“ท่านย่าเข้าข้างนางหรือเจ้าคะ!” เป็นจางเซียวหรูที่โวยวายออกมาเสียงดัง สายตาของนางที่แสดงออกมานั้นบ่งบอกถึงความน้อยเนื้อต่ำใจยิ่งนัก
ไท่ฮูหยินมิได้ตอบคำถามของผู้เป็นหลานสาวอีกคน แต่ทว่าสายตาของนางกลับจดจ้องที่หลี่ฮูหยินและจางเซียวหรูแทน จางเซียวหรูหยิบผ้าไหมพระราชทานจากหยางเต๋อเฟยขึ้นมาชูต่อหน้าทุกคน “ผ้าไหมนี้เป็นของพระราชทานที่พระสนมเอกทรงประทานให้กับลูก ท่านย่าก็ทราบดีความสัมพันธ์ระหว่างหลานกับองค์ชายใหญ่...” “เจ้าเลิกฝันลมๆ แล้งๆ เรื่ององค์ชายใหญ่ได้เลย พวกเจ้าแม่ลูกคิดการอันใดอยู่คิดว่าข้าไม่รู้รึ?” คิ้วของไท่ฮูหยินขมวดเข้าหากันขณะที่จ้องสองแม่ลูกคู่นั้น “ซีเอ๋อร์! เจ้าขโมยของของพี่สาวเจ้า ของสิ่งนี้เป็นสิ่งที่หยางเต๋อเฟยพระราชทานให้กับนาง หากเจ้าไม่โขกศีรษะขออภัยต่อนาง ข้าจะสั่งโบยเจ้า!” จางเยี่ยนไม่ได้สนใจความสัมพันธ์ของภรรยาเอกกับฮองเฮา หรือความสัมพันธ์ในฐานะบิดากับบุตรแต่อย่างใด เขารักและชื่นชมหลี่ฮูหยิน ภรรยาผู้เป็นรักเดียวและเป็นสตรีที่เขารักมาตลอด หาใช่ภรรยาเอกที่ถูกบังคับให้ตบแต่งด้วยไม่ จางฮูหยินขอร้องวิงวอนต่อสามีทั้งน้ำตา “นายท่าน นางก็เป็นบุตรีของ ท่านคนนึงเช่นกัน ขอท่านอย่าให้นางทำเช่นนี้เลย ขอให้พิสูจน์หาความจริงกันก่อน” จางเยี่ยนผลักจางฮูหยิน ภรรยาเอกของตนออกอย่างแรง ไท่ฮูหยินและบ่าวรับใช้คนสนิทต้องมาประคองร่างของฮูหยินเอกที่ถูกผลักจนล้ม “ท่านแม่!” จางฮูหยินถูกผลักอย่างแรงจนกระอักโลหิตออกมา แม้จะเป็นโลหิตเพียงไม่กี่หยด แต่กลับสร้างความเจ็บปวดและความเสียใจให้กับนางผู้เป็นภรรยาเอกยิ่งนักที่ไม่สามารถปกป้องบุตรสาวจากความอัปยศครั้งนี้ได้ แม้ว่าไท่ฮูหยินจะพยายามเปลี่ยนใจหรือใช้อำนาจเท่าใด ก็ไม่อาจข่มจางเยี่ยนที่หลงใหลหลี่ฮูหยินจนแทบไม่ลืมหูลืมตาเช่นนี้ได้ จางอวิ๋นซีอยู่ในสถานะที่แม้แต่มารดานางก็ไม่อาจปกป้องได้ หลายครั้งนักที่นางถูกย่ำยีศักดิ์ศรี หลายครั้งนักที่นางกับมารดาถูกกลั่นแกล้งครั้งแล้วครั้งเล่า หลายครั้งนักที่นางอยากกราบทูลต่อองค์ฮองเฮาแต่นางก็ไม่สามารถทำได้ เนื่องด้วยมารดาเคยร้องขอเอาไว้ว่าไม่ต้องการให้บิดาเดือดร้อน คงเป็นเพราะความใจดีของมารดากระมังที่ทำให้อีกฝ่ายข่มเหงรังแกพวกนางเช่นนี้ จางอวิ๋นซีไม่มีทางเลือกนอกจากยอมคุกเข่าต่อหน้าจางเซียวหรูและคุกเข่าโขกศีรษะกับพื้นเพื่อขออภัยต่ออีกฝ่าย นางยอมทำเพื่อมิให้มารดาต้องเจ็บตัวอีกต่อไป หากวันใดที่นางลุกขึ้นมาสู้ได้นางจะสู้อย่างไม่คิดสิ่งใด! แม้ว่าไท่ฮูหยินพยายามร้องขอให้บุตรชายหยุดการกระทำเช่นนี้ แต่จางเยี่ยนกลับนิ่งเฉยนัก “เจ้าจะนิ่งเฉยต่อนางไม่ได้นะอาเยี่ยน! องค์ไทเฮาทรงมีพระเสาวนีย์ให้เชิญนางเข้าวัง!” ไท่ฮูหยินกล่าวเสียงดังพร้อมกับพระราชสาสน์ในมือ ซึ่งประทับตราพระราชลัญจกรขององค์ไทเฮาเอาไว้อย่างชัดเจน “ไทเฮาทรงเชิญซีเอ๋อร์ไปร่วมงานฉลองวันพระราชสมภพของพระนาง ซึ่งจัดงานล่องเรือชมบงกช หากเจ้าทำร้ายซีเอ๋อร์ รู้หรือไม่ว่าไทเฮากับฮองเฮาจะจัดการพวกเจ้าสถานใด และอาจลามไปทั้งสกุล เจ้าอยากให้เป็นเช่นนั้นรึ?” ไท่ฮูหยินถามเสียงแข็ง “ข้าได้ยินข่าวลือหนาหูนัก ว่าไทเฮาทรงหมายพระทัยจะจัดหาพระชายา ให้กับท่านอ๋องแต่ละองค์ ข้าไปร่วมได้หรือไม่เจ้าคะท่านย่า” จางเซียวหรูถามขณะที่นัยน์ตาของนางลุกโตราวกับไข่ห่านด้วยความดีใจ งานวันพระราชสมภพของไทเฮานี้ เชื้อพระวงศ์ชั้นสูงมากมายจะถูกเชิญเข้ามาร่วมงาน หนึ่งในนั้นต้องมีหานไท่หยาง ซึ่งเป็นพระราชโอรสในฮองเฮาและว่าที่องค์รัชทายาทด้วยเป็นแน่ จางเซียวหรูนางคิดอย่างดีใจ นางอยากเข้าวังอย่างจางอวิ๋นซีบ้าง แค่เพราะจางอวิ๋นซีมีศักดิ์เป็นหลานสาวของฮองเฮา นางก็สามารถเข้าออกตำหนักฝ่ายในได้อย่างสบายใจ อีกทั้งยังเป็นนางรับใช้ที่ใกล้ชิดกับไทเฮา ทำให้ได้รับความโปรดปรานไม่น้อยเลย หากนางสามารถใช้ความงามที่มี ทำให้องค์ชายรองอย่างหานไท่หยางหลงรักนางได้ ตำแหน่งพระชายารัชทายาทคงอยู่ไม่ไกลจากเอื้อมมือของนางแน่ “เจ้าคิดการอันใดกันลูกหญิง เห็นชัดๆ ว่าไทเฮาทรงต้องการให้น้องสาวของเจ้าไปเพียงเท่านั้น บุตรีฮูหยินรองอย่างเราจะได้เข้างานนี้ง่ายๆ หรือ?” เสียงของหลี่ฮูหยินแสร้งกล่าวด้วยความน้อยใจ จนจางเยี่ยนต้องกล่าวปลอบ “อย่างไรเสียเจ้าเองก็เป็นฮูหยินของข้า ข้าต้องพาเจ้าไปด้วยอยู่แล้ว” จางเยี่ยนกล่าวกับหลี่ฮูหยินอย่างอ่อนโยน หลี่ฮูหยินกับบุตรสาวยิ้มอย่างลำพองใจจางเซียวหรูกลับเรือนพร้อมกับมารดาด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ นางคิดกังวลมากมายเกี่ยวกับงานวันพระราชสมภพของไทเฮาที่กำลังจะจัดขึ้นในอีกสามวัน อีกทั้งในช่วงนี้เมืองหลวงมีข่าวลือหนาหูยิ่งนักเกี่ยวกับการคัดเลือกพระชายาให้กับอ๋องแต่ละองค์ ซึ่งเป็นองค์ชายที่ฮ่องเต้หานทรงอวยพระยศขึ้นทั้งหมด รวมถึงองค์ชายใหญ่ซึ่งเป็นโอรสพระสนมหยางเต๋อเฟยอีกด้วย
“ข้าไม่สบายใจเลยเจ้าค่ะท่านแม่ ไทเฮากับฮองเฮาทรงโปรดปรานจาง อวิ๋นซีมาก หากนางถูกมอบสมรสพระราชทานให้กับอ๋องไท่หยางแล้วนั้น หากอนาคตอ๋องไท่หยางถูกสถาปนาเป็นรัชทายาท นางก็จะเป็นฮองเฮาน่ะสิเจ้าคะ! ข้าไม่ยอมๆ นะท่านแม่!” จางเซียวหรูโวยวาย นางอิจฉาริษยาจางอวิ๋นซียิ่งนัก อีกฝ่ายมีมารดาเป็นฮูหยินเอก แม้จะไม่ได้รับความโปรดปรานจากบิดา แต่ไท่ฮูหยินผู้เป็นย่าก็ยังเข้าข้างนางเสมอ อีกทั้งมารดายังมีศักดิ์เป็นน้องสาวของฮองเฮาอีก จะไม่ให้นางอิจฉาริษยาอีกฝ่ายได้อย่างไร แม้นางจะเพียรพยายามมากเท่าใดก็ไม่อาจมีได้เท่าอีกฝ่าย “เจ้ามีความสามารถมากถึงเพียงนี้ สมรสพระราชทานถูกตัดสินโดยฝ่าบาท ทรงต้องมองการณ์ไกลอย่างลูกแม่เป็นแน่” หลี่ฮูหยินลูบหัวบุตรสาวอย่างปลอบประโลม แต่ทว่าลึกๆ แล้วในใจของนางก็หวั่นไหวอยู่เช่นกัน “เหนือกว่าฝ่าบาทก็คือไทเฮา ไทเฮาทรงคุมได้ทั้งราชสำนัก เราต้องหาทางไม่ให้นางเข้าร่วมงานเลี้ยงนะเจ้าคะท่านแม่ ไม่เช่นนั้นฝันของข้าจะพังทลายหมด” จางเซียวหรูกล่าว “หึ! แม่รับรองว่าแม่ต้องหาทางจัดการนางแน่!”ตกดึกกลางคืน
หลี่ฮูหยินลอบติดต่อกับคนจากสกุลหลี่ของตนเองอย่างลับๆ นางวางแผนการเอาไว้ ว่าอย่างไรจะต้องกำจัดจางอวิ๋นซีก่อนถึงวันงานฉลองพระราชสมภพของไทเฮาก่อนแน่ นางต้องทำเพื่อให้อนาคตของบุตรสาวนางมั่นคง อย่างน้อยหากจางเซียวหรูมิได้อภิเษกกับอ๋องไท่หยาง แต่หากนางได้อภิเษกกับองค์ชายใหญ่ ซึ่งเป็นโอรสของหยางเต๋อเฟย ตำแหน่งพระชายารัชทายาทคงอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมนัก และศัตรูในอนาคตที่จะเป็นภัยต่อบุตรสาวของนางก็จะหมดไปด้วย จางอวิ๋นซี...เจ้าไม่สมควรมาแย่งความสุขของลูกข้าไป! “จัดการตามนี้ คืนนี้จัดการนางเสร็จเอาร่างนางมาที่...” หลี่ฮูหยินกระซิบเสียงเบากับกลุ่มชายลึกลับเซียวเหม่ยฉีในร่างของจางอวิ๋นซีซึ่งนอนแน่นิ่งในเกี้ยว ถูกพามายังจวนสกุลจางในสภาพที่เปียกปอน เนื่องจากงานฉลองวันพระราชสมภพของไทเฮาถูกจัดเตรียมเอาไว้แล้ว และจางอวิ๋นซีคือผู้ที่ไทเฮาทรงมีพระเสาวนีย์เชิญร่วมงานสำคัญในครั้งนี้ หากนางหายไปย่อมเป็นผลไม่ดีต่อสกุลจางอย่างแน่นอน แต่ทว่าจางเยี่ยนก็หาได้สนใจการหายไปของบุตรสาวนัก ร้อนถึงไท่ฮูหยินและจางฮูหยินที่แทบกินไม่ได้นอนไม่หลับ จึงสั่งให้พ่อบ้านมู่และหรูหรงออกตามหานางพร้อมกับคนในจวนอีกสามสี่คน
แต่ทว่าไท่ฮูหยินก็ไม่คาดคิดว่าจะเจอสภาพของหลานสาวสุดที่รักในสภาพที่เปียกปอนเช่นนี้ พ่อบ้านมู่และคนในจวนช่วยกันพาร่างของจางอวิ๋นซีเข้าไปด้านใน สาวใช้คนสนิทของหลี่ฮูหยินจึงรีบมารายงาน สร้างความตกใจให้กับหลี่ฮูหยินและจางเซียวหรูยิ่งนักที่รู้ว่าอีกฝ่ายถูกตามหาร่างจนพบ “ท่านแม่ เราจะทำยังไงดีเจ้าคะ หากนางจำได้ว่าพวกเราวางแผนฆ่านาง เราต้องแย่แน่ๆ ท่านแม่” จางเซียวหรูเขย่าแขนมารดาอย่างเป็นกังวล หลี่ฮูหยินปลดมือบุตรสาวออกจากแขน “เอาล่ะๆ ตอนนี้เราต้องทำเป็นทองไม่รู้ร้อนไปก่อน แต่เจ้าวางใจเถิดคนพวกนั้นเป็นคนของเรา หากพวกมันถูกจับได้พวกมันยอมพลีชีพทันที” จางเซียวหรูรู้สึกขัดใจยิ่ง นางมองมารดาเดินนำออกไปจากเรือนในเพลาค่ำคืนหลังจากฝนหยุดตกเช่นนี้ ‘จางอวิ๋นซี เจ้าจะเป็นมารขัดขวางข้าไปถึงเมื่อใด!?’ จางเซียวหรูกำหมัดแน่น นางคิดแค้นอีกฝ่ายในใจยิ่งนัก เหตุใดนางจึงตายยากตายเย็นเยี่ยงนี้!เซียวเหม่ยฉีตื่นขึ้นมาอีกครั้งในร่างของจางอวิ๋นซีดังเดิม นางปรือตาขึ้นมาขจัดความง่วงและอาการปวดหัวออกไป ในหัวพยายามนึกถึงเหตุการณ์ที่หญิงสาวผู้นั้นพาเธอมายังโลกแห่งนี้ โลกที่อยู่ห่างไกลจากความเจริญเกือบพันปี!
หญิงสาวเอามือกุมศีรษะของตนเองเอาไว้ ผลจากการตากฝนนานๆ ทำให้เธอเริ่มเป็นไข้และตัวร้อนรุมๆ นัก “คุณหนู ท่านตื่นแล้วหรือเจ้าคะ” เสียงใสของหญิงสาวที่รุ่นราวคราวเดียวกับเซียวเหม่ยฉีดังขึ้น เด็กสาวคนนั้นหันหน้ามาหาผู้ที่นอนอยู่บนเตียง ก่อนจะเอาผ้าที่ชุบน้ำค่อยๆ เช็ดตามลำตัวของอีกฝ่าย “คุณหนู ท่านสลบไปหนึ่งวันเต็มๆ เลยนะเจ้าคะ เหตุใดท่านจึงไปอยู่ในที่รกร้างเช่นนั้นกัน อันตรายมากนะเจ้าคะดีที่ไท่ฮูหยินสั่งให้ข้าพวกข้าออกตามหาท่านที่บริเวณนั้น จึงได้เจอกับท่าน...” หรูหรงเอ่ยยืดยาว “เดี๋ยวๆ นะ เธอเรียกฉันว่าคุณหนู?” เซียวเหม่ยฉีขมวดคิ้วถามอีกฝ่าย ตอนนี้หญิงสาวพอจำได้รางๆ เกี่ยวกับเจ้าของร่างนี้ที่ต้องการให้เธอมาแก้แค้นใครบางคน ใครบางคนที่ฆ่าเจ้าของร่างนี้... หรูหรงพยักหน้าตอบ “เจ้าค่ะ ท่านคือคุณหนูบุตรสาวฮูหยินใหญ่ของจวนนี้” นึกไม่ถึงแฮะ ว่าเจ้าของร่างที่ฉันอยู่จะมีพ่อแม่เป็นเศรษฐีรวยขนาดนี้... เซียวเหม่ยฉียิ้มในใจกับความคิดของตนเอง “แล้วเธอคือ...” หรูหรงวางผ้าในมือลงกับอ่างน้ำอุ่นด้วยท่าทีตกใจ นางนั่งลงข้างๆ กับจาง อวิ๋นซีผู้เป็นนาย “คุณหนู ท่านความจำเสื่อมจนจำบ่าวไม่ได้หรือเจ้าคะ?” เซียวเหม่ยฉีอยากจะเขกหัวสักร้อยทีนัก ทั้งๆ ที่เธอถูกพามาอยู่ในร่างนี้แล้วแท้ๆ แต่กลับจะก่อเรื่องวุ่นวายอีก “เอ่อ คือว่า” เซียวเหม่ยฉีพยายามคิดหาข้อแก้ต่างในใจเพื่อไม่ให้สาวใช้ของจางอวิ๋นซีตกใจเอาได้ “ซีเอ๋อร์ของย่า เจ้าฟื้นแล้วหรือ?” ไท่ฮูหยินเดินเข้ามาหาผู้เป็นหลานสาวอย่างรวดเร็ว เซียวเหม่ยฉีทำตัวไม่ถูกนักเมื่อเจอกับเหตุการณ์แบบนี้ หญิงสาวอยู่ในสถานะน้ำท่วมปาก จะกล่าวอ้างสิ่งใดในเพลานี้ก็ไม่อาจทำได้ นางพยายามตั้งสติให้มั่นคงแล้วคิดถึงเหตุการณ์ทุกอย่างให้ถี่ถ้วน “ซีเอ๋อร์” เสียงของจางฮูหยินดังมาจากหน้าห้อง นางเดินสาวเท้าเข้ามาอย่างรวดเร็วตรงเข้าสวมกอดจางอวิ๋นซีด้วยความคิดถึง นานมากแล้วที่เซียวเหม่ยฉีไม่เคยสัมผัสถึงความรู้สึกอบอุ่นของมารดา เนื่องจากว่าเธอสูญเสียครอบครัวไปตั้งแต่ยังเด็ก จึงถูกญาติๆ ของเธอพาไปเลี้ยงดูจนกระทั่งได้ทำงานเป็นหมอในโรงพยาบาลเอกชนที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง ซึ่งป่านนี้คุณย่าของเธอคงคิดถึงเธอเป็นแน่ เซียวเหม่ยฉีมองใบหน้าแต้มยิ้มของไท่ฮูหยินอีกครั้ง ใบหน้าของผู้เป็นย่าของนางก็ลอยทับมา ป่านนี้ท่านจะรู้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหลานสาวคนนี้ เอาล่ะ...อยู่ในร่างของเธอก็ไม่ได้แย่กว่าที่คิดนะ ฉันจะเป็นจาง อวิ๋นซีเพื่อเธอก็แล้วกัน จางอวิ๋นซีคนใหม่...สมรสพระราชทานระหว่างจางเซียวหรูและหานอี้ ถูกประกาศไว้ทั่วเมืองอย่างยิ่งใหญ่ด้วยฝีมือของหยางเต๋อเฟย ไม่แพ้คราวที่จางอวิ๋นซีแต่งงานกับหานไท่หยางเลยสักนิด เป็นที่โจษจันกันทั่ววังหลวงว่าในอนาคตนี้ อ๋องใหญ่หานอี้อาจได้รับการสถาปนาเป็นรัชทายาทเป็นแน่ด้วยอุปนิสัยของหานอี้ที่เข้าถึงได้ง่าย มีจิตใจโอบอ้อมอารี คอยช่วยเหลือประชาชนที่ตกทุกข์ได้ยาก และจางเซียวหรูที่เป็นถึงบัณฑิตหญิงอันดับหนึ่งของแคว้นหาน ย่อมเหมาะสมยิ่งนักราวกับกิ่งทองใบหยก ข่าวดีนี้ทำให้มีเหล่าเสนาบดีน้อยใหญ่มากมายต่างมาผูกสัมพันธ์กับสกุลจางให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเหล่าบรรดาคุณหนูทั้งหลายที่เคยตราหน้าจางเซียวหรูว่าเป็นบุตรีฮูหยินรอง บัดนี้พวกนางต่างมานอบน้อมต่อจางเซียวหรูทั้งสิ้นข้าวของเงินทองถูกนำมาเป็นของกำนัลล่วงหน้าในงานแต่งงาน ทรัพย์สินสมรสของหานอี้ถูกทยอยส่งมาเรื่อยๆ ไม่ขาดสาย อีกทั้งยังมีเครื่องประดับเพชรนิลจินดามากมายที่ถูกส่งมาจากหยางรั่วอวิ๋นหรือ หยางเต๋อเฟย“เครื่องประดับพวกนี้งดงามนักเจ้าค่ะท่านแม่ ท่านย่าว่าอย่างไรเจ้าคะ” ไท่ฮูหยินที่เป็นย่าก็ร่วมยินดีที่หลานสาว
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในงานเทศกาลล่าสัตว์เมื่อวันก่อน ทำให้ หยางเต๋อเฟยกังวลพระทัยอยู่หลายวัน เนื่องจากการมีองค์หญิงแคว้นเยว่เข้ามาเกี่ยวข้องในฐานะพระชายารองของหานไท่หยาง อาจส่งผลให้อำนาจของหานอี้บุตรชายของนางลดลง ดังนั้นวันนี้พระนางจึงเดินทางไปเข้าเฝ้าไทเฮา เพื่อทวงสัญญาเรื่องสมรสพระราชทานระหว่างหานอี้กับจางเซียวหรูแต่ทว่าจังหวะที่กำลังเข้าเฝ้าอยู่นั้น องค์หญิงซิ่วอิ่งก็เดินทางเข้าวังมาถวายพระพรฮองเฮาและไทเฮาตามธรรมเนียมพอดี ทำให้พระนางต้องยืนรอให้อีกฝ่ายออกไปให้พ้นหูพ้นตาเสียก่อน จึงริเริ่มแผนการสมรสพระราชทานเมื่อคล้อยหลังองค์หญิงซิ่วอิ่งแล้ว หยางรั่วอวิ๋นหรือหยางเต๋อเฟยจึงไปเข้าเฝ้าไทเฮาที่ตำหนักคังเฉวียนทันที นางทวงถามสัญญาเรื่องสมรสพระราชทานจากไทเฮา“ดูเจ้าจะรีบร้อนเสียจริง เรื่องการแต่งงานของหลานข้า หานอี้” ไทเฮาทรงจิบชาอย่างเกษมสำราญ มิได้ทุกข์ร้อนดังเช่นหยางเต๋อเฟย“แต่เสด็จแม่เคยให้สัญญากับข้าเอาไว้ แล้วว่าจะประกาศเรื่องสมรสพระราชทานในวันเทศกาลล่าสัตว์ ทรงลืมแล้วหรือเพคะ” หยางเต๋อเฟยกล่าวอย่างร้อนใจ
ภายในใจของจางอวิ๋นซีในตอนนี้ ไม่ต่างกับไฟร้อนที่สุมทรวง นางไม่เข้าใจว่าอาการเหล่านี้คือสิ่งใด หากเป็นที่โลกปัจจุบันของนาง คงเป็นเพราะธาตุทั้งห้าในร่างกายกำลังแปรปรวนเป็นแน่หญิงสาวรีบเดินจ้ำอ้าวเข้ามาในตำหนัก ปิดประตูไม่ต้อนรับผู้ใดทั้งสิ้น แม้กระทั่งหรูหรงและหยางกูกูก็ยังยืนรอแค่นอกห้อง“ทำไมข้าต้องรู้สึกโกรธที่เจ้าอยู่กับคนอื่นด้วยนะ” นางเอามือกุมหน้าอกที่กำลังร้อนรุ่มด้วยเหตุผลบางอย่าง จะว่านางประจำเดือนมาหรือไม่ก็คงไม่ใช่“หรูหรง หยางกูกู เข้ามาหาข้าที” ข้ารับใช้ทั้งสองรีบเดินเข้ามาเมื่ออีกฝ่ายมีรับสั่งเรียก“เพคะ พระชายา” หรูหรงเดินเข้ามา“หรูหรง เจ้าไปตลาดสด ซื้อสมองหมูกับไส้หมูมาให้ข้าที ส่วน หยางกูกู ท่านไปที่โรงครัว เตรียมมีดสั้นกับตะเกียบมาให้ข้าด้วย” นางสั่งยืดยาวหรูหรงและหยางกูกูมองหน้ากันอย่างงุนงง ของทั้งสองอย่างนั้นพระชายาของพวกนางจะเอามาทำสิ่งใดกันแน่“พระชายาจะเอาของพวกนั้นมาทำสิ่งใดเพคะ” หยางกูกูถามด้วยความอยากรู้
องค์หญิงซิ่วอิ่ง นอกจากจะมีพฤติกรรมถือดี ยโสโอหังแล้วนั้น ยังแสดงความไม่เคารพต่อจางอวิ๋นซีผู้เป็นพระชายาเอกแห่งวังอ๋องอย่างชัดเจน“เป็นแค่พระชายาเอกต่ำศักดิ์ มีสิทธิ์อันใดหรือมาสั่งข้า” ซิ่วอิ่งกล่าววาจาดูถูกดูแคลนอย่างชัดเจน นางยืนกอดอกไม่แสดงความเคารพต่ออีกฝ่ายเลยสักนิดจางอวิ๋นซียกยิ้ม “เจ้าอยู่ที่นี่ก็มิใช่แขกบ้านแขกเมืองอีกต่อไป ในเมื่ออีกหนึ่งปีต่อจากนี้เจ้าก็ต้องแต่งเข้ามาเป็นพระชายารองให้สามีข้า หน้าที่ในการอบรมสั่งสอนเจ้าให้รู้ถึงกฎธรรมเนียมของวัง ย่อมเป็นหน้าที่ข้า ดังนั้นข้าจะทำเช่นใดกับเจ้าก็ย่อมได้”“แต่เดิมทีหน้าที่อบรมขนบธรรมเนียมเป็นหน้าที่ของกูกูใหญ่ ไม่ใช่หน้าที่ของพระชายาเอก” ซิ่วอิ่งแย้งทันควัน หยางกูกูลอบยกยิ้มส่งเสริมพระชายาเอกของนาง“เป็นดั่งที่พระชายาเอกทรงกล่าวเพคะ หน้าที่ในการอบรมสั่งสอนองค์หญิง ย่อมเป็นหน้าที่ของพระนาง จะเป็นหน้าที่ของข้าก็ย่อมได้ แต่ในเมื่อพระชายาเอกทรงปรารถนาจะสั่งสอนองค์หญิงด้วยตนเอง หม่อมฉันก็ไม่อาจขัดพระประสงค์ได้” หยางกูกูกล่าวเสริม นางนับถือจ
องค์หญิงซิ่วอิ่งยกยิ้มอย่างผู้เหนือกว่า นางหันมามองเมิ่งฉีผู้เป็นพี่ชายเชิงส่งสัญญาณ เมิ่งฉีรีบกล่าวทันที“ทูลฮองเฮา ที่น้องสาวกระหม่อมกล่าวมานั้นเป็นความจริงทุกประการ เสด็จพ่อทรงปรารถนาให้น้องหญิง อภิเษกกับพระราชบุตรองค์ใดองค์หนึ่งของฝ่าบาท เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของทั้งสองแคว้นพะยะค่ะ” เมิ่งฉีกล่าว สายตาเต็มไปด้วยความเย้ยหยันร้ายกาจ“เมื่อสักครู่ฝ่าบาท ฮองเฮา ไทเฮาและทุกคนได้ประจักษ์แก่สายตาแล้ว ว่าหม่อมฉันได้ขี่ม้าตัวเดียวกับหานไท่หยาง เสด็จพ่อหม่อมฉันทรงปรารถนาให้หม่อมฉันอภิเษกกับหานไท่หยางเพคะ” ซิ่วอิ่งยกยิ้มมุมปาก นางหันไปเย้ยหยันจางอวิ๋นซีที่ยืนนิ่งทำสิ่งใดไม่ถูก“อาหยางของข้ามีชายาเอกอยู่แล้ว การที่องค์หญิงทำเช่นนี้ย่อมไม่เหมาะสม” หานไทเฮาทรงกล่าวพระสุรเสียงนุ่มนวล“แต่น้องสาวของข้ามาที่นี่เพื่อการอภิเษก หากพวกท่านทำเช่นนี้ ตามธรรมเนียมแล้วนางไม่สามารถอภิเษกกับบุรุษอื่นได้อีก พวกท่านทำเช่นนี้ เท่ากับพวกท่านไม่ให้เกียรติทางต้าเยว่ของข้า!” เมิ่งฉีแสร้งมีท่าทีเดือดดาล“ห
จางอวิ๋นซีควบม้านำหานอ๋องไท่หยางผู้เป็นสามี จนกระทั่งมาถึงบริเวณสนามประลองใจกลางป่า ซึ่งมีธงสีแดงโบกพลิ้วไสวอยู่ ธงสีแดงที่โบกพลิ้วอยู่นี้เป็นสัญลักษณ์ของจุดรวมพล หลังจากเสร็จสิ้นการประลองก่อนหมดเวลาเพียงหนึ่งเค่อทุกคนจะต้องมารวมตัวกันที่นี่ทางด้านหลังของหานไท่หยางก็ยังมีองค์หญิงซิ่วอิ่งตามติดมาเช่นกัน อีกฝ่ายยังคงควบม้าตามสามีของนางไม่ลดละ หน้าไม่อายยิ่ง!“นึกว่าจะตามท่านอ๋องไม่ทันเสียแล้ว” นางยกสายบังเหียนขึ้นสูงบังคับให้ม้าหยุด พลางส่งยิ้มหวานให้หานไท่หยางอย่างออดอ่อยเต็มที่“ตามข้ามาทำไม” ชายหนุ่มถามอีกฝ่ายตรงๆ อย่างไม่ไว้หน้านาง ทำเอาองค์หญิงแคว้นเยว่หน้าชาไปชั่วขณะหนึ่ง ไม่เคยมีบุรุษใดถามคำถามนางเช่นนี้มาก่อน อีกทั้งรูปโฉมอันงดงามของนางก็ยากจะมีชายใดปฏิเสธ แต่หานไท่หยางเป็นคนแรกที่กล้าทำเช่นนี้กับนาง“อะ เอ่อ คือ...” นางเอ่ยตะกุกตะกัก “หม่อมฉัน ปรารถนาจะร่วมล่าสัตว์กับท่านอ๋องนะเพคะ”หานไท่หยางเบื่อหน่ายท่าทีขององค์หญิงผู้นี้นัก “ถ้าเช่นนั้นองค์หญิงก็ดูแลตนเอง เพ