ขบวนรถม้าของหานอ๋องไท่หยางและจางอวิ๋นซีขับเคลื่อนมาหยุดที่หน้าวังของหานไท่หยาง ตลอดเส้นทางที่ทั้งสองนั่งรถม้าคันเดียวกันมาถูกปกคลุมด้วยความเงียบ ทั้งสองฝ่ายต่างก็ตื่นเต้นสำหรับการอภิเษกสมรสที่เพิ่งผ่านพ้นไป และในยามราตรีนี้คือฤกษ์แห่งการเข้าหอที่ทางราชครูของวังหลวงได้คำนวณฤกษ์ยามเอาไว้แล้ว
หานไท่หยางลอบมองว่าที่พระชายาของตนเองเพียงนิดเดียว แม้ใบหน้าของนางจะถูกปกคลุมด้วยผ้าคลุมสีแดง แต่ความงดงามกลับเปล่งประกายชัดเจนยิ่งนัก เขานั้นรู้สึกว่านางงดงามอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ทั้งๆ ที่แต่ก่อนเขาแทบไม่เคยสนใจนางด้วยซ้ำ แต่นับจากวันนั้นที่เจอกันในตลาด นางกลับมีอิทธิพลในหัวใจของเขายิ่งนัก
รถม้าของทั้งสองเคลื่อนมาหยุดที่วังของหานไท่หยางอย่างรวดเร็ว อ๋องหนุ่มเดินลงจากรถม้า โดยมีหลินกงกงคอยประคองลงจากรถม้า ก่อนจะหันมาหาจางอวิ๋นซีที่เดินออกมาพร้อมกับชุดแต่งงานที่ยาวรุ่มร่ามจนนางเกือบสะดุดล้มตกจากรถม้า
“ว้าย!” จางอวิ๋นซีเกือบสะดุดอาภรณ์ของตนเองตกรถม้า หานไท่หยางรีบประคองนางด้วยความเป็นห่วงอย่างลืมตัว หลินกงกงและนางกำนัลต่างก้มหน้าซุก
ซ่อนรอยยิ้มของตนเองกับกิริยาของท่านอ๋อง
จางอวิ๋นซีกอดคอหานไท่หยางแน่นอย่างกลัวตก นางหลับตาปี๋อย่างตกใจ หากนางล้มคะมำตกจากรถม้าหาร้านศัลยกรรมหน้าไม่ได้แน่
หานไท่หยางช้อนร่างของนางขึ้นแนบอกเบาๆ เหมือนดั่งที่เคยทำเมื่อครั้งอยู่จวนสกุลจาง หญิงสาวร้อง
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันเดินเองได้เพคะ” นางร้องเตือนเบาๆ ผ่านผ้าคลุมที่ปกปิดใบหน้างดงาม
อ๋องหนุ่มไม่กล่าวตอบ เขากระชับร่างของนางให้แน่นขึ้นแล้วเดินตรงไปที่ห้องบรรทมของตนเองในตำหนักใหญ่ของวัง ท่ามกลางสายตาของบ่าวไพร่ที่ยิ้มดีใจกับท่าทีของผู้เป็นนายที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน หลินกงกงกับเฉินหรงรีบตามไปพร้อมกับนางกำนัลคนอื่นๆ
อันที่จริงคู่บ่าวสาวจำเป็นต้องเดินเข้าเรือนหอร่วมกัน แต่หานไท่หยางนั้นกลับอุ้มนางเข้าเรือนหอแทน หัวใจของจางอวิ๋นซีกระตุกเต้นไม่เป็นจังหวะยามทอดสายตามองใบหน้าหล่อเหลาคมคายของอีกฝ่ายผ่านผ้าคลุม ยิ่งดูใกล้ๆ เขาหล่อเหลาเอาการนัก!
หลินกงกงเปิดประตูเรือนหออย่างรู้งาน ส่วนกูกูใหญ่ของวังก็รีบจัดสุรามงคลมาให้คู่บ่าวสาวในคืนเข้าหอ
หานไท่หยางวางร่างของชายาตนเองลงแล้วหันไปสั่งกับกูกูอาวุโสและหลินกงกง
“พวกเจ้าออกไปได้แล้ว ข้าจัดการเอง!” หานไท่หยางสั่งเสียงเข้ม หลินกงกง หยางกูกูและนางกำนัลจึงทยอยกันออกไปพร้อมกับรอยยิ้ม อำนวยความสะดวกให้กับเจ้านายและพระชายา
หลังจากได้อยู่กันเพียงลำพัง หานไท่หยางทรุดนั่งลงบนเตียงข้างๆ หญิงสาวที่นั่งตัวสั่นเทาอย่างประหม่า แม้ใบหน้าของเขาจะดูเรียบเฉยไร้อารมณ์และความรู้สึกใด แต่ทว่าในใจนั้นแสนประหม่าระคนตื่นเต้นยิ่งนัก
หลังจากผ่านสามหนังสือหกพิธีการ[1] แล้ว เพลานี้คือฤกษ์การเข้าหอดื่มสุรามงคลที่สุด แต่ทว่าคู่บ่าวสาวทั้งสองกลับนั่งนิ่งสงบในเรือนหอที่ถูกประดับตกแต่งด้วยผ้าม่านสีแดง พืชพรรณมงคลบนเตียงอย่างงดงาม หลินกงกงหลังจากที่ถูกไล่ออกไปก็จำเป็นต้องมารินสุราให้คู่บ่าวสาว ท่านอ๋องและพระชายาของพวกเขา
จางอวิ๋นซีนั่งกำมือด้วยความประหม่า แต่ทว่าหานไท่หยางกลับสังเกตอาการประหม่าของนางออก เขาเลิกผ้าคลุมหน้าสีแดงของนาง เผยให้เห็นโฉมหน้างดงามที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน โฉมหน้างดงามที่ติดตาตรึงใจเขามาตลอด
ยามนี้ราวกับเหมือนความฝัน ยอดโฉมงามที่เขาแทบไม่เคยสนใจ แต่จู่ๆ กลับรู้สึกสนใจในตัวนางขึ้นมาราวกับศรรักปักใจ จางอวิ๋นซีจึงทำใจกล้าเงยหน้าสบตาคมของเขา
ตึกตักๆ
หัวใจของทั้งสองเต้นระรัวยามสบตากันและกัน จางอวิ๋นซีนางยิ่งรู้สึกประหม่ามากกว่าเดิม หานไท่หยางส่งสายตาให้กับหลินกงกงเกี่ยวกับสิ่งที่เขาเคยสั่งเอาไว้ก่อนหน้านี้ และแน่นอนว่าหลินกงกงทำให้เขาเรียบร้อยแล้ว
“มาดื่มสุรามงคลเถิด” หานไท่หยางส่งจอกสุราให้กับนางผู้นั่งนิ่งเงียบ
“เอ่อ คือ ข้าดื่มสุราไม่เป็น” เป็นเรื่องจริงที่หญิงสาวคออ่อนต่อสิ่งมึนเมายิ่งนัก สุรามงคลนี้ส่งกลิ่นแรงจนนางอยากจะอาเจียน หญิงสาวเบือนหน้าหนีเมื่อกลิ่นของสุรามงคลนี้ลอยมาเตะจมูกนาง
“เจ้าจำเป็นต้องดื่ม หากไม่ดื่มแล้วถือว่าการแต่งงานระหว่างเรายังไม่สมบูรณ์” หานไท่หยางเอ่ยแกมบังคับ
แล้วใครเขาอยากแต่งงานกับนายกันล่ะอีตาบ้า นางก่นด่าเขาในใจ แต่นั่นล่ะนางทำได้แค่ก่นด่า บ่นว่าเขาในใจจริงๆ นางไม่รู้หรอกว่าภายใต้ใบหน้าหล่อเหลา แต่ท่าทีเย็นชาแผ่รังสีอำมหิตนี้เขาจะเก็บซ่อนความโหดร้าย ป่าเถื่อนเอาไว้อย่างไร
หญิงสาวหยิบจอกสุราขึ้นมาดมนิดๆ เมื่อก่อนนางเคยดูละครว่าตัวร้ายนั้นมักจะใส่ยาปลุกกำหนัดให้กับนางเอก แล้วหลอกปลุกปล้ำนางเอกเพื่อบังคับให้มาแต่งงานกับตน แล้วถ้าหากหานไท่หยางเป็นเช่นนั้นล่ะ?
หญิงสาวพยายามสลัดหัวไล่ความคิดออกไป ตอนนี้เป็นโลกยุคโบราณ อีกทั้งหานไท่หยางเป็นถึงอ๋องก็ย่อมต้องมีศักดิ์ศรีของราชวงศ์อยู่บ้าง เขาคงไม่ทำเช่นนั้นกับนางหรอกกระมัง
หานไท่หยางลอบพิจารณาการกระทำของนางเพียงนิดแล้วเผลออมยิ้มออกมาอย่างนึกขัน ก่อนที่ทั้งสองจะคล้องแขนดื่มสุราของตนเองรวดเดียวหมดจอก พร้อมกับกลิ่นกำยานที่ลอยโชยมา เป็นกำยานที่เขาสั่งให้หลินกงกงจุดเอาไว้ ซึ่งแน่นอนว่ากำยานนี้โรยด้วยผงปลุกกำหนัดชนิดอ่อนๆ
เพื่อไม่ให้นางและหานอี้ได้ข้องเกี่ยวกันอีก เขาจำเป็นต้องทำแบบนี้เพื่อรั้งให้นางมาเป็นของเขาเพียงผู้เดียว
จางอวิ๋นซีดื่มสุราแค่เพียงจอกเดียวเท่านั้น ร่างกายของนางก็แทบรับไม่ไหว รสสุรามงคลนี้ช่างขมคอนางนัก นางดื่มไปได้เพียงอึกเดียวก็รีบฝืนกลืนลงคออย่างรวดเร็ว ต่างจากหานไท่หยางที่มองนางดื่มสุรารวดเดียวพร้อมกับแย้มพระสรวลใส่
“อ่า ขมคอข้านัก ขอน้ำชาหน่อย” นางร้องเสียงแหบพร่า ตอนนี้นางทั้งรู้สึกขมคอและร้อนไปทั่วร่างนัก มือของนางควานสะเปะสะปะอย่างมึนงง แต่ทว่าชาที่นางหมายจะดื่มกลับถูกอ๋องหนุ่มแย่งไปดื่มไว้รวดเดียวหมดจอก
“ท่านทำสิ่งใด นี่ชาของข้านะ!” นางร้องโวยวาย ตอนนี้ขมคอก็ขมแล้วยังต้องมาตั้งหน้าทะเลาะกับสามีหมาดๆ ด้วยหรอเนี่ย
หานไท่หยางไม่เปล่งวาจาอันใด เขารวบตัวหญิงสาวผู้เป็นพระชายากดร่างของนางนอนราบบนเตียง ก่อนที่ร่างกายสูงใหญ่ของตนเองจะทาบทับนาง
เอาไว้ มิให้นางหนีรอดไปไหน
เขายอมให้ทุกสิ่งทุกอย่างกับหานอี้แล้ว แต่เขาจะไม่ยอมเสียนางให้หานอี้อย่างเด็ดขาด
“ท่านจะทำอะไร...” นางร้องถาม แต่ทว่าริมฝีปากกลับถูกฉก
ฉวยโดยคนบนร่างอย่างป่าเถื่อนรุนแรง นางร้องอู้อี้ในลำคอก่อนที่จะรู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นกับร่างกายของนาง
ตอนนี้ร่างกายของนางร้อนผ่าวจนผิดสังเกต ร้อนจนแทบคลั่ง ราวกับ...ราวกับ...นางโดนยาปลุกกำหนัด! ใช่! นางโดนวางยาปลุกกำหนัดเป็นแน่
หญิงสาวพยายามรวบรวมสติและเรี่ยวแรงที่มีเพียงน้อยนิด พยายามต่อต้านชายหนุ่มบนร่างให้ห่างออกจากร่างของนางไป แต่ทว่าแรงเท่าลูกสุนัขเช่นนางน่ะหรือจะอาจหาญต่อต้านแรงบุรุษได้ นางได้แต่ปัดมือสะเปะสะปะพยายามปัดไล่เขาให้ถอยห่างจากร่างของนาง จนหานไท่หยางยอมถอนริมฝีปากออกอย่างรำคาญใจ
“เจ้าเรื่องมากอันใดอีก” คิ้วเข้มของอ๋องหนุ่มขมวดเข้าหากันพลางถามอีกฝ่ายอย่างไม่สบอารมณ์ หรือว่ายาที่หลินกงกงวางเอาไว้ในสุราของนางกับกำยานนั้นจะออกฤทธิ์ไม่เต็มที่กัน?
“ข้าโดนยาปลุกกำหนัด ในเมื่อท่านไม่เต็มใจแต่งงานกับข้าก็ให้ข้า...” หานไท่หยางไม่รอให้นางกล่าวจบ เขาก้มลงประกบจูบริมฝีปากบางที่คิดต่อต้านเขาอีกครั้ง นางคิดจะหาหมอหายาถอนพิษปลุกกำหนัดอย่างนั้นหรือ หากเขาทำเช่นนั้นเขาคงไม่อาจได้ครอบครองนางอย่างสมบูรณ์ คืนนี้ ราตรีนี้ตัวนางจะต้องเป็นของเขา หาใช่ของชายอื่น
อ๋องหนุ่มประทับจูบอย่างหนักหน่วงจนหญิงสาวอ่อนระทวยรวยแรงที่จะต่อต้าน เมื่อฤทธิ์ของสุราผสมกับกลิ่นกำยานหอมปลุกกำหนัดที่หลินกงกงรมเอาไว้นั้น สติสัมปชัญญะของนางพลันกระเจิดกระเจิง ตอนนี้นางต้องการปลดปล่อยเพียงเท่านั้น
หญิงสาวพลิกตัวขึ้นคร่อมเหนืออ๋องหนุ่ม ก่อนจะฉีกทึ้งเสื้อผ้าของตนเองอย่างเร่งรีบด้วยความร้อนภายในกายที่พุ่งพล่าน หานไท่หยางมองการ
กระทำของนางแล้วยิ้มอย่างพึงใจ ยานั้นได้ผลดีเกินคาดจริงๆ
ร่างงามเปลือยเปล่าของหญิงสาวที่ไร้อาภรณ์ปกปิดเย้ายวนสายตาของอ๋องหนุ่มนัก ชายหนุ่มรีบจัดการถอดเปลื้องเสื้อผ้าของตนเองโดยมีหญิงสาวที่สติสัมปชัญญะเตลิดหายไปช่วยถอดเสื้อผ้าของเขาอย่างลืมอาย บัดนี้ทั้งสองร่างเปลือยเปล่าไร้ซึ่งอาภรณ์ปกปิด หานไท่หยางรีบพลิกตัวหญิงสาวให้อยู่ใต้ร่างของตนเองอย่างรวดเร็ว หากเป็นสตรีอื่นเขาคงอยากให้พวกนางปรนนิบัติเขาเช่นนี้ แต่ติดที่ว่าเขาไม่เคยผ่านสตรีนางใด และจางอวิ๋นซีจะเป็นสตรีคนแรกที่เขาจะปรนเปรอนางตลอดทั้งคืน
ร่างงามบิดกระเส่าภายใต้ร่างของอ๋องหนุ่มด้วยความเร่าร้อน ใบหน้าของนางนั้นเริ่มมีเหงื่อไคลไหลออกมา หานไท่หยางก้มลงไปประทับจูบที่ริมฝีปากของนางอีกครั้ง สองมือเคล้นคลึงปทุมถันช่อใหญ่ที่กระเด้งขึ้นตามแรงหอบหายใจ สองมือนั้นเคล้นคลึงบีบนวดปทุมถันขาวอวบอย่างชอบใจ ก่อนจะไล้ปลายนิ้วสะกิดเม็ดทับทิมสีหวานกลางปทุมถัน จนหญิงสาวใต้ร่างร้องครางพลางบิดตัวม้วนอย่างกระสัน
“อ่า...หน้าอกของเจ้าใหญ่ นุ่มมือนัก ข้าชอบเสียจริง” อ๋องหนุ่มละจากริมฝีปากของหญิงสาวก้มลงดูดชิมยอดเม็ดทับทิมสีหวานเสียงดัง จนหญิงสาวร้องครางเสียงหวานอีกครั้ง
“อ่า...ท่านอ๋อง เมตตาข้าด้วย” นางร้องครางเสียงหวาน แต่หานไท่หยางนั้นยิ่งพูดก็เหมือนยิ่งยุ เขายิ่งบีบเคล้นคลึงเต้างามอย่างรุนแรงจนเกิดรอยช้ำรอบๆ เนินอก อีกทั้งยังฝากฝังรอยประทับเอาไว้ทั่วร่างสาวด้วยความหวงแหน
หานไท่หยางกระซิบข้างหูนาง “หากอยากให้ข้าเมตตา ร้องครางชื่อข้าหวานๆ สิ เรียกข้าว่าสามี”
ตอนนี้สติของจางอวิ๋นซีเลือนรางยิ่งนัก นางได้ยินแต่คำว่า ‘สามี’ ดังก้องอยู่ในหัวนางตลอดเวลาที่อ๋องหนุ่มพยายามปรนเปรอรสรักให้กับนาง
“สะ...สามี” นางร้องครางเรียกเขาเสียงหวาน อ๋องหนุ่มยิ้มอย่างพึงพอใจ ก่อนจะจับสองขาของนางแยกออกจากกัน นางเห็นเจ้าสิ่งนั้นใหญ่โตขนาดเท่าท่อนแขนนางได้กระมัง!
เง็กเซียนทรงโปรด! นี่มันใหญ่กว่าท่อนแขนนางแล้วกระมัง!
หญิงสาวมองท่อนเนื้อแท่งใหญ่ด้วยความตกใจ นางเห็นหานไท่หยางพยายามจับขาของนางแยกออกจากกัน ก่อนจะนำหมอนมารองที่ก้นของนางไว้อีกทีหนึ่ง
‘ลูกตายแน่ แม่จ๋า˜’ หญิงสาวร้องภาวนาในใจ พลางหลับตาปี๋ด้วยความหวาดกลัว
หานไท่หยางรู้ว่านางเองก็ไม่เคยผ่านมือชายมาก่อน เขาบดเคล้าจูบริมฝีปากของนางให้ผ่อนคลายอีกครั้ง ก่อนจะใช้ปลายนิ้วเข้าไปสำรวจกลีบบุปผางาม ปล่อยให้น้ำรักจากร่างสาวปลดปล่อยออกมาอย่างเต็มที่ อ๋องหนุ่มกระซิบข้างใบหูของหญิงสาวเสียงแหบ แต่ทว่าเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข
“ข้าอยากรู้นัก ว่าระหว่างข้ากับหานอี้ ใครปรนนิบัติเจ้าได้ถึงใจกว่ากัน” หานไท่หยางกระซิบที่ใบหูเล็ก ก่อนจะขบเม้มติ่งหูของอีกฝ่ายอย่างหยอกเย้า เขาขบเม้มทุกส่วนของร่างกายนาง สร้างรอยรักให้เป็นที่ประจักษ์ เพื่อตอกย้ำว่านางคือของเขาเพียงผู้เดียว
สติของจางอวิ๋นซียากจะต่อต้าน ฤทธิ์ของกำยานปลุกกำหนัดค่อยๆ เล่นงานนางรุนแรงขึ้นทุกทีจนนางยากจะควบคุมตนเองมิให้กระทำเรื่องน่าละอายอีกครั้ง
อ๋องหนุ่มมองสาวงามใต้ร่างที่นอนบิดตัวครางกระเส่าด้วยความทรมานอย่างชอบใจ ก่อนจะสอดแทรกแก่นกายใหญ่ของตนเองเข้าไปใจกลางบุปผางาม แต่ทว่าเขากลับสอดใส่ได้แค่เพียงนิดเดียวก็ต้องพบเจอกับความคับแน่นอย่างที่ตนเองไม่เคยพบมาก่อน
‘นางไม่เคยผ่านมือชายใดมาก่อน และตอนนี้นางเป็นของเขาอย่างสมบูรณ์แล้ว’ อ๋องหนุ่มนึกดีใจที่ตนเองคิดถูกนัก เขาคือบุรุษคนแรกของนางและจะเป็นคนเดียวตลอดไป ส่วนนางก็จะเป็นภรรยาเพียงคนเดียวของเขาตลอดไปเช่นกัน
“อ๊ะ ท่านอ๋อง หม่อมฉันเจ็บ!” นางร้องครางเมื่อเจ้าสิ่งนั้นกำลังรุกล้ำเข้ามาในกลีบบุปผางามอย่างที่นางมิทันได้เตรียมตัว
หานไท่หยางแสร้งดันท่อนลำของตนเองเข้าไปจนสุดทาง เขานึกขัดใจนักที่นางเรียกเขาว่าท่านอ๋อง ชายหนุ่มกระแทกแก่นกายเข้าใส่ร่างสาวเป็นจังหวะหฤหรรษ์จนนางร้องครางเสียงหวานออกมาไม่เป็นภาษา
“เรียกข้าว่าสามี แล้วข้าจะปราณีเจ้า สาวงาม” หานไท่หยาง กล่าวพลางส่งเสียงคำรามอย่างมีความสุข ฝ่ามือนั้นกอบกุมปทุมถันอวบใหญ่บีบเฟ้นอย่างมันส์มือ แต่ทว่าก็ยังมอบความสุขให้นางไม่รู้จบสิ้น หยาดน้ำหวานของนางไหลเอ่อล้นทะลักจนเปียกชุ่มไปทั่วหมอน ส่วนแก่นกายของอ๋องหนุ่มก็ปลดปล่อยสายธารรักสีขาวขุ่นเข้าไปในกายสาวทุกหยาดหยด
หลังจากปล่อยสายธารรักเข้ากายสาวทุกหยาดหยด หานไท่หยางซบใบหน้าลงที่เนินอกอิ่มของหญิงสาวที่นอนเหนื่อยหอบกับบทรักที่เขาปรนเปรอให้นางอย่างหนักหน่วง หานไท่หยางใช้ริมฝีปากดูดเลียเม็ดทับทิมสีหวานของนางอีกครั้งราวกับทารกกำลังดื่มน้ำนมจากอกมารดา แล้วซอกไซร้ซอกคอขาวเนียนจนซอกคอของนางมีแต่รอยแดงปรากฏเต็มไปหมด
อ๋องหนุ่มและพระชายาของเขานอนพักด้วยความเหนื่อยหอบ หลังจากผ่านไปหนึ่งเค่อ[2] ชายหนุ่มจึงปลุกหญิงให้เริ่มบทรักใหม่อีกรอบกับเขาเกือบจนรุ่งสาง เขาปลดปล่อยสายธารทุกหยาดหยดเข้าไปในกายนางอย่างสุขสม จนหลินกงกง หยางกูกูและเฉินหรงต้องยืนให้ห่างออกจากตำหนักใหญ่ พร้อมกับเสียงคำรามลั่นอย่างสุขสมของท่านอ๋องผู้เป็นนายและเสียงหวานครางของผู้เป็นพระชายาดังทั่วตำหนักตลอดทั้งคืน
จางอวิ๋นซีตื่นขึ้นมาตอนเช้าด้วยความเมื่อยขบ ประกอบกับอาการวิงเวียนศีรษะเพราะฤทธิ์กำยานปลุกกำหนัดและยาสุราที่แสนขมคอนั่น หญิงสาวนั่งชันเข่าอยู่บนพระแท่นบรรทมพยายามนึกทบทวนภาพเหตุการณ์เมื่อคืน นอกจากตอนที่นางขึ้นคร่อมร่างของหานไท่หยางแล้ว นางก็แทบจำสิ่งใดไม่ได้อีก
หญิงสาวมองรอบเนินอกที่เต็มไปด้วยรอยรักที่อ๋องหนุ่มตั้งใจ
ฝากฝังเอาไว้ตลอดทั้งคืน รอยรักนี้จ้ำแดงจนเห็นได้ชัด
“โอ๊ย!” หญิงสาวร้องเสียงเบา หลังจากเริ่มขยับตัวลงจากเตียง
นางหันมามองอ๋องหนุ่มจนแน่ใจว่าเขาจะไม่ตื่นมารบกวนนางอีก หากเขาตื่นขึ้นมามิแคล้วนางคงโดนรังแกเป็นแน่
“จะไปที่ใดกันพระชายารักของข้า” เสียงหวานเจ้าเล่ห์ของหานไท่หยางดังตามหลังนางที่กำลังก้าวขาลงจากเตียง ก่อนที่ร่างบอบบางจะถูกมือหนาใหญ่ของผู้เป็นสามีรวบเข้าไปกอดจากด้านหลัง
หานไท่หยางสูดดมไหล่มนอย่างชื่นใจ แต่ทว่าสีหน้านั้นยังคงเคร่งขรึมตามแบบฉบับของตนเอง หาใช่อ๋องหนุ่มหื่นกระหายราวราชสีห์แบบเมื่อคืนไม่
“เมื่อคืนท่านวางยาข้ารึ!” นางหันมามองเขาตาเขียวด้วยความโกรธ นางอยากเอาเล็บมือข่วนใบหน้าหล่อเหลา แต่แสร้งตีมึนให้หายแค้นนัก บังคับให้นางแต่งงานด้วยยังไม่พอ ยังใช้วิธีการสกปรกกับนางอีก
“แล้วยังไง” หานไท่หยางยังคงวางสีหน้าเคร่งขรึมเช่นเดิม แต่ภายในใจนั้นกลับซ่อนรอยยิ้มเอาไว้มากมาย ซ้ำยังกอดนางไว้ไม่ยอมปล่อย
“ท่านอ๋อง หลินกงกงเองพะยะค่ะ” หลินกงกงตะโกนเสียงดังมาจากหน้าตำหนักใหญ่
หานไท่หยางตะโกนถามอีกฝ่าย “มีเรื่องอันใด หากไม่สำคัญมากข้าจะประหารเจ้า!”
หลินกงกงที่ยืนด้านนอกตัวสั่น แต่ในใจนั้นอดหัวเราะผู้เป็นนาย
มิได้ นี่เจ้านายเขาคลั่งรักพระชายาถึงขนาดไม่ยอมให้บ่าวไพร่เข้าไป
เลยหรือ
“กระหม่อมนำพระกระยาหารเช้ามาถวายพะยะค่ะ” หลินกงกงกับหยางกูกูพยายามเก็บซ่อนความขำขันเอาไว้ในใจ
หานไท่หยางตะโกนตอบออกมาอย่างขัดใจ “เอาวางไว้หน้าห้อง หากไม่มีคำสั่งข้าห้ามผู้ใดเข้ามา!”
หานไท่หยางตะโกนตอบข้ารับใช้ของตนเองอย่างหงุดหงิด ส่วนมือนั้นกอดรัดจางอวิ๋นซีไม่ยอมปล่อย นางเตือนพลางเบือนหน้าหนีอย่างอายๆ
“วันนี้ท่านกับข้าต้องไปยกน้ำชาถวายฮ่องเต้และฮองเฮา ท่านควรปล่อยให้ข้าไปแต่งตัว” นางกล่าวกับเขาเสียงตะกุกตะกัก ตอนนี้ทั้งนางและเขาต่างเปลือยเปล่ากันทั้งคู่ นางยิ่งรู้สึกขัดเขินนัก
แต่ทว่าอ๋องหนุ่มอย่างเขาน่ะหรือจะสนใจ นางจะเขินก็เรื่องของนางสิ แต่ตอนนี้นางกับเขาเป็นสามีภรรยากันอย่างสมบูรณ์แล้ว ทุกสัดส่วนอณูในร่างกายของนางเขาเห็นมาหมด นางงดงามเย้ายวนใจเขานัก แม้เขาจะพานพบสาวงามมากมาย แต่กลับไม่มีสาวงามใดทำให้เขารู้สึกอยากครอบครองเท่านางมาก่อน
จางอวิ๋นซีกำลังจะลุกไปอาบน้ำ โดยมีหรูหรงที่คอยเตรียมน้ำอุ่นเอาไว้ให้นางอาบ
“พระชายา อุ้ย!” หรูหรงเอามือปิดปากตนเองแทบไม่ทัน เมื่อเห็นท่านอ๋องกับพระชายาผู้เป็นนายอยู่ในสภาพเปลือยเปล่าทั้งคู่ นางกำนัลสาวรีบออกจากตำหนักไปอย่างรู้งาน
“หรูหรง อย่าเพิ่งไปสิ” หญิงสาวร้องเรียกหรูหรง แต่อีกฝ่ายกลับ
เดินออกไปท่าเดียว ไม่สนใจเสียงเรียกของนางเลยสักนิด
“ข้าอาบน้ำปกติจะมีหลินกงกงมาปรนนิบัติทุกเช้า แต่ต่อจากนี้ไป หน้าที่ช่วยข้าอาบน้ำ แต่งตัว รวมถึงหน้าที่ที่เกี่ยวกับข้า เจ้าต้องเป็น
ผู้รับผิดชอบทั้งหมด รวมถึงทำอาหารให้ข้ากินทุกวันด้วย” อ๋องหนุ่มออกคำสั่ง หากเขาไม่ทำเช่นนี้เกรงว่านางคงหนีออกจากวังไปเที่ยวซุกซนจนเจอกับหานอี้อีกแน่ ฉะนั้น ให้นางทำหน้าที่นายหญิงที่ดีของวังไปดีกว่า
“ท่านก็มีมือมีเท้า ไฉนไม่ทำเอง” นางแย้ง
แต่ยิ่งนางแย้ง หานไท่หยางยิ่งกอดรัดนางให้แนบชิดแผ่นอกเขามากขึ้นไปอีก ลมหายใจอุ่นร้อนของเขาสัมผัสรดต้นคอของนาง จนเสียงจังหวะหัวใจของทั้งสองเต้นประสานกันราวกลอง หานไท่หยางกระซิบกับนางเสียงแผ่วเบา
“เจ้าเป็นภรรยาข้า หน้าที่นี้ก็สมควรนัก” ไม่รอให้นางกล่าวแย้งต่อ หานไท่หยางช้อนร่างบางขึ้นแนบอก มุ่งตรงไปห้องสรงน้ำของตำหนักใหญ่ทันที แม้นางจะกรีดร้องโวยวายอันใดก็มิสนใจทั้งสิ้น เหล่านางกำนัลและหลินกงกงที่ยืนรอถวายการรับใช้หน้าพระตำหนักต่างลอบอมยิ้มไปตามๆ กัน จากเสียงกรีดร้องโวยวายของพระชายา บัดนี้ถูกท่านอ๋องพาไปกำราบในห้องสรงน้ำ กลายเป็นเสียงหวานครางแผ่วเบาดังไปทั่วตำหนักใหญ่!
[1] สามหนังสือหกพิธีการ คือขั้นตอนสู่ขอเจ้าสาวแบบจีนโบราณ โดยสามหนังสือประกอบด้วย หนังสือหมั้นหมาย,หนังสือสินสอดและหนังสือรับตัว ส่วนหกพิธีการ ได้แก่ การสู่ขอ,ขอวันเดือนปีเกิด,การเสี่ยงทาย,การมอบสินสอด,ดูฤกษ์ยาม และสุดท้ายเจ้าบ่าวจะเป็นฝ่ายไปรับเจ้าสาวมาจากที่บ้านหรือหน้าประตูบ้านของตน
[2] หนึ่งเค่อ : หน่วยนับเวลาจีนโบราณ เท่ากับ 15 นาที
สมรสพระราชทานระหว่างจางเซียวหรูและหานอี้ ถูกประกาศไว้ทั่วเมืองอย่างยิ่งใหญ่ด้วยฝีมือของหยางเต๋อเฟย ไม่แพ้คราวที่จางอวิ๋นซีแต่งงานกับหานไท่หยางเลยสักนิด เป็นที่โจษจันกันทั่ววังหลวงว่าในอนาคตนี้ อ๋องใหญ่หานอี้อาจได้รับการสถาปนาเป็นรัชทายาทเป็นแน่ด้วยอุปนิสัยของหานอี้ที่เข้าถึงได้ง่าย มีจิตใจโอบอ้อมอารี คอยช่วยเหลือประชาชนที่ตกทุกข์ได้ยาก และจางเซียวหรูที่เป็นถึงบัณฑิตหญิงอันดับหนึ่งของแคว้นหาน ย่อมเหมาะสมยิ่งนักราวกับกิ่งทองใบหยก ข่าวดีนี้ทำให้มีเหล่าเสนาบดีน้อยใหญ่มากมายต่างมาผูกสัมพันธ์กับสกุลจางให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเหล่าบรรดาคุณหนูทั้งหลายที่เคยตราหน้าจางเซียวหรูว่าเป็นบุตรีฮูหยินรอง บัดนี้พวกนางต่างมานอบน้อมต่อจางเซียวหรูทั้งสิ้นข้าวของเงินทองถูกนำมาเป็นของกำนัลล่วงหน้าในงานแต่งงาน ทรัพย์สินสมรสของหานอี้ถูกทยอยส่งมาเรื่อยๆ ไม่ขาดสาย อีกทั้งยังมีเครื่องประดับเพชรนิลจินดามากมายที่ถูกส่งมาจากหยางรั่วอวิ๋นหรือ หยางเต๋อเฟย“เครื่องประดับพวกนี้งดงามนักเจ้าค่ะท่านแม่ ท่านย่าว่าอย่างไรเจ้าคะ” ไท่ฮูหยินที่เป็นย่าก็ร่วมยินดีที่หลานสาว
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในงานเทศกาลล่าสัตว์เมื่อวันก่อน ทำให้ หยางเต๋อเฟยกังวลพระทัยอยู่หลายวัน เนื่องจากการมีองค์หญิงแคว้นเยว่เข้ามาเกี่ยวข้องในฐานะพระชายารองของหานไท่หยาง อาจส่งผลให้อำนาจของหานอี้บุตรชายของนางลดลง ดังนั้นวันนี้พระนางจึงเดินทางไปเข้าเฝ้าไทเฮา เพื่อทวงสัญญาเรื่องสมรสพระราชทานระหว่างหานอี้กับจางเซียวหรูแต่ทว่าจังหวะที่กำลังเข้าเฝ้าอยู่นั้น องค์หญิงซิ่วอิ่งก็เดินทางเข้าวังมาถวายพระพรฮองเฮาและไทเฮาตามธรรมเนียมพอดี ทำให้พระนางต้องยืนรอให้อีกฝ่ายออกไปให้พ้นหูพ้นตาเสียก่อน จึงริเริ่มแผนการสมรสพระราชทานเมื่อคล้อยหลังองค์หญิงซิ่วอิ่งแล้ว หยางรั่วอวิ๋นหรือหยางเต๋อเฟยจึงไปเข้าเฝ้าไทเฮาที่ตำหนักคังเฉวียนทันที นางทวงถามสัญญาเรื่องสมรสพระราชทานจากไทเฮา“ดูเจ้าจะรีบร้อนเสียจริง เรื่องการแต่งงานของหลานข้า หานอี้” ไทเฮาทรงจิบชาอย่างเกษมสำราญ มิได้ทุกข์ร้อนดังเช่นหยางเต๋อเฟย“แต่เสด็จแม่เคยให้สัญญากับข้าเอาไว้ แล้วว่าจะประกาศเรื่องสมรสพระราชทานในวันเทศกาลล่าสัตว์ ทรงลืมแล้วหรือเพคะ” หยางเต๋อเฟยกล่าวอย่างร้อนใจ
ภายในใจของจางอวิ๋นซีในตอนนี้ ไม่ต่างกับไฟร้อนที่สุมทรวง นางไม่เข้าใจว่าอาการเหล่านี้คือสิ่งใด หากเป็นที่โลกปัจจุบันของนาง คงเป็นเพราะธาตุทั้งห้าในร่างกายกำลังแปรปรวนเป็นแน่หญิงสาวรีบเดินจ้ำอ้าวเข้ามาในตำหนัก ปิดประตูไม่ต้อนรับผู้ใดทั้งสิ้น แม้กระทั่งหรูหรงและหยางกูกูก็ยังยืนรอแค่นอกห้อง“ทำไมข้าต้องรู้สึกโกรธที่เจ้าอยู่กับคนอื่นด้วยนะ” นางเอามือกุมหน้าอกที่กำลังร้อนรุ่มด้วยเหตุผลบางอย่าง จะว่านางประจำเดือนมาหรือไม่ก็คงไม่ใช่“หรูหรง หยางกูกู เข้ามาหาข้าที” ข้ารับใช้ทั้งสองรีบเดินเข้ามาเมื่ออีกฝ่ายมีรับสั่งเรียก“เพคะ พระชายา” หรูหรงเดินเข้ามา“หรูหรง เจ้าไปตลาดสด ซื้อสมองหมูกับไส้หมูมาให้ข้าที ส่วน หยางกูกู ท่านไปที่โรงครัว เตรียมมีดสั้นกับตะเกียบมาให้ข้าด้วย” นางสั่งยืดยาวหรูหรงและหยางกูกูมองหน้ากันอย่างงุนงง ของทั้งสองอย่างนั้นพระชายาของพวกนางจะเอามาทำสิ่งใดกันแน่“พระชายาจะเอาของพวกนั้นมาทำสิ่งใดเพคะ” หยางกูกูถามด้วยความอยากรู้
องค์หญิงซิ่วอิ่ง นอกจากจะมีพฤติกรรมถือดี ยโสโอหังแล้วนั้น ยังแสดงความไม่เคารพต่อจางอวิ๋นซีผู้เป็นพระชายาเอกแห่งวังอ๋องอย่างชัดเจน“เป็นแค่พระชายาเอกต่ำศักดิ์ มีสิทธิ์อันใดหรือมาสั่งข้า” ซิ่วอิ่งกล่าววาจาดูถูกดูแคลนอย่างชัดเจน นางยืนกอดอกไม่แสดงความเคารพต่ออีกฝ่ายเลยสักนิดจางอวิ๋นซียกยิ้ม “เจ้าอยู่ที่นี่ก็มิใช่แขกบ้านแขกเมืองอีกต่อไป ในเมื่ออีกหนึ่งปีต่อจากนี้เจ้าก็ต้องแต่งเข้ามาเป็นพระชายารองให้สามีข้า หน้าที่ในการอบรมสั่งสอนเจ้าให้รู้ถึงกฎธรรมเนียมของวัง ย่อมเป็นหน้าที่ข้า ดังนั้นข้าจะทำเช่นใดกับเจ้าก็ย่อมได้”“แต่เดิมทีหน้าที่อบรมขนบธรรมเนียมเป็นหน้าที่ของกูกูใหญ่ ไม่ใช่หน้าที่ของพระชายาเอก” ซิ่วอิ่งแย้งทันควัน หยางกูกูลอบยกยิ้มส่งเสริมพระชายาเอกของนาง“เป็นดั่งที่พระชายาเอกทรงกล่าวเพคะ หน้าที่ในการอบรมสั่งสอนองค์หญิง ย่อมเป็นหน้าที่ของพระนาง จะเป็นหน้าที่ของข้าก็ย่อมได้ แต่ในเมื่อพระชายาเอกทรงปรารถนาจะสั่งสอนองค์หญิงด้วยตนเอง หม่อมฉันก็ไม่อาจขัดพระประสงค์ได้” หยางกูกูกล่าวเสริม นางนับถือจ
องค์หญิงซิ่วอิ่งยกยิ้มอย่างผู้เหนือกว่า นางหันมามองเมิ่งฉีผู้เป็นพี่ชายเชิงส่งสัญญาณ เมิ่งฉีรีบกล่าวทันที“ทูลฮองเฮา ที่น้องสาวกระหม่อมกล่าวมานั้นเป็นความจริงทุกประการ เสด็จพ่อทรงปรารถนาให้น้องหญิง อภิเษกกับพระราชบุตรองค์ใดองค์หนึ่งของฝ่าบาท เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของทั้งสองแคว้นพะยะค่ะ” เมิ่งฉีกล่าว สายตาเต็มไปด้วยความเย้ยหยันร้ายกาจ“เมื่อสักครู่ฝ่าบาท ฮองเฮา ไทเฮาและทุกคนได้ประจักษ์แก่สายตาแล้ว ว่าหม่อมฉันได้ขี่ม้าตัวเดียวกับหานไท่หยาง เสด็จพ่อหม่อมฉันทรงปรารถนาให้หม่อมฉันอภิเษกกับหานไท่หยางเพคะ” ซิ่วอิ่งยกยิ้มมุมปาก นางหันไปเย้ยหยันจางอวิ๋นซีที่ยืนนิ่งทำสิ่งใดไม่ถูก“อาหยางของข้ามีชายาเอกอยู่แล้ว การที่องค์หญิงทำเช่นนี้ย่อมไม่เหมาะสม” หานไทเฮาทรงกล่าวพระสุรเสียงนุ่มนวล“แต่น้องสาวของข้ามาที่นี่เพื่อการอภิเษก หากพวกท่านทำเช่นนี้ ตามธรรมเนียมแล้วนางไม่สามารถอภิเษกกับบุรุษอื่นได้อีก พวกท่านทำเช่นนี้ เท่ากับพวกท่านไม่ให้เกียรติทางต้าเยว่ของข้า!” เมิ่งฉีแสร้งมีท่าทีเดือดดาล“ห
จางอวิ๋นซีควบม้านำหานอ๋องไท่หยางผู้เป็นสามี จนกระทั่งมาถึงบริเวณสนามประลองใจกลางป่า ซึ่งมีธงสีแดงโบกพลิ้วไสวอยู่ ธงสีแดงที่โบกพลิ้วอยู่นี้เป็นสัญลักษณ์ของจุดรวมพล หลังจากเสร็จสิ้นการประลองก่อนหมดเวลาเพียงหนึ่งเค่อทุกคนจะต้องมารวมตัวกันที่นี่ทางด้านหลังของหานไท่หยางก็ยังมีองค์หญิงซิ่วอิ่งตามติดมาเช่นกัน อีกฝ่ายยังคงควบม้าตามสามีของนางไม่ลดละ หน้าไม่อายยิ่ง!“นึกว่าจะตามท่านอ๋องไม่ทันเสียแล้ว” นางยกสายบังเหียนขึ้นสูงบังคับให้ม้าหยุด พลางส่งยิ้มหวานให้หานไท่หยางอย่างออดอ่อยเต็มที่“ตามข้ามาทำไม” ชายหนุ่มถามอีกฝ่ายตรงๆ อย่างไม่ไว้หน้านาง ทำเอาองค์หญิงแคว้นเยว่หน้าชาไปชั่วขณะหนึ่ง ไม่เคยมีบุรุษใดถามคำถามนางเช่นนี้มาก่อน อีกทั้งรูปโฉมอันงดงามของนางก็ยากจะมีชายใดปฏิเสธ แต่หานไท่หยางเป็นคนแรกที่กล้าทำเช่นนี้กับนาง“อะ เอ่อ คือ...” นางเอ่ยตะกุกตะกัก “หม่อมฉัน ปรารถนาจะร่วมล่าสัตว์กับท่านอ๋องนะเพคะ”หานไท่หยางเบื่อหน่ายท่าทีขององค์หญิงผู้นี้นัก “ถ้าเช่นนั้นองค์หญิงก็ดูแลตนเอง เพ