ยังไม่ทันได้ก้าวพ้นร่างสูงใหญ่ที่ยืนก้มหน้านิ่ง ปันก็ตัวลอยหวือ เท้าไม่แตะพื้น ใจหายวาบ สีหน้าลนลาน เลือกตามองหาข้างๆ และเห็น ว่าแท้จริงแล้ว ตัวเองกำลังโดนหิ้วปีก โดยชายแปลกหน้าสองคน
“... อ้าวเฮ้ย! จะทำอะไรผมเนี่ย” ปันถามเสียงหลง และเป็นจังหวะเดียวกัน ที่ตัวเองถูกบังคับให้หันไปอีกทาง ซึ่งไม่ใช่ประตูที่หมายตาไว้ตั้งแต่ต้น
คำถามไร้ซึ่งคำตอบ ปันใจเต้นแรงกว่าเก่า “เฮ้ย! ปล่อยนะ จะทำอะไรผม ปล่อยผมลงเดี๋ยวนี้นะ!”
ปันโวยวายเสียงดังลั่น มองซ้ายมองขวาก็เจอแต่คนตัวโตใบหน้าดุๆ ที่กำลังหิ้วปีกตัวเองอยู่ โดยไม่เกรงสายตาคนรอบข้างที่กำลังมองมาอย่างสนใจ
“พวกคุณเป็นใครเนี่ย”
ปันทั้งอยากรู้ทั้งหวาดกลัวในคราเดียวกัน หากแต่ชายแปลกหน้าร่างสูงใหญ่กับไม่ใส่ใจ
“เอาเข้าไป”
เสียงทุ้มกังวานของอีกคน ที่ยืนห่างออกไปไม่กี่ก้าว เอ่ยคำสั่งแล้วเดินนำหน้าไปก่อน
ปันที่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังเจอกับอะไร หน้าเจื่อน ก่อนจะกลายเป็นสีขาวซีด
“เข้า? เข้าไปไหน เฮ้ย! ปล่อยผมนะ”
ปันส่งเสียงโวยลั่น หากแต่คนพวกนี้ ทำเป็นไม่ได้ยิน
...มันเกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย!!!
ชายฉกรรจ์ทั้งสองหิ้วปีกของปันคนละข้าง แล้วเดินตามหลังชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ แต่งตัวภูมิฐาน ที่ปันมองเห็นเพียงเสี้ยวจมูกที่โด่งเป็นสันและคิ้วหนาดกดำสองมือล้วงกระเป๋าท่าทางน่าเกรงขาม
หรือมาเฟีย! ปันคิด ฉี่ก็จะราดใส่กางเกง เพราะเท่าที่ได้ฟังมา คนพวกนี้ใจคอโหดเหี้ยม
“นิ พวกคุณจะพาผมไปไหนเนี่ย ปล่อยผมนะ...”
ปันโวยวายตะโกนลั่นไม่หยุด แต่คนทั้งสามไม่ได้ใส่ใจ
“ปล่อยผมสิ พวกคุณเป็นใคร มาจับผมแบบนี้ไม่ได้นะ ปล่อยผม...” เสียงทุ้มแหลมแผดก้อง หากแต่คนหิ้วปีกซ้ายขวา กลับไม่มีสีหน้าหรือแสดงความรำคาญออกมาแต่อย่างใด
ทางเดินเงียบไร้ผู้คน ซึ่งเป็นทางเดินใช้เฉพาะส่วนบุคคล คนภายนอกห้ามเข้า ในช่องทางเดินแคบ ก็มีชายอีกสองคนยืนประจำตำแหน่งอยู่ ด้านหลังนั้นก็เป็นประตูทึบ ซึ่งเป็นทางเข้าเชื่อมต่อกัน ทั้งคู่เมื่อเห็นว่ามีใครเดินมา ก็โน้มคำนับ แล้วเปิดประตูให้
ปันเหงื่อผุดพลายเต็มไปหน้า หวาดหวั่นจนมือไม้อ่อน
…แค่ขอเข้าไปในร้าน ถึงกับอุ้มมาฆ่ากันเลยเหรอ! ปันคิดจนรู้สึกแน่นในอก หน้าซีดเหงื่อแตกจนรู้สึกเปียกไปทั้งทั่ว
“ปล่อยผมเถอะ… ผมอยากกลับบ้าน”
ด้วยความหวาดกลัว ปั้นก็ทำได้แค่ขอให้อีกฝ่ายปล่อย แต่เหมือนเสียงของปันไม่ส่งผลให้อีกฝ่ายตอบรับแต่อย่างใด
ความกลัวทำให้ปันออกแรงดิ้นเพื่อเอาตัวรอด หากแต่แขนของคนตัวโตล็อกไว้อย่างดี ทำให้ออกแรงดิ้นเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล จนปันเองที่รู้สึกหมดแรง เมื่อคนพวกนั้นยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ประหนึ่งสิ่งที่หิ้วปีกอยู่นั้นเป็นเพียงสิ่งของไร้น้ำหนัก
ทั้งหมดพากันเดินผ่านช่องทางแคบ ๆ มีแสงไฟสลัวพอมองเห็นทางหากแต่มีกลิ่นอับชื้นลอยปะทะจมูกเป็นบางครั้ง ปันหายใจไม่ทั่วท้อง ท้องไส้ปิดมวน คิดไปต่างๆ นาๆ
…มาเฟียชัด ๆ
ไม่ถึงสิบนาทีก็ถึงห้องโถงใหญ่ที่มีแสงไฟสว่างมองเห็นบรรยากาศรอบๆ ซึ่งพบว่ามีห้องที่ทำด้วยกระจกใสกั้นไว้ ปันมองผ่านกระจกเข้าไป จึงมองเห็นผู้คน หญิงชายยืนล้อมโต๊ะจับกลุ่มกันอยู่ด้านใน แวบแรกรู้สึกดีใจ ที่อย่างน้อยหากเกิดเรื่องร้ายอะไรขึ้นก็คงร้องขอให้คนอื่นช่วยได้
หากแต่มองไปดีๆ ก็พบว่าบางโต๊ะนั้นมีเครื่องเล่นการพนันที่พอจะรู้จัก อย่างไพ่ ไม้หมุน จึงสรุปได้ทันที ว่าที่แห่งนี้ไม่ได้แค่เปิดบาร์ แต่มี ‘บ่อน!’ ซ่อนอยู่ ซึ่งสิ่งที่ประจักษ์อยู่ในสายตา ปันถึงกับแข้งขาอ่อน เหงื่อแตกจนเสื้อที่สวมใส่เปียกแนบไปตามตัว
ปันยังอยู่ในความหวาดกลัวและหวาดระแวง มารู้ตัวอีกทีก็ถูกวางลง เท้าแตะบนพื้นอย่างไม่ออมแรง จนเซไปหลายก้าว
“โอ๊ะ โอ๊ย!”
ร้องได้แค่นั้นก็ต้องกัดปากตัวเอง เมื่อความกลัวมีมาก ก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบๆ
โดยในห้องสี่เหลี่ยมจัดแต่งไว้อย่างดี คล้ายห้องทำงานระดับผู้บริหารเลยทีเดียว ซึ่งมีโต๊ะทำงานและตู้เก็บเอกสารหลายอย่าง ส่วนอีกมุมมีโซฟาหนังสีเทาวางอยู่ ภายในห้องไร้เสียงรบกวนใดๆ จะมีก็เสียงแอร์ที่บ่งบอกว่ายังทำงานปกติอยู่
ปันถอยหลังสองก้าวก่อนจะสะดุดขาตัวเองแล้วทรุดตัวลงไปนั่งกองอยู่บนพื้นเย็นเฉียบ ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นและบิดเบี้ยวเหยเก อยากร้องไห้
ทำไมซวยแบบนี่เนี่ย! ในใจคิด ว่าไม่น่ามาที่นี่เลย!
หากแต่เสียงเก้าอี้ลากครูดไปกับพื้นทำให้ปันหยุดชะงักและเก็บความคิดทั้งหมดทั้งมวลไว้แล้วหันไปมอง ซึ่งก็พบกับสายตาคมกล้า ที่เปลี่ยนไปนั่งเก้าอี้ จ้องมาอยู่ก่อนแล้ว
ปันปาดน้ำตาทิ้ง เมื่อเพื่อนทยอยกันเดินเข้ามาอวยพรวันเกิดพร้อมของขวัญที่ทุกคนรวบรวมเงินกันซื้อมาให้ โดยแสนกับเกมเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของเรื่องนี้ทั้งหมด รวมทั้งเพื่อนและรุ่นพี่ที่ทำงานบาร์โฮสต์ก็มากันหมดทุกคนงานเลี้ยงเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ และรอยยิ้มจนกระทั่งเพื่อนๆ ทยอยกันกลับไปบ้างแล้ว“คเชนทร์...” เดร์ผลุดลุกขึ้นเมื่อเห็นลูกน้องคนที่อยู่ในใจเสมอปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า“ผมมาแสดงความยินดีกับคุณปันและนายครับ นี่ของขวัญเล็กๆ น้อยๆ จากผม”ปันมองใบหน้าของคเชนทร์ที่ไร้ความสดใสอย่างเคย ก่อนจะรับของในมือมาถือไว้“คุณหายไปไหน รู้ไหมผมถามเรื่องคุณ คุณเดร์ก็ให้คำตอบกับผมไม่ได้” ปันเอ่ยสีหน้าน้อยใจคเชนทร์ยิ้มบางๆแล้วตอบกลับ “ผมก็อยู่ใกล้ๆ นี่แหละ เห็นยัง วันสำคัญคุณปัน ผมก็มาได้” คเชนทร์ตอบอย่างเต็มปากเต็มคำ ปันยิ้มขื่น“นายไม่กลับไปได้ไหม” เดร์เป็นคนเอ่ยขึ้นบ้างหลังจากที่ยืนเหมือนคนน้ำท้วมปากอยู่นาน“ผมกลับไปนะดีแล้ว เพราะหลังจากนี้นายกับคุณปัน จะไม่มีเรื่องอะไรเข้ามากระทบหรือกวนใจได้อีก”ซึ่งคำของคเชนทร์ทำให้เดร์ถึงกับพูดไม่ออก หากแต่ปันยังงงกับสิ่งที่ทั้งคู่กำลังพูดสื่อกันอยู่“เฮยู!” เสียงแหลมห้
เดร์หยุดพูดแล้วมองหน้าปัน ที่อยู่ใกล้เพียงลมหายใจสัมผัส “ในวันที่มองไปไม่เห็นนายอยู่ข้างๆ มันเหมือนวันนั้นมีอะไรขาดไป จนไม่เป็นตัวของตัวเอง เหมือนหายใจแต่หายใจไม่สุด” สายตาล่ำลึกมองจ้องวงหน้าสีเรื่อ เว้าวอนเกมขอร้อง ว่าอย่าได้หายไปไหนอีก...“นายรู้สึกกับฉันแบบนั้นบ้างหรือเปล่า”“ผมมีสิทธิ์คิดแบบนั้นได้หรือครับ”“นายได้สิทธิ์นั้นนานแล้วปัน...”“ครับขอบคุณที่ให้โอกาสเด็กขี้ดื้อคนนี้นะครับ”“เช่นนั้น ฉันให้โอกาสตัวเองด้วยไง”“แต่...”“แต่อะไร”“อย่าโหดกับใคร หรือผมอีกได้ไหมครับ ผมกลัว”“ที่ฉันโหด เพื่อให้ได้ใจนายต่างหาก”“อะ...”“หากฉันใจดีกับนาย แล้วจะได้นายมาแนบกายไหมล่ะ”“โธ่ไม่เอาแบบนี้ รักชอบก็บอกกันดีๆ ก็ได้ ผมคนขี้กลัว...”“ได้สัญญาว่าจะไม่โหด แต่กับนายนะ... ส่วนคนนอกต้องดูเป็นกรณีๆไป”เดร์ก็คือเดร์นักธุรกิจที่มีกฎเหล็กอยู่ในหัว...ปันค้อนให้ หากแต่ซุกใบหน้าไปบนอกแกร่ง กอดรัดร่างหนาแน่นขึ้นประหนึ่งแค่นี้ก็รู้สึกปลอดภัยที่สุดแล้ว...เดร์ลูบไปบนผิวกายของปันเบาๆ ด้วยความรักและอยากปกป้อง จากนี้ต่อไปเดร์สัญญากับตัวเอง ว่าจะไม่ให้คนที่รักเสียน้ำตาหรือเจอเรื่องที่น่ากวาดกลัวอีก!มหาฯลัย
ในห้องน้ำที่กว้างกว่าหอพัก เดร์ค่อยๆ วางปันลงในอ่างกุชชี่สีครีม โดยปันไม่ทีท่าทีขัดขืนแต่อย่างใดก๊อกน้ำถูกเปิดให้น้ำไหลลงอ่างเอื่อย ๆ ปันถูกจัดให้นั่งอยู่กลางอ่างสองขายกชันขึ้น เดร์ก็นั่งลงในท่าเดียวกัน ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้สอดขาทั้งสองข้างซ่อนไขว้กัน ประกายตาหวามไหวมองสบกันปันก้มหน้ายิ้มอาย ลองมาในท่านี้ ไม่พ้น.... ปันคิดลมหายใจเกือบรดใส่กัน เดร์ยื่นมือไปจับใบหน้าที่ก้มหนีสายตา ให้หันมามอง แล้วเลื่อนมืออีกข้างไปจับต้นคอระหง เพื่อรอรับจังหวะจุมพิตที่ส่งลงมาประกบทาบทับอบอุ่น นุมนวลแต่อุ่นซ่านไปทั้งกาย...เดร์ค่อยๆ เลาะเล็มไปบนริมฝีปากอมชมพูหวานหอม ที่ชิมมาแล้วจนคุ้นชิน หากแต่ไม่รู้เบื่อ ในณะที่มือข้างหนึ่งของเดร์เริ่มทำงานล้วงลึกลงไปใต้น้ำและจับสิ่งที่อ่อนนุ่มแล้วขยับรูดไปมา“อ่าส์ ...” เสียงครางแผ่วเบาของปันเริ่มดังขึ้นเดร์กระหยิ่มพอใจ ยอมรับว่าปันเป็นชายหนุ่มที่น่าจุดไฟสวาทได้ง่ายที่สุด เพราะแค่เพียงสัมผัสไม่ว่าตรงจุดไหน คนตัวเล็กก็ตอบรับได้อย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งที่ไม่ใช่รอบแรกของวันนี้ที่พากันแตะฝั่งฝันเดร์ถอนริมฝีปากออกห่าง แล้วเปลี่ยนมาดึงตัวของปันให้มานั่งคร่อมบนขาของตน จากนั
เดร์กระตุกยิ้มอย่างผู้มีชัย แล้วเงยหน้าขึ้นค่อยๆ ปล่อยสะโพกเด้งลงมาต่ำ จนปันรับรู้ได้ถึงความแข็งขืนที่ถูกดันเข้ามาทักทายในช่องทางสีหวาน พร้อมกับแรงกดเข้าเป็นจังหวะ และแรงดันมาจากด้านล่าง“อึก! ซีดส์…” ปันกัดปากกลั้นเสียงคราง ทั้งเจ็บทั้งเป็นสุข“อย่าเกร็ง...” เสียงทุ้มกระเส่าบอกเบาๆ แล้วก้มใบหน้าลงไปหาแผ่นหลังขาวเนียน ก่อนจะใช้ลิ้นลากไล้เลียเม็ดเหงื่อที่ผลุดชุ่มออกมา แล้วกลืนกินรสชาติของบุรุษเพศอย่างไม่นึกรังเกียจซึ่งการกระทำของเดร์ เป็นสิ่งกระตุ้นให้อีกฝ่ายตอบรับได้มากขึ้น จากนั้นเป็นปันที่โยกตัวเองเพื่อเติมเต็มสิ่งที่แข็งคาอยู่ตรงช่องทางสีหวานเข้าไปจนสุดลึก“อ่าส์ ปัน นายทำดีมาก....”เดร์หลุดครางออกมาด้วยความพออกพอใจ เช่นเดียวกับปันที่ครางออกมาด้วยความสุขสมปันเหงนหน้าหู่ปากสูดเอาอากาศแล้วเข้าปอดแล้วค่อย ๆ ผ่อนออกมา เพื่อบรรเทาความกระสันเสียว นัยน์ตาสุขเคลิ้มฝัน เมื่อสองมือหนาจับเอวกิ่วแล้วขยับยกให้เป็นจังหวะ โดยที่ตัวเองก็เด้งช่วยด้วย ซึ่งเป็นการช่วยที่ลงตัวควบคู่ไปกับจังหวะเพลงรัก จนเกิดเป็นเสียงครางกระเส่าแข่งกันอยู่ภายในรถแม้จะอยู่ในที่แคบ หากแต่ไม่ได้ทำให้รสรักเสียจังหวะแต่อย
การสั่นสะเทือน ของยานพาหนะที่กำลังเคลื่อนตัวอยู่ในความเร็วมากกว่าปกติที่เคยขับ ทำให้คนที่หลับไม่ได้สติเริ่มขยับและรู้สึกตัว เดร์แม้จะไม่มีสมาธิมากนักแต่ก็ประคองรถขับออกไปยังจุดหมายปลายทางให้ไวและปลอดภัยที่สุดหันมองดูปันเกือบทุกห้านาทีเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มรู้สึกตัว เพื่อให้แน่ใจว่าปันไม่ได้ขวัญหนีดีฝ่อ จึงเบนรถจอดข้างทางเพื่อเช็คดูให้แน่ใจเสียก่อน“เป็นไงบ้าง...” เสียงทุ้ทนุ่มเต็มไปด้วยความเป็นห่วงเอ่ยถามพร้อมกับยื่นมือไปกุมมือเรียวหนาของปันไว้แล้วบีบเบาๆปันรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นและห่วงใยที่ส่งมาทางสายตาและการกระทำ จึงคลี่ยิ้มให้ “ผมไม่เป็นอะไรแล้วครับ” ปันตอบเสียงอ่อนแผ่วอย่างเจียมตัว“ดีแล้ว...” แล้วเดร์ก็ขยับยื่นมือไปปรับเบาะ เพื่อให้ปันได้นั่งถนัดขึ้นในช่วงจังหวะที่เดร์โน้มตัวทาบผ่าน กลิ่นกายที่คุ้นเคยทำให้ปันเผลอสูดเข้าไปจนเต็มปอด แล้วนั่งหน้าแดงซ่านเพราะการกระทำของตัวเองปากบอกว่าเกลียด แต่ใจและร่างกายโหยหาเขาตลอด! ปันค้อนขอดตัวเองแล้วเก็บอาการเอาไว้โดยการกุมมือตัวเองแล้วบีบไปมา“เป็นอะไร ไม่สบายหรือเปล่า หรือไปหาหมอดีไหม”เดร์ถามด้วยความเป็นห่วง สายตาจับอยู่บนใบหน้านั้นด้ว
“คุ คุรเดร์...”ใบหน้าสินหวังก่อนหน้า ฉาบเฉายแววตาระรื่นมีความหวังขึ้น“นายอย่าเงียบ...ปัน” เสียงทุ้มสั่นขาดหายปันยันตัวเองลุกขึ้นนั่ง เหมือนเสียงสวรรค์ทรงลงมาโปรด ความหวาดหวั่นที่สุมอยู่ในหัวใจ หล่นหายออกจากตัว ปันวิ่งฉิวไปที่ประตูด้วยความดีใจ ส่งมือเรียวที่สั่นระริก จับไปยังกลอนประตูเพื่อปลดออก แต่ยิ่งรีบเหมือนยิ่งช้ากับความรีบที่กลายเป็นเงอะงะแทน จนกระทั่งเปิดได้สำเร็จจึงออกแรงผลักประตูไปเต็มแรง จนมันกว้างออก และเห็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ยืนอยู่ตรงหน้าม่านตาเปิดกว้าง ริมฝีปากคลี่ขยายบิดเบะจะร้องไห้ด้วยความดีใจและตื้นตัน ถลาเข้าไปสวมกอดร่างสูงหนาไว้แน่น โดยลืมกลัวลืมอายไปหมดสิ้น!“คุณมารับผมแล้วใช่ไหมคุณเดร์...”เสียงนั้นสั่นสะเทือนหัวใจคนฟังอย่างเดร์ “อืม...” เดร์ตอบรับในลำคอ วงแขนก็โอบร่างคนที่บางกว่ามากไว้เต็มอ้อมอก“จะกลับได้ไง ในเมื่อข้อตกลงเรายังไม่เสร็จสมบูรณ์”เสียงทุ้มห้วนดังแทรกเข้ามา ปันขยับเพื่อมองเจ้าของน้ำเสียงที่ดูแข็งห้วนผู้ชายคนนั้น! เมื่อเห็นว่าเป็นใคร ปันก็เผลอกอดเดร์แน่นขึ้นเพราะความหวาดกลัว ซึ่งเดร์รับรู้ถึงแรงกอดรัดของปันที่เพิ่มขึ้นจึงตัดสินใจดันให้ปันไปยืนหล