หานไท่หยางวางร่างของจางอวิ๋นซีอย่างแผ่วเบา ราวกับรักหยกถนอมบุปผายิ่งนัก หญิงสาวนั่งตัวแข็งทื่อภายในใจรู้สึกขัดเขินอย่างหนัก นางทำตัวไม่ถูกนักเมื่อบุรุษที่นางไม่อยากแต่งงานด้วยทำดีกับนางถึงเพียงนี้ หรือนี่จะเป็นตัวตนที่แท้จริง ภายใต้หน้ากากที่เย็นชา
“ขอบพระทัยท่านอ๋องเพคะ” นางก้มศีรษะพลางกล่าวขอบคุณ หานไท่หยางตีหน้าขรึม กล่าวด้วยน้ำเสียงดุ “เจ้าเป็นว่าที่พระชายาเอกของข้า ข้าไม่อยากให้มีข่าวเสื่อมเสียก่อนเจ้าจะแต่งเข้าตำหนัก” หมดกัน..! คำชื่นชมเมื่อสักครู่นางขอถอนคืนได้หรือไม่?! “เพคะ หม่อมฉันย่อมรู้ดีว่าท่านอ๋องไม่เต็มใจช่วยหม่อมฉันหรอก” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงแกมประชดประชัน “ขอบพระทัยท่านอ๋องนักเพคะ ที่พาซีเอ๋อร์มาส่งถึงเรือน” จางฮูหยิน ย่อกายคำนับอย่างนอบน้อม หานไท่หยางก้มศีรษะรับด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “ที่ข้ามาวันนี้ก็เพื่อจะมาคุยเรื่องสินสอดทองหมั้น แต่เห็นทีวันนี้คงไม่สะดวกเสียแล้ว เชิญฮูหยินใหญ่กับไท่ฮูหยินตามสบายเถิด” หานไท่หยางกล่าวแล้วเดินออกจากเรือนของหญิงสาวว่าที่พระชายา โดยมีหรูหรงกับพ่อบ้านมู่เดินออกไปส่งหน้าจวน จางฮูหยินกับไท่ฮูหยินน้อมส่งหานไท่หยาง หลังจากนั้นจึงเข้ามาดูจางอวิ๋นซีด้วยความเป็นห่วง “เจ้าเป็นอย่างไรบ้างซีเอ๋อร์” จางฮูหยินถามด้วยความเป็นห่วง นางยิ้มให้กับมารดา “ข้าไม่เป็นอะไรมากเจ้าค่ะท่านแม่ ท่านย่า” “ดีนะที่ท่านอ๋องมาช่วยเจ้าเอาไว้ หาไม่แล้วเจ้าลูกอกตัญญูของข้าคงหาทางลงโทษเจ้าไม่มีสิ้นสุด” ไท่ฮูหยินเอ่ยอย่างเจ็บใจ บุตรชายของนางโง่เขลานักที่หลงเล่ห์กลมารยาของหลี่ฮูหยินจนแทบไม่ลืมหูลืมตา ส่วนจางเซียวหรูผู้เป็นหลานสาวนั้นก็กระไรนัก อิจฉาได้แม้กระทั่งน้องสาวในไส้ของตนเอง จางอวิ๋นซีกุมมือไท่ฮูหยิน “หลานไม่เป็นอะไรจริงๆ เจ้าค่ะท่านย่า อีกไม่นานหลานก็จะเป็นพระชายาเอกของท่านอ๋องแล้ว ท่านย่าอย่าได้กังวลเลยเจ้าค่ะ” “ซีเอ๋อร์ของย่า” ไท่ฮูหยินลูบหัวหลานสาวสุดที่รักอย่างรักใคร่แค่เพียงนึกถึงภาพที่นางโดนลงโทษอย่างไร้เหตุผล โทสะของหานไท่หยางพลันคุกรุ่นขึ้นมาอีกครั้ง หากไม่ติดว่าจางเยี่ยนและจางฮูหยินผู้เป็นท่านน้าของเขา มีความสัมพันธ์อันดีกับหลิวฮองเฮาผู้เป็นมารดามานาน เขาจะสังหารจางเยี่ยนทิ้งเสีย!
ไม่รู้เหตุใดที่เขาโมโหเป็นฟืนเป็นไฟเพราะนาง หัวใจของเขาที่ไม่เคยมีสตรีใดเข้ามา แต่บัดนี้กลับค่อยๆ เปิดรับจางอวิ๋นซีเข้ามาทีละนิด สตรีขี้โรคหน้าตาอมทุกข์ที่เขาเคยรู้จักตั้งแต่เยาว์วัย ตอนนี้นางเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน แต่ท่าทีของนางที่เปลี่ยนไปนี้กลับทำให้หัวใจของเขาที่แห้งผาก กลับมามีชีวิตชีวาได้อีกครั้ง “ท่านอ๋องจะให้กระหม่อมจัดการคนพวกนั้นหรือไม่พะยะค่ะ” เฉินหรงถามผู้เป็นนายจากการคาดเดาอารมณ์ ท่านอ๋องของเขาอารมณ์เสียนับตั้งแต่เหตุการณ์ว่าที่พระชายาถูกลงโทษ ตั้งแต่อยู่ในจวนสกุลจางแล้ว หานไท่หยางสั่งกับเฉินหรง “ไปสืบมาให้หมดใครกันบ้างที่เคยทำร้ายว่าที่พระชายาของข้า สืบมาให้หมดทุกคนแม้กระทั่งหมาแมวก็ห้ามละเว้น!” เฉินหรงประสานมือน้อมรับพระบัญชา “พะยะค่ะ” หลังจากน้อมรับพระบัญชาแล้วเฉินหรงก็เร่งสืบทันที ใครที่เคยทำร้ายหรือรังแกว่าที่พระชายาของเขา เขาไม่ปล่อยเอาไว้แน่! อึก! หานไท่หยางเอามือกุมสะบักไหล่ซ้ายด้วยความเจ็บปวดที่ส่งผ่านมา ความเจ็บปวดจากบาดแผลยาพิษเมื่อครั้งเยาว์วัย ก่อกำเนิดเป็นแผลเป็นที่ไม่มีวันจางหายไป ขันทีคนสนิทอย่างหลินกงกงรีบกุลีกุจอเข้ามาดูพระอาการด้วยความเป็นห่วง หลินกงกงกำลังจะสั่งนางกำนัลให้ไปตามหมอหลวงมา แต่หานไท่หยางปรามเอาไว้ก่อน “หากให้หมอหลวงมา พระมารดากับเสด็จย่าต้องทราบอาการเจ็บป่วยของข้าเป็นแน่ ปิดเรื่องนี้ให้เงียบที่สุด” หานไท่หยางสั่งเสียงดุ พลางส่งสายตาเตือนหลินกงกง หลินกงกงกระอักกระอ่วนใจนัก นับตั้งแต่กลับมาจากศึกทางตอนเหนือที่ตำบลซ่างจิ่ง อาการบาดเจ็บของหานไท่หยางดูจะไม่ทุเลาลงเลยแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำอาการยังแย่ลงกว่าเดิมนัก เรื่องนี้มีเพียงแค่หลินกงกงกับเฉินหรงเท่านั้นที่ทราบดี วังหลวงเป็นสถานที่ที่อันตรายมากมาย เบื้องลึกเบื้องหลังเต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงอำนาจภายในราชสำนัก สนมนางในมากมายต่างหมายจะให้โอรสตนเองเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์ ตอนนี้หานไท่หยางได้รับการเพ่งเล็งเป็นพิเศษจากบรรดาพระเชษฐาและพระอนุชาที่ถือกำเนิดจากพระสนมแต่ละองค์ หากเขาเดินหมากก้าวพลาดแม้แต่นิดเดียวชีวิตอาจถึงจุดจบ “วังหลวงเต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงอำนาจมากมาย อาการป่วยของข้าห้ามให้ใครทราบเด็ดขาด หากมีคนรู้นอกเหนือจากเจ้ากับเฉินหรงก็จงสังหารเสีย อย่าให้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป”หานไท่หยางกำชับเสียงหนักแน่น หลินกงกงหนักใจนัก แต่ก็ไม่อาจขัดพระประสงค์ได้ “พะยะค่ะ” อ๋องหนุ่มหยิบยาเม็ดลูกกลอนจากในอกเสื้อขึ้นมา ก่อนจะกลืนลงคออย่างรวดเร็วและดื่มน้ำชาตามลงไป แม้บาดแผลภายนอกจะเจ็บปวดมากเพียงใด แต่หานไท่หยางไม่มีวันแสดงความเจ็บปวดออกมาเด็ดขาดก่อนจะถึงฤกษ์แต่งงานนั้น สินสอดทองหมั้นต่างๆ ถูกส่งมาจากวังของหานไท่หยางอย่างยิ่งใหญ่ เครื่องประดับและทองคำมากมายเสียจนหลี่ฮูหยินกับจางเซียวหรูอดอิจฉาไม่ได้
“งดงามทั้งนั้นเลย” ไท่ฮูหยินหยิบเครื่องประดับและทองหมั้นทั้งหลายมาชื่นชม นางยกทองคำแท่งหนึ่งต่อหน้าจางอวิ๋นซี “หลานย่าโชคดีนัก” “ยังไม่หมดนะเจ้าคะคุณหนู อาภรณ์และเครื่องประดับงดงามนี้ถูกส่งมาจากในวัง ไทเฮากับหลิวฮองเฮาทรงคัดเลือกเองกับมือเลยนะเจ้าคะ ทั้งชุดแต่งงานนี้ฮองเฮาทรงสั่งให้ตัดใหม่เพื่อคุณหนูเลยเจ้าค่ะ” หรูหรงหยิบชุดพระราชทานขึ้นมาเชยชมต่อหน้าจางอวิ๋นซี “ก็หลานมีวาสนาอย่างไรเจ้าคะท่านย่า ท่านแม่ คนดีมักได้สิ่งดีๆ ตอบแทน” จางอวิ๋นซีแสร้งกล่าวกระทบกระเทียบให้หลี่ฮูหยินกับจางเซียวหรูได้ยิน ได้ผล...พวกนางสองแม่ลูกมองสิ่งของพระราชทานและสินสอดทองหมั้นตาลุกเป็นไฟ ไท่ฮูหยินปิดหีบซึ่งบรรจุสินสอดทองหมั้นมีมูลค่าจำนวนมากเอาไว้ “ซีเอ๋อร์ เดิมทีทรัพย์สมบัติทั้งหมดนี้ต้องตกเป็นของตระกูลทั้งหมด แต่ทว่าสินสอดทองหมั้นเหล่านี้ย่าอยากให้เจ้าเก็บเอาไว้ให้ดี แม้ท่านอ๋องจะทรงมีทรัพย์สินมากมาย แต่ย่าก็ไม่อยากให้เจ้าใช้เบี้ยหวัดของพระองค์มากนัก ของหมั้นทั้งหลายเจ้าเก็บเอาไว้เถิด ถือเป็นของขวัญวันแต่งงานของเจ้า” จางอวิ๋นซีกอดแขนไท่ฮูหยินกับจางฮูหยินอย่างเอาใจ “ท่านย่ากับท่านแม่คือคนที่ข้ารักที่สุด ทรัพย์สินอันใดข้าก็ไม่อยากได้เจ้าค่ะ ข้าให้ท่านย่ากับท่านแม่เก็บเอาไว้เถิด หานไท่หยางคงไม่ใจร้ายถึงขนาดไม่ให้เบี้ยหวัดรายเดือนหลานหรอก” จางฮูหยินซึ้งในน้ำใจบุตรสาวนัก “ลูกแม่ช่างเป็นเด็กกตัญญูเสียจริง” ไท่ฮูหยินเตือน “อีกไม่กี่วันหลานย่าจะต้องเข้าไปอยู่ในวังอ๋องแล้ว ทำตัวให้ดี ท่านอ๋องจะได้เมตตาเจ้า ไม่เช่นนั้นพระองค์อาจจะมีชายารองหรืออนุมาก็ได้” “เจ้าค่ะ” จางอวิ๋นซียิ้มแห้งๆ ‘อยากมีอนุหรือชายารองก็เรื่องของเขาสิ ขอแค่นางไม่เดือดร้อนก็พอ’ จางอวิ๋นซีคิดในใจ นางไม่สนใจธรรมเนียมโบราณที่ว่าเชื้อพระวงศ์ชายนั้นสามารถมีชายาเอกหนึ่ง หรือชายารองกี่คน ขอเพียงแค่อยู่ด้วยกันแล้วนางไม่เดือดร้อนก็พอแล้วมิใช่หรือ วังอ๋อง ของหานไท่หยาง ก่อนคืนแต่งงานนั้นหานไท่หยางไม่อาจข่มตานอนหลับได้! อ๋องหนุ่มนอนกระสับกระส่ายพลิกตัวไปมาแม้เพลานี้จะเป็นยามห้าย แล้วก็ตาม แต่หานไท่หยางก็ไม่อาจข่มตานอนหลับได้ลง ด้วยเพราะพรุ่งนี้คือวันอภิเษกของเขากับจางอวิ๋นซีแล้ว อ๋องหนุ่มรู้สึกประหม่ายิ่งนัก ยามนึกถึงคืนวันแต่งงานที่เริ่มใกล้เข้ามาทุกที และยิ่งไปกว่านั้นเขาตื่นเต้นยิ่งกว่าหากต้องเข้าร่วมหอกับนางคืนแรก! จะไม่ให้เขารู้สึกประหม่าได้เช่นไร ต่อให้มีสตรีมากมายทอดสะพานให้กับเขา แต่ทว่าเขานั้นกลับไม่เคยอ้าแขนรับสตรีใด แต่จางอวิ๋นซีเป็นคนแรกที่เขาโมโหเป็นฟืนเป็นไฟทุกครั้งที่มีคนมาทำร้ายนาง เขาไม่รู้นักว่าจะหักห้ามใจได้อีกหรือไม่หากมีคนคิดร้ายต่อนางอีก เมื่อเห็นผู้เป็นนายมีท่าทีกระสับกระส่ายราวกับคนนอนไม่หลับ หลินกงกงจึงเข้ามาด้วยคิดว่าเจ้านายอาจจะต้องการเรียกหาตน “ท่านอ๋อง ทรงบรรทมไม่หลับหรือพะยะค่ะ” หลินกงกงถาม หานไท่หยางยังมิได้ตอบ เขาหันมามองแท่นบรรทมของตนเองที่เปียกไปด้วยของเหลวสีขาวขุ่น อ๋องหนุ่มกุมศีรษะอย่างหัวเสีย นี่เขาคิดถึงนางจนเป็นขนาดนี้เลยหรือนี่! หลินกงกงซ่อนรอยยิ้ม “ท่านอ๋อง จะให้นางกำนัลมาเปลี่ยนผ้าปูหรือไม่พะยะค่ะ” “ไม่ต้อง จุดกำยานให้ข้านอนหลับสบายหน่อยเถิด” หานไท่หยางกล่าวแค่นั้นก่อนจะทรุดตัวลงนอน หันหลังให้กับหลินกงกงที่กำลังรมกำยานหอมเพื่อให้ผ่อนคลาย ดูก็รู้ว่าเจ้านายเขานั้นกำลังตื่นเต้นที่จะได้อภิเษกพระชายาเข้าตำหนักอย่างไรเล่า ‘ท่านอ๋องหนอท่านอ๋อง คิดถึงว่าที่พระชายาจนเพ้อขนาดนี้เชียวรึ’ รัชศกเทียนหนี่ปีที่ยี่สิบสอง มงคลฤกษ์พิธีอภิเษกสมรสระหว่างหานไท่หยางกับจางอวิ๋นซี ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ทั่วแคว้นหาน หลิวฮองเฮาสั่งให้ประดับโคมไฟแดงทั่วเมือง มีการเฉลิมฉลองและการละเล่นมงคลมากมาย รวมถึงขนมมงคลและผลไม้มงคลถูกนำมาจัดวางบนโต๊ะของแขกผู้มาเยือนครั้งนี้ มีตั้งแต่ขุนนางระดับเล็กจนถึงขุนนางระดับชั้นผู้ใหญ่ ผ้าม่านสีแดงถูกประดับไปทั่ววังราวกับพิธีอภิเษกของผู้เป็นฮ่องเต้และฮองเฮา หานไท่หยางในชุดแต่งงานสีแดงหล่อเหลางามสง่า กำลังยืนสำรวจตนเองอยู่ตรงบานกระจกทองเหลือง มีหลินกงกงและเฉินหรงคอยช่วยแต่งอาภรณ์ให้เรียบร้อยและงามสง่าที่สุด อาภรณ์สีแดงนี้ถูกพระราชทานมาจากหานฮ่องเต้ ปักลวดลายมังกรสีทองตัวใหญ่สื่อถึงความเป็นโอรสสวรรค์ ซึ่งสมควรกับฐานันดรศักดิ์ของว่าที่องค์รัชทายาทผู้นี้นัก แต่ทว่าหานไท่หยางกลับมิได้ให้ความสนใจกับตนเอง เขาให้ความสนใจกับว่าที่พระชายาของเขาที่กำลังจะมาเป็นนายหญิงของวังในไม่ช้า เขายอมรับนักว่าตนเองถูกตาต้องใจนางตั้งแต่แรกเจอที่ตลาดของพวกชาวต่างชาติ จนกระทั่งได้เจอนางอีกครั้งในงานวันพระราชสมภพของไทเฮา คืนนั้นนางงดงามมาก แม้จะแต่งอาภรณ์ลวดลายไม่ฉูดฉาดเท่าจางเซียวหรู แต่กลับงามสะกดใจจนเขาไม่อาจละความสนใจจากนางได้เลย แต่ว่าใครเลยจะล่วงรู้ว่าหานอี้ พี่ชายต่างมารดานั้นก็ให้ความสนใจกับนางเช่นกัน และเมื่อรู้ว่านางได้เจอกับหานอี้โดยบังเอิญ ความหึงหวงและความริษยาที่สุมในอกจึงปะทุขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามได้ เขาอิจฉาหานอี้ที่เป็นที่โปรดปรานของพระบิดา เขาอิจฉาที่อีกฝ่ายและพี่น้องคนอื่นๆ ได้อยู่ร่วมกับมารดา แต่ตนเองต้อง ถูกผลักห่างออกจากอกมารดาร่วมนับสิบปี! และเขาอิจฉาที่นางสนิทสนมกับหานอี้ มากกว่าเขาที่กำลังจะกลายเป็นสามีของนางในเร็ววันนี้ “หยางเอ๋อร์” หลิวฮองเฮาเดินทางมาถึงวังของหานไท่หยางที่อยู่ใกล้ๆ กับเขตวังหลวง รอยยิ้มอบอุ่นประดับบนพระพักตร์งาม หลินกงกงกับเฉินหรงจึงเดินออกไปรอด้านนอก ปล่อยให้หลิวฮองเฮาจัดแต่งอาภรณ์ให้กับพระโอรสด้วยตนเอง “วันนี้เป็นวันที่แม่ดีใจมากที่สุดเลยนะ” หลิวฮองเฮากล่าวขณะจัดชุดนอกของหานไท่หยางให้เรียบร้อย พร้อมกับสวมหมวกทรงขุนนางแบบมีปีกทั้งสองข้างลวดลายสีดำสนิท พร้อมกับเข็มขัดทองเหลืองที่พระนางสั่งทำอย่างประณีตที่สุดเพื่องานวันนี้ “แม่แค่เห็นเจ้ากำลังจะมีชายา แม่ก็ดีใจนัก” อ๋องหนุ่มเก็บซ่อนรอยยิ้มเอาไว้ภายในใจ เขาไม่รู้ว่าควรแสดงความรู้สึกเช่นไรดี เขาชินชาแล้วกับการแสดงใบหน้าเรียบเฉย ไร้อารมณ์ ไร้ความรู้สึกใดต่อผู้อื่น แม้กระทั่งจะแสดงใบหน้ายิ้มแย้มต่อมารดาตนเองในวันมงคลเขาก็ไม่อาจทำได้ หากเขายิ้มให้มารดา คนผู้นั้นจะเพ่งเล็งเขาจนพรากนางไปจากเขาอีกหรือไม่? แล้วกับว่าที่ชายาของเขาเล่า หากเขายิ้มให้นางนางจะโดนพรากจากเขา เหมือนที่เขาเคยพรากจากอกมารดาหรือไม่? “แม่รู้ว่าในใจของเจ้ากำลังคิดสิ่งใด แม่ไม่หวังให้เจ้าแสดงทุกความรู้สึกออกมา แต่เจ้ากำลังจะมีภรรยาแล้ว แม้ว่าการแต่งงานครั้งนี้จะมาจากการบังคับฝืนใจเจ้าทั้งสอง แต่แม่เชื่อว่าแม่เลือกคนไม่ผิด เสด็จย่าของเจ้าเองก็ด้วย” หลิวฮองเฮาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนกับบุตรชาย พระนางไม่เคยได้มีโอกาสเลี้ยงดูโอรสจนเติบใหญ่ พอเจอกันครั้งนี้บุตรชายกลับได้รับสมรสพระราชทาน ยิ่งรู้สึกราวกับห่างไกลจากบุตรยิ่งนัก “พะยะค่ะเสด็จแม่” หานไท่หยางซ่อนรอยยิ้มแห่งความสุขเอาไว้ในใจ เขามองพระมารดาด้วยความเคารพ หากที่นี่ไม่มีพระมารดาเกรงว่าเขาคงไม่อาจได้กลับมาเหยียบแผ่นดินต้าหานอีกแล้ว จางอวิ๋นซีกำลังถูกมารดา ไท่ฮูหยินและหรูหรง รวมถึงสาวใช้คนอื่นๆ ในจวนช่วยกันแต่งหน้าแต่งอาภรณ์ให้นางงดงามที่สุด วันนี้เป็นวันมงคลของสกุลจาง ต่างมีแขกเหรื่อมากหน้าหลายตามาเยี่ยมเยียนบิดาของนางมิได้ขาด ด้วยเพราะตำแหน่งพระชายาของนางนั้นมีความสำคัญยิ่ง หานไท่หยางเป็นโอรสของฮองเฮา ลำดับศักดิ์ขึ้นครองราชย์ย่อมมีมากกว่าพี่น้ององค์อื่นๆ ฉะนั้น นางก็อาจจะกลายเป็นว่าที่ฮองเฮาในอนาคตนี้ เหล่าลูกหลานบัณฑิตที่คบค้ากับจางเยี่ยนมานานต่างนำสิ่งของมาแวะเวียนให้มิได้ขาด นับว่าไท่ฮูหยินและมารดาของนางคิดถูกนักที่ไม่ริบสินสมรสของนางไปและมิได้นำไปมอบให้กับจางเยี่ยน หาไม่แล้วสินสมรสของหานไท่หยางเหล่านั้นอาจถูกผู้เป็นบิดาละลายไปกับเหล่าขุนนางพวกนั้น ปิ่นปักผมพระราชทานของไทเฮาซึ่งสั่งทำขึ้นมาใหม่ ถูกประดับด้วยไข่มุกราตรีจำนวนหลายเม็ดแวววาวสวยงาม จางฮูหยินนำมาปักมวยผมของจางอวิ๋นซีก่อนจะคลุมทับด้วยผ้าคลุมหน้าสีแดง “หลานสาวย่าวันนี้เจ้างดงามยิ่งนัก” ไท่ฮูหยินประสานมือพร้อมกับสีหน้าตื้นตันดีใจนัก น้ำตาของหญิงชราไหลลงมาโดยมิรู้ตัว เป็นน้ำตาแห่งความดีใจ จางฮูหยินลูบมือบุตรสาวอย่างอ่อนโยน “จำไว้นะลูก เจ้าแต่งงานเข้าจวนท่านอ๋องแล้ว เจ้าจะดื้อซนไม่ได้แล้วนะ หานไท่หยางเป็นบุรุษหน้านิ่ง แต่อารมณ์ร้อน การจะทำให้เขารักเจ้าได้นั้น เจ้าต้องมีความใจเย็น ลูกแม่นั้นงดงามเป็นหนึ่ง การจะทำให้สามีรักนั้นมิใช่เรื่องยากเลย” “เจ้าค่ะท่านแม่” จางอวิ๋นซีตอบเสียงใสผ่านผ้าคลุมใบหน้า เมื่อถึงเวลามงคลฤกษ์เดินทางสู่วังหลวง จางเยี่ยนในฐานะผู้เป็นบิดาออกมายืนรอบุตรสาวที่หน้าเรือนนอนของอีกฝ่าย พร้อมกับจางเซียวหรูและหลี่ฮูหยิน จางเซียวหรูอดริษยาน้องสาวต่างมารดาไม่ได้ นางเก็บทุกความเกลียดชังที่โดนจางอวิ๋นซีทำให้อับอายเอาไว้ในใจ “แต่งเข้าจวนอ๋องถือว่าสุขสบายเสียเมื่อไหร่ ทำตนเช่นนี้ไม่ช้าเร็วก็คงมีพระชายารอง อนุอีกมากมาย นางทนได้ไม่นานหรอกเจ้าค่ะท่านแม่” จางเซียวหรูกล่าวพลางลอบยิ้มเยาะอีกฝ่าย จางอวิ๋นซีที่ได้ยินไม่ใคร่ใส่ใจนัก วันนี้นางกำลังจะแต่งงานเข้าจวนอ๋อง ควรรักษาเกียรติและไว้หน้ามารดาเสียหน่อย หลี่ฮูหยินยิ้มรับคำกล่าวของบุตรสาว “วาสนาของลูกแม่ยังมิดับสูญ ท่านอ๋องหานอี้นั้นเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาท แต่หานไท่หยางกลับไม่เป็นที่โปรดปราน ใครจะได้เป็นรัชทายาทนั้นสุดจะคาดเดา เจ้าเตรียมตัวรอเป็นพระชายาของหานอี้ได้เลย” “เจ้าค่ะท่านแม่” จางเซียวหรูยิ้มอ่อนน้อมรับเสียงกลองและเสียงแตร เสียงดนตรีแห่งมงคลฤกษ์ดังก้องทั่วบริเวณที่รถม้าของจางอวิ๋นซีขับเคลื่อน รายทางนั้นถูกโปรยด้วยดอกไม้สีแดงงดงาม ซึ่งเป็นเส้นทางมุ่งสู่วังหลวง หญิงสาวนั่งอยู่ในรถม้าเพียงผู้เดียวมาตลอดทาง ส่วนจางฮูหยิน จางเยี่ยนและไท่ฮูหยินนั้นอยู่บนขบวนรถม้าอีกคันซึ่งตามหลังขบวนเจ้าสาวมาเช่นกัน ส่วนหรูหรงนั้นได้รับหน้าที่ให้ติดตามมารับใช้นางในวัง จึงเดินมาข้างๆ กับรถม้า
ของนาง หญิงสาวเปิดผ้าม่านออกเล็กน้อย มองบรรยากาศมุ่งสู่วังหลวงรอบๆ ถนนสายหลักเส้นนี้ “คุณหนู เปิดผ้าม่านไม่ได้นะเจ้าคะ” หรูหรงเตือนเจ้านายตนเองเบาๆ “ข้าแค่อยากดูบรรยากาศรอบๆ เท่านั้นล่ะ” นางไม่สนใจคำเตือนของหรูหรง แต่กลับมองบรรยากาศภายนอกผ่านผ้าคลุมใบหน้าสีแดงสดด้วยความตื่นตาตื่นใจ ก่อนจะตัดสินใจเปิดผ้าคลุมขึ้นมาเล็กน้อยจนหรูหรงตกใจ “ไม่ได้นะเจ้าคะ! หากฮูหยินรู้เข้าบ่าวโดนต่อว่าแน่เจ้าค่ะ” หรูหรง กล่าวพลางถือวิสาสะถึงผ้าคลุมหน้าของเจ้านายตนเองลง แล้วผลักอีกฝ่ายเบาๆ เข้าไปในรถม้าพลางถอนหายใจอย่างโล่งอก จางอวิ๋นซีจึงได้แต่นั่งถอนหายใจอย่างสุดแสนจะเบื่อนัก เวลาเพียงไม่นาน ขบวนรถม้าของจางอวิ๋นซีก็มาหยุดอยู่หน้าทางเข้าวังหลวงที่ปูพรมแดง พอดีกับขบวนของหานไท่หยางที่มาถึงพร้อมกับนาง อ๋องหนุ่ม สอดสายตามองหานางผู้นั่งอยู่ในขบวนรถม้าอย่างสนใจ บริเวณหน้าวังจนถึงแท่นปะรำพิธีถูกปูด้วยพรมแดงอย่างยิ่งใหญ่ หานไท่หยางมาหยุดยืนรอจางอวิ๋นซีที่หน้าประตูวัง ตามธรรมเนียมแล้วนั้นเขาควรไปจูงมือผู้เป็นเจ้าสาวลงมาจากรถม้า แต่ทว่าเขากลับเขินอายเกินกว่าจะทำเรื่องอ่อนโยนเช่นนี้ต่อหน้าผู้อื่นได้ เขายืนหยุดรอนางที่หน้าประตูวังด้วยท่าทีนิ่งสงบ จางเยี่ยนจูงมือจางอวิ๋นซีมาส่งให้กับหานไท่หยางหน้าประตูวัง ซึ่งฮ่องเต้ หลิวฮองเฮาและไทเฮา รวมถึงเหล่าบรรดาพระสนมและองค์ชายต่างยืนรอทั้งคู่ในลานพิธี ความงดงามของจางอวิ๋นซีนั้นอ๋องหนุ่มสัมผัสได้ถึงความงดงามที่ทะลุผ่านผ้าม่านคลุมหน้านั้นออกมา แม้นางจะคลุมใบหน้าด้วยผ้าม่านสีแดงสด แต่ความงดงามกลับมิอาจถูกบดบังได้เลย ทั้งหานไท่หยางและจางอวิ๋นซีต่างอยู่ในอาการต่างฝ่ายต่างตกตะลึงกันและกัน “ท่านอ๋อง จูงมือพระชายาเข้าแท่นปะรำพิธีพะยะค่ะ” หลินกงกงกระซิบเตือน อ๋องหนุ่มยื่นมือมาข้างหน้าหญิงสาว จางอวิ๋นซียื่นมือไปสัมผัสฝ่ามือของเขาอย่างว่าง่ายก่อนที่ทั้งสองจะเดินอย่างช้าๆ ก้าวสู่ปะรำพิธี เสียงบรรเลงจากกองดนตรีหลวงในวังดังสอดประสานกันเป็นจังหวะ เหล่าพระสนม องค์ชายและเชื้อพระวงศ์ทั้งหลาย รวมถึงเหล่าขุนนางต่างมองพวกเขาทั้งสองอย่างชื่นชม จางอวิ๋นซีแต่เดิมแม้จะมีใบหน้าราวกับคนอมทุกข์ แต่ทว่ากลับงดงามเหนือสตรีอื่นใด ส่วนหานไท่หยางนั้นแม้ใบหน้าจะฉาบไปด้วยกลิ่นอายแห่งความดุดัน แววตาดุร้ายคมปลาบดั่งพญาอินทรีย์ ร่างกายสูงใหญ่และไหล่กว้างดุจภูผาทำให้จางอวิ๋นซีผู้เป็นว่าที่พระชายาดูตัวเล็กร่างบางไปโดยปริยาย จางอวิ๋นซีเหลือบมองร่างสูงใหญ่ของหานไท่หยาง ยามนางเดินเคียงข้างเขานั้นไม่ต่างกับมดตัวเล็กๆ เลยสักนิด ‘บ้าเอ๊ย! นี่มันเสาไฟฟ้ากับหลักกิโลชัดๆ!’ จางอวิ๋นซีคิด ยามนั้นที่เขาอุ้มนางไปส่งที่เรือนนางก็ว่าเขาตัวสูงใหญ่มากแล้ว ยิ่งเมื่อได้ยืนมองใกล้ๆ นางยิ่งรู้สึกประหม่ายิ่งนัก กรมพิธีการจัดเตรียมลำดับขั้นตอน โดยเริ่มจากให้คู่บ่าวสาวนั้นคำนับฟ้า ดินถึงสามครั้ง โดยทุกอย่างในพิธีการแต่งงานนั้นถูกดำเนินการตามธรรมเนียมทุกอย่างอย่างถูกต้อง ซึ่งใช้เวลานานมากพอสมควรเกือบตะวันตกดิน หลังจากพิธีแต่งงานของทั้งคู่ผ่านไป ก็เป็นเวลาแห่งการเฉลิมฉลองมงคล จางอวิ๋นซีนั่งเคียงข้างกับหานไท่หยางลำดับถัดมาจากฮองเฮา ตั้งแต่เกิดมานางไม่เคยถูกปรนนิบัติดีๆ เช่นนี้มาก่อน อาหาร ขนมและสุราเลิศรสมากมายถูกนำมาวางเรียงต่อหน้า นางมองอาหารอันโอชะของตนเองพลางคิดถึงยุคปัจจุบัน ยุคที่นางต้องทำงานเป็นแพทย์แผนกฉุกเฉินเกือบทั้งวันทั้งคืน วันเวลาที่จะได้กินอาหารเลิศรสนั้นมีน้อยมากนัก ป่านนี้ไม่รู้ว่าร่างที่จางอวิ๋นซีคนเก่าเก็บรักษาเอาไว้ให้จะเป็นอย่างไรบ้าง งานเลี้ยงมงคลจบลงไปในหนึ่งชั่วยามก็เป็นฤกษ์มงคลส่งตัวบ่าวสาวเข้าหอเสียที หานไท่หยางรอเวลานี้มาเนิ่นนานนัก! แต่จางอวิ๋นซีนั้นประหม่านัก ช่วงเวลาแห่งการเข้าหอนางนั้นไม่อยากจะคิดเลยจริงๆ สำหรับสาวโสดจากยุคปัจจุบันวัยสามสิบปีอย่างเธอที่ต้องมาเข้าหอแต่งงานครั้งแรก!สมรสพระราชทานระหว่างจางเซียวหรูและหานอี้ ถูกประกาศไว้ทั่วเมืองอย่างยิ่งใหญ่ด้วยฝีมือของหยางเต๋อเฟย ไม่แพ้คราวที่จางอวิ๋นซีแต่งงานกับหานไท่หยางเลยสักนิด เป็นที่โจษจันกันทั่ววังหลวงว่าในอนาคตนี้ อ๋องใหญ่หานอี้อาจได้รับการสถาปนาเป็นรัชทายาทเป็นแน่ด้วยอุปนิสัยของหานอี้ที่เข้าถึงได้ง่าย มีจิตใจโอบอ้อมอารี คอยช่วยเหลือประชาชนที่ตกทุกข์ได้ยาก และจางเซียวหรูที่เป็นถึงบัณฑิตหญิงอันดับหนึ่งของแคว้นหาน ย่อมเหมาะสมยิ่งนักราวกับกิ่งทองใบหยก ข่าวดีนี้ทำให้มีเหล่าเสนาบดีน้อยใหญ่มากมายต่างมาผูกสัมพันธ์กับสกุลจางให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเหล่าบรรดาคุณหนูทั้งหลายที่เคยตราหน้าจางเซียวหรูว่าเป็นบุตรีฮูหยินรอง บัดนี้พวกนางต่างมานอบน้อมต่อจางเซียวหรูทั้งสิ้นข้าวของเงินทองถูกนำมาเป็นของกำนัลล่วงหน้าในงานแต่งงาน ทรัพย์สินสมรสของหานอี้ถูกทยอยส่งมาเรื่อยๆ ไม่ขาดสาย อีกทั้งยังมีเครื่องประดับเพชรนิลจินดามากมายที่ถูกส่งมาจากหยางรั่วอวิ๋นหรือ หยางเต๋อเฟย“เครื่องประดับพวกนี้งดงามนักเจ้าค่ะท่านแม่ ท่านย่าว่าอย่างไรเจ้าคะ” ไท่ฮูหยินที่เป็นย่าก็ร่วมยินดีที่หลานสาว
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในงานเทศกาลล่าสัตว์เมื่อวันก่อน ทำให้ หยางเต๋อเฟยกังวลพระทัยอยู่หลายวัน เนื่องจากการมีองค์หญิงแคว้นเยว่เข้ามาเกี่ยวข้องในฐานะพระชายารองของหานไท่หยาง อาจส่งผลให้อำนาจของหานอี้บุตรชายของนางลดลง ดังนั้นวันนี้พระนางจึงเดินทางไปเข้าเฝ้าไทเฮา เพื่อทวงสัญญาเรื่องสมรสพระราชทานระหว่างหานอี้กับจางเซียวหรูแต่ทว่าจังหวะที่กำลังเข้าเฝ้าอยู่นั้น องค์หญิงซิ่วอิ่งก็เดินทางเข้าวังมาถวายพระพรฮองเฮาและไทเฮาตามธรรมเนียมพอดี ทำให้พระนางต้องยืนรอให้อีกฝ่ายออกไปให้พ้นหูพ้นตาเสียก่อน จึงริเริ่มแผนการสมรสพระราชทานเมื่อคล้อยหลังองค์หญิงซิ่วอิ่งแล้ว หยางรั่วอวิ๋นหรือหยางเต๋อเฟยจึงไปเข้าเฝ้าไทเฮาที่ตำหนักคังเฉวียนทันที นางทวงถามสัญญาเรื่องสมรสพระราชทานจากไทเฮา“ดูเจ้าจะรีบร้อนเสียจริง เรื่องการแต่งงานของหลานข้า หานอี้” ไทเฮาทรงจิบชาอย่างเกษมสำราญ มิได้ทุกข์ร้อนดังเช่นหยางเต๋อเฟย“แต่เสด็จแม่เคยให้สัญญากับข้าเอาไว้ แล้วว่าจะประกาศเรื่องสมรสพระราชทานในวันเทศกาลล่าสัตว์ ทรงลืมแล้วหรือเพคะ” หยางเต๋อเฟยกล่าวอย่างร้อนใจ
ภายในใจของจางอวิ๋นซีในตอนนี้ ไม่ต่างกับไฟร้อนที่สุมทรวง นางไม่เข้าใจว่าอาการเหล่านี้คือสิ่งใด หากเป็นที่โลกปัจจุบันของนาง คงเป็นเพราะธาตุทั้งห้าในร่างกายกำลังแปรปรวนเป็นแน่หญิงสาวรีบเดินจ้ำอ้าวเข้ามาในตำหนัก ปิดประตูไม่ต้อนรับผู้ใดทั้งสิ้น แม้กระทั่งหรูหรงและหยางกูกูก็ยังยืนรอแค่นอกห้อง“ทำไมข้าต้องรู้สึกโกรธที่เจ้าอยู่กับคนอื่นด้วยนะ” นางเอามือกุมหน้าอกที่กำลังร้อนรุ่มด้วยเหตุผลบางอย่าง จะว่านางประจำเดือนมาหรือไม่ก็คงไม่ใช่“หรูหรง หยางกูกู เข้ามาหาข้าที” ข้ารับใช้ทั้งสองรีบเดินเข้ามาเมื่ออีกฝ่ายมีรับสั่งเรียก“เพคะ พระชายา” หรูหรงเดินเข้ามา“หรูหรง เจ้าไปตลาดสด ซื้อสมองหมูกับไส้หมูมาให้ข้าที ส่วน หยางกูกู ท่านไปที่โรงครัว เตรียมมีดสั้นกับตะเกียบมาให้ข้าด้วย” นางสั่งยืดยาวหรูหรงและหยางกูกูมองหน้ากันอย่างงุนงง ของทั้งสองอย่างนั้นพระชายาของพวกนางจะเอามาทำสิ่งใดกันแน่“พระชายาจะเอาของพวกนั้นมาทำสิ่งใดเพคะ” หยางกูกูถามด้วยความอยากรู้
องค์หญิงซิ่วอิ่ง นอกจากจะมีพฤติกรรมถือดี ยโสโอหังแล้วนั้น ยังแสดงความไม่เคารพต่อจางอวิ๋นซีผู้เป็นพระชายาเอกแห่งวังอ๋องอย่างชัดเจน“เป็นแค่พระชายาเอกต่ำศักดิ์ มีสิทธิ์อันใดหรือมาสั่งข้า” ซิ่วอิ่งกล่าววาจาดูถูกดูแคลนอย่างชัดเจน นางยืนกอดอกไม่แสดงความเคารพต่ออีกฝ่ายเลยสักนิดจางอวิ๋นซียกยิ้ม “เจ้าอยู่ที่นี่ก็มิใช่แขกบ้านแขกเมืองอีกต่อไป ในเมื่ออีกหนึ่งปีต่อจากนี้เจ้าก็ต้องแต่งเข้ามาเป็นพระชายารองให้สามีข้า หน้าที่ในการอบรมสั่งสอนเจ้าให้รู้ถึงกฎธรรมเนียมของวัง ย่อมเป็นหน้าที่ข้า ดังนั้นข้าจะทำเช่นใดกับเจ้าก็ย่อมได้”“แต่เดิมทีหน้าที่อบรมขนบธรรมเนียมเป็นหน้าที่ของกูกูใหญ่ ไม่ใช่หน้าที่ของพระชายาเอก” ซิ่วอิ่งแย้งทันควัน หยางกูกูลอบยกยิ้มส่งเสริมพระชายาเอกของนาง“เป็นดั่งที่พระชายาเอกทรงกล่าวเพคะ หน้าที่ในการอบรมสั่งสอนองค์หญิง ย่อมเป็นหน้าที่ของพระนาง จะเป็นหน้าที่ของข้าก็ย่อมได้ แต่ในเมื่อพระชายาเอกทรงปรารถนาจะสั่งสอนองค์หญิงด้วยตนเอง หม่อมฉันก็ไม่อาจขัดพระประสงค์ได้” หยางกูกูกล่าวเสริม นางนับถือจ
องค์หญิงซิ่วอิ่งยกยิ้มอย่างผู้เหนือกว่า นางหันมามองเมิ่งฉีผู้เป็นพี่ชายเชิงส่งสัญญาณ เมิ่งฉีรีบกล่าวทันที“ทูลฮองเฮา ที่น้องสาวกระหม่อมกล่าวมานั้นเป็นความจริงทุกประการ เสด็จพ่อทรงปรารถนาให้น้องหญิง อภิเษกกับพระราชบุตรองค์ใดองค์หนึ่งของฝ่าบาท เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของทั้งสองแคว้นพะยะค่ะ” เมิ่งฉีกล่าว สายตาเต็มไปด้วยความเย้ยหยันร้ายกาจ“เมื่อสักครู่ฝ่าบาท ฮองเฮา ไทเฮาและทุกคนได้ประจักษ์แก่สายตาแล้ว ว่าหม่อมฉันได้ขี่ม้าตัวเดียวกับหานไท่หยาง เสด็จพ่อหม่อมฉันทรงปรารถนาให้หม่อมฉันอภิเษกกับหานไท่หยางเพคะ” ซิ่วอิ่งยกยิ้มมุมปาก นางหันไปเย้ยหยันจางอวิ๋นซีที่ยืนนิ่งทำสิ่งใดไม่ถูก“อาหยางของข้ามีชายาเอกอยู่แล้ว การที่องค์หญิงทำเช่นนี้ย่อมไม่เหมาะสม” หานไทเฮาทรงกล่าวพระสุรเสียงนุ่มนวล“แต่น้องสาวของข้ามาที่นี่เพื่อการอภิเษก หากพวกท่านทำเช่นนี้ ตามธรรมเนียมแล้วนางไม่สามารถอภิเษกกับบุรุษอื่นได้อีก พวกท่านทำเช่นนี้ เท่ากับพวกท่านไม่ให้เกียรติทางต้าเยว่ของข้า!” เมิ่งฉีแสร้งมีท่าทีเดือดดาล“ห
จางอวิ๋นซีควบม้านำหานอ๋องไท่หยางผู้เป็นสามี จนกระทั่งมาถึงบริเวณสนามประลองใจกลางป่า ซึ่งมีธงสีแดงโบกพลิ้วไสวอยู่ ธงสีแดงที่โบกพลิ้วอยู่นี้เป็นสัญลักษณ์ของจุดรวมพล หลังจากเสร็จสิ้นการประลองก่อนหมดเวลาเพียงหนึ่งเค่อทุกคนจะต้องมารวมตัวกันที่นี่ทางด้านหลังของหานไท่หยางก็ยังมีองค์หญิงซิ่วอิ่งตามติดมาเช่นกัน อีกฝ่ายยังคงควบม้าตามสามีของนางไม่ลดละ หน้าไม่อายยิ่ง!“นึกว่าจะตามท่านอ๋องไม่ทันเสียแล้ว” นางยกสายบังเหียนขึ้นสูงบังคับให้ม้าหยุด พลางส่งยิ้มหวานให้หานไท่หยางอย่างออดอ่อยเต็มที่“ตามข้ามาทำไม” ชายหนุ่มถามอีกฝ่ายตรงๆ อย่างไม่ไว้หน้านาง ทำเอาองค์หญิงแคว้นเยว่หน้าชาไปชั่วขณะหนึ่ง ไม่เคยมีบุรุษใดถามคำถามนางเช่นนี้มาก่อน อีกทั้งรูปโฉมอันงดงามของนางก็ยากจะมีชายใดปฏิเสธ แต่หานไท่หยางเป็นคนแรกที่กล้าทำเช่นนี้กับนาง“อะ เอ่อ คือ...” นางเอ่ยตะกุกตะกัก “หม่อมฉัน ปรารถนาจะร่วมล่าสัตว์กับท่านอ๋องนะเพคะ”หานไท่หยางเบื่อหน่ายท่าทีขององค์หญิงผู้นี้นัก “ถ้าเช่นนั้นองค์หญิงก็ดูแลตนเอง เพ