บนเตียงน้ำที่ไหวยวบยาบไปมา โฮร์มุซนั่งเอนหลังพิงพนักหัวเตียง ทอดขาในท่าทางสบายๆ แขนข้างหนึ่งโอบไหล่หญิงสาว ให้เธอได้ซบอิงแอบอยู่บนแผงอกหนา ในมืออีกข้างถือกระบอกฮุคคาห์[1] ทองคำที่แกะสลักลวดลายและลงยาอย่างวิจิตร จนดูงดงามล้ำค่าเกินกว่าจะเป็นเพียงแค่อุปกรณ์สูบยาสูบตามแบบชาวตะวันออกกลางทั่วไป
เขาพ่นควันสีขาวซึ่งมีกลิ่นหอมเอียนเฉพาะตัวออกมาจนฟุ้งกระจายไปทั่ว จากนั้นก็ส่งท่อสูบที่มีลักษณะเป็นแท่งกลวงขนาดเล็กเชื่อมต่อกับสายยางยาวหุ้มด้วยเส้นไหมสีแดงให้คนที่นอนห่อตัวอยู่ในวงแขน
แม้จะยังมีสีหน้างุนงงจากสถานการณ์เมื่อสักครู่ แต่หญิงสาวก็รู้ว่าไม่ควรเอ่ยปากถามในเรื่องส่วนตัวของเขา และไม่ควรปฏิเสธสิ่งที่โฮร์มุซหยิบยื่นให้ในตอนนี้... เธอจึงรับมันมาจ่อริมฝีปาก จำใจสูบควันขาวละเอียดเข้าปอดตามที่อีกฝ่ายต้องการทั้งที่ยังรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก...
เช่นเดียวกันกับหญิงสาวในวงการบันเทิงอีกหลายคน กัทลีมีฉากหน้าเป็นนางแบบแนวหน้าของประเทศ แต่เบื้องหลังก็ยังเต็มใจที่จะประกอบอาชีพพิเศษอีกอาชีพหนึ่ง ด้วยการเป็น ‘คู่ควง’ ให้แก่บุคคลในวงสังคมชั้นสูง นักการเมือง และมหาเศรษฐี เพื่อแลกกับเงินทองและความสะดวกสบาย
แต่คำว่าคู่ควงก็เป็นคำสวยหรูที่ใช้ปกปิดสื่อมวลชนในที่สาธารณะเท่านั้น เพราะความจริงแล้วงานพิเศษที่ว่ามันครอบคลุมไปถึงการเป็นคู่นอนบนเตียงด้วย
แน่นอน... การที่คนระดับเธอยอมรับงานเปลืองเนื้อเปลืองตัว ทั้งยังเสี่ยงต่อชื่อเสียงและอาชีพอย่างนี้ ย่อมต้องมีค่าตอบแทนที่มากกว่างานปกติหลายสิบหลายร้อยเท่า...
และคืนนี้ก็ถือได้ว่าเป็นจุดสูงสุดของชีวิตเธอเลยทีเดียว เมื่อกัทลีได้รับการติดต่อให้มาบริการลูกค้าระดับเชื้อพระวงศ์ต่างชาติที่นี่ เพราะนอกจากรายได้หลักล้านภายในคืนเดียวแล้ว ที่เหนือความคาดหมายก็คือ ลูกค้าของเธอยังเป็นเจ้าชายหนุ่มผู้หล่อเหลา เจ้าของเรือนร่างกำยำสมบูรณ์แบบไม่ต่างจากรูปปั้นเทพบุตรโรมันเสียอีก
หากนั่นยังไม่ดึงดูดความสนใจเท่ากับดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่เต็มไปด้วยแววดุดันอันตรายของเขา มันเป็นแววตาซึ่งเตือนให้เธอนึกถึงผู้ชายอีกคนหนึ่งที่ทำให้กัทลีต้องหวาดผวาและตื่นกลัวทุกครั้งที่ได้พบ แต่ขณะเดียวกัน ผู้ชายคนนั้นก็เป็นเพียงคนเดียวในโลกที่รู้วิธีปลุกเร้าความรู้สึกของเธอให้ถึงขีดสุด
“โชคดีของคุณจริงๆ ที่รัก... วันนี้ผมมีโชว์พิเศษให้คุณได้ดูก่อนที่เราจะขึ้นสวรรค์ด้วยกัน...” โฮร์มุซกระซิบบอกพลางยกมุมปากข้างหนึ่งขึ้น เป็นสุ้มเสียงและรอยยิ้มที่แฝงเสน่ห์ลึกลับผสมผสานกับความอำมหิตเอาไว้ได้อย่างลงตัว ทำเอากัทลีขนลุกซู่ หัวใจเต้นระทึก
“ท่าน เอ่อ... ท่านจะให้เกรซดูอะไรเหรอคะ...” เธอขยับตัวลุกขึ้นนั่งช้าๆ อย่างไม่ค่อยมั่นใจ
“อีกสักพักคุณก็จะรู้เอง หึๆๆ...” ว่าแล้วก็ดึงตัวเธอกลับเข้ามากอด ก่อนจะพลิกตัวขึ้นไปทาบทับ ใบหน้าคมเข้มเต็มไปด้วยรอยเคราเขียวครึ้มจากการโกนใหม่ๆ ก้มลงไปสูดดมกลิ่นกายสาวบนลำคอยาวระหง ซุกไซ้เรื่อยลงไปจนถึงทรวงอกขนาดกะทัดรัดตามแบบฉบับของคนในอาชีพนางแบบ
ในความเป็นจริง เจ้าชายหนุ่มไม่ได้ชื่นชมกลิ่นน้ำหอมฉุนจัดจากร่างกายของกัทลีนักหรอก และถึงแม้ว่าหน้าอกหน้าใจของเธอจะอ่อนด้อยไปสักหน่อย แต่ผิวพรรณขาวละเอียดและส่วนสัดโค้งเว้าตรงหน้าก็เพียงพอแล้วที่ทำให้ผู้ชายชาวทะเลทรายทุกคนเกิดความหิวกระหาย อยากจะฟอนเฟ้นดอมดมให้สมปรารถนา
ทว่าก่อนที่เขาจะอดทนรอต่อไปไม่ไหว แล้วตัดสินใจยกเลิกการแสดงพิเศษเพื่อหันมาดื่มกินความหวานของนางแบบสาวแทน การละเล่นแสนบันเทิงที่ โฮร์มุซ บิน ฮาเร็บ อัล อลาวี เฝ้ารออยู่ก็ถูกส่งมาถึงในที่สุด
ทันทีที่เสียงโทรศัพท์ส่วนตัวเครื่องเดิมดังขึ้น ชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์ก็ผละจากร่างกึ่งเปลือยของกัทลีด้วยอาการลิงโลดราวกับเด็กที่กำลังตื่นเต้นดีใจกับของขวัญกล่องใหญ่ในเช้าวันคริสต์มาส มือยกหูโทรศัพท์ขึ้นรับสายในขณะที่หญิงสาวรีบคว้าผ้าห่มมาห่มร่างกายเอาไว้ สองขายกชันเข่าเข้าหาตัวอย่างตื่นเต้นและกังวล
“มาแล้วเหรอ ยูซุฟ” เขาถามโดยไม่รอฟังเสียงคนที่โทรเข้ามา
“ขอรับท่าน”
“เอาตัวมันขึ้นมาที่ห้องประชุม อีกห้านาทีฉันจะตามลงไป...” โฮร์มุซสั่งพร้อมทั้งหัวเราะออกมาดังๆ หันไปชวนนางแบบสาวที่นั่งขดตัวอยู่บนเตียง “ลงไปข้างล่างกับผม ที่รัก... โชว์พิเศษมาถึงแล้ว ฮ่าๆๆ...”
“เอ่อ... ถ้าอย่างนั้นเกรซขอใส่เสื้อผ้าก่อนนะคะ” หญิงสาวแกล้งยิ้มเอาใจ ลนลานลุกจากเตียงขนาดเก้าฟุตที่ไหวยวบยาบไม่ยอมหยุด สร้างความลำบากไม่น้อยกว่าเธอจะคลานลงมาเหยียบพื้นห้องได้
“ไม่ต้อง เราไปกันทั้งอย่างนี้นี่แหละ” เขากำชับเสียงเรียบ ยิ่งทำให้กัทลีตกใจ ทำตัวไม่ถูกยิ่งกว่าเดิม
โฮร์มุซเหลือบมองท่าทางงกๆ เงิ่นๆ นั้นอย่างรู้นัย ตรงเข้าไปคว้าข้อมือเธอแล้วจูงให้เดินตามเขาออกจากห้องอย่างอารมณ์ดี โดยไม่ลืมที่จะฉวยกระบอกฮุคคาห์ทองคำติดไปด้วย
อันที่จริงจะเรียกว่าจูงก็คงไม่ถูกนัก... เพราะกัทลีรู้สึกเหมือนตัวเองถูกลากไปก็ไม่ปาน แต่หญิงสาวก็ไม่กล้าขัดขืนอะไร ได้แต่ก้าวตามเขาไปอย่างว่าง่าย ทั้งที่สารรูปของเธอยังอยู่ในชุดชั้นในลูกไม้บางเบาจนมองทะลุไปถึงไหนต่อไหนแล้ว
ร่างสูงใหญ่ย่างสามขุม นำนางแบบสาวซึ่งยังมีทีท่าขัดๆ เขินๆ เข้าไปในลิฟต์ส่วนตัว ท่วงท่าของเขามั่นคง สง่างาม เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ แม้จะอยู่ในสภาพเกือบเปลือย มีเพียงกางเกงบอกเซอร์สีขาวซึ่งปกปิดสัญลักษณ์ความหนุ่มแน่นเอาไว้แทบจะไม่มิด
“ห้องประชุม!!” หลังจากประตูสีทองเลื่อนปิดสนิท โฮร์มุซก็บอกจุดหมายปลายทางกับแผงอิเล็กทรอนิกส์ด้านใน วินาทีต่อมา ลิฟต์ส่วนตัวซึ่งควบคุมการทำงานด้วยระบบเสียงก็เลื่อนลงไปจากห้องพักผ่อนด้านบนสุดของอาคารอย่างนุ่มนวล
หัวใจของกัทลีเต้นระส่ำ เธอไม่รู้หรอกว่ามีอะไรรออยู่ในห้องประชุมชั้นล่าง หากไม่คิดว่ามันจะเป็นสิ่งที่น่าชมเหมือนที่เขาโฆษณา เพราะจากน้ำเสียง สีหน้า และเสียงหัวเราะสาสมใจเมื่อหลายนาทีก่อน รวมถึงรอยยิ้มอำมหิตของเจ้าชายหนุ่มในตอนนี้ มันบอกเป็นนัยๆ ว่ากำลังจะมีเรื่องน่าหวาดกลัวเกิดขึ้นเสียมากกว่า
น่าแปลกที่บรรยากาศอันตรายรอบตัวไม่เพียงแต่ทำให้เธอรู้สึกผวา แต่กลับสร้างความตื่นเต้นเร้าใจไปพร้อมๆ กันด้วย
[1] ฮุคคาห์ หรือ บารากู่ (Hookah หรือ Baraku) คือใบยาสูบซึ่งนำมาผสมกับผลไม้เพื่อให้ได้กลิ่นและรสชาติที่ดีขึ้น การสูบใช้วิธีสูบผ่านภาชนะโลหะทรงสูงปากแคบ รูปร่างคล้ายเชิงเทียน ด้านบนเป็นส่วนสำหรับบรรจุยาสูบและจุดไฟ ส่วนล่างเป็นกระเปาะบรรจุน้ำทำหน้าที่กรองควันก่อนจะส่งผ่านสายไปยังผู้สูบ
หลังจากงานเลี้ยงดำเนินไปจนถึงก่อนเวลาเลิก องค์สุลต่านฮาเร็บ อาลี บิน ฮามัด อัล อลาวี ก็ถือโอกาสขึ้นไปเป็นประธานบนเวที เรียกเจ้าบ่าวเจ้าสาวให้ไปปรากฏตัวพร้อมกันต่อหน้าแขกในงาน“เราในฐานะของคนเป็นพ่อต้องขอขอบใจสหายและผู้มีเกียรติทุกท่านที่มาร่วมแสดงความยินดีกับลูกชายเรา วันนี้นับว่าโฮร์มุซได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่อย่างเต็มตัวแล้ว นั่นก็หมายความว่าเขาตระหนักถึงความสำคัญและหน้าที่ของตัวเองในฐานะหัวหน้าครอบครัว พร้อมที่จะดูแลรับผิดชอบคนในครอบครัวต่อไปภายหน้า...” องค์สุลต่านหันไปมองบุตรชาย“ประเทศชาติก็เปรียบเสมือนครอบครัวใหญ่ การดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนชาวจาเบลุซนั้น ต้องอาศัยความรับผิดชอบเป็นอย่างยิ่ง... ซึ่งในเวลานี้เรามั่นใจแล้วว่าโฮร์มุซพร้อมที่จะทำหน้าที่แทนเรา ดังนั้นเราจึงถือโอกาสอันดีในคืนนี้ประกาศคืนตำแหน่งรัชทายาทผู้สืบทอดบัลลังก์ให้แก่ เจ้าชายโฮร์มุซ อัล อลาวี และมอบหมายให้ เจ้าชายมาตราห์ อาลี เป็นผู้ช่วยเหลือลูกของเราดูแลประเทศชาติต่อไปในอนาคต...”สิ้นคำประกาศขององค์สุลต่าน ทุกคนในห้องจัดเลี้ยงต่างก็พากันโห่ร้องด้วยความยินดี ไม่เว้นแม้ชาวไทยที่ร่วมอยู่ในงานเลี้ยงในฐานะแขกและส
พิธีมงคลสมรสตามประเพณีของจาเบลุซไม่แตกต่างอะไรจากประเทศอื่นๆ ในดินแดนอาหรับมากนัก... นั่นคือ... ประกอบไปด้วยพิธีการทั้งสิ้นจำนวนเจ็ดวัน เริ่มตั้งแต่พิธีสู่ขอในวันแรกตามหลักศาสนาแล้ว ก่อนแต่งงานเจ้าบ่าวและเจ้าสาวจะมีความสัมพันธ์กันไม่ได้เด็ดขาด หากไม่ได้รับการยินยอมจากครอบครัวของทั้งสองฝ่าย ฝ่ายชายจะต้องนำครอบครัวไปพูดคุยสู่ขอกับครอบครัวของฝ่ายหญิงที่บ้าน แต่เนื่องจากอรนลินและมารดาไม่ใช่ชาวจาเบลุซ งานสู่ขอจึงถูกจัดขึ้นอย่างไม่เป็นทางการภายในพระราชวัง จานาห์ อัล มาลัก นั่นเอง โดยมี องค์สุลต่านฮาเร็บ อาลี และองค์สุลตาน่าโซเฟีย เป็นผู้ดำเนินพิธีสู่ขอกับอินทิราท่ามกลางเชื้อพระวงศ์จำนวนหนึ่งวันที่สองเป็นพิธีดูตัว ซึ่งตามปกติจะเป็นโอกาสที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวจะได้พบหน้ากันเป็นครั้งแรก จึงทำเพียงพอเป็นพิธี ส่วนวันที่สามซึ่งเป็นวันหมั้น เจ้าบ่าวเจ้าสาวจะทำการแลกแหวนหมั้นของแต่ละฝ่าย โดยสวมใส่มิชลาห์และอบายาสีที่เข้าคู่กัน เพื่อเป็นนิมิตมงคลบอกถึงความเหมาะสมกันวันที่สี่ พิธีให้สัตย์ปฏิญาณ หรือพิธีแต่งงานอย่างเป็นทางการ โดยทั่วไปจะจัดในมัสยิด หากเจ้าบ่าวเป็นเชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์ ผู้แทนศาสนาจึงถ
กำหนดการพิธีแต่งงานระหว่างซินเดอเรลลาสาวจากประเทศไทยกับเจ้าชายนักธุรกิจใหญ่แห่งอาหรับกลายเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วทั้งโลก และก่อนที่บรรดาสื่อมวลชนจากทุกแขนงจะพากันตามมารบกวนชีวิตอันสงบสุขของคนรัก โฮร์มุซก็ตัดสินใจพาเธอกับผู้เป็นแม่บินกลับไปเตรียมการที่ประเทศของเขาล่วงหน้าเกือบสองสัปดาห์แม้ว่าอินทิราจะค่อนข้างประหม่าและอึดอัดใจกับชีวิตในพระราชวัง จานาห์ อัล มาลัก พอสมควร แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอต้องตื่นตาตื่นใจไปกับทุกๆ สิ่งที่ได้สัมผัส รวมถึงอดที่จะกังวลไม่ได้กับขนบธรรมเนียมและวิถีชีวิตแบบใหม่ที่เธอเองมีส่วนผลักดันให้ลูกสาวเป็นคนเลือกในช่วงแรกๆ ที่ได้กลับมาพำนักในปราสาทหินทรายสีชมพู อรนลินรู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก เมื่อต้องถูกคนครึ่งประเทศจับจ้องด้วยสายตาคับข้องใจและไม่เห็นด้วย ว่าเหตุใดเจ้าชายรัชทายาทแห่งรัฐสุลต่าน บาห์ลา จาเบลุซ จึงเลือกผู้หญิงต่างชาตินอกศาสนามาเป็นคู่ชีวิต แต่ด้วยกำลังใจจากผู้ชายที่เธอรักรวมถึงท่าทีของสุลต่านและสุลตาน่าที่วางตนเป็นผู้สนับสนุนอยู่ห่างๆ แล้ว ไม่นานหญิงสาวก็ทำใจได้อรนลินต้องเข้าพิธีกับยัลซูผู้เผยแผ่ เปลี่ยนมาถือศาสนาอิสลาม เปลี่ยนลำดับความรักและความเคารพบ
“ต๊าย... ทีอย่างนี้ล่ะทำหวง คนอะไร้...”“ที่จริงลินเองก็ไม่สะดวกหรอกค่ะ พี่ปุ๊กกี้ก็รู้ว่าตอนนี้ลิน...” ก้มลงมองหน้าท้องที่แทบจะยังไม่ขยายตัวให้เห็น มือของเธอก็ลูบคลำเบาๆ ไปด้วยอย่างรักใคร่ “ลินคงไปเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้คุณชายพิษณุไม่ได้หรอกค่ะ อายเขาตายเลย...”“เออ จริงสิ... ตั้งแต่มีข่าวเรื่องน้องสาวฆ่าตัวตาย คุณชายพิษณุก็หายเงียบไปเลยนะ... เดี๋ยวนี้ไม่เห็นออกงานสังคมที่ไหนบ้างเลย...”“จริงด้วย แล้วคุณหญิงรัตน์ล่ะ ออกจากโรงพยาบาลแล้วก็ไม่ได้ข่าวอีกเลยเหมือนกัน...” ใครคนหนึ่งถามขึ้น“เห็นพี่ชัยรัตน์บอกอยู่เหมือนกันว่าหนีไปรักษาสภาพจิตใจที่เมืองนอกนะ อยู่เมืองไทยก็คงอายคนนั่นแหละ...” หัวหน้าฝ่ายคอสตูมเป็นคนตอบ “แต่ครั้งนี้เป็นงานแต่งของเพื่อนสนิท คุณชายพิษณุต้องไปด้วยแน่ๆ อาจจะได้เจอคุณหญิงรัตน์ในงานด้วย ใครจะไปรู้...”“จะว่าไปที่ผ่านมาคุณชายพิษณุก็ไม่เคยมีข่าวคาวกับผู้หญิงซักคนนะ ดีไม่ดีจะเป็นเก้งเอาหรือเปล่ายะ” ปกรณ์ยกมือทาบอกกระดกปลายนิ้วก้อย รำพึงรำพันกับตัวเองในลำคอ “ผู้ชายอะไรหน้าว้านหวาน ถูกสเปกอีปุ๊กกี้สุดฤทธิ์... สาธุ... ไม่ใช่เก้งก็เป็นกวางทีเถอะ งานนี้แม่จะได้ลุ้นลับตับแตกกับเ
สามเดือนต่อมา... หลังจากบรรดาผู้คนในวงการนางแบบต่างพากันช็อกกับข่าวอุบัติเหตุรถคว่ำของกัทลี... ชื่อของ เกรซ กัทลี อดีตนางแบบชื่อดังระดับประเทศก็ค่อยๆ เลือนหายไปอย่างรวดเร็วจนไม่มีใครจดจำได้อีก...นับว่าโชคดีที่ครั้งนั้นหญิงสาวไม่ถึงกับเสียชีวิต เนื่องจากคนของโฮร์มุซช่วยนำเธอส่งโรงพยาบาลได้ทันท่วงที ทว่าใบหน้าของอดีตนางแบบสาวก็ถูกแรงกระแทกทำให้เป็นบาดแผลฉกรรจ์จนถึงกับเสียโฉม ที่หนักที่สุดก็คือขาซึ่งหักทั้งสองข้าง แม้จะรักษาจนหายขาดแล้ว ก็ยังต้องเดินกะโผลกกะเผลกอย่างคนพิการไปตลอดชีวิตสภาพที่ต้องนอนมีผ้าพันแผลและเข้าเฝือกแทบทั้งตัวเป็นเวลานานนับเดือน ทำให้อรนลินและมารดารู้สึกเสียใจกับเธอ และตกลงใจที่จะอโหสิกรรมให้ ไม่ดำเนินคดีความหรือเอาเรื่องใดๆ อีกกลาร์มัวร์ ไดมอนด์ จำเป็นต้องเปลี่ยนตัวแบรนด์แอมบาสเดอร์คนไหม่ ถึงจะยังไม่ได้มีการทำสัญญาว่าจ้างกับกัทลีตั้งแต่ตอนที่วางตัวเธอเอาไว้ แต่หม่อมราชวงศ์พิษณุนเรศวร์ โขมพัสตร์ ก็ได้มอบเงินชดเชยจำนวนหนึ่งให้กับเธอเพื่อเป็นกีแสดงความเห็นใจ หากเงินหลักล้านและเงินเก็บอีกหลายแสนที่มีในบัญชีของหญิงสาว หลังจากการรักษาตัวแล้ว ก็มีอันต้องอันตรธานไปอย่างร
ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะได้พูดอะไรต่อ ประตูห้องพักผู้ป่วยพิเศษก็เปิดออก เนื่องจากปกรณ์และอินทิราที่ได้ยินเสียงโต้เถียงกันแว่วออกไปถึงด้านนอก รู้ว่าผู้ป่วยได้สติแล้วก็รีบเข้ามาขัดตาทัพเสียก่อน“ไอ้ลิน... ฟื้นแล้วหรือลูก...”“ยัยลิน... เจ๊กำลังเป็นห่วงเลยเชียว...”มองเห็นสีหน้าและน้ำตาของลูกสาว คนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานานกว่าก็พอจะคาดเดาเรื่องระหว่างหนุ่มสาวสองคนนี้ได้หลายส่วน เธอจึงกระซิบให้ปกรณ์ทำหน้าที่ล่าม เชิญเจ้าชายหนุ่มออกไปสงบสติอารมณ์หน้าห้องก่อน ส่วนเธอเองก็เห็นทีจะต้องทำตัวเป็นท้าวมาลีวราชว่าความให้ทั้งคู่เสียแล้วมองลูกเขยโดยพฤตินัยเดินหงุดหงิดออกไปพร้อมกับรุ่นพี่ใจแหววของลูกสาวก็นึกเวทนา ความจริงอินทิราไม่อยากให้อรนลินไปพัวพันกับคนระดับนั้นหรอก แต่สายตาของเธอยังไม่ถึงกับฝ้าฟาง... ถ้าหากจะมีใครสักคนที่ดวงตามืดบอด ก็คงไม่แคล้วเป็นลูกสาวของเธอนั่นแหละ...“มีเรื่องอะไรกัน แกเล่าให้แม่ฟังซิ ไอ้ลิน...”“ไม่มีอะไรหรอกจ้ะแม่...” หญิงสาวไม่กล้าสู้สายตา“แกทำให้แม่เสียใจมากนะลิน... จนป่านนี้แล้วยังคิดจะปิดแม่อีกหรือไง... แกได้เสียกับเขาแล้ว แล้วตอนนี้แกก็ท้องลูกของเขาอยู่ใช่ไหม...” เสียง