จางอวิ๋นซีควบม้านำหานอ๋องไท่หยางผู้เป็นสามี จนกระทั่งมาถึงบริเวณสนามประลองใจกลางป่า ซึ่งมีธงสีแดงโบกพลิ้วไสวอยู่ ธงสีแดงที่โบกพลิ้วอยู่นี้เป็นสัญลักษณ์ของจุดรวมพล หลังจากเสร็จสิ้นการประลองก่อนหมดเวลาเพียงหนึ่งเค่อทุกคนจะต้องมารวมตัวกันที่นี่
ทางด้านหลังของหานไท่หยางก็ยังมีองค์หญิงซิ่วอิ่งตามติดมาเช่นกัน อีกฝ่ายยังคงควบม้าตามสามีของนางไม่ลดละ หน้าไม่อายยิ่ง! “นึกว่าจะตามท่านอ๋องไม่ทันเสียแล้ว” นางยกสายบังเหียนขึ้นสูงบังคับให้ม้าหยุด พลางส่งยิ้มหวานให้หานไท่หยางอย่างออดอ่อยเต็มที่ “ตามข้ามาทำไม” ชายหนุ่มถามอีกฝ่ายตรงๆ อย่างไม่ไว้หน้านาง ทำเอาองค์หญิงแคว้นเยว่หน้าชาไปชั่วขณะหนึ่ง ไม่เคยมีบุรุษใดถามคำถามนางเช่นนี้มาก่อน อีกทั้งรูปโฉมอันงดงามของนางก็ยากจะมีชายใดปฏิเสธ แต่หานไท่หยางเป็นคนแรกที่กล้าทำเช่นนี้กับนาง “อะ เอ่อ คือ...” นางเอ่ยตะกุกตะกัก “หม่อมฉัน ปรารถนาจะร่วมล่าสัตว์กับท่านอ๋องนะเพคะ” หานไท่หยางเบื่อหน่ายท่าทีขององค์หญิงผู้นี้นัก “ถ้าเช่นนั้นองค์หญิงก็ดูแลตนเอง เพราะข้าต้องดูแลชายาของข้า” “หม่อมฉันรับรองว่าจะไม่ทำให้ท่านอ๋องทรงลำบากพระทัย” หานไท่หยางไม่สนใจสิ่งที่นางกล่าว เขาชักม้านำจางอวิ๋นซีและองค์หญิงซิ่วอิ่งไป จางอวิ๋นซีมองหน้าอีกฝ่ายเล็กน้อยก่อนจะควบม้าตามผู้เป็นสามีไปเช่นกัน จางอวิ๋นซีมองดูหานไท่หยางแล้วก็คาดเดาว่าฉลาดไม่น้อย ที่ทันเล่ห์เหลี่ยมของสตรี แค่นางมองซิ่วอิ่งเพียงปราดเดียวก็รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายนั้นมากด้วยมารยาสาไถยมากมายขนาดไหน แต่ด้วยอีกฝ่ายเป็นองค์หญิงสูงศักดิ์ มีเกียรติยศไม่น้อย จึงไม่อยากต่อว่าต่อขานสิ่งใดให้กระทบความสัมพันธ์ทั้งสองแคว้น คล้อยหลังของจางอวิ๋นซีและหานไท่หยาง เหล่าองครักษ์เงาขององค์หญิงซิ่วอิ่งที่แฝงกายอยู่ก็ปรากฏกายออกมาจากพุ่มไม้ “เรื่องที่พวกเจ้าไปทำมาเป็นอย่างไรบ้าง” องค์หญิงคนงามถามด้วยพระพักตร์เรียบตึง หนึ่งในทหารองครักษ์เงาทูลตอบ “ทูลองค์หญิง เรื่องที่ให้ลอบวางมือสังหารนั้นเป็นไปได้อย่างเรียบร้อยพะยะค่ะ แต่ระหว่างทางเจอกับโจรมือสังหารกลุ่มหนึ่งเสียก่อน แต่พวกเราจัดการมันหมดแล้ว” “พวกมันเป็นใคร หรือว่าเป็นคนของเสด็จพี่” ซิ่วอิ่งถามต่อ “พวกมันมิได้กล่าวว่าใครคือผู้บงการ แต่กระหม่อมเจอสิ่งของนี้อยู่ในตัวของพวกมันพะยะค่ะ” องครักษ์เงานายเดิมกล่าวตอบ พลางยื่นตราซึ่งสลักชื่อสกุลหลี่เอาไว้ ‘หลี่ฮูหยิน’ นางโยนป้ายส่งคืนองครักษ์เงานายเดิม “เจ้าไปสืบมาว่าหลี่ฮูหยินเป็นใคร นางต้องเกี่ยวข้องเรื่องโจรมือสังหารที่พวกเจ้าจัดการไปแน่นอน ส่วนพวกเจ้าที่เหลือ...สังหารพระชายาจางซะ!” สายสืบของเมิ่งฉีกลับมารายงานความเคลื่อนไหวขององค์หญิงซิ่วอิ่งผู้เป็นน้องสาว รัชทายาทแคว้นเยว่ซึ่งกำลังควบอาชาสีขาวคู่ใจอย่างอารมณ์ดีเป็นต้องคลี่ยิ้มอย่างเบิกบาน แต่เป็นรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยแผนการร้ายกาจบางอย่าง “ท่าทางน้องสาวข้ามีใจคิดต่อหานอ๋องเป็นแน่แท้” เมิ่งฉีควบม้าไปพลางกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “จะทรงให้กระหม่อมทำเช่นไรต่อพะยะค่ะ” สายลับของเมิ่งฉีถามต่อ เมิ่งฉีคลี่ยิ้มบางๆ “ไปสืบความเคลื่อนไหวของนางมา หากนางทำแผนการผิดพลาด เราจะได้แก้ไขไม่ให้เหลือหลักฐานได้ทัน”หานไท่หยางควบม้านำจางอวิ๋นซีเข้ามาลึกสุดในป่าล่าสัตว์ วันนี้อ๋องหนุ่มผู้เป็นสามีล่าขนจิ้งจอกเงินได้ถึงสองตัว เขาแบกร่างของพวกมันพาดไหล่ ฉับพลันขณะที่นางเห็นลูกสุนัขจิ้งจอกที่ออกมาร้องระงมเมื่อรู้ว่าพ่อแม่ของพวกมันกลายเป็นเหยื่อของการล่าครั้งนี้
หานไท่หยางไม่อาจตัดใจสังหารลูกสุนัขจิ้งจอกตัวนั้นได้ลง เขาเก็บคันธนูและมองร่างของจิ้งจอกทั้งสองอย่างสังเวชใจ เตรียมชักม้าหันหลังกลับไปล่าเสือโคร่งใหญ่แทน “เดี๋ยวก่อนสิท่านอ๋อง” นางเรียกเขา พลางกระโดดลงจากหลังม้า อุ้มลูกสุนัขจิ้งจอกน้อยตัวนั้นเอาไว้ในอ้อมแขนอย่างแผ่วเบา พลางลูบหัวและศีรษะของมันอย่างปลอบใจ “ลูกสุนัขจิ้งจอกตัวนี้ ข้าขอเอาไปเลี้ยงที่วังได้หรือไม่” หานไท่หยางย่อมตามใจนางอยู่แล้ว “ตามใจเจ้าสิ” หญิงสาวคลี่ยิ้มกว้าง นางกอดลูกสุนัขจิ้งจอกตัวนั้นด้วยความเอ็นดู ก่อนจะอุ้มพาขึ้นหลังม้าไปด้วยกัน นางควบม้าตามผู้เป็นสามีมาจนถึงอาณาเขตอีกด้านหนึ่ง ซึ่งเป็นส่วนที่เงียบสงัดและลึกที่สุดของป่านี้ บริเวณแถบนี้ถ้าหากนางคาดเดาไม่ผิดจากสารคดีที่เคยดู ภูมิอากาศบริเวณนี้เป็นเขตร้อนชื้นและเงียบสงบ มักจะเป็นถิ่นที่อยู่ของสัตว์นักล่าอย่างเสือโคร่งหรือหมาป่าสีเทา บริเวณนี้เงียบจนน่ากลัวยิ่งนัก “ท่านอ๋อง” นางควบม้าเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ด้วยความหวาดกลัว อ๋องหนุ่มจับความรู้สึกจากน้ำเสียงของผู้เป็นภรรยาได้ จึงตัดสินใจลงจากหลังม้าของตนเองพร้อมธนูและแล่งบรรจุคันศร ขึ้นมาอยู่บนอาชาตัวเดียวกับนาง อ๋องหนุ่มกระซิบข้างใบหูของผู้เป็นภรรยาที่กำลังอุ้มลูกสุนัขจิ้งจอกน้อย นางกระชับลูกสุนัขจิ้งจอกน้อยด้วยความหวาดกลัวต่อบรรยากาศที่เริ่มเงียบและวังเวงยิ่งขึ้น ชายหนุ่มกระซิบที่ใบหูของนางอย่างปลอบใจ “เจ้าไม่ต้องกลัว มีข้าอยู่ด้วย ไม่มีใครทำอันตรายเจ้าได้” หานไท่หยางกุมบังเหียนบังคับม้าต่อไป จนแน่ใจว่าเมื่อถึงเขตล่าสัตว์กลางป่าลึก บริเวณนี้มักเป็นที่อยู่ของสัตว์นักล่าแบบเดี่ยวอย่างเสือโคร่ง คราวนี้เขาจะต้องเป็นผู้กำชัยชนะให้ได้ดั่งเช่นเมื่อปีที่แล้ว เขาจะไม่ยอมให้หานอี้มีชัยชนะเหนือเขาเด็ดขาด พรึ่บ! เหล่าทหารองครักษ์เงาขององค์หญิงซิ่วอิงกระโดดลงมาจากต้นไม้ พวกมันใส่ผ้าสีดำปิดคาดหน้าผากและริมฝีปาก ทำให้เห็นเพียงส่วนดวงตาที่โผล่พ้นออกมาเท่านั้น จางอวิ๋นซีตะโกนเรียกผู้เป็นสามี “ท่านอ๋อง ระวัง!...” องครักษ์เงาขององค์หญิงซิ่วอิ่งไม่รอช้าอีกต่อไป พวกมันมุ่งมารุมล้อมจางอวิ๋นซีและหานไท่หยาง อ๋องหนุ่มที่ไม่ทันตั้งรับการโจมตีถูกกระโดดพุ่งเข้าใส่ยอดอกจนล้มลงกับพื้น ทำให้จางอวิ๋นซีที่นั่งบนอาชาตัวเดียวกันพลันล้มลงจากหลังม้า ในมือของนางนั้นอุ้มกอดร่างของลูกสุนัขจิ้งจอกน้อยเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย หญิงสาวหยัดกายยืนขึ้นใช้เสื้อคลุมที่หานไท่หยางตัดให้ตนเองห่อร่างของลูกสุนัขจิ้งจอกน้อย แล้วพาดผูกติดทางด้านหลัง ขมวดเป็นปมแน่นหนาเพื่อมิให้เจ้าลูกสุนัขจิ้งจอกตัวนั้นได้รับบาดเจ็บและหนีหายไป “คิดจะมาเล่นงานข้า รู้จักกันน้อยไปซะแล้ว! ฮ่าๆ” นางตะโกนเสียงดังและระเบิดหัวเราะ พลางบิดศีรษะไปมาเล็กน้อยก่อนจะบีบฝ่ามือกำปั้นจนเกิดเสียงดังกร๊อบ กร๊อบ! คนพวกนี้ไม่รู้อันใดเสียแล้ว ว่าหญิงสาวสมัยใหม่จากโลกปัจจุบันอย่างนาง ได้ร่ำเรียนวิชาการต่อสู้อย่างเทควันโดและคาราเต้มาด้วย วิชายิงปืน ยิงธนูนางก็ร่ำเรียนมาหมดจนได้ใบประกาศนียบัตรจากกระทรวงกลาโหมของรัฐบาลจีนนับไม่ถ้วน มือสังหารแค่นี้ไม่คณามือ หญิงสาวแน่นอน “พวกเราได้รับคำสั่งให้มาฆ่าเจ้า!” หนึ่งในทหารองครักษ์เงาของ ซิ่วอิ่งกล่าวอย่างกล้าๆ กลัวๆ “จะฆ่าข้า แต่มาทำร้ายสามีข้าน่ะหรือ?” นางยอกย้อนถามกลับ มองหน้าพวกมันเหล่านั้นด้วยแววตาอำมหิต “เคยได้ยินหรือเปล่า สามีข้า...ใครอย่าแตะ!” สิ้นคำกล่าวอันไม่คุ้นหู องครักษ์เงาเหล่านั้นได้แต่ยืนงง เป็นโอกาสให้จางอวิ๋นซีให้วิชาคาราเต้ที่นางได้ร่ำเรียนมาจากโลกปัจจุบัน จัดการเหล่ามือสังหาร ซึ่งเป็นองครักษ์เงาขององค์หญิงซิ่วอิ่งจนสลบเหมือด หญิงสาวปัดมือออกราวกับปัดเศษฝุ่นผงออกจากมือ มองผลงานของตนเองด้วยความภาคภูมิใจ แม้มือสังหารเหล่านี้นางจะไม่คุ้นหน้า แต่อาจเป็นคนที่จางเซียวหรูกับหลี่ฮูหยินส่งมาลอบสังหารนางก็ได้ คนที่มีปัญหากับนางก็มีแค่สองคนนั้น จางอวิ๋นซีรีบเข้ามาดูหานไท่หยางที่ล้มลงนอนกับพื้น ชายหนุ่มเห็นภาพที่เกิดขึ้นทั้งหมดเมื่อครู่ก็ยังอดหวาดกลัวไม่ได้ ชายาของเขาช่างน่ากลัวแท้! “ท่านอ๋อง ท่านเป็นอย่างไรบ้าง บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า” เมื่อนางถามแบบนี้ เขาอยากตอบนางนักว่าชายชาตรีแบบเขาโดนกระแทกแค่นี้ไม่บาดเจ็บหนักเท่าใดนัก แต่เห็นนางเป็นห่วงเป็นใยเสียขนาดนี้ เขาก็อยากให้นางเป็นห่วงเขานานๆ นัก เมื่อคิดแผนการบางอย่างขึ้นมาได้ จึงบอกว่า “เจ็บ...ที่ตรงนี้” เขาแสร้งเอานิ้วสกัดจุดตนเอง แต่มิได้สกัดจุดเพื่อให้หายเจ็บปวด เขาทำเพื่อให้ตนเองกระอักเลือดอย่างน่าสงสารออกมาต่อหน้าภรรยาเท่านั้น อึก! อ๋องหนุ่มกระอักเลือดอึกใหญ่ออกมาอย่างได้ผล วิชาการสกัดจุดของเขายังคงใช้ได้เช่นเคย จางอวิ๋นซีรีบนำลูกสุนัขจิ้งจอกวางไว้บนพื้นอย่างแผ่วเบา ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าที่ตนเองพกติดตัวมาซับเลือดที่มุมปากให้เขา หญิงสาวจุดพลุส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ แล้วค่อยๆ ประคองหานไท่หยางผู้เป็นสามีไปนั่งพิงหลังใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง หญิงสาวเอาใบหูแนบกับหน้าอกของเขา ตำแหน่งที่เขาชี้คือหัวใจ หากหัวใจเกิดภาวะผิดปกติจากแรงกระแทกเมื่อสักครู่ อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ และอาจเป็นไปได้ว่าภายใน นั้นอาจบาดเจ็บถึงซี่โครงซึ่งอยู่ใกล้กับเยื่อหุ้มปอดและกระบังลม “เมื่อสักครู่เจ้าน่ากลัวมาก เจ้าไปร่ำเรียนการต่อสู้เหล่านั้นมาจากที่ใด” หญิงสาวอ้าปากค้าง ด้วยกลัวว่าความลับจะแตก นางจึงแสร้งปั้นเรื่องโกหกขึ้นมา “อ๋อ พอดีข้าเคยเรียนเอาไว้น่ะ เพราะมีพวกคนไม่ดีชอบรังแกข้าบ่อยๆ” หญิงสาวตอบพลางซับเลือดที่เริ่มไหลเปรอะเปื้อนหน้าอกของผู้เป็นสามี “แต่สิ่งที่เจ้าทำเมื่อสักครู่อาจได้รับอันตรายถึงชีวิตได้ ข้าเป็นบุรุษอย่างไรก็ย่อมเชี่ยวชาญกว่าเจ้าที่เป็นสตรี หากเจ้าเป็นอะไรไปขึ้นมา แล้วข้าจะทำเช่นไร” หานไท่หยางมองลึกเข้ามาในดวงตาของนาง เขารู้ว่านางเก่ง นางมีความสามารถ แต่สตรีต่อสู้กับบุรุษนับสิบอย่างไร เสียก็มีโอกาสเพลี่ยงพล้ำได้ หญิงสาวหน้าแดงไปชั่วขณะหนึ่ง “หากไม่มีข้า ก็มีองค์หญิงซิ่ว อิ่งอย่างไรเล่า นางอยากเป็นชายาของท่านจนตัวสั่นเสียขนาดนั้น” หานไท่หยางจับไหล่ของนางแน่น บังคับให้นางมองสบตากับเขา “ข้าไม่เคยรู้จักองค์หญิงซิ่วอิ่ง นางเป็นธิดาแคว้นเยว่และเป็นน้องสาวเมิ่งฉี ศัตรูของข้า ข้าไม่มีทางรักนาง คนที่ข้ารักมีเพียง...” “ท่านอ๋องเพคะ” องค์หญิงซิ่วอิ่งควบม้านำทหารของแคว้นเยว่และแคว้นหานมาหาหานไท่หยางด้วยตนเอง อ๋องหนุ่มซึ่งกำลังจะเอ่ยคำรักต่อภรรยาของเขาต้องหัวเสีย นานๆ ทีเขาจะสามารถรวบรวมความกล้าบอกกับนาง แต่สุดท้ายก็ต้องถูกขัดจังหวะเสียได้ องค์หญิงซิ่วอิ่งวิ่งเข้ามาแทรกจางอวิ๋นซีอย่างเสียมารยาท นางเข้ามาประคองหานไท่หยางให้ลุกขึ้น “หม่อมฉันจะพาพระองค์กลับไปที่วังเองเพคะ” หานไท่หยางสะบัดตัวนางออกจากแขนของเขา จางอวิ๋นซีเดินเข้ามาประคองสามีของตนเอง นางเห็นซิ่วอิ่งเหลือบปรายตามองอย่างไม่พอใจนัก “หานอ๋องทรงได้รับบาดเจ็บจากการล่าสัตว์ถึงเพียงนี้ ให้เขาไปนั่งบนหลังม้าตัวเดียวกับน้องสาวของข้าเถิด ม้าของพระชายาได้รับบาดเจ็บหนัก อีกทั้งยังมีเจ้าลูกสุนัขจิ้งจอกตัวนั้นอีก เชิญท่านขึ้นอาชาตัวเดียวกับข้าเถิด” เมิ่งฉีผายมือเชื้อเชิญอย่างใจดี ทหารส่วนหนึ่งขององค์หญิงซิ่วอิ่งประคองพาหานไท่หยางไปที่อาชาของอีกฝ่าย ส่วนจางอวิ๋นซีไม่มีทางเลือกนอกจากต้องขึ้นอาชาตัวเดียวกับเมิ่งฉีแล้วออกจากป่านี้ ซิ่วอิ่งลอบชื่นชมความหล่อเหลาของหานไท่หยางในใจ นางมาแคว้นหานครั้งนี้ นางไม่ได้ต้องการมาเจริญสัมพันธไมตรีเพียงอย่างเดียว แต่นางต้องการอภิเษกเป็นพระชายาเอกของหานไท่หยางอย่างสมเกียรติ ต่อให้เขามีพระชายาเอกอยู่ก่อนแล้วอย่างไร อีกฝ่ายก็เป็นแค่หลานฮองเฮา เป็นบุตรสาวจากจวนอัครมหาเสนาบดีเท่านั้น แต่ซิ่วอิ่งเป็นถึงองค์หญิง มียศศักดิ์ทางสังคม อีกทั้งฐานะนั้นยิ่งใหญ่พอสนับสนุนหานไท่หยางให้เป็นฮ่องเต้องค์ต่อไปได้ไม่ยาก หากนางทำให้หานไท่หยางยอมแต่งงานกับนาง นางจะได้ทั้งตัวเขาและแคว้นหานไปครอบครองแน่นอน ตลอดระยะเวลาที่นางพาอ๋องหนุ่มขึ้นม้าตัวเดียวกันมานั้น นางพยายามส่งสายตาทอดสะพานให้เขา แต่เขากลับมิชายตามองนางเลยสักนิด! นางงดงามออกเพียงนี้ ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนมีตบะแก่กล้าเท่าใด ก็ไม่อาจรอดพ้นเสน่ห์มารยาหญิงของนางไปได้เด็ดขาดจางอวิ๋นซีรีบกระโดดลงจากหลังม้า เมื่อขบวนออกพ้นจากเขตป่าเข้าไปหาหานไท่หยางที่กำลังลงจากม้าขององค์หญิงซิ่วอิ่งเช่นกัน แต่ทว่านางถูกซิ่วอิ่งปัดมือออกจากสามี ทั้งๆ ที่นางคือภรรยาของเขา และซิ่วอิ่งเป็นแค่คนนอก
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันดูบาดแผลให้นะเพคะ” ซิ่วอิ่งพยายามใช้โอกาสที่ได้ใกล้ชิดกับเขาเช่นนี้ พยายามเอาอกเอาใจ ยั่วยวนเขาสารพัด พยายามทำให้จางอวิ๋นซีรู้สึกว่าตนเองด้อยค่าเมื่อเทียบกับองค์หญิงสูงศักดิ์อย่างนาง “ไม่ต้อง!” หานไท่หยางปัดมือใส่ซิ่วอิ่งอย่างแรง จนนางเกือบเซล้มลงหากเมิ่งฉีไม่มาช่วยประคองเอาไว้ทัน เขาใช้มือข้างที่ไม่ได้กุมบาดแผลหน้าอกเข้ามาดึงร่างของผู้เป็นภรรยามาแนบชิดใกล้ “ท่านอ๋อง ซิ่วอิ่งทำสิ่งใดผิดกันเพคะ พระองค์ถึงต้องรุนแรงเช่นนี้” องค์หญิงแคว้นเยว่แสร้งถามน้ำตาคลอ นางหันมาขอความเห็นใจจากผู้เป็นพี่ชาย “มีสิ่งใดค่อยพูดค่อยจากันเถิดหานไท่หยาง หากท่านทำร้ายน้องสาวข้า เช่นนี้ ทางแคว้นเยว่ของเราคงได้เปิดศึกกับแคว้นหานอีกครา” เมิ่งฉีกล่าวสมทบ จางอวิ๋นซีกำอกเสื้อแน่น นางเก็บบางสิ่งบางอย่างได้เมื่อตอนที่จัดการกลุ่มมือสังหารกลุ่มนั้น นางอยากกระชากออกมาต่อหน้าเชื้อพระวงศ์ต่างบ้านต่างเมืองที่เข้าร่วมงานทุกคนนักว่าเกิดสิ่งใดขึ้น แต่การทำเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่ดี เพราะหากเกิดสิ่งใดกับนางขึ้นมา ครอบครัวกับมารดาก็ไม่พ้นต้องรับเคราะห์ตามไปด้วย จางอวิ๋นซีปรามหานไท่หยาง นางรู้อารมณ์ของผู้เป็นสามีในตอนนี้ดีว่าเป็นเช่นไร เมิ่งฉีตั้งใจยั่วยุโทสะของเขาโดยใช้นางเป็นเครื่องมือ แผนการแยกนางกับเขาออกจากกันเมื่อสักครู่ เมิ่งฉีก็ทำเพื่อต้องการให้เขาแสดงอาการหึงหวงไม่พอใจออกมา เพื่อมาทำร้ายอีกฝ่าย เป็นวิธีการที่แยบยลอย่างยิ่ง เขาแทบไม่ต้องออกแรงใดก็สามารถใช้นางเป็นจุดอ่อนกำจัดหานไท่หยางได้ และดูท่าทางคนที่ได้ประโยชน์นอกจากเขาก็คงมีหานอี้ หากหานไท่หยางกระทำการเกินขอบเขต สร้างความไม่พอใจให้แก่ทั้งสองแคว้น หานอี้คือคนที่ได้ประโยชน์ที่สุดโดยไม่ต้องทำสิ่งใด หากนางคาดเดาไม่ผิด อาจมีคนใดสักคนในแคว้นหานที่อยู่เบื้องหลังการลอบทำร้ายนางกับสามีในครั้งนี้ และพวกมันอาจร่วมมือกับแคว้นเยว่เพื่อทำลายแคว้นหาน จางอวิ๋นซีถอนหายใจออกมาเบาๆ นางกล่าวอย่างใจเย็น “องค์หญิง องค์รัชทายาท พวกท่านมาที่นี่บ้านเมืองเรา พวกเราทุกคนก็ต้อนรับขับสู้พวกท่านอย่างดีไม่ขาดตกบกพร่องสิ่งใด แต่สิ่งที่ท่านและพี่ชายของท่านทำกับข้าและสามีข้าอย่างไม่ให้เกียรติในวันนี้ สมควรแล้วหรือที่เชื้อพระวงศ์เช่นพวกท่านทั้งสองพึงกระทำ” หานอี้ที่ร่วมฟังในเหตุการณ์ลอบยิ้ม ซิ่วอิ่งไม่พอใจ “ข้ามาที่นี่ ก็ไม่ได้มาเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีอย่างเดียว แต่เสด็จพ่อปรารถนาให้ข้าเป็นทองแผ่นเดียวกับแคว้นหาน...” นางพูดพลางปรายหางตามองหานไท่หยางเพียงครู่หนึ่ง หลิวฮองเฮาที่นั่งฟังอยู่นานทรงเดินลงมาจากที่ประทับ “ในสาสน์นั้นระบุเพียงแค่ว่าพวกท่านปรารถนาเจริญสัมพันธไมตรี หาได้กล่าวเรื่องการอภิเษก องค์หญิงคงเข้าพระทัยผิดกระมัง” หลิวฮองเฮาไม่ชอบ พฤติกรรมขององค์หญิงแคว้นเยว่ผู้นี้นักสมรสพระราชทานระหว่างจางเซียวหรูและหานอี้ ถูกประกาศไว้ทั่วเมืองอย่างยิ่งใหญ่ด้วยฝีมือของหยางเต๋อเฟย ไม่แพ้คราวที่จางอวิ๋นซีแต่งงานกับหานไท่หยางเลยสักนิด เป็นที่โจษจันกันทั่ววังหลวงว่าในอนาคตนี้ อ๋องใหญ่หานอี้อาจได้รับการสถาปนาเป็นรัชทายาทเป็นแน่ด้วยอุปนิสัยของหานอี้ที่เข้าถึงได้ง่าย มีจิตใจโอบอ้อมอารี คอยช่วยเหลือประชาชนที่ตกทุกข์ได้ยาก และจางเซียวหรูที่เป็นถึงบัณฑิตหญิงอันดับหนึ่งของแคว้นหาน ย่อมเหมาะสมยิ่งนักราวกับกิ่งทองใบหยก ข่าวดีนี้ทำให้มีเหล่าเสนาบดีน้อยใหญ่มากมายต่างมาผูกสัมพันธ์กับสกุลจางให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเหล่าบรรดาคุณหนูทั้งหลายที่เคยตราหน้าจางเซียวหรูว่าเป็นบุตรีฮูหยินรอง บัดนี้พวกนางต่างมานอบน้อมต่อจางเซียวหรูทั้งสิ้นข้าวของเงินทองถูกนำมาเป็นของกำนัลล่วงหน้าในงานแต่งงาน ทรัพย์สินสมรสของหานอี้ถูกทยอยส่งมาเรื่อยๆ ไม่ขาดสาย อีกทั้งยังมีเครื่องประดับเพชรนิลจินดามากมายที่ถูกส่งมาจากหยางรั่วอวิ๋นหรือ หยางเต๋อเฟย“เครื่องประดับพวกนี้งดงามนักเจ้าค่ะท่านแม่ ท่านย่าว่าอย่างไรเจ้าคะ” ไท่ฮูหยินที่เป็นย่าก็ร่วมยินดีที่หลานสาว
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในงานเทศกาลล่าสัตว์เมื่อวันก่อน ทำให้ หยางเต๋อเฟยกังวลพระทัยอยู่หลายวัน เนื่องจากการมีองค์หญิงแคว้นเยว่เข้ามาเกี่ยวข้องในฐานะพระชายารองของหานไท่หยาง อาจส่งผลให้อำนาจของหานอี้บุตรชายของนางลดลง ดังนั้นวันนี้พระนางจึงเดินทางไปเข้าเฝ้าไทเฮา เพื่อทวงสัญญาเรื่องสมรสพระราชทานระหว่างหานอี้กับจางเซียวหรูแต่ทว่าจังหวะที่กำลังเข้าเฝ้าอยู่นั้น องค์หญิงซิ่วอิ่งก็เดินทางเข้าวังมาถวายพระพรฮองเฮาและไทเฮาตามธรรมเนียมพอดี ทำให้พระนางต้องยืนรอให้อีกฝ่ายออกไปให้พ้นหูพ้นตาเสียก่อน จึงริเริ่มแผนการสมรสพระราชทานเมื่อคล้อยหลังองค์หญิงซิ่วอิ่งแล้ว หยางรั่วอวิ๋นหรือหยางเต๋อเฟยจึงไปเข้าเฝ้าไทเฮาที่ตำหนักคังเฉวียนทันที นางทวงถามสัญญาเรื่องสมรสพระราชทานจากไทเฮา“ดูเจ้าจะรีบร้อนเสียจริง เรื่องการแต่งงานของหลานข้า หานอี้” ไทเฮาทรงจิบชาอย่างเกษมสำราญ มิได้ทุกข์ร้อนดังเช่นหยางเต๋อเฟย“แต่เสด็จแม่เคยให้สัญญากับข้าเอาไว้ แล้วว่าจะประกาศเรื่องสมรสพระราชทานในวันเทศกาลล่าสัตว์ ทรงลืมแล้วหรือเพคะ” หยางเต๋อเฟยกล่าวอย่างร้อนใจ
ภายในใจของจางอวิ๋นซีในตอนนี้ ไม่ต่างกับไฟร้อนที่สุมทรวง นางไม่เข้าใจว่าอาการเหล่านี้คือสิ่งใด หากเป็นที่โลกปัจจุบันของนาง คงเป็นเพราะธาตุทั้งห้าในร่างกายกำลังแปรปรวนเป็นแน่หญิงสาวรีบเดินจ้ำอ้าวเข้ามาในตำหนัก ปิดประตูไม่ต้อนรับผู้ใดทั้งสิ้น แม้กระทั่งหรูหรงและหยางกูกูก็ยังยืนรอแค่นอกห้อง“ทำไมข้าต้องรู้สึกโกรธที่เจ้าอยู่กับคนอื่นด้วยนะ” นางเอามือกุมหน้าอกที่กำลังร้อนรุ่มด้วยเหตุผลบางอย่าง จะว่านางประจำเดือนมาหรือไม่ก็คงไม่ใช่“หรูหรง หยางกูกู เข้ามาหาข้าที” ข้ารับใช้ทั้งสองรีบเดินเข้ามาเมื่ออีกฝ่ายมีรับสั่งเรียก“เพคะ พระชายา” หรูหรงเดินเข้ามา“หรูหรง เจ้าไปตลาดสด ซื้อสมองหมูกับไส้หมูมาให้ข้าที ส่วน หยางกูกู ท่านไปที่โรงครัว เตรียมมีดสั้นกับตะเกียบมาให้ข้าด้วย” นางสั่งยืดยาวหรูหรงและหยางกูกูมองหน้ากันอย่างงุนงง ของทั้งสองอย่างนั้นพระชายาของพวกนางจะเอามาทำสิ่งใดกันแน่“พระชายาจะเอาของพวกนั้นมาทำสิ่งใดเพคะ” หยางกูกูถามด้วยความอยากรู้
องค์หญิงซิ่วอิ่ง นอกจากจะมีพฤติกรรมถือดี ยโสโอหังแล้วนั้น ยังแสดงความไม่เคารพต่อจางอวิ๋นซีผู้เป็นพระชายาเอกแห่งวังอ๋องอย่างชัดเจน“เป็นแค่พระชายาเอกต่ำศักดิ์ มีสิทธิ์อันใดหรือมาสั่งข้า” ซิ่วอิ่งกล่าววาจาดูถูกดูแคลนอย่างชัดเจน นางยืนกอดอกไม่แสดงความเคารพต่ออีกฝ่ายเลยสักนิดจางอวิ๋นซียกยิ้ม “เจ้าอยู่ที่นี่ก็มิใช่แขกบ้านแขกเมืองอีกต่อไป ในเมื่ออีกหนึ่งปีต่อจากนี้เจ้าก็ต้องแต่งเข้ามาเป็นพระชายารองให้สามีข้า หน้าที่ในการอบรมสั่งสอนเจ้าให้รู้ถึงกฎธรรมเนียมของวัง ย่อมเป็นหน้าที่ข้า ดังนั้นข้าจะทำเช่นใดกับเจ้าก็ย่อมได้”“แต่เดิมทีหน้าที่อบรมขนบธรรมเนียมเป็นหน้าที่ของกูกูใหญ่ ไม่ใช่หน้าที่ของพระชายาเอก” ซิ่วอิ่งแย้งทันควัน หยางกูกูลอบยกยิ้มส่งเสริมพระชายาเอกของนาง“เป็นดั่งที่พระชายาเอกทรงกล่าวเพคะ หน้าที่ในการอบรมสั่งสอนองค์หญิง ย่อมเป็นหน้าที่ของพระนาง จะเป็นหน้าที่ของข้าก็ย่อมได้ แต่ในเมื่อพระชายาเอกทรงปรารถนาจะสั่งสอนองค์หญิงด้วยตนเอง หม่อมฉันก็ไม่อาจขัดพระประสงค์ได้” หยางกูกูกล่าวเสริม นางนับถือจ
องค์หญิงซิ่วอิ่งยกยิ้มอย่างผู้เหนือกว่า นางหันมามองเมิ่งฉีผู้เป็นพี่ชายเชิงส่งสัญญาณ เมิ่งฉีรีบกล่าวทันที“ทูลฮองเฮา ที่น้องสาวกระหม่อมกล่าวมานั้นเป็นความจริงทุกประการ เสด็จพ่อทรงปรารถนาให้น้องหญิง อภิเษกกับพระราชบุตรองค์ใดองค์หนึ่งของฝ่าบาท เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของทั้งสองแคว้นพะยะค่ะ” เมิ่งฉีกล่าว สายตาเต็มไปด้วยความเย้ยหยันร้ายกาจ“เมื่อสักครู่ฝ่าบาท ฮองเฮา ไทเฮาและทุกคนได้ประจักษ์แก่สายตาแล้ว ว่าหม่อมฉันได้ขี่ม้าตัวเดียวกับหานไท่หยาง เสด็จพ่อหม่อมฉันทรงปรารถนาให้หม่อมฉันอภิเษกกับหานไท่หยางเพคะ” ซิ่วอิ่งยกยิ้มมุมปาก นางหันไปเย้ยหยันจางอวิ๋นซีที่ยืนนิ่งทำสิ่งใดไม่ถูก“อาหยางของข้ามีชายาเอกอยู่แล้ว การที่องค์หญิงทำเช่นนี้ย่อมไม่เหมาะสม” หานไทเฮาทรงกล่าวพระสุรเสียงนุ่มนวล“แต่น้องสาวของข้ามาที่นี่เพื่อการอภิเษก หากพวกท่านทำเช่นนี้ ตามธรรมเนียมแล้วนางไม่สามารถอภิเษกกับบุรุษอื่นได้อีก พวกท่านทำเช่นนี้ เท่ากับพวกท่านไม่ให้เกียรติทางต้าเยว่ของข้า!” เมิ่งฉีแสร้งมีท่าทีเดือดดาล“ห
จางอวิ๋นซีควบม้านำหานอ๋องไท่หยางผู้เป็นสามี จนกระทั่งมาถึงบริเวณสนามประลองใจกลางป่า ซึ่งมีธงสีแดงโบกพลิ้วไสวอยู่ ธงสีแดงที่โบกพลิ้วอยู่นี้เป็นสัญลักษณ์ของจุดรวมพล หลังจากเสร็จสิ้นการประลองก่อนหมดเวลาเพียงหนึ่งเค่อทุกคนจะต้องมารวมตัวกันที่นี่ทางด้านหลังของหานไท่หยางก็ยังมีองค์หญิงซิ่วอิ่งตามติดมาเช่นกัน อีกฝ่ายยังคงควบม้าตามสามีของนางไม่ลดละ หน้าไม่อายยิ่ง!“นึกว่าจะตามท่านอ๋องไม่ทันเสียแล้ว” นางยกสายบังเหียนขึ้นสูงบังคับให้ม้าหยุด พลางส่งยิ้มหวานให้หานไท่หยางอย่างออดอ่อยเต็มที่“ตามข้ามาทำไม” ชายหนุ่มถามอีกฝ่ายตรงๆ อย่างไม่ไว้หน้านาง ทำเอาองค์หญิงแคว้นเยว่หน้าชาไปชั่วขณะหนึ่ง ไม่เคยมีบุรุษใดถามคำถามนางเช่นนี้มาก่อน อีกทั้งรูปโฉมอันงดงามของนางก็ยากจะมีชายใดปฏิเสธ แต่หานไท่หยางเป็นคนแรกที่กล้าทำเช่นนี้กับนาง“อะ เอ่อ คือ...” นางเอ่ยตะกุกตะกัก “หม่อมฉัน ปรารถนาจะร่วมล่าสัตว์กับท่านอ๋องนะเพคะ”หานไท่หยางเบื่อหน่ายท่าทีขององค์หญิงผู้นี้นัก “ถ้าเช่นนั้นองค์หญิงก็ดูแลตนเอง เพ