ขณะที่หัวใจกำลังเต้นโครมคราม สูบฉีดอะดรีนาลินไปทั่วร่าง ประสาทสัมผัสทุกส่วนของกัทลีก็พลอยเฉียบคมมากขึ้น... ในเวลาที่อาจจะดูจะไม่เหมาะสมอย่างนี้ จมูกโด่งสวยซึ่งผ่านการผ่าตัดศัลยกรรมมาไม่น้อยกว่าสามครั้งพานได้กลิ่นอายเฉพาะตัวเจือไปด้วยความหอมของยาสูบอาหรับจากคนที่ยืนอยู่ด้านข้าง... มันทำให้เธออดใจไม่ไหว ต้องกระเถิบเข้าไปใกล้เพื่อสูดดมร่างกายเขาหลายต่อหลายครั้ง...
ดวงตาเฉี่ยวคมแอบชำเลืองรอยนูนเด่นบนกางเกงบอกเซอร์สีขาวสะอ้านอย่างลืมตัว เลือดสาวในกายพลุ่งพล่านราวกับไอน้ำเดือด ต้นขาที่หนีบเอาไว้แน่นรู้สึกร้อนวูบวาบจนต้องยืนบดเบียดไปมาเป็นการระบายความอึดอัดขัดข้อง สองมือก็ลูบไล้ต้นแขนทั้งสองข้างของตัวเอง บังคับใจไม่ให้โผเข้าไปหาเรือนร่างแข็งแกร่งบึกบึนตรงหน้า
“หนาวเหรอ...” เขาหันมาถามเมื่อสังเกตเห็นท่าทางของอีกฝ่าย
“ค่ะท่าน...” กัทลีตอบ ลอบเลียมุมปากเมื่อจับจ้องไปยังไรขนที่เรียงไล่อยู่บนลอนหน้าท้อง ใจหนึ่งนึกอยากกระโจนเข้าไปจูบ ลากไล้ปลายลิ้นพิสูจน์ความนุ่มละมุนของเส้นไหมสีน้ำตาลอ่อนกลุ่มนั้น
แต่ก็นั่นแหละ... เรื่องพรรค์อย่างว่า ถ้าทำในเวลาที่ไม่เหมาะสม ลูกค้าผู้สูงศักดิ์ก็อาจจะมองเธอเป็นแค่คู่นอนไม่มีเกรด เสียภาพลักษณ์ของมืออาชีพได้ง่ายๆ...
และไม่ต้องให้ใครมาบอก ตอนนี้เธอก็รู้แล้วว่าโฮร์มุซเป็นผู้ชายที่น่ากลัวแค่ไหน หากยิ่งรับรู้ถึงความอันตราย สัญชาตญาณเบื้องลึกของเธอก็ยิ่งกระหายรสรักอันเร่าร้อนและรุนแรงจากเขามากขึ้นกว่าเดิม
กัทลีกัดริมฝีปากที่สั่นระริกแน่น จินตนาการภาพเจ้าชายหนุ่มกำลังโถมกระแทกลงมาหาเธอสุดแรง ในขณะที่ฝ่ามือหยาบกร้านทั้งสองข้างกดต้นขาที่แยกออกจากกันให้แนบสนิทไปกับเตียงน้ำหลังนั้น เวลาเดียวกัน ใบหน้าที่เต็มไปด้วยเคราเขียวครึ้มก็ครูดถูอยู่บนเนินอกจนแสบร้อน ฟันขาวสะอาดกัดเม้ม คลึงเคล้นบนเม็ดเนื้อสีแดงระเรื่อ สลับกับการดูดดุนผิวกายทั่วร่างจนห้อช้ำ
แต่ภาพฝันของหญิงสาวก็เลือนหายไปทันที เมื่อสัญญาณลิฟต์บอกให้รู้ว่านำคนทั้งคู่มาถึงจุดหมายแล้ว เธอสะดุ้งเฮือก ลืมตาขึ้นมองประตูสีทองเลื่อนออกจากกัน
ภายในห้องประชุมใหญ่ของตัวอาคารสว่างจ้าด้วยแสงไฟสีส้มจากหลอดฮาโลเจนปรับระดับจำนวนหลายสิบดวง โต๊ะไม้มะฮอกกานียาวกว่าสิบเมตรพร้อมเก้าอี้อีกสิบสองตัวถูกโยกย้ายไปวางชิดที่ริมผนังด้านหนึ่ง ระเบียงกระจกที่สามารถมองเห็นตึกรามบ้านช่องไปจนจรดแม่น้ำเจ้าพระยา เวลานี้ถูกผ้าม่านสีกรมท่ารูดปิดจนหมด
พื้นที่โล่งกลางห้องซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของโต๊ะประชุมมีร่างของชายวัยกลางคนในชุดสูทสีเทานั่งคุกเข่าอยู่ ดวงตาของเขาเบิกโพลงเมื่อมองเห็นโฮร์มุซก้าวออกจากลิฟต์ ปากก็พยายามจะส่งเสียงอะไรบางอย่าง แต่มันถูกเนกไทของตัวเองยัดเอาอยู่จนแน่น มือทั้งสองข้างไพล่อยู่ด้านหลัง คาดว่าคงจะถูกมัดไว้อย่างแน่นหนา รอบๆ ตัวมีชายฉกรรจ์สวมสูทสีดำสี่ห้าคนยืนก้มหน้ากุมมือ รายล้อมอยู่ในลักษณะสำรวม
“ทำดีมากทุกคน...” ผู้เป็นนายกล่าวชมเชยคนของเขาขณะตรงเข้าไปหาด้วยท่าทางร่าเริง
กัทลียังยืนมองตาค้างอยู่ในลิฟต์ที่เปิดอ้า ต้องใช้เวลาอีกหลายวินาทีกว่าเธอจะกล้าเดินกระมิดกระเมี้ยนตามออกไป สองมือสองแขนก็พยายามปกปิดสิ่งพึงสงวนอย่างเต็มที่ หากเพียงครู่เดียวเธอก็รู้ว่ามันไม่มีความจำเป็น เพราะชายฉกรรจ์เหล่านั้น ไม่มีใครเงยหน้าขึ้นมามองหรือให้ความสนใจเธอเลยแม้แต่คนเดียว
“ว่ายังไง มาห์มุด... แกสบายดีไหม” เจ้าชายแห่งจาเบลุซย่อตัวลงนั่งบนปลายเท้า เอียงหน้าถามเชลยของเขาด้วยภาษาที่หญิงสาวไม่เข้าใจ น้ำเสียงที่ฟังดูอ่อนโยนจนผิดปกติ ทำให้กัทลีรู้ได้โดยไม่ต้องคาดเดาว่ามันเป็นการจงใจประชดประชัน “อ้าว... ขอโทษที ฉันลืมไปว่าปากแกยังไม่ว่าง” พูดจบโฮร์มุซก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับฟาดกระบอกทองคำในมือลงไปบนใบหน้าซีกซ้ายของ มาห์มุด ราฮิด อดีตลูกน้องระดับผู้บริหารของธุรกิจในเครือภาคพื้นยุโรป
ภาพที่เห็นทำให้นางแบบสาวหวีดร้องออกมาด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบยกมือขึ้นปิดปากแล้วถอยหลังกรูดไปจนติดประตูลิฟต์
เจ้าชายหนุ่มโยนอุปกรณ์การสูบฮุคคาห์ที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดลงบนพื้นห้องอย่างไม่แยแส หันมายิ้มให้กัทลีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ขณะเดียวกันก็กวักมือเรียกให้เธอเดินเข้าไปหา
“เข้ามาใกล้ๆ สิที่รัก... คุณอยู่ไกลขนาดนั้นจะเห็นโชว์ของผมชัดๆ ได้ยังไง...”
“ทะ...ท่าน...” นางแบบสาวตัวสั่นสะท้าน ลังเลใจที่จะทำตามคำสั่งของเขา แต่ท้ายที่สุดก็ไม่มีทางเลือก ต้องก้าวตรงไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“แก้มัดมัน...” โฮร์มุซหันไปสั่งคนของเขาเสียงกร้าว
ชายในชุดสูทสีดำสองคนรีบกระชากร่างที่นอนฟุบอยู่บนพื้นกลับขึ้นมานั่งตามเดิม คนที่เหลือกุลีกุจอคลายเชือกที่พันธนาการมือของมาร์มุด ทันทีที่เนกไทในปากถูกกระชากออกหมด ชายวัยกลางคนก็ก้มตัวอาเจียนและสำลักด้วยอากัปกิริยาอันน่าสังเวช
ภาพที่เธอเห็น โดยเฉพาะบาดแผลฉกรรจ์บนโหนกแก้มและเลือดสดๆ ที่ไหลย้อยออกจากจมูกซึ่งหักยับเยิน ทำให้กัทลีไม่สามารถทนดูต่อไปได้ เธอจึงรีบเบือนหน้าหนีไปทางอื่น
“จะ...เจ้าชาย ดะ...ได้โปรดเถอะขอรับ กระผม... สำนึกผิดแล้ว... ได้โปรด... ไว้ชีวิตกระผมด้วยขอรับ...” หลังจากอาเจียนจนเสร็จแล้ว มาห์มุดก็ลนลานหันมากราบกราน มือสั่นเทายกฝ่าเท้าของอีกฝ่ายขึ้นทูนไว้บนศีรษะ
“ไม่ต้องกลัวหรอกน่า มาห์มุด... แกก็รู้จักฉันดีนี่ ฉันไม่เคยฆ่าใครให้ผิดหลักศาสนาอยู่แล้ว...” โฮร์มุซเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นอ่อนโยนอีกครั้ง
ปากพูดอย่างนั้น เท้าของเขากลับค่อยๆ กดศีรษะอีกฝ่ายให้แนบลงไปกับพื้น ขณะที่ปลายนิ้วก็เลื่อนไปขยี้บาดแผลบนใบหน้าของมาร์มุดย้ำๆ จนอดีตลูกน้องผู้ทรยศหักหลังเขาต้องร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด หากไม่กล้าขยับหนีแม้แต่นิดเดียว
หลังจากงานเลี้ยงดำเนินไปจนถึงก่อนเวลาเลิก องค์สุลต่านฮาเร็บ อาลี บิน ฮามัด อัล อลาวี ก็ถือโอกาสขึ้นไปเป็นประธานบนเวที เรียกเจ้าบ่าวเจ้าสาวให้ไปปรากฏตัวพร้อมกันต่อหน้าแขกในงาน“เราในฐานะของคนเป็นพ่อต้องขอขอบใจสหายและผู้มีเกียรติทุกท่านที่มาร่วมแสดงความยินดีกับลูกชายเรา วันนี้นับว่าโฮร์มุซได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่อย่างเต็มตัวแล้ว นั่นก็หมายความว่าเขาตระหนักถึงความสำคัญและหน้าที่ของตัวเองในฐานะหัวหน้าครอบครัว พร้อมที่จะดูแลรับผิดชอบคนในครอบครัวต่อไปภายหน้า...” องค์สุลต่านหันไปมองบุตรชาย“ประเทศชาติก็เปรียบเสมือนครอบครัวใหญ่ การดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนชาวจาเบลุซนั้น ต้องอาศัยความรับผิดชอบเป็นอย่างยิ่ง... ซึ่งในเวลานี้เรามั่นใจแล้วว่าโฮร์มุซพร้อมที่จะทำหน้าที่แทนเรา ดังนั้นเราจึงถือโอกาสอันดีในคืนนี้ประกาศคืนตำแหน่งรัชทายาทผู้สืบทอดบัลลังก์ให้แก่ เจ้าชายโฮร์มุซ อัล อลาวี และมอบหมายให้ เจ้าชายมาตราห์ อาลี เป็นผู้ช่วยเหลือลูกของเราดูแลประเทศชาติต่อไปในอนาคต...”สิ้นคำประกาศขององค์สุลต่าน ทุกคนในห้องจัดเลี้ยงต่างก็พากันโห่ร้องด้วยความยินดี ไม่เว้นแม้ชาวไทยที่ร่วมอยู่ในงานเลี้ยงในฐานะแขกและส
พิธีมงคลสมรสตามประเพณีของจาเบลุซไม่แตกต่างอะไรจากประเทศอื่นๆ ในดินแดนอาหรับมากนัก... นั่นคือ... ประกอบไปด้วยพิธีการทั้งสิ้นจำนวนเจ็ดวัน เริ่มตั้งแต่พิธีสู่ขอในวันแรกตามหลักศาสนาแล้ว ก่อนแต่งงานเจ้าบ่าวและเจ้าสาวจะมีความสัมพันธ์กันไม่ได้เด็ดขาด หากไม่ได้รับการยินยอมจากครอบครัวของทั้งสองฝ่าย ฝ่ายชายจะต้องนำครอบครัวไปพูดคุยสู่ขอกับครอบครัวของฝ่ายหญิงที่บ้าน แต่เนื่องจากอรนลินและมารดาไม่ใช่ชาวจาเบลุซ งานสู่ขอจึงถูกจัดขึ้นอย่างไม่เป็นทางการภายในพระราชวัง จานาห์ อัล มาลัก นั่นเอง โดยมี องค์สุลต่านฮาเร็บ อาลี และองค์สุลตาน่าโซเฟีย เป็นผู้ดำเนินพิธีสู่ขอกับอินทิราท่ามกลางเชื้อพระวงศ์จำนวนหนึ่งวันที่สองเป็นพิธีดูตัว ซึ่งตามปกติจะเป็นโอกาสที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวจะได้พบหน้ากันเป็นครั้งแรก จึงทำเพียงพอเป็นพิธี ส่วนวันที่สามซึ่งเป็นวันหมั้น เจ้าบ่าวเจ้าสาวจะทำการแลกแหวนหมั้นของแต่ละฝ่าย โดยสวมใส่มิชลาห์และอบายาสีที่เข้าคู่กัน เพื่อเป็นนิมิตมงคลบอกถึงความเหมาะสมกันวันที่สี่ พิธีให้สัตย์ปฏิญาณ หรือพิธีแต่งงานอย่างเป็นทางการ โดยทั่วไปจะจัดในมัสยิด หากเจ้าบ่าวเป็นเชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์ ผู้แทนศาสนาจึงถ
กำหนดการพิธีแต่งงานระหว่างซินเดอเรลลาสาวจากประเทศไทยกับเจ้าชายนักธุรกิจใหญ่แห่งอาหรับกลายเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วทั้งโลก และก่อนที่บรรดาสื่อมวลชนจากทุกแขนงจะพากันตามมารบกวนชีวิตอันสงบสุขของคนรัก โฮร์มุซก็ตัดสินใจพาเธอกับผู้เป็นแม่บินกลับไปเตรียมการที่ประเทศของเขาล่วงหน้าเกือบสองสัปดาห์แม้ว่าอินทิราจะค่อนข้างประหม่าและอึดอัดใจกับชีวิตในพระราชวัง จานาห์ อัล มาลัก พอสมควร แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอต้องตื่นตาตื่นใจไปกับทุกๆ สิ่งที่ได้สัมผัส รวมถึงอดที่จะกังวลไม่ได้กับขนบธรรมเนียมและวิถีชีวิตแบบใหม่ที่เธอเองมีส่วนผลักดันให้ลูกสาวเป็นคนเลือกในช่วงแรกๆ ที่ได้กลับมาพำนักในปราสาทหินทรายสีชมพู อรนลินรู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก เมื่อต้องถูกคนครึ่งประเทศจับจ้องด้วยสายตาคับข้องใจและไม่เห็นด้วย ว่าเหตุใดเจ้าชายรัชทายาทแห่งรัฐสุลต่าน บาห์ลา จาเบลุซ จึงเลือกผู้หญิงต่างชาตินอกศาสนามาเป็นคู่ชีวิต แต่ด้วยกำลังใจจากผู้ชายที่เธอรักรวมถึงท่าทีของสุลต่านและสุลตาน่าที่วางตนเป็นผู้สนับสนุนอยู่ห่างๆ แล้ว ไม่นานหญิงสาวก็ทำใจได้อรนลินต้องเข้าพิธีกับยัลซูผู้เผยแผ่ เปลี่ยนมาถือศาสนาอิสลาม เปลี่ยนลำดับความรักและความเคารพบ
“ต๊าย... ทีอย่างนี้ล่ะทำหวง คนอะไร้...”“ที่จริงลินเองก็ไม่สะดวกหรอกค่ะ พี่ปุ๊กกี้ก็รู้ว่าตอนนี้ลิน...” ก้มลงมองหน้าท้องที่แทบจะยังไม่ขยายตัวให้เห็น มือของเธอก็ลูบคลำเบาๆ ไปด้วยอย่างรักใคร่ “ลินคงไปเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้คุณชายพิษณุไม่ได้หรอกค่ะ อายเขาตายเลย...”“เออ จริงสิ... ตั้งแต่มีข่าวเรื่องน้องสาวฆ่าตัวตาย คุณชายพิษณุก็หายเงียบไปเลยนะ... เดี๋ยวนี้ไม่เห็นออกงานสังคมที่ไหนบ้างเลย...”“จริงด้วย แล้วคุณหญิงรัตน์ล่ะ ออกจากโรงพยาบาลแล้วก็ไม่ได้ข่าวอีกเลยเหมือนกัน...” ใครคนหนึ่งถามขึ้น“เห็นพี่ชัยรัตน์บอกอยู่เหมือนกันว่าหนีไปรักษาสภาพจิตใจที่เมืองนอกนะ อยู่เมืองไทยก็คงอายคนนั่นแหละ...” หัวหน้าฝ่ายคอสตูมเป็นคนตอบ “แต่ครั้งนี้เป็นงานแต่งของเพื่อนสนิท คุณชายพิษณุต้องไปด้วยแน่ๆ อาจจะได้เจอคุณหญิงรัตน์ในงานด้วย ใครจะไปรู้...”“จะว่าไปที่ผ่านมาคุณชายพิษณุก็ไม่เคยมีข่าวคาวกับผู้หญิงซักคนนะ ดีไม่ดีจะเป็นเก้งเอาหรือเปล่ายะ” ปกรณ์ยกมือทาบอกกระดกปลายนิ้วก้อย รำพึงรำพันกับตัวเองในลำคอ “ผู้ชายอะไรหน้าว้านหวาน ถูกสเปกอีปุ๊กกี้สุดฤทธิ์... สาธุ... ไม่ใช่เก้งก็เป็นกวางทีเถอะ งานนี้แม่จะได้ลุ้นลับตับแตกกับเ
สามเดือนต่อมา... หลังจากบรรดาผู้คนในวงการนางแบบต่างพากันช็อกกับข่าวอุบัติเหตุรถคว่ำของกัทลี... ชื่อของ เกรซ กัทลี อดีตนางแบบชื่อดังระดับประเทศก็ค่อยๆ เลือนหายไปอย่างรวดเร็วจนไม่มีใครจดจำได้อีก...นับว่าโชคดีที่ครั้งนั้นหญิงสาวไม่ถึงกับเสียชีวิต เนื่องจากคนของโฮร์มุซช่วยนำเธอส่งโรงพยาบาลได้ทันท่วงที ทว่าใบหน้าของอดีตนางแบบสาวก็ถูกแรงกระแทกทำให้เป็นบาดแผลฉกรรจ์จนถึงกับเสียโฉม ที่หนักที่สุดก็คือขาซึ่งหักทั้งสองข้าง แม้จะรักษาจนหายขาดแล้ว ก็ยังต้องเดินกะโผลกกะเผลกอย่างคนพิการไปตลอดชีวิตสภาพที่ต้องนอนมีผ้าพันแผลและเข้าเฝือกแทบทั้งตัวเป็นเวลานานนับเดือน ทำให้อรนลินและมารดารู้สึกเสียใจกับเธอ และตกลงใจที่จะอโหสิกรรมให้ ไม่ดำเนินคดีความหรือเอาเรื่องใดๆ อีกกลาร์มัวร์ ไดมอนด์ จำเป็นต้องเปลี่ยนตัวแบรนด์แอมบาสเดอร์คนไหม่ ถึงจะยังไม่ได้มีการทำสัญญาว่าจ้างกับกัทลีตั้งแต่ตอนที่วางตัวเธอเอาไว้ แต่หม่อมราชวงศ์พิษณุนเรศวร์ โขมพัสตร์ ก็ได้มอบเงินชดเชยจำนวนหนึ่งให้กับเธอเพื่อเป็นกีแสดงความเห็นใจ หากเงินหลักล้านและเงินเก็บอีกหลายแสนที่มีในบัญชีของหญิงสาว หลังจากการรักษาตัวแล้ว ก็มีอันต้องอันตรธานไปอย่างร
ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะได้พูดอะไรต่อ ประตูห้องพักผู้ป่วยพิเศษก็เปิดออก เนื่องจากปกรณ์และอินทิราที่ได้ยินเสียงโต้เถียงกันแว่วออกไปถึงด้านนอก รู้ว่าผู้ป่วยได้สติแล้วก็รีบเข้ามาขัดตาทัพเสียก่อน“ไอ้ลิน... ฟื้นแล้วหรือลูก...”“ยัยลิน... เจ๊กำลังเป็นห่วงเลยเชียว...”มองเห็นสีหน้าและน้ำตาของลูกสาว คนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานานกว่าก็พอจะคาดเดาเรื่องระหว่างหนุ่มสาวสองคนนี้ได้หลายส่วน เธอจึงกระซิบให้ปกรณ์ทำหน้าที่ล่าม เชิญเจ้าชายหนุ่มออกไปสงบสติอารมณ์หน้าห้องก่อน ส่วนเธอเองก็เห็นทีจะต้องทำตัวเป็นท้าวมาลีวราชว่าความให้ทั้งคู่เสียแล้วมองลูกเขยโดยพฤตินัยเดินหงุดหงิดออกไปพร้อมกับรุ่นพี่ใจแหววของลูกสาวก็นึกเวทนา ความจริงอินทิราไม่อยากให้อรนลินไปพัวพันกับคนระดับนั้นหรอก แต่สายตาของเธอยังไม่ถึงกับฝ้าฟาง... ถ้าหากจะมีใครสักคนที่ดวงตามืดบอด ก็คงไม่แคล้วเป็นลูกสาวของเธอนั่นแหละ...“มีเรื่องอะไรกัน แกเล่าให้แม่ฟังซิ ไอ้ลิน...”“ไม่มีอะไรหรอกจ้ะแม่...” หญิงสาวไม่กล้าสู้สายตา“แกทำให้แม่เสียใจมากนะลิน... จนป่านนี้แล้วยังคิดจะปิดแม่อีกหรือไง... แกได้เสียกับเขาแล้ว แล้วตอนนี้แกก็ท้องลูกของเขาอยู่ใช่ไหม...” เสียง