เมิ่งเจียวซินพยายามรื้อความทรงจำ ก่อนจะหยุดฝีเท้าแล้วเงยหน้าขึ้นมาสนทนากับบุรุษและสตรีที่เดินตรงเข้ามาหานาง “ใช่เจ้าค่ะ” “ข้ามีนามว่าหมิงลู่ ส่วนนี่น้องสาวของข้ามีนามว่าหมิงจิวขอรับพวกข้าสองคนอยู่เรือนถัดจากเรือนของคุณหนูเมิ่งไปสองเรือน แล้วข้าก็เคยนำสมุนไพรไปขายให้กับท่านหมอเมิ่งที่เรือน คุณหนู...” “ข้าจำพวกท่านได้เจ้าค่ะ” เมิ่งเจียวซินตอบพร้อมกับยิ้มให้กับคนทั้งสองตรงหน้า “ข้าขออภัยนะขอรับ คุณหนูเมิ่งกำลังจะไปที่ใดหรือขอรับ?” “ข้ากำลังจะไปเก็บสมุนไพรที่ป่าท้ายหมู่บ้านเจ้าค่ะ” “เช่นนั้นคุณหนูเมิ่งรอข้าสักครู่ได้หรือไม่ขอรับ? คือข้า... เออ...คือพวกข้าว่าจะกลับเข้าไปล่ากระต่ายมาทำสำรับเย็นอยู่พอดีเลยขอรับ” เมิ่งเจียวซินเมื่อได้ยินที่บุรุษตรงหน้าพูด แล้วได้เห็นสีหน้าและท่าทางของอีกฝ่าย ดูเหมือนว่าบิดาของร่างนี้คงฝากให้หมิงลู่มาคอยช่วยดูแลความปลอดภัยให้กับนางเป็นแน่ เนื่องจากในความทรงจำที่ได้รับมา บิดาของร่างนี้เคยเอ่ยปากบอกกับเมิ่งเจียวซินคนเก่าเอาไว้ว่า หากในช่วงที่เจ้าตัวไม่อยู่แล้วมีอะไรเกิดขึ้น หรือหากต้องการความช่วยเหลือก็ให้ไปบอกกับบุรุษตรงห
เมื่อกลับเข้ามาในเรือนของตัวเอง เมิ่งเจียวซินก็นำสมุนไพรที่เก็บมาได้ไปทำความสะอาด ก่อนจะนำออกไปตาก จากนั้นนางจึงเดินเข้าไปจัดเตรียมสมุนไพรส่วนที่เหลือพร้อมกับอุปกรณ์สำหรับการปรุงยาสูตรแรกเอาไว้ หากเย็นนี้นางได้รับสมุนไพรอีกสองตัวมาจากหมิงลู่ พรุ่งนี้เช้านางก็จะสามารถเริ่มปรุงยาสูตรแรกได้เลย โดยยาตัวแรกที่นางคิดจะปรุงก็คือ ยาเม็ดที่พระเอกของนิยายเรื่องนี้ต้องกินทุกวัน เพื่อลดอาการเจ็บปวดจากยาพิษร้ายแรงในร่างกาย ซึ่งแน่นอนว่ายาที่นางปรุงย่อมต้องได้ผลดีกว่ายาที่หลี่อวิ้นกุยมีอยู่ แม้เนื้อหาในนิยายจะไม่ได้บอกว่า หลี่อวิ้นกุยถูกวางยาพิษชนิดไหน แต่ด้วยบทบรรยายที่เจ้าตัวได้กล่าวเย้ยหยันกับโชคชะตาชีวิตของตัวเองที่ว่า ‘เมื่อถึงเวลาที่พิษในร่างกายของข้าสำแดงอาการ แม้ข้าจะได้กินยา...แต่มันก็ทำได้เพียงแค่ช่วยลดความเหน็บหนาวที่ข้าจะต้องเผชิญในทุกค่ำคืนลงเท่านั้น เพราะตัวข้าไม่อาจเดินลมปราณหรือใช้พลังได้ดั่งใจต้องการอยู่ดี’ หากนำเอาประโยคนี้ไปรวมเข้ากับบทบรรยายที่ว่า ‘หลี่อวิ้นกุยไม่อาจถอนพิษออกจากร่างกายได้ทันการ’ เมิ่งเจียวซินก็มั่นใจไปถึงแปดในสิบส่วนเลยว่า หลี่อวิ้นกุยถูกวางยาพิษ
‘ที่นี่ที่ไหน?’หลี่อวิ้นกุยลืมตาขึ้นมาก็พบตนเองกำลังนอนอยู่ในห้องไม้ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ห้องหนึ่ง เขาจึงคิดที่จะลุก แต่เขาก็ไม่อาจจะขยับแขนและขาของตัวเองได้ หรือแม้แต่ปากของเขายามนี้ก็ยังถูกมัดเอาไว้ด้วยผ้า ‘นี่มัน...หรือว่าข้าจะถูกคนของหลี่อวิ้นมู่จับตัวเอาไว้ได้ ไม่สิ! หากเป็นคนขององค์ชายใหญ่ยามนี้ข้าน่าจะถูกสังหารไปแล้ว เช่นนั้นข้าถูกคนของผู้ใดจับตัวเอามาขังไว้ในสภาพนี้กัน!’ หลี่อวิ้นกุยยามนี้แม้แต่กำลังที่จะใช้รวบรวมลมปราณก็ยังไม่มีเหลือ นับประสาอะไรกับการหลบหนีออกจากที่นี่ หากเป็นตัวเขายามปกติ มีหรือที่เชือกเพียงไม่กี่เส้นนี้จะผูกมัดแขนและขาของเขาเอาไว้ได้ แต่จะผลักเอาความอัปยศที่เขาได้รับมาทั้งหมดในตอนนี้ไปให้กับศัตรูก็คงจะไม่ได้ เพราะส่วนหนึ่งมันก็เกิดมาจากความประมาท และความโง่เขลาของตัวเขาเองด้วย.... เมื่อห้าวันก่อน หลี่อวิ้นกุยได้รับคำสั่งจากราชาปีศาจให้ออกเดินทางไปตรวจสอบความผิดปกติตามแนวเขตแดน โดยมีองค์หญิงห้าหลี่อวิ้นเหมยกับมารดาของนางเซียวชิงเถาหรือท่านน้าของเขา ขอเข้าร่วมเดินทางมากับเขาในครั้งนี้ด้วย โดยในยามนี้ท่านน้าเซียวชิงเถาได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็
‘เจ้าลูกกระรอก...’หลี่อวิ้นกุยทวนสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ในใจ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่า ตนเองใช้วิชาร่างแปลงเพื่อซ่อนตัว ซึ่งร่างที่เขาเลือกใช้ก็คือ...กระรอก! หลี่อวิ้นกุยนึกไปถึงวันที่จิ่นโซวสอนวิชาร่างแปลงให้กับเขา... ยามนั้นหลี่อวิ้นกุยในวัยเจ็ดหนาวเพิ่งก้าวเท้าเข้าไปอยู่ในวังราชาปีศาจได้ไม่ถึงเดือน จึงเป็นช่วงที่เขาทั้งอ่อนแอ ไร้กำลัง แล้วยังไร้ซึ่งผู้เป็นมารดาที่คอยปกป้องดูแลเหมือนกับบุตรคนอื่น ๆ ของราชาปีศาจ ถึงแม้ในตอนนั้นเขาจะมีผู้เป็นน้าเดินทางมาพร้อมกับเขาด้วย แต่อีกฝ่ายก็ตามมาเพียงเพราะต้องการที่จะปีนเตียงของราชาปีศาจเท่านั้น แต่ก็ยังดีที่ผู้เป็นบิดาได้ส่งลูกน้องฝีมือดีจำนวนหนึ่งมาเป็นองครักษ์ให้กับหลี่อวิ้นกุย เพราะถึงแม้ว่าบิดาของเขา ซึ่งมีตำแหน่งเป็นถึงราชาปีศาจได้ประกาศยอมรับว่า เขาคือบุตรชายของเจ้าตัว พร้อมกับแต่งตั้งให้หลี่อวิ้นกุยขึ้นเป็นพระโอรสองค์ที่สามต่อหน้าทุกคนในท้องพระโรง แต่คนอื่น ๆ ในเผ่ามารและเผ่าปีศาจก็หาได้ยอมรับในตัวหลี่อวิ้นกุยด้วยไม่ หลังจากวันที่หลี่อวิ้นกุยได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นองค์ชายสาม เขาก็เริ่มเผชิญหน้ากับการถูกลอบฆ่า ทั้งจ
เมิ่งเจียวซินหลังจากจัดการกับบาดแผลเสร็จ นางจึงแกะเศษผ้าที่มัดปากเจ้าลูกกระรอกออก จากนั้นนางจึงใช้มือข้างซ้ายของนางอ้อมเข้าไปประคองระหว่างช่วงคอและศีรษะของเจ้าตัวเล็ก ก่อนจะยกขึ้นมาเล็กน้อย หลังจากนั้นเมิ่งเจียวซินจึงเริ่มใช้งานนิ้วมือข้างซ้ายของนางต่อ โดยเริ่มจากการวางนิ้วนางกับนิ้วก้อยลงตรงช่วงคอด้านหน้าเพื่อช่วยในการประคอง จากนั้นนางจึงวางนิ้วโป้งลงตรงตำแหน่งกรามด้านซ้าย แล้วตามด้วยนิ้วชี้กับนิ้วกลางวางตรงตำแหน่งกรามด้านขวา ก่อนจะออกแรงบีบนิ้วทั้งสามที่วางตรงตำแหน่งกรามทั้งสองข้างเบา ๆ ซึ่งในขณะนั้นมือข้างขวาของเมิ่งเจียวซินก็ได้ยกช้อนใบเล็กเตรียมจ่อเข้าที่ปากของลูกกระรอกแล้ว พอปากเล็ก ๆ นั้นอ้าออก นางก็จัดการป้อนข้าวต้มผสมเหอเถา (วอลนัต) ที่บดจนละเอียดใส่ปากของเจ้าตัวเล็กทันที ‘เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่า...สายตาของลูกกระรอกน้อยตัวนี้ มันช่างดูดุร้ายนักนะ’ เมิ่งเจียวซินคิดในใจ หลังจากสังเกตเห็นสายตาที่ลูกกระรอกใช้มองมาที่นาง แต่พอนางมาลองคิดดูอีกที เจ้าลูกกระรอกตัวนี้เป็นกระรอกป่าอย่างแท้จริง หาใช่กระรอกตามร้านขายสัตว์เลี้ยงที่นางเคยเห็นมา ดังนั้นการที่อยู่ ๆ มัน
“เจ้าลูกกระรอก เจ้าฟังอาการที่ข้าจะพูดต่อจากนี้ให้ดีนะ หากอาการไหนตรงกับที่เจ้ากำลังเผชิญอยู่ก็ให้เจ้าหลับตาตอบกลับมาหนึ่งครั้ง แต่ถ้าหากอาการไหนไม่ตรงกับที่เจ้ากำลังเผชิญอยู่ก็ให้เจ้าหลับตาตอบกลับข้ามาสองครั้ง” พูดจบ เมิ่งเจียวซินก็เริ่มกล่าวคำถามออกไปทีละข้อพร้อมกับหยุด เพื่อมองคำตอบจากดวงตากลมโตของลูกกระรอกไปด้วย “ยามที่ยาพิษเริ่มสำแดงอาการ เจ้าจะรู้สึกหนาวเย็นราวกับว่ากำลังถูกจับแช่ลงไปในน้ำที่เย็นจัดเลยใช่หรือไม่? ... จากนั้นเจ้าก็จะเริ่มขยับร่างกายของตนเองไม่ได้ ราวกับว่าเนื้อตัวของเจ้ามันกำลังแข็งค้างเลยใช่หรือไม่? ... แล้วยามนี้เจ้าไม่อาจเดินลมปราณหรือใช้พลังได้ดั่งใจต้องการใช่หรือไม่? ...” เมื่อได้รับคำตอบจากเจ้าตัวเล็ก เมิ่งเจียวซินก็มั่นใจไปถึงแปดในสิบส่วนเลยว่า ยาพิษในร่างกายของลูกกระรอกคือ ยาพิษค่ำคืนเหมันต์ ซึ่งก็เป็นยาพิษตัวเดียวกับที่พระเอกของนิยายเรื่องนี้น่าจะกำลังเผชิญกับมันอยู่เช่นกัน ยามนี้เมิ่งเจียวซินจึงรู้สึกเป็นกังวลอยู่ไม่น้อยเลย เพราะยาพิษชนิดนี้มันส่งผลต่อร่างกายค่อนข้างมาก ขนาดพระเอกของนิยายเรื่องนี้อย่างหลี่อวิ้นกุยยังรักษามันออกไปได้ไ
เมิ่งเจียวซินมองลูกกระรอกที่กลับลงไปซบใบหน้ากับบ่าของนาง เจ้าตัวเล็กทำให้นางนึกไปถึงเรื่องตัวตนของพวกปีศาจในนิยายเรื่องนี้ขึ้นมาได้... พวกปีศาจหากถือกำเนิดมาจากการบำเพ็ญเพียร ก็จะมีทั้งพวกที่สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้แบบสมบูรณ์ กับพวกที่กลายร่างเป็นมนุษย์ได้แบบยังไม่สมบูรณ์ ซึ่งมันขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการบำเพ็ญเพียรของปีศาจตนนั้น ๆ แต่หากปีศาจตนใดถือกำเนิดมาจากบิดามารดาที่เป็นปีศาจอยู่แล้ว ก็จะสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์แบบสมบูรณ์ได้เลยตั้งแต่ในวัยหนึ่งหนาว แล้วปีศาจกระรอกที่แนบชิดอยู่กับบ่าของนางในยามนี้ล่ะ ถือกำเนิดมาแบบไหน? มีอายุเท่าใด? แล้วเจ้าตัวสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้หรือไม่? เมิ่งเจียวซินคิดไปถึงซีรีส์จีนที่นางเคยดูมา... พวกปีศาจยามกลายร่างเป็นมนุษย์ส่วนใหญ่ก็มักจะปรากฏกายในรูปร่างของบุรุษหนุ่มหรือไม่ก็สตรีที่พร้อมจะออกเรือนได้แล้ว แต่พอกลับไปอยู่ในร่างตั้งต้นของตัวเอง ปีศาจบางตนก็เป็นเพียงแค่ลูกสัตว์ตัวเล็ก ๆ เท่านั้น แล้วในซีรีส์บางเรื่องพวกปีศาจถึงกับสามารถทั้งเพิ่มทั้งลดขนาดตัวหรือแม้แต่อายุของร่างตั้งต้นได้อีกด้วย ส่วนเรื่องของอายุที่แท
เมิ่งเจียวซินหลังจากกล่อมให้ลูกกระรอกหลับลงไปอีกครั้งได้แล้ว นางก็ขยับเอาเจ้าตัวเล็กลงไปนอนบนเตียงในจุดที่นางเพิ่งจะเอาตัวเองลุกออกมา เพราะที่ตรงนั้นยังคงมีไออุ่นจากร่างกายของนางอยู่ จากนั้นนางจึงลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปจากห้องพัก เพื่อไปบอกให้ซุนเย่ผิงต้มข้าวผสมเหอเถาหนึ่งหม้อเล็ก และทำอาหารอ่อน ๆ อีกหนึ่งอย่างใส่เพิ่มลงในสำรับทุกมื้อหลังจากนี้ให้นางด้วย โดยหลังจากที่เมิ่งเจียวซินสั่งงานจบ นางก็เห็นสีหน้าที่แสดงออกให้รู้ว่า ซุนเย่ผิงกำลังรู้สึกสงสัย ซึ่งนางก็ได้เตรียมคำตอบเอาไว้แล้ว แต่ซุนเย่ผิงไม่ได้ถามอะไรออกมา อีกฝ่ายทำเพียงพยักหน้าตอบรับคำสั่งของนางเท่านั้น เมิ่งเจียวซินจึงหันหลังแล้วเดินกลับเข้าห้องพัก เพื่อไปจัดการดูแลตัวเองหลังฉากกั้นทันที หลังจากจัดการดูแลตัวเองเสร็จ เมิ่งเจียวซินก็คิดจะเข้าไปดูลูกกระรอกบนเตียง แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้เดินเข้าไป เจ้าตัวเล็กก็ลุกขึ้นยืนหันข้างแล้วมองมาที่นางเสียก่อน เมื่อเห็นเช่นนั้นนางจึงเดินลงไปนั่งที่เตียงแล้วยื่นมือเข้าไปลูบหัวอีกฝ่ายทันที แต่ก็ลูบได้เพียงแค่สองครั้ง เพราะเจ้าลูกกระรอกรีบขยับเอาหัวเล็ก ๆ นั้นหนีออกไปจากมือของน
เมิ่งเจียวซินนั่งเม้มปากแน่น มองแววตาระยิบระยับของบุรุษตรงหน้า จากนั้นนางก็ก้มหน้าลง แต่พอเห็นสิ่งที่หลี่อวิ้นกุยหยิบมาวางลงบนเตียงของนางเป็นครั้งที่สอง “เรื่องอื่นประเดี๋ยวพวกเราค่อยพูดคุยกันต่อ แต่ตอนนี้บอกข้ามาก่อนว่า เจ้าเอาของพวกนี้มาทำอะไร?” หลี่อวิ้นกุยมองตามสายตาของอีกฝ่าย แล้วขยับนั่งตัวตรง ก่อนจะกล่าวอย่างสุภาพ “ข้าเอามาให้เจ้าใช้ป้องกันตัวจากข้า ซินซิน ในเมื่อข้าสัญญากับเจ้าไว้แล้วว่า จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบในคืนนั้นขึ้นมาอีก ถึงแม้ข้าจะมั่นใจว่า สามารถควบคุมตัวเองได้อย่างแน่นอน แต่เพื่อความไม่ประมาท...” หลี่อวิ้นกุยเอื้อมไปหยิบของทุกอย่างที่เตรียมมา วางลงตรงกลางระหว่างเขากับเมิ่งเจียวซิน แล้วกล่าวต่อว่า “ซินซิน เจ้าใส่กุญแจมือข้าเอาไว้เถิด เชือกปานม้วนนี้ข้าก็ตั้งใจนำมาให้เจ้าใช้มัดแขนมัดขาของข้าติดเตียงเอาไว้ ส่ว
เมิ่งเจียวซินนึกอยากจะวิ่งออกไปจากตรงนี้ แต่เพราะนี่คือ ห้องพักของนาง จึงได้พยายามรวบรวมสติของตัวเองกลับมา แล้วเอ่ยถามออกไปว่า “พร้อมแล้ว? เจ้าพร้อมเรื่องอะไร?” “ก็เรื่องให้เจ้าศึกษาร่างกายของข้า ตอนนี้ข้าพร้อมแล้ว” พูดจบ หลี่อวิ้นกุยก็ก้มลงไปกระตุกปมผ้าคาดเอวของตัวเองทันที “กุยกุย นั่นเจ้าจะทำอะไร?” “ข้าก็จะเปลื้องผ้า แล้วขึ้นไปนอนรอเจ้าบนเตียงอย่างไรล่ะ” คำพูดของบุรุษตรงหน้าทำเอาเมิ่งเจียวซินอ้าปากค้าง หลี่อวิ้นกุยจงใจค่อย ๆ ถอดเสื้อคลุมออก เพราะเขาเริ่มรู้สึกสนุกกับสีหน้าแบบนั้นของอีกฝ่าย ทันทีที่เสื้อคลุมตัวนอกหลุดออกจากตัว เขาก็เตรียมจะถอดเสื้อตัวใน... แต่ทว่าหลี่อวิ้นกุยห
หลี่อวิ้นกุยเงยหน้า แล้วหันมองออกไปนอกหน้าต่าง เพื่อพักสายตาจากการนั่งอ่านรายงานมาครึ่งค่อนวัน จากนั้นเขาก็นึกไปถึงเรื่องของพระสนมเซียวกับหลี่อวิ้นเหมย... เมื่อเช้าหลังจากหลี่อวิ้นกุยกลับเข้ามาในห้องตำรา เขาก็รีบส่งองครักษ์เงาไปติดตามดูทุกความเคลื่อนไหวของหลี่อวิ้นเหมย รวมไปถึงทุกคนที่อยู่ในตำหนักของเด็กหญิงด้วย ในอดีตที่ผ่านมา อาจจะด้วยเพราะหลี่อวิ้นกุยมองว่า พระสนมเซียวกับหลี่อวิ้นเหมยมีสายเลือดฝั่งมารดาของเขาด้วย เขาจึงพยายามอดทน และไว้หน้า ยามที่คนทั้งคู่พยายามเข้าหา เพราะต้องการผลประโยชน์จากเขา แต่หลังจากที่คนทั้งคู่มีส่วนร่วมในการลอบวางยาพิษ และลอบทำร้ายหลี่อวิ้นกุยครั้งล่าสุด เขาก็ไม่คิดจะไว้หน้า หรืออดทนต่อการกระทำของคนทั้งคู่อีก หากไม่เพราะคำพูด และคำขอของเมิ่งเจียวซิน ไม่แน่ยามนี้แม้แต่ลมหายใจ...พระสนมเซียวกับหลี่อวิ้นเหมยก็อาจจะไม่มีเหลือแล้วกระมัง
พอเดินเข้าไปในห้องโถง เมิ่งเจียวซินก็เห็นเด็กหญิงหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูคนหนึ่งหันมาส่งยิ้ม แล้วเดินตรงเข้ามาหาพวกนาง “อวิ้นเหมยน้อมทักพี่สาม” หลี่อวิ้นเหมยพูดพร้อมกับทำความเคารพหลี่อวิ้นกุย “ถวายพระพรองค์หญิงห้า หม่อมฉันเมิ่งเจียวซินเพคะ” เมิ่งเจียวซินทำความเคารพเด็กหญิงตรงหน้า “คุณหนูเมิ่งไม่ต้องมากพิธีกับ...” หลี่อวิ้นเหมยหยุดพูดกลางคัน เพราะในขณะที่เด็กหญิงเดินเข้าไปหมายจะจับมือเมิ่งเจียวซิน หลี่อวิ้นกุยที่ยืนอยู่ข้างกายสตรีตรงหน้า ก็เอื้อมมาจับไหล่แล้วดึงฝ่ายตรงข้ามให้ถอยห่าง “คุณหนูเมิ่งเป็นเหมือนกับข้า ที่ไม่ค่อยชินกับการให้ผู้ใดมาแตะเนื้อต้องตัว” “ข้า...เป็นข้าที่คิดน้อยเกินไป ขอพี่สามกับคุณหนูเมิ่งได้โปรดอย่าถือสา” &n
ผ่านไปเกือบสองเค่อที่ภายในห้องพักปกคลุมไปด้วยความเงียบ มีเพียงเสียงขีดเขียนพู่กัน กับเสียงลมหายใจของสองคนที่อยู่ในนั้น แล้วในขณะที่ความรู้สึกประดักประเดิดเกิดขึ้นกับคนทั้งสองในห้อง เสียงของฝูกงกงก็ดังแว่วเข้ามาว่า “องค์ชายสามพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงห้าหลี่อวิ้นเหมยมาขอเข้าพบพระองค์ และขอเข้าเยี่ยมว่าที่พระชายา ยามนี้องค์หญิงห้านั่งรออยู่ที่ห้องโถงพ่ะย่ะค่ะ” “ไปบอกองค์หญิงห้า วันนี้ข้ากับว่าที่พระชายาไม่สะดวก...” ตอบมาถึงตรงนี้ หลี่อวิ้นกุยก็หยุด แล้วหันไปมองรอยแดงบนต้นคอของเมิ่งเจียวซิน ยามนี้ร่องรอยจากฝีมือของเขาได้จางหายไปเกือบหมดแล้ว หลี่อวิ้นกุยจึงเอ่ยถามเมิ่งเจียวซินว่า “ซินซิน พรุ่งนี้เจ้าสะดวกใจให้น้องห้าเข้าพบหรือไม่?” “สะดวก”
เมิ่งเจียวซินเงยหน้าขึ้นมามองหลี่อวิ้นกุย นางยังไม่ทันจะได้พูดอะไร ไม่ทันได้ตอบรับ หรือปฏิเสธ อีกฝ่ายก็กล่าวขึ้นมาต่อว่า “เรื่องยาบรรเทาอาการจากยาพิษค่ำคืนเหมันต์ ก็อย่างที่ข้าเคยรายงานผลให้เจ้าฟังว่า ยาของเจ้าบรรเทาอาการจากยาพิษได้ดีมาก ซึ่งตอนนี้ยาที่เจ้าให้ข้านำมาทดลองได้หมดจากร้านขายยา ที่ข้าให้คนนำไปปล่อยได้สักพักแล้ว ยามนี้เหล่าผู้ที่มียาพิษค่ำคืนเหมันต์อยู่ในกาย ก็เริ่มส่งคนไปตะเวนหาซื้อยา บางคนถึงขั้นจ้างคนไปตะเวนหาผู้ที่ปรุงยาตัวนี้ขึ้นมาแล้วด้วย ซินซิน ข้าจึงอยากถามเจ้าว่า หากข้าจะขอสูตรยาตัวนี้จากเจ้ามาปรุงขาย เจ้าจะสะดวกใจหรือไม่? ที่ข้าถามเช่นนี้ เพราะตอนนี้ข้ามีทั้งสถานที่ ผู้ที่มีความสามารถในการปรุงยา รวมไปถึงแหล่งหาสมุนไพรที่จะใช้ปรุง ซึ่งกำไรได้จากการขายยา ข้าจะยกให้เจ้าทั้งหมด แล้วเจ้าก็ไม่ต้องกลัวว่า ส
หลังจากนั้นบุรุษไร้ยางอายก็เดินออกไปจากห้องพักของเมิ่งเจียวซิน ผ่านไปไม่ถึงสองเค่อหลี่อวิ้นกุยก็กลับเข้ามาพร้อมกับเหล่าขันที และองครักษ์สตรีทั้งสองของนาง โดยผู้คนเหล่านั้นต่างก็ช่วยกันทยอยขนโต๊ะทำงาน หนังสือ หีบเอกสาร แท่นวางพู่กัน รวมไปถึงอุปกรณ์สำหรับเขียนอื่น ๆ เข้ามาวางในห้องพักของนาง เมิ่งเจียวซินรู้สึกแปลกใจไม่น้อย ที่อันลี่กับอันเหมยยินยอมให้หลี่อวิ้นกุยทำเช่นนี้ได้ แล้วยังช่วยเหล่าขันทีทยอยขนสิ่งของต่าง ๆ โดยไม่แม้แต่จะเอ่ยคัดค้าน หรือพยายามเข้ามาเกลี่ยกล่อมนาง แล้วในระหว่างที่ผู้คนช่วยกันทยอยขนสิ่งของต่าง ๆ เข้ามา เมิ่งเจียวซินก็รับรู้ได้ถึงสายตาของสององครักษ์สตรีที่เหลือบมองมาทางนางอยู่บ่อยครั้ง พอหันกลับไปมอง...แล้วเห็นสีหน้า และท่าทีของคนทั้งสอง นางก็พอจะเดาได้ทันทีว่า คนทั้งคู่ต้องการให้นางทำสิ่งใด แต่เพราะเป็นตัวนางเองที่เอ่ยปากอนุญาต ยามนี้เมิ่งเจียวซินจึงทำได้เพ
รุ่งเช้า เมิ่งเจียวซินลืมตาขึ้นมา บุรุษที่นอนอยู่ข้างกายนางทั้งคืนได้แอบออกจากห้องพักไปแล้ว โดยหลี่อวิ้นกุยได้หยิบเอาชุดที่ขาดวิ่นของนางติดมือออกไปด้วย หลังจากเมิ่งเจียวซินจัดการดูแลตัวเองเสร็จ นางก็เดินมานั่งลงที่หน้ากระจกตรงโต๊ะเครื่องแป้ง จากนั้นนางก็จัดแต่งทรงที่สามารถปล่อยผมลงมาครึ่งศีรษะ แล้วเดินไปรื้อหาอาภรณ์ที่คอตั้ง หรือคอสูงมาสวมใส่ แต่ไม่ว่าจะสวมใส่อาภรณ์ที่คอสูงขนาดไหน อย่างไรมันก็ไม่สามารถปกปิดรอยแดงช้ำ ที่ต้นคอของนางได้หมดทุกรอยอยู่ดี “เห็นทีข้าคงต้องแกล้งป่วยสักสามวัน!” เมิ่งเจียวซินนั่งวางแผนแกล้งป่วยให้กับตัวเอง พอคิดออก...นางก็รีบไปเอากลอนที่ประตูห้องพักลง จากนั้นจึงเดินกลับมาล้มตัวลงนอนบนเตียง พร้อมกับดึงผ้าขึ้นมาห่มจนถึงปลายคาง ตอนนี้เมิ่งเจียวซินรู้สึกว่า โชคดีที่นางขอความเป็นส่วนตัวในห้องพัก
กล่าวมาถึงตรงนี้ หลี่อวิ้นกุยก็หยุด แล้วขยับเข้าไปนั่งพิงหัวเตียง จากนั้นก็ดึงสตรีข้างกายให้ลงมาซบที่แผงอกของตัวเอง ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบเส้นผมนุ่ม พร้อมกับเล่าต่อว่า “ซินซิน การที่ข้าต้องการปลดปีศาจทุกตนในตระกูลเฉินออกจากราชการ ส่วนหนึ่งก็เพราะเรื่องความแค้นส่วนตัว แต่อีกส่วนก็เพราะตระกูลเฉินต่อหน้าทำเป็นสรรเสริญราชาปีศาจ แต่ลับหลังกลับคอยยุแยงปีศาจเผ่าอื่น ๆ ให้กระด้างกระเดื่องต่อการปกครองของคนเผ่ามาร แล้วหลังจากที่ข้าส่งคนไปคอยติดตาม เพื่อหาหลักฐานการกระทำผิดเพิ่มเติม ข้าก็ได้รู้ว่า ปีศาจตระกูลนี้ได้ลักลอบแลกเปลี่ยนอัญมณีต้องห้าม และยังมีความผิดซุกซ่อนอยู่อีกหลายอย่าง แต่...ถึงแม้ยามนี้จะมีหลักฐานเพียงพอให้เอาผิด ทว่าการที่จะปลดขุนนางระดับสูงออกจากตำแหน่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริง ๆ เพราะมันเชื่อมโยงไปถึงขั้วอำนาจแล้วอีกอย่างไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ก็เพิ่งจะมีการแต่งตั้งที่มีผลต่อขั้วอำนาจไปแล้วถึงสองครั้ง