เมืองกุ้ยโจว แคว้นชิง
ยี่สิบสองปีต่อมาปลายวสันต์
บุรุษเรือนกายสูงใหญ่ที่มีผิวขาวดุจหิมะบุกรุกเข้ามาหาสตรีที่นอนอยู่บนเตียงหลังน้อยในยามวิกาล นางส่งเสียงหวานแผ่วเบา เสียงซึ่งเกิดจากการถูกริมฝีปากบางสีสดบรรจงลวกตามผิวกายสาว
ยอดถันงดงามของนางเย้ายวนใจเขายิ่ง มันเป็นสีชมพูเข้ม และนางมีหน้าอกอวบสวยขนาดใหญ่ มันเด้งไหวรับการนวดเฟ้นจากแรงมือของเขา ราวกับก้อนเต้าหู้เนื้อดี
เขาดูดเลียขบเม้มยอดถันพอให้นางส่งเสียงหวานอย่างเผลอไผล และหลังจากเล่นกับถันคู่งามสมใจ เขาก็เลื่อนริมฝีปากลงมาเรื่อยๆ กระทั่งถึงเนินสวาทที่ชวนให้ไล้ลิ้นชิม
ม่านซือซือเป็นหญิงที่ดูแลร่างกายได้ดีเหลือเกิน ขนซึ่งอยู่ใน ส่วนลับถูกเก็บให้เรียบร้อย มันจึงเผยให้ชายหนุ่มคลั่งหนักกว่าเดิม ด้วยเนินเนื้อนางนูนสวยอีกทั้งสั่นระริก ชวนให้เขากระแทกทั้งลิ้นและแก่นกายเข้าไปสำรวจความชุ่มชื้นข้างใน
“เจ้ารอข้าอยู่ใช่หรือไม่ คงปรารถนาร่วมรักกับข้ามิต่างกัน” เขาเอ่ยจบก็หัวเราะลงลูกคอ เสียงหัวเราะที่แสนประหลาดอีกทั้งชวนให้ ครั่นคร้ามใจ
ในคืนที่แสงจันทร์มีเมฆบดบังเช่นนี้ ห้องนอนของคุณหนูห้าสกุลม่านจึงมีเพียงแสงจากตะเกียงดวงน้อยที่ให้ความสว่างเพียงริบหรี่ แต่ก็มากพอที่จะให้เขาได้สำรวจและกินนางอย่างถึงใจ
ปลายลิ้นเรียวของเขาแทงลึกเข้าสู่กลีบบุปผา และมันคับแน่นมาก กระนั้นก็มีความต้องการอันบ้าคลั่งอยู่ข้างใน เมื่อถูกเขากระตุ้นอย่าง ไม่ลดละ น้ำหวานของนางจึงซึมออกมาไม่หยุด ร่างกายนางสั่นสะท้านน้อยๆ สั่นด้วยความรัญจวนใจ
สำหรับเขา คุณหนูห้าแห่งสกุลม่านเป็นสตรีที่พิเศษกว่าใคร นางอดกลั้นเก่ง อีกทั้งมีเสียงครางไพเราะทำให้เขาเคลิ้มไหว
ชายหนุ่มแทรกปลายลิ้นเข้าสู่แอ่งเนื้อนิ่มด้านในอีกหน ซึ่งคราแรกนางปิดกั้นไม่ให้เขาผ่านเข้าไป แต่พอมือใหญ่เอื้อมไปบดบี้ยอดถันสลับการคลึงให้นางเสียวซ่าน นางจึงคลายความแน่นออก และเปิดทางเย้ายวนให้เขาบุกทะลวง
ลิ้นร้อนแทรกแทงลึก นางจึงครางเสียงซาบซ่าน เมื่อเขาเร่งจังหวะรัวแรงหนักหน่วง นางก็เหมือนจะปล่อยความสุขล้ำให้เขาดื่มกิน
“อ๊ะ อ๊า...อี้...” นางร้องอย่างเผลอไผล ดวงตากลมโตปิดสนิท ยามนี้มีแต่แพขนตางอนยาวที่ไหวไปมา
หญิงสาวหลับลึก ส่วนหนึ่งมาจากกลิ่นธูปหอมซึ่งอบอวลอยู่ใน ห้องนอน
และเมื่อเขาส่งความสุขให้นางเพิ่มขึ้นด้วยปลายลิ้น สลับการดูดติ่งเนื้อนิ่มของนาง สตรีที่หลับใหลจึงครางเสียงหวานจัดกว่าเดิม
“อี้ๆๆ” น้ำเสียงนางไพเราะจับใจ จึงทำให้เขาพึงใจทุกครั้งที่ได้ยิน
คราแรก ชายหนุ่มอยากปรนเปรอความใหญ่โตในกางเกงของตนแก่นางเพื่อให้คลายกำหนัด ผิดแต่มันยังไม่ถึงเวลา และนับแต่นี้เขาต้องใช้เล่ห์กลเล็กๆ น้อยๆ เพื่อจะได้ตัวคุณหนูห้าสกุลม่านไปใช้งานในคฤหาสน์สัตตบงกช ซึ่งนางอาจโชคดีได้เป็นฮูหยินของเขา ไม่ใช่สิ...ตำแหน่งพระชายา หรืออาจถึงขั้นเป็นมเหสีของแคว้นชิง มันคงไม่เกินความสามารถที่นางจะเอื้อมถึง ขอเพียงนางเป็นสตรีที่อดทนได้เป็นเลิศ และหลั่งน้ำแห่งความสุขหวานล้ำให้เขาได้ลิ้มรสไม่ขาดปาก เพียงเท่านี้เขาก็จะเป็นคนสอนนางให้เก่ง เพื่อเป็นนางหงส์ที่จะอยู่เคียงข้างมังกร ผู้มีนามว่า จ้าวเล่อซี รัชทายาทใบ้แห่งแคว้นชิง...
ม่านซือซือ นางเป็นลูกของอนุเซี่ย ซึ่งจากไปตั้งแต่นางอายุได้ ห้าปี ชีวิตนางไม่ถึงกับตกต่ำหรือถูกม่านฮูหยินกดขี่ข่มเหง แต่นางก็ไม่ได้รับความรักอย่างเต็มที่ กระนั้นบิดาของนาง ม่านเจิ้น ซึ่งเป็นหัวหน้ากองอักษรที่ศาลต้าเหลียงของเมืองกุ้ยโจว ก็เปิดโอกาสให้นางได้ร่ำเรียนอย่างเต็มที่
เมื่อได้อ่านหนังสือมากเข้า นางจึงมีไหวพริบและความสามารถหลากหลายกว่าสตรีทั่วไป อีกทั้งนิยมชมชอบวิชาการแพทย์ นางหัดฝังเข็มควบคู่การปรุงสมุนไพรเพื่อช่วยเหลือคน รวมถึงการทำเครื่องหอมและแป้งทาหน้า ยาบำรุงร่างกายให้แก่สตรี ม่านซือซือจึงเป็นที่รู้จักของคนมิน้อย ผู้คนรักนางอีกทั้งหยิบยื่นน้ำใจให้นางมิขาด ดังนั้นคุณหนูห้าสกุลม่านจึงไม่ได้มีชีวิตที่น่าสงสารในเรือนสักเท่าใด
ทว่าเป็นยามสายของวันนี้ ม่านซือซือไม่คิดว่าตนจะต้องพบสถานการณ์ชวนครั่นคร้ามใจ ทุกอย่างผิดพลาดไปหมด จู่ๆ นางถูกคนของบิดาออกคำสั่งให้เปลี่ยนรถม้า ซึ่งเป็นขากลับจากการรับจดหมายที่หอดอกเหมยให้เขา และแทนที่รถม้าคันดังกล่าวจะพานางคืนสู่เรือนสกุลม่าน กลับมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่นางไม่รู้จัก
ม่านซือซือหวาดกลัวจับใจ แต่พอจะโผล่หน้าออกไปถามคนข้างนอกนางก็ต้องปิดปากเงียบ คนที่ควบคุมรถม้าหาใช่บ่าวในเรือน!
เขากลับกลายเป็นชายรูปร่างสูงใหญ่ใส่ชุดสีเข้ม และนอกจากสวมหมวกสาน ใบหน้ายังอำพรางไว้ด้วยหน้ากากสีขาว มองเห็นแค่เพียงดวงตาเท่านั้น ยามมองจ้องนางมันทำให้ม่านซือซือสั่นไปทั้งร่าง!
“จะ เจ้าเป็นผู้ใด โจรเยี่ยงนั้นรึ”
ไร้เสียงตอบ คงมีแต่ดวงตาคมที่มองนางเขม็งและให้ความรู้สึกจู่โจมหญิงสาว นางจึงต้องถอยกลับเข้าไปอยู่ในรถม้าอย่างลนลานด้วยความกลัวจับจิต และยามนั้นนางอดสงสัยไม่ได้ว่า เหตุใดชายผู้นี้ถึงได้มีผิวขาวดุจหิมะ!
เวลาผ่านไปนานราวๆ เกือบหนึ่งชั่วยาม ม่านซือซือก็เริ่มเข้าใจถึงสถานการณ์ของตน รถม้าที่นางนั่งมาจอดนิ่งระหว่างทาง เป็นจุดพักม้าที่เงียบสงบซึ่งเกือบร้าง
รออยู่ไม่นานก็มีสตรีอีกสามนางถูกจับโยนเข้ามาข้างในรถพวกนางต่างมีสีหน้ามึนงง บางคนถูกจับตัวมาจากสกุลใหญ่ เสื้อผ้ากับเครื่องประดับของพวกนางบ่งบอกว่าเป็นลูกของคนมีอันจะกิน
“คนเลว พวกเจ้าทำกับข้าเช่นนี้ไม่ได้” หลิวฟ่านเอ่ยแล้วก็ร้องห่มร้องไห้ ดูเหมือนเสื้อผ้านางทั้งเปื้อนโคลนและมีบางส่วนฉีกขาด
ม่านซือซือจำนางได้ นางเคยไปซื้อของที่ร้านของอีกฝ่าย ทั้งสมุนไพรหายากรวมถึงผงหอมต่างๆ จึงเอ่ยถามเพื่อให้คลายความสงสัย
“เกิดสิ่งใดขึ้นกับคุณหนูหลิว!”
เมื่อหลิวฟ่านได้ยินคนเรียกตนจึงหันมาทางม่านซือซือ และเอ่ยด้วยเสียงสั่นๆ ว่า “เป็นข้าที่ถูกจับตัวมา แล้วเจ้าเล่า...มาอยู่ที่นี่ได้เยี่ยงไร”
“ถูกจับตัว! ใครกันบังอาจถึงขั้นจับตัวลูกสาวเจ้าบ้านหลิว” ม่านซือซือเอ่ยจบจึงสังหรณ์ใจในทางร้ายมากกว่าดี
“ฮึ! เกรงว่าคนที่กระทำเช่นนี้กับข้าคงมีแต่ท่านย่า... นางคงอยากลบชื่อข้าออกจากสกุลหลิว เพื่อข้าจะได้ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับสมบัติที่จงใจให้ลูกชายคนรองนางเอาไปผลาญเล่น”
ม่านซือซือไม่กระจ่างใจสิ่งใดนัก แต่ข่าวของหลิวฟ่านดังไปทั่วเมืองมิน้อย สกุลนางมีทรัพย์สมบัติมหาศาล และนั่นทำให้หลิวฟ่านมีชื่อเสียงเสียหายอยู่เสมอ นางเป็นหญิงที่รักสนุก นิยมการร้องรำ ชอบจัดงานเลี้ยงที่เรือนของตน มีทั้งชายงามและหญิงงามเข้าออกเรือนตลอด หลายครั้งเรื่องของนางมีคนใส่ไข่เติมสีว่า หลิวฟ่านเป็นหญิงที่ชอบอุ่นเตียงกับทั้งชายและหญิง ซึ่งไม่ใช่คราวละคน แต่นางนิยมเล่นพิเรนทร์ทั้งข้างหน้าข้างหลังและริมฝีปาก แน่นอนว่าเมื่อชอบความสนุกเช่นนี้ นางย่อมไม่อาจใช้บุรุษหรือสตรีเพียงคนเดียวในการระเริงรัก
หลิวฟ่านหรี่ตามองม่านซือซือ ท่าทางนางเหมือนกำลังประเมินว่า อีกฝ่ายถูกจับขึ้นรถม้าคันนี้ได้อย่างไร“ตัวเจ้าเล่า เหตุใดถึงถูกจับตัวมา” หลิวฟ่านถาม“ขะ ข้า...มาเอาจดหมายให้ท่านพ่อที่หอดอกเหมย” ม่านซือซือเอ่ยจบ ก็เหมือนพึ่งพบความผิดปกติบางอย่าง ก่อนมองจดหมายในมือตน“ซือซือ เจ้าคงถูกบิดาหลอกอย่างมิต้องสงสัย ในมือเจ้าคงไม่ใช่จดหมายอันใด แต่เป็นสัญญาขายตัวเสียมากกว่า โถ... เด็กโง่เอ๋ย”“เอ จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ท่านพ่อจะขายข้าให้ใคร!?”หลิวฟ่านไม่ได้ตอบ และนางปิดปากเงียบคล้ายถูกดึงเข้าสู่เรื่องดำมืด เป็นตอนนั้นที่ม่านซือซือคิดไม่ตก นางทบทวนหลายสิ่งตามลำพัง ก่อนค่อยๆ เปิดซองจดหมายและอ่านข้อความที่อยู่ข้างในสิ่งที่นางรับรู้ด้วยสองตาของตนมันคือความจริงเยี่ยงนั้นรึ สวรรค์ไยเล่นตลกกับนางถึงเพียงนี้ม่านเจิ้นขายนางให้กับคนอื่น เรื่องบัดซบเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร“ทะ ท่านพ่อ ขายข้าให้กับคฤหาสน์สัตตบงกช!”ม่านซือซือเอ่ยจบ นางก็เป็นลมหมดสติ ม่านซือซือสลบไปนานเท่าไหร่นางไม่แน่ใจนัก แต่ที่สะดุ้งตื่นเพราะถูกทาสหญิงตัวอ้วนกำลังป้อนยาเม็ดกลมๆ สีดำเหมือนถ่านเข้าปากนาง ทั้งที่พยายามขัดขืน แต่นางกลับสู
“หรือเป็นเพราะเจ้ารังเกียจที่พี่ต่ำต้อย” ชายหนุ่มแสร้งเอ่ยอย่างตัดพ้อ เขารู้ว่าม่านซือซือจิตใจเมตตาและมีหัวก้าว หน้า นางจึงไม่อาจทนฟังคำพูดเช่นนี้จากเขา“ขะ ข้าเปล่า ใครจะกล้ากระทำเยี่ยงนั้น พี่ถังคือชายที่ข้าปรารถนาครองคู่กันไปจนแก่เฒ่า” นางเอ่ยจบจึงอายม้วนเอี๊ยะถังยิ้มพึงใจ ซึ่งเขาไม่อาจปล่อยให้สตรีที่ลักลอบมาพบกันที่สวนแปะก๊วยรอดพ้นมือไปได้ คืนนี้เขาเตรียมการไว้แล้ว นางต้องตกเป็นเมียเขาเท่านั้น!น่องเรียวขาวนวลถูกมือใหญ่หยาบกร้านลูบไล้ ก่อนเคลื่อนสัมผัสต้นขานางอย่างรวดเร็ว ความอุ่นซ่านเหมือนจะร้อนลวกมือเขา ร่างกายนางสั่นระริก ดวงตาดอกท้อมองเขาด้วยความสงสัยแกมอยากรู้ อีกทั้งริมฝีปากอิ่มสวยเผยออ้า ส่งลมหายใจที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ รดเรือนกายแกร่งนางงามเช่นนี้ เขายิ่งหลงใหลจนอยากร่วมรักให้เร็วขึ้น เขาอยากกอด อยากทิ่มแทงนางด้วยท่อนเนื้อร้อนที่มีพิษร้ายกาจ“พี่ถัง ทะ ท่าน...หยุดมือก่อน”ชายหนุ่มดึงสติตนกลับ กระนั้นมือของเขาก็เจียนแตะลงบนกลีบสวาทที่อยู่ใต้ร่มผ้าของนาง ซึ่งเขาคะเนว่าพื้นที่ของนางคงอวบอูมและงดงามเหนือสตรีนางอื่น“เจ้าไม่ต้องการพี่รึ” เขาถามเสียงทุ้มๆ จงใจออดอ้อนนาง“ข้าเพียงแ
สิ่งที่เขากระซิบข้างหูม่านซือซือ ทำให้นางร้อนวูบวาบในร่มผ้า หญิงสาวหน้าแดงจัด มือนางเหมือนจะอ่อนแรงลง จวบจนเขาจับมือข้างหนึ่งของนางไปวางแปะตรงเป้าพองๆ นางก็กระจ่างแจ้งในสิ่งที่เอี๊ยะถังอยากให้ช่วยเหลืออึดใจต่อมา ภาพที่ปรากฏต่อหน้านางคือแท่งเนื้อ แท่งเนื้อสีเข้มที่ปลายหยักของมันวาววามเป็นสีคล้ำจัดจากการใช้งานอย่างโชกโชน ตลอดทั้งลำมีเส้นเลือดปูดโปนราวกับหัวมัน และไม่งามอย่างที่นางจินตนาการถึง ทว่าแท่งเนื้ออันอุ่นร้อนก็เชิญชวนให้นางสัมผัสลูบไล้ และปรนเปรอความสวาทให้แก่เอี๊ยะถัง“ขะ ข้าทำไม่ได้หรอก” เมื่อคลำหาเสียงตนเองพบนางจึงปฏิเสธ นางกลัว... ใช่ มันคือความรู้สึกที่ไม่อาจเป็นอื่นได้ เมื่อก่อนนางเคยอ่านพบเรื่องราวลึกลับของบุรุษในหนังสือมามิน้อย ได้เห็นภาพวาดการอุ่นเตียงจากหนังสือชุนกง ภาพเหล่านั้นและการบรรยายท่วงท่ากับลีลาอันโลดโผนนางยังระลึกถึงอยู่เสมอ ส่วนแท่งเนื้อของจริงเพิ่งจะเคยเห็นด้วยสองตาตนเองอย่างใกล้ชิด ยกเว้นยามที่นางหลับฝันถึงชายปริศนาเอี๊ยะถังมองหญิงสาวชั่วแวบหนึ่ง ก่อนหยิบถุงหอมจากอกเสื้อและส่งให้นางดมเขาไม่ได้ต้องการทำเรื่องชั่วช้าข่มเหงน้ำใจม่านซือซือ ทว่าหากไม่เร่งรั
ณ ลานกว้างหน้าเรือนทานตะวัน ม่านซือซือยังไม่ทันหายตกใจหลังจากถูกต้อนลงจากรถม้าคันใหญ่ นางไม่รู้เหนือรู้ใต้อันใด ก่อนหน้านี้ก็ถูกต้อนให้ขึ้นรถม้าอีกคันที่ใหญ่กว่าเดิม แล้วถูกมัดมือปิดตาและได้ยินแต่เสียงอื้ออึงรอบกาย จึงทำให้เครียดจนแทบคลั่งระหว่างเดินทางยังมีเสียงครางแปลกๆ ของชายหญิง ก่อนจะตามมาด้วยกลิ่น กลิ่นคาวที่นางไม่อาจล่วงรู้ว่าเกิดจากสิ่งใดกระทั่งลงมายืนที่พื้นดิน นางก็ถูกสั่งให้เดินตามก้นสตรีนางอื่น กระทั่งเข้ามาถึงส่วนด้านในของคฤหาสน์อันใหญ่โต และมันถูกแบ่งเป็นเรือนหลังเล็กๆ หลายหลัง ดูจากหมายเลขของเรือน คงมีราวๆ 10-12 หลัง “เข้าไปรอที่ลานหน้าเรือนทานตะวัน” คำสั่งของแม่นมเอ่ยเสียงดังเฉียบขาด เมื่อดูท่าทางนางก็คาดว่าไม่ได้สูงวัยสักเท่าไหร่ แต่ด้วยไร้รอยยิ้มและการยืนหลังตรงราวกับสตรีที่ถูกฝึกมาอย่างดี อีกทั้งมีสาวใช้เดินตามนางเป็นพรวน ทำให้นางรวมถึงสตรีที่ถูกขายมาต่างพากันอกสั่นขวัญแขวน“เหตุใดถึงได้มีเรื่องบัดซบเช่นนี้เกิดขึ้นกับข้าได้ ข้ารู้เพียงแต่ว่าต้องออกมาไหว้พระที่อารามศักดิ์สิทธิ์ ไฉนถึงตกเป็นสาวใช้ต่ำต้อยที่ต้องมาปรนนิบัติชายวิปริต!” สตรีนางหนึ่งที่แต่งตัวงดงามมิน
ม่านซือซือกอดหน้าอกตนเองไว้แน่น สองขาเบียดชิดกัน นางอายอีกทั้งรู้สึกอดสู การแก้ผ้าให้ผู้อื่นตรวจสอบประหนึ่งเป็นสินค้าเป็นเรื่องที่เกินจะรับไหว“เอามือลง แล้วยืนให้ตัวตรงๆ” เหม่ยหลานเอ่ยจบจึงสำรวจเรือนร่างของม่านซือซือ เริ่มจากใบหน้า ลำคอ เต้าอวบสวยที่ปลายยอดถันกำลังชูชัน และนางเหมือนต้องการรู้บางสิ่ง เลยใช้แท่งลึงค์ไม้หัวหยักในมือเขี่ยยอดถันสีชมพูซึ่งตอนนี้เข้มจัดดูเย้ายวนไม่น้อยม่านซือซือเม้มริมฝีปากแน่น นางกลัวเสียงน่าขายหน้าหลุดลอดออกไปแต่ก็ไร้ผล เพราะเหม่ยหลานใช้ไม้ลึงค์สะกิดไม่พอ นางยังบีบหน้าอกของม่านซือซืออย่างไม่ถนอมสักนิด“เจ้าคือลูกสาวของหัวหน้ากองอักษร ม่านเจิ้นสินะ”ริมฝีปากของม่านซือซือขยับจะตอบ แต่กลายเป็นการครางเสียงแผ่วๆ อย่างน่าละอาย“เจ้าเป็นสตรีที่ไวต่อความรู้สึกมิน้อย...แต่ข้าต้องตรวจเพื่อให้แน่ใจว่าเหมาะสมอยู่เรือนหลังใดและทำงานส่วนไหน หากเลือกคนผิดอาจทำให้คุณชายกริ้ว ซึ่งคนที่ต้องไร้ลมหายใจคงไม่พ้นเจ้า แม่นางซือซือ”ม่านซือซือพยักหน้ารับ ตอนนั้นมือข้างหนึ่งของนางหยิกที่สีข้างตน นางอยากรู้สึกเจ็บปวด ด้วยมันคงดีกว่าถูกปลุกให้ความสิเน่หาติดไฟ“ต่อไปนี้จะเป็นการคัด
หัวใจม่านซือซือเต้นระรัวแรง และนางปฏิเสธที่จะมองเหตุการณ์เบื้องหน้า ทว่ากลับมีคำสั่งของเหม่ยหลาน ซึ่งนางให้ทาสหญิงสองคนเข้ามาหาม่านซือซือ แล้วบังคับถ่างตานางเพื่อมองการร่วมรักอย่างเร่าร้อน“ดู... เจ้าต้องดูให้เต็มตา นี่คือสิ่งที่เจ้าต้องปรนนิบัติคุณชายจ้าว”เหม่ยหลานออกคำสั่ง ม่านซือซือแม้จะรังเกียจอย่างไร แต่นางต้องฝืนดูภาพพิศวาสนั้นสามบุรุษกับสองสตรีระเริงรักบนพื้นไม้อย่างชวนให้ตกตะลึง และพวกเขายังถูกสาดน้ำมันหอมระเหยใส่ร่างท่อนเนื้อร้อนบุกทะลวงทั้งทางปากและแอ่งเนื้อนิ่ม พลอยให้ม่านซือซือถึงกับทนไม่ไหว นางเกือบพุ่งเข้าไปรวมกลุ่มกับพวกเขา ทว่าเมื่อคิดถึงคืนลอยโคมไฟนางก็อดหวาดผวาไม่ได้ เอี๊ยะถังคิดข่มเหงนาง ความเศร้าใจก่อเกิดขึ้นมา กระนั้นในซอกหลืบลึกๆ นางยังโหยหาเขา หากย้อนเวลากลับไปได้ นางคงยอมที่จะตกเป็นของอีกฝ่าย เพราะนางอาจไม่ต้องโชคร้ายถูกบิดาขายมายังคฤหาสน์วิปริตแห่งนี้หลิวฟ่านนั่งทับแก่นกายยักษ์ นางถูกจับให้นอนตะแคง จากนั้นนางจึงถูกบุรุษทั้งสามคนรุมนัวเนีย ชายคนหนึ่งเสือกแท่งหยกเข้ากลีบบุปผา ชายอีกคนแทงแก่นกายเข้าประตูหลัง ส่วนอีกหนึ่งบุรุษใช้แท่งหยกของเขาตบตีริมฝีปากบวมเจ่
ม่านซือซือนั่งอยู่ในห้องโล่งๆ ที่มีกลิ่นหอมของน้ำมันหอมระเหยและกลิ่นธูปลอยกำจายไปทั่ว ห้องนี้มีตั่งไม้กว้างปูรองด้วยฟูกและผ้าสีขาวสะอาดตา เครื่องเรือนล้วนย้อมด้วยสีดำขับให้บรรยากาศนิ่งสงบ หากแต่ไม่เศร้า น่ากลัว หรือวังเวง กลับให้ความรู้สึกน่าหลงใหล ลึกลับ แฝงความเย้ายวนนอกจากนั้นยังประดับด้วยภาพวาดและฉากกั้น เป็นผ้าไหมเนื้อดีปักลายสัตว์ป่าลงมากินน้ำ ดูแล้วเพลินตาไม่น้อยป้ายด้านหน้าเรือนเขียนไว้ว่า ‘9 เรือนโอสถ’ และทั้งที่เขียนอย่างนั้นแต่กลับไม่มีกลิ่นของยาแม้แต่น้อย ความสงสัยทวีความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งม่านซือซือได้ยินเสียงฝีเท้าที่มั่นคงเดินเข้ามาในเรือน ทั้งที่อีกฝ่ายไม่ได้ลงน้ำหนัก แต่ความเงียบสงบของที่นี่ทำให้นางขนลุกซู่ประตูด้านหน้าเปิดอย่างแผ่วเบา ภาพต่อมาคือร่างสูงใหญ่ของบุรุษในอาภรณ์โปร่งบางสีขาวหญิงสาวพบชายสง่างามมามิน้อย แต่ชายที่สะกดให้นางหายใจไม่สะดวก ก่อนจะกลายเป็นความลุ่มหลง ประหนึ่งตกอยู่ในอำนาจ คงเป็นชายที่สวมหน้ากากสีขาวผู้นี้ม่านซือซือแปลกใจ เขาช่างคล้ายคนที่นางรู้จัก อีกทั้งดวงตาคมใต้หน้ากากมองนางอย่างแฝงความนัย และความเงียบของเขากระตุ้นกลีบสวาทนางให้ผะผ
จ้าวเล่อซีพิศโฉมสตรีตรงหน้า ในที่สุดเขาก็ได้ตัวนางมาครอบครอง นับจากนี้นางจะอยู่เคียงข้างเขา คอยส่งเสียงหวานเร่าร้อนให้เขาฟังทุกเช้าค่ำความจริงในระยะเวลาที่ผ่านมา เขาจะใช้กำลังหรืออำนาจบีบบังคับขุนนางตัวเล็กๆ อย่างม่านเจิ้นให้ส่งตัวลูกสาวคนที่ห้ามาบำเรอสวาทเขาก็ทำได้อย่างง่ายดาย แต่จ้าวเล่อซีคิดว่ากระทำเช่นนั้นช่างไม่สมกับเป็นเขาเสียเลย จึงปล่อยให้นางใช้ชีวิตอย่างที่ต้องการ และเขาเพียงแค่วางกับดักล่อเอาไว้อย่างแนบเนียนกระทั่งคืนเทศกาลโคมไฟมาถึง เอี๊ยะถังคิดข่มเหงหญิงงามของเขา ชายหนุ่มจึงโกรธมาก แต่ยังปล่อยให้ทุกอย่างเกิดขึ้นต่อไปเพื่อลองใจนาง กระทั่งเขาแจ้งชัดในใจว่าม่านซือซือไม่ยอมให้เอี๊ยะถังข่มเหงเป็นแน่แท้จ้าวเล่อซีจึงยื่นมือช่วยนางเอาไว้และสตรีอย่างม่านซือซือคือคนที่เขาอยากร่วมรัก และมอบรสสวาทให้เขาสุขสม‘เจ้ายินยอมให้ข้าทำรักด้วยหรือไม่’ จ้าวเล่อซีถาม แต่เสียงดังก้องอยู่เพียงในอกเขาเมื่อไม่อาจเอื้อนเอ่ยถ้อยคำใดให้นางเข้าใจ เขาจึงต้องใช้ภาษากายแทนชายหนุ่มจูบนาง จูบอย่างใจปรารถนา และแทรกลิ้นร้อนเข้าไปในโพรงปาก ดูดดื่มความบริสุทธิ์ของม่านซือซือเรียวลิ้นของทั้งคู่เกี่ยวกระหวัด
อิ่นสิงอี้อยากร้องประท้วงคนตัวโต ทั้งซักถามสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นมากมาย แต่เขายังเล่นบทคนใบ้เฉกเช่นเดิม “ท่านคืออาหลุน... องค์ชายรอง... เป็นเหรินอ๋องอีกด้วย” ถานป๋อหยางไม่สนใจเสียงนางสักนิด เขาเหนื่อยกับการไล่ล่าคนของรัชทายาท และกำจัดพวกคิดก่อกบฏไปมิน้อย พอได้พบหน้าอิ่นสิงอี้ สิ่งเดียวที่อยากทำคือกอดนาง และขบเม้มร่างบอบบางนี้ให้หายคิดถึง “อย่าทำเป็นไขสือ แม้พูดไม่ได้ แต่ท่านสื่อสารได้ และเข้าใจสิ่งที่ข้าบอกใช่หรือไม่” ชายหนุ่มจูบหลังตนคอนางไปแรงๆ ก่อนทำมือทำไม้ส่งข้อความที่นางเข้าใจเพียงแค่ครึ่งเดียว “ล้วนเป็นข้าทั้งหมด แล้วอาอี้เล่า... ยังเป็นคนเดิมที่ชอบกลืนน้ำหวานของคนใบ้หรือไม่”นางไม่เข้าใจทั้งหมดที่เขาพยายามสื่อสารหรอก แต่คาดเดาได้ว่า เป็นเรื่องสัปดนของคนไร้ยางอายแน่นอน “ทะ ท่าน... หลอกลวงข้ามาโดยตลอด กี่ครั้งแล้วที่ทำให้สตรีผู้หนึ่งเสี่ยงอันตราย เพื่อให้ท่าน จับผู้ร้ายได้” ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูง เขาหรือจะไร้มนุษย์ธรรม และทำสร้างเรื่องที่น่ารังเกียจเช่นนั้น “อาอี้ ล้วนเข้าใจผิด ข้าไม่เคยทำสิ่งอย่างที่เจ้ากล่าวหา
กระทั่งจู่ๆ ขบวนรถม้าของอิ่นสิงอี้ ที่มุ่งตรงไปยังเรือนของเจ้าบ่าวก็หยุดชะงัก “คุณหนูรอง... มาหลบข้างหลังข้า” แม่สื่อผู้นั้น เป็นห่วงอิ่นสิงอี้ และอย่างที่กล่าว นางต้องส่งอีกฝ่ายให้ถึงมือเจ้าบ่าว นี่คือคำสั่งที่ต้องทำให้สำเร็จ เสียงโห่ร้อง เสียงการใช้อาวุธดังอยู่หลายอึดใจ ก่อนที่ประตูรถม้าจะถูกเปิดเข้ามา แต่แม่สื่อใช้เท้าถีบคนที่มุ่งร้ายหมายชิงตัวอิ่นสิ่งอี้ ฝ่ายแม่สื่อนางเป็นวรยุทธ์อยู่บ้าง และคนว่าจ้างบอกให้นางอารักขาชีวิตของอิ่นสิงอี้ ห้ามให้ผู้ใดเข้าใกล้เป็นอันขาด “อย่ากังวล นอกจากพวกรับจ้างดูแลรถม้า ยังมีกำลังเสริมที่ติดตามเราอยู่ไม่ไกล ตอนนี้สัญญาณถูกส่งออกไปแล้ว อย่างไรพวกเขาย่อมมาช่วยทัน” แม่สื่อกล่าวอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด พลอยให้อิ่นสิงอี้สบายใจได้เปลาะหนึ่ง สุดท้ายอิ่นสิงอี้ต้องอึ้งมาก นางเห็นบุรุษที่ขี่ม้าตัวโต เขาโดดเด่นสง่างามกว่าใคร และทั้งที่ผู้อื่นสวมชุดเกราะ แต่เขากลับสวมเสื้อผ้าสีแดง ไม่ต้องอธิบายก็รู้ว่าเป็นชุดของเจ้าบ่าว “ทุกคน จะให้เสียฤกษ์ไม่ได้ งานนี้อย่างไรต้องส่งเจ้าสาวเข้าหอกับเหรินอ๋อง”
อิ่นสิงอี้เดินเข้าไปในเรือนของตน ยามนั้นซูซินดีใจมาก และร้องไห้ไม่หยุด ส่วนตงหย่วนไม่ได้ถูกทำร้าย เนื่องจากนางยอมเปิดปากเล่าเรื่องอาหลุนที่ทำหมั่นโถว ไม่ใช่ฝีมือนางหรืออิ่นสิงอี้ ทว่ายามนี้มีเรื่องให้ต้องปวดหัวหนัก ด้วยก่อนหน้านั้น ลู่เหวยให้แม่สื่อมาช่วยจัดแจงสิ่งต่างๆ และบอกว่า อีกสามวันจะส่งตัวอิ่นสิงอี้ไปเป็นฮูหยินของคุณชายที่ร่ำรวยคนหนึ่ง หญิงสาวไม่คาดคิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้อีก หลายวันที่ผ่านมานางได้มอบร่างกายและใจให้กับอาหลุนแล้ว ซึ่งตอนที่มาถึงจวนอิ่น นางได้รับคำมั่นสัญญาจากเขาว่า จะมาให้คนมารับตัว ไปอยู่ในที่ปลอดภัย ก่อนออกไปงานเลี้ยงลู่เหวย และอิ่นหลิวหลิงวางแผนชั่วร้าย เนื่องจากสืบรู้ว่าอิ่นสิงอี้ ต้องการหลบหนีออกจากจวนอิ่น และเพื่อตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลมจึงขังอิ่นสิงอี้ไว้ที่เรือนสำนึกตน ซ้ำร้ายซูซินถูกขายออกไป ส่วนตงหย่วน นางล้มป่วยลงไม่ทราบสาเหตุ เมื่อคนของตนไม่ได้อยู่รับใช้ ทั้งมีชะตากรรมน่าสงสาร อิ่นสิงอี้ก็ทุกข์ใจ นางไม่กินข้าวหลับแทบไม่ลง จนเช้าวันใหม่ นางถูกปลุกด้วยการสาดน้ำเย็นๆ ใส่ร่าง ก่อนจับแต่งตัว ฝ่ายอิ่นหลิวหลิงเข้ามาเผช
อิ่นสิงอี้ได้พบคนของตนในอีกเกือบสิบวันต่อมา ระยะเวลาดังกล่าวทำให้นางเปลี่ยนความคิดไปอีกด้านหนึ่ง หญิงสาวเข้าใจโลกนี้มากกว่าเดิม นางตายแล้วฟื้นกลับมา เรื่องนี้คือสิ่งที่ตระหนักถึงเสมอ และอิ่นสิงอี้คนเดิม ที่แสนดี โง่เขลา ได้สาบสูญไปแล้ว ยามนี้ ร่างกายขับพิษออกหมด สุขภาพดีขึ้นเป็นลำดับ โดยภายหลัง นางมาอยู่ที่กระท่อมนายพรานซึ่งอาหลุนพามาอาศัย อีกทั้งมีคนรับใช้คอยช่วยเหลืองานทั่วไป ส่วนอาหลุนได้บอกว่า มีเรื่องสำคัญต้องไปจัดการ และเขาให้สัญญากับนางไว้ “จงอยู่ที่นี่สักพัก อย่ากังวลเรื่องใด อาอี้ย่อมปลอดภัยแน่นอน” นางพยักหน้าเข้าใจ ก่อนเอ่ยถามเขา “มีสิ่งหนึ่งที่อยากกระจ่างใจ อาหลุนของข้าเป็นผู้ใดกันแน่” และนี่คือสิ่งที่นางสมควรรู้ สตรีที่มอบกายและใจให้เขา และนางไม่อาจหันเหไปทางใดอีก ในสายตาอิ่นสิงอี้ ยามนี้มีแต่อาหลุน แม้เขาจะแสดงตนว่าไร้แซ่ เป็นเพียงคนใบ้ ทว่านางกลับไม่คิดรังเกียรติ แต่ปรารถนาให้เขาอย่าหลอกลวงกัน นางไม่อยากเป็นแค่สตรีซึ่งทำหน้าที่อุ่นเตียงให้ชายใด “อาอี้ เมื่อวันนั้นมาถึงสามีจะบอกเจ้าเอง ตอนนี้ขอเจ้า มี
หลี่ซือซิงแทบจะเต้นรอบโรงเตี๊ยมเล็กๆ แห่งนั้น นางแค่อยากอยู่อย่างสงบ ทว่าเหตุใดทหารพร้อมองครักษ์เกราะเหล็กถึงได้โผล่มาที่นี่ “เปิดประตูเถิดอย่าได้ขัดขวางการทำงาน จงรู้ไว้ แค่ข้าหายใจแรงสักหน่อย ที่นี่ก็พังราบเป็นหน้ากองแล้ว” เสียงที่ดังก้องอยู่ด้านนอกจะเป็นใครได้ เขาคือโหวเจียกวงนั่นเอง คนผู้นี้หลี่ซือซิงชังน้ำหน้ายิ่งกว่ากิ้งกือไส้เดือน พบเขาหลายหน และดวงตาของอีกฝ่าย แจ้งชัดว่าอยากได้นางไปเป็นฮูหยินของตน ทว่าเขาเป็นเพียงแค่แม่ทัพจับดาบออกรบเก่งกาจ ได้เลื่อนขั้นเร็ว เพราะเป็นพวกกระหายสงคราม และเถรตรงไม่เอาพวกพ้อง ฆ่าได้ฆ่า และไฉนเขาจะอยากกินเนื้อหงส์ คนอย่างเขา เป็นได้แค่ทหารเฝ้าหน้าประตูจวนหลี่ก็เท่านั้น “ข้ามาพักผ่อน และอยากอยู่อย่างสงบ เหตุใด พวกปัญญาหาทึบ มือเปื้อนเลือดถึงต้องมารบกวน” “ฮึๆ ๆ หากท่านหญิงยังพยายามถ่วงเวลาอยู่เช่นนี้ และตัวข้า ตามน้องสาวของสหายไม่พบ เกรงว่าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่!” “บัดซบ แม่ทัพโหว... ถือว่ามีกำลังทหารในมือ ท่านจะใช้วาจาพล่อยๆ กับข้าได้หรือ ข้าถ่วงเวลาอันใด ในเมื่อที่นี่ข้ากำลังใช้เวลาพักผ่อนอย่างเป็นส่
ดวงตาก็พร่าเบลอ รับรู้เพียงแต่บุรุษตรงหน้ามีกลิ่นกายหอมจางๆ ช่วยให้นางผ่อนคลาย ยามนั้นนางจึงผุดลุกขึ้นยืน แล้วเป็นฝ่ายโน้มศีรษะเขาลงมาช้าๆ แรกเริ่มอาหลุนขัดขืน ทำท่าเหมือนหวงเนื้อตัว แต่นางหรือจะยอมให้เขาทำเช่นนั้น อิ่นสิงอี้ ส่งเสียงคำรามพร้อมกับสายตาดุกร้าวให้เขา “คนใบ้ย่อมพูดไม่ได้ เช่นนั้น ท่านคงเก็บความลับระหว่างเราได้ดีที่สุด” นางเอ่ยจบ จึงประกบริมฝีปากบดเบียดกับอีกฝ่าย คราแรกมันจืดชืด กระทั่งเขาเผยอริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย นางก็อาศัยโอกาสดังกล่าว แทรกลิ้นเข้าไปกวาดโพรงปากด้านในเขา ทั้งคู่แลกลิ้นกัน ส่งความหวานเย้าหยอกต่ออีกฝ่าย หัวใจนางสั่นไหวระรัวแรง ปรารถนาเรือนกายของอาหลุนยิ่งนัก อยากตกเป็นของเขา อยากครอบครอง ต้องการรุกอีกฝ่ายให้หนัก และทั้งหมดคือแรงพิศวาสที่เกิดจากพิษร้ายที่สะสมในร่างกายบอบบาง แต่ใจนางก็ปรารถนาเช่นนั้นไม่ต่างกัน กระทั่งนางปล่อยริมฝีปากเขาให้เป็นอิสระ ก็เห็นว่า เขากำลังสื่อสาร โดยไม่มีท่าทียั่วล้อ หากจริงจัง “คุณหนูรองแซ่อิ่น ช่างขวัญกล้าเทียมฟ้า...แต่ก่อนที่จะมีสิ่งที่ข้ามขั้นไปมากกว่านี้ คนต่ำต้อย
การยื่นมือเข้ามาช่วยเหลืออิ่นสิงอี้ของอาหลุน แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ซึ่งหญิงสาวรู้ดี นางสังหรณ์ใจตั้งแต่ออกมาจากอารามไผ่เงิน อีกทั้งสายตาชายหนุ่มยามมองนาง รวมถึงการยกยิ้มตรงมุมปาก แจ้งให้รู้ว่า เขาสนใจอิ่นสิงอี้ แล้วตัวนางเล่า คิดอย่างไรต่อเขา แน่นอนในหัวไม่ถึงกับว่างเปล่า แต่นางเชื่อมั่นอยู่ลึกๆ ว่า ไม่ได้รังเกียจ ก็เพียงแต่ยังไม่พร้อมเปิดรับใครก็เท่านั้น นางเพิ่งฟื้นจากความตาย ไฉนต้องรีบตกลงปลงใจกับบุรุษถึงเพียงนั้น นางอยากรู้จักหลายๆ สิ่งให้มาก รวมถึงผู้คนด้วย อย่างที่เคยกล่าว นางกับเขาเสมือนมีสายใยบางเบาผูกร้อยเข้าไว้ด้วยกัน จึงทำให้ได้พบกันบ่อยครั้ง นับแต่นางกลับมามีลมหายใจครั้ง และก่อนซางไป๋จงจะวิ่งหนีตายจากฝ่าเท้าของอาหลุน เขาได้ขว้างระเบิดควันออกมา ระเบิดซึ่งมีพิษนอกระคายเคืองดวงตา สร้างความมึนงง ยังกระตุ้นกำหนัดต่อสตรีเพศ คนที่มีอาวุธร้ายแรงเช่นนี้ ย่อมคบค้ากับพวกนอกด่าน และซางไป๋จง คือบุรุษขี้ขลาด ทั้งยังเป็นอันตรายและภายภาคหน้าย่อมสร้างปัญหาต่อบ้านเมือง อาหลุนตั้งใจตามไปจัดการอีกฝ่าย ทว่าอิ่นสิงอี้ไม่อาจประคองตัวไหว ร่างนางสั่น พยายามคว้าต้นไม้ยึดไว้
คนผู้นั้นคือซางไป๋จง แม้ใบหน้าหล่อเหลา ปากนิด จมูกหน่อย ทว่านิสัย กับท่าทางแจ้งชัดว่าเป็นคนร้ายกาจ ขณะที่ถูกกุมตัวแยกจากคนของตน อิ่นสิงอี้ได้แต่คิดหาทางเอาตัวรอด นางเริ่มเข้าใจหลายสิ่ง รู้ว่าตนพาเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น เรื่องนี้นับว่าเป็นความผิดพลาดมหันต์ กระทั่งเสียงของทหารนายหนึ่งเอ่ยถาม ฉุดนางออกจากภวังค์ “แม่นาง พวกเราไม่ต้องการสิ่งใดหรอก แค่ได้ชมความงาม ภายในร่มผ้าของเจ้าสักเล็กน้อย นับว่าเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่ดี รู้หรือไม่ หากไม่รีบตกลงเป็นของพวกข้า เจ้าอาจต้องไปเป็นของเล่นนายน้อยซาง หมู่นี้เขาหงุดหงิดง่าย คงตั้งแต่พาท่านหญิงหลี่ ออกจากเมืองหลวง เพื่อตามหาคนผู้นั้น” ทหารคนหนึ่งเอ่ย ท่าทางเขาไม่ได้ดูเหมือนคนร้าย ทว่าสุราที่ดื่ม และการมีลูกคู่คอยยุยง จึงทำให้พูดจาแทะโลมอิ่นสิงอี้ และการเล่าถึงเรื่องต่างๆ ของพวกเขา ก็ทำให้อิ่นสิงอี้ ทราบความเป็นมาของหลี่ซือซิง กับซางไป๋จง “เอาล่ะ... แม่นางผู้งดงาม อยากเปลื้องผ้าให้ข้าชมก่อน หรือว่า ให้เจ้านิ้วก้อยดูดนม ใช้ลิ้นแทงกลีบงามเจ้า สักจ๊วบ สองจ๊วบ เพื่อให้ชื่นใจดี” คนที่ถูกเรียกว่านิ้วก้อย ยิ้มให้อิ่นสิ
อิ่นสิงอี้ไม่อยากมีเรื่อง อีกทั้งการใช้สติให้มาก และหลบปัญหาที่เกินตัวย่อมสงผลดีที่สุด “ขอเวลาสักครึ่งชั่วยาม ข้าจะคืนห้องพักให้” นางเอ่ยได้เท่านั้น และไม่ทันได้ทำสิ่งใดอีก คนพวกนั้นก็บุกรุกเข้ามาในห้องพักนาง “พวกเจ้าเป็นผู้ใด” ซูซินเอ่ยถาม และพยายามขวางทางไว้ แต่เด็กสาวตัวเล็ก แรงแม้มีมาก แต่คงไม่อาจสู้กับองครักษ์หญิงเหล่านั้นได้ “ถอยไป...” เสียงหนึ่งดังขึ้น และซูซินถูกผลักอย่างแรง อิ่นสิงอี้ใจเดือดพล่าน นางอดทนแล้วและยอมถอย แต่ดูเหมือนคนพวกนี้ถนัดหาเรื่อง ทั้งชอบใช้กำลัง “ข้าแบ่งที่พักให้พวกท่าน แต่เหตุใดถึงได้มีนิสัยต่ำทรามนัก” เสียงของอิ่นสิงอี้ดังพอสมควร และมันไปเข้าหู สตรีนางหนึ่ง อีกฝ่ายแม้ปิดบังใบหน้า ด้วยหมวกสวมตาข่าย แต่ยังสัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิตจากดวงตานางที่ส่งมาถึงอิ่นสิงอี้ “พวกชั้นต่ำที่ไหนมาส่งเสียงให้ข้ารำคาญใจ” อีกฝ่ายคือหลี่ซือซิงลูกสาวอมาตย์ใหญ่แห่งแคว้นอัน “ท่านหญิง อย่าได้สนใจเสียงนกเสียงกาเลย พวกข้าจะจัดการไล่ไปให้พ้นๆ หน้าเดี๋ยวนี้” คนของหลี่ซือซิงเอ่ย “ฮึ แค