค่ตอนนี้ตัวเองก็ยังเอาชีวิตจะไม่รอดยังจะมาห่วงหลานจากบ้านใหญ่แต่มาทำให้หลานอีกบ้านหนักใจอีก แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไร เดี๋ยวจะกระอักเลือดซะก่อน“บ้านใหญ่บอกย่าป่วยครับ ผมเลยลงมาดู แต่มานานไม่ได้” หานหรงเจ๋อบอกยังดีที่น้องชายสามทำงานในโรงงานของคนรู้จักจึงลางานมาได้ แต่ก็แลกกับการต้องหาคนไปทำงานแทนระหว่างที่ไม่อยู่ ซึ่งโชคดีที

  • ทะลุมิติไปเป็นแม่ม่ายเลี้ยงครอบครัวสามียุค70   บทที่85 นักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น

    ความสำเร็จของลูกสาวถึงแม้จะเป็นเพียงก้าวเล็ก ๆ แต่มันก็ทำให้กัวเหม่ยอิงร้องไห้ออกมาด้วยความตื้นตันใจ แค่ไม่กี่ปีลูกสาวของเธอก็จบในระดับชั้นประถมแล้ว และตอนนี้ยังเข้าเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นกัวเหม่ยอิงรู้สึกว่าวันนี้มันเร็วมาก เหมือนเมื่อวานเด็กคนนี้ยังร้องไห้ข้าง ๆ เธออยู่ แต่จริง ๆ มันผ่านไปเป็นสิบ ๆ ปีแล้วปีนี้เสี่ยวลู่อายุสิบสามแล้วแต่เสี่ยวหนิงยังสิบสองย่างสิบสามอยู่ และเด็กแฝดตอนนี้ก็สิบขวบกันแล้ว ส่วนหลานชายคนเล็กก็เพิ่งจะเจ็ดขวบและกัวเหม่ยอิงก็ให้สามีไปรับเขามาเรียนในปักกิ่งแล้วด้วยหลี่เวยเวยกับหลี่หม่าฮัวเรียนจบโรงเรียนภาคค่ำสาขาบัญชีเมื่อสามปีก่อน ทั้งสองมีงานที่มั่นคงแล้วนั้นก็คืองานในร้านเลยขอออกไปใช้ชีวิตข้างนอกกันสองคน ซึ่งกัวเหม่ยอิงก็อนุญาต ที่บ้านเลยมีแค่กัวเหม่ยอิง หานหรงเจ๋อ เสี่ยวหนิง หานหลินเฟย หานหลิงเฟยและหานหลงเฟย แต่พอมีหลานชายคนเล็กมา กัวเหม่ยอิงก็ให้หลี่เวยเวยกลับมาช่วยในบ้าน บางวันก็ให้น้องชายสามมารับเด็ก ๆ ไปนอนด้วยน้องชายสามเรียนจบเศรษฐศาสตร์สาขาวิชาการเงิน ตอนนี้ทำงานในโรงงานขนาดใหญ่ เงินเดือนยังไม่มั่นคงเพราะเพิ่งเริ่มทำงาน แต่ก็มีเงินที่สามารถเลี้ยงครอ

  • ทะลุมิติไปเป็นแม่ม่ายเลี้ยงครอบครัวสามียุค70   บทที่84 หลี่เวยเวยอยากทำงาน

    การปรับตัวช่วงแรกของเด็กแฝดเป็นการปรับตัวที่ต้องให้เสี่ยวลู่กับเสี่ยวหนิงต้องไปปรับพื้นฐานก่อนเข้าเรียนด้วย เนื่องจากเด็กแฝดไม่ได้เรียนแบบจริงจังและยังไม่เคยเรียนโรงเรียนประถมส่วนสองพี่น้องบ้านลู่ก็ไม่ยากอย่างที่คิด เพราะทั้งสองมีพื้นฐานที่กัวเหม่ยอิงสอนก่อนเปิดเรียนภาคค่ำแล้ว ยิ่งในแต่ละวันสอนแค่หนึ่งถึงสองชั่วโมง ทั้งหลี่เวยเวยกับหลี่หม่าฮัวก็มีเวลาทบทวนการเรียนมากขึ้นห้องนอนห้องแรกเป็นห้องนอนของกัวเหม่ยอิงกับสามี ห้องนอนห้องที่สองเป็นห้องของลูกสาวกับเสี่ยวหนิงเวลาหล่อนจะมานอนที่บ้านห้องนอนห้องที่สามเป็นห้องของหลินเฟย หลิงเฟย ห้องนอนห้องที่สี่เป็นห้องของหลี่เวยเวย ห้องนอนที่ห้าจะเป็นห้องนอนของหลี่หม่าฮัวและสุดท้ายห้องนอนที่หกกัวเหม่ยอิงสั่งให้หานหรงเจ๋อเอาโต๊ะเข้ามาตั้ง และเอาเตียงนอนชิดผนัง ห้องนี้จะเป็นห้องไว้ทำการบ้านหรือห้องอ่านหนังสือของเด็ก ๆเวลามีการบ้านกัวเหม่ยอิงก็จะสอนให้ทำก่อนที่จะไปเล่น เพราะตอนนี้เด็กทั้งสี่มาอยู่ด้วยกันจึงต้องจัดเวลาให้ดี เลิกเรียนกลับมาถึงบ้านให้ทำการบ้านให้เสร็จ หลังจากนั้นจะทำอะไรก็ไม่มีใครว่า ถ้าให้ทำตอนเย็นก็ยุ่งทำกับข้าว ไม่ต้องพูดถึงเวลาอื่

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status