สิ่งที่เขากระซิบข้างหูม่านซือซือ ทำให้นางร้อนวูบวาบในร่มผ้า หญิงสาวหน้าแดงจัด มือนางเหมือนจะอ่อนแรงลง จวบจนเขาจับมือข้างหนึ่งของนางไปวางแปะตรงเป้าพองๆ นางก็กระจ่างแจ้งในสิ่งที่เอี๊ยะถังอยากให้ช่วยเหลือ
อึดใจต่อมา ภาพที่ปรากฏต่อหน้านางคือแท่งเนื้อ แท่งเนื้อสีเข้มที่ปลายหยักของมันวาววามเป็นสีคล้ำจัดจากการใช้งานอย่างโชกโชน ตลอดทั้งลำมีเส้นเลือดปูดโปนราวกับหัวมัน และไม่งามอย่างที่นางจินตนาการถึง ทว่าแท่งเนื้ออันอุ่นร้อนก็เชิญชวนให้นางสัมผัสลูบไล้ และปรนเปรอความสวาทให้แก่เอี๊ยะถัง
“ขะ ข้าทำไม่ได้หรอก” เมื่อคลำหาเสียงตนเองพบนางจึงปฏิเสธ นางกลัว... ใช่ มันคือความรู้สึกที่ไม่อาจเป็นอื่นได้
เมื่อก่อนนางเคยอ่านพบเรื่องราวลึกลับของบุรุษในหนังสือมามิน้อย ได้เห็นภาพวาดการอุ่นเตียงจากหนังสือชุนกง ภาพเหล่านั้นและการบรรยายท่วงท่ากับลีลาอันโลดโผนนางยังระลึกถึงอยู่เสมอ ส่วนแท่งเนื้อของจริงเพิ่งจะเคยเห็นด้วยสองตาตนเองอย่างใกล้ชิด ยกเว้นยามที่นางหลับฝันถึงชายปริศนา
เอี๊ยะถังมองหญิงสาวชั่วแวบหนึ่ง ก่อนหยิบถุงหอมจากอกเสื้อและส่งให้นางดม
เขาไม่ได้ต้องการทำเรื่องชั่วช้าข่มเหงน้ำใจม่านซือซือ ทว่าหากไม่เร่งรัดนาง เกรงว่าเขาคงนอนปวดน้องชายไปทั้งคืนแน่ๆ
ชั่วเพียงเวลาชาพองตัว หัวใจสาวพลันเต้นโครมคราม ความรู้สึกตอนนี้คือลำคอแห้งผากราวกับกระหายน้ำอย่างหนัก และในร่มผ้านางร้อนชื้น จู่ๆ นางก็เป็นหญิงหน้าด้านไร้ยางอาย เกิดความคิดอยากสนองตัณหาให้เอี๊ยะถัง
ม่านซือซืออยากดูด ต้องการโลมเลียมังกรของเขาเหลือ เกินผิดแต่นางถูกสอนให้รักนวลสงวนตัว ถึงจะชอบเอี๊ยะถัง และแน่นอนนางย่อมอยากเป็นผู้หญิงของเขา ทว่านางยังไม่ได้สวมชุดเจ้าสาว หากกระทำในสิ่งที่ร่างกายเรียกร้อง นางยังจะมีเกียรติหลงเหลือได้อย่างไร
“เริ่มที่มือของเจ้าเป็นอย่างไร ซือซือ”
เอี๊ยะถังเอ่ยเสียงกระเส่า มือหยาบกร้านคว้าจับสองมือนุ่มนิ่มของนางมาช่วยชักแท่งเนื้อร้อนให้คลายพิษสีข้นๆ ออกมา
“คือ ข้า...”
ม่านซือซือไม่อาจเอ่ยถ้อยคำใดได้อีก นางอาย สับสนและตื่นเต้น
“ดีๆ เจ้าทำได้ดี”
เมื่อเขาเอ่ยอย่างพึงใจ นางจึงรู้ว่าตนเผลอใจเสียแล้ว สองมือนางจับท่อนเนื้อเขาชักรูด ส่วนเขาก็โน้มตัวมาจูบซอกคอนาง จูบสลับนวดเฟ้นหน้าอกอวบใหญ่ และส่งเสียงครางทุ้มต่ำ
“อ่าส์ ซือซือ ถ่างขากว้างๆ สิ ให้พี่ได้ชมเนื้ออุ่นของเจ้าบ้าง”
สมองนางขาวโพลน ใจอยากทำให้ถึงใจเอี๊ยะถังแต่นางยังมีสติถึงมันเกือบเตลิดไปไกลจนกู่ไม่กลับ
เมื่อนางชักช้าไม่ทำอย่างที่เขาบอก เอี๊ยะถังจึงเป็นคนจับขานางถ่างจนกว้าง เขาถกกระโปรงให้สูงเผยให้เห็นโคนขาขาวผ่องนวลเนียน เขาอยากกระชากกางเกงขาสั้นที่ปิดเนินเนื้ออวบอูมของนางทิ้งเสีย แต่นางกลับเขินอายเลยหุบขาฉับ พลางส่ายหน้าไม่ยินยอมให้เขาล่วงเกิน
“ซือซือ ไม่รักพี่หรือ” เขาถาม คำถามนั้นคล้ายมีพลังมหาศาลทำให้นางพยักหน้ารับ
“คะ คือข้า...อี้ๆๆ” นางเสียวซ่าน ร่างกายอ่อนระทวยลง
“พี่ไม่ทำให้เจ้าเจ็บหรอก” เอี๊ยะถังเอ่ยจบจึงบดริมฝีปากบนกลีบปากอิ่มสวย เขาจูบ ใช้ปากดึงรั้งดูดดุนความหวานจากกลีบปากนางจนช้ำและบวมเจ่อ
ม่านซือซือตกใจมาก ทว่านางกลับไม่ขัดขืน ราวกับตกอยู่ในอำนาจของเอี๊ยะถัง
“ผ่อนคลายนะซือซือ เจ้าเป็นของพี่แต่เพียงผู้เดียวรู้หรือไม่”
เมื่อได้ยินคำพูดเขา ใจนางก็คัดค้าน ทว่านางทำอย่างที่ใจต้องการไม่ได้ จวบจนเอี๊ยะถังแทรกลิ้นเข้าไปในโพรงปาก ม่านซือซือจึงตัวเบาหวิว ร่างกายไร้การขัดขืน สุดท้ายก็นอนลงบนพื้น ถ่างขากว้างอวดความสาวให้เขาเชยชม
นางเป็นหญิงร่านสวาทแล้วรึ คำถามดังกล่าวดังอยู่ในใจ
พอรู้ตัวอีกที ริมฝีปากนางก็ถูกแท่งเนื้อที่ปลายหัวหยักใหญ่โตราวดอกเห็ดจ่อเข้ามาใกล้ๆ ก่อนที่เอี๊ยะถังจะบีบปากนางเพื่อให้มันอ้ากว้าง กว้างพอที่จะกลายเป็นช่องทางรักให้เขาเสือกความแข็งขันเข้าไป
หญิงสาวน้ำตาไหลพราก เขาคงคิดว่านางเป็นโสเภณีหรือหญิงเริงเมืองที่จะย่ำยีอย่างไรก็ได้
ม่านซือซือดึงตนเองออกจากวังวนราคะ ถึงพลังกายและสติที่มีเหลืออยู่จะน้อยนิด หากนางก็กัดฟันรวบรวมมันกลับคืนมา
นางดิ้นสุดแรงเกิด แต่ร่างกายชายหนุ่มมีกำลังมากกว่า อีกทั้งเขาเป็นวรยุทธ์จึงลงมือกับนางอย่างหนัก
“พี่ถัง!”
นางหลุดเสียงร้องประท้วง ในหัวคิดหาทางหนีจากเขาแต่มันไม่ใช่เรื่องง่าย กระทั่งกำหนัดเขาพุ่งสูง ความหน้ามืดตามัวเข้าครอบงำ เอี๊ยะถังเลยตบนางเพื่อสั่งสอน และเขาตบนางด้วยแท่งเนื้อนั่นเอง
มันฟาดเข้าที่แก้มนางหลายหนจนม่านซือซือมึนงง สมองว่างเปล่า กว่าจะรู้ตัวอีกที เสื้อผ้านางก็ไม่อยู่บนเรือนร่าง
“ไม่! พี่ถัง ท่านเสียสติแล้วรึ”
เขาไม่ตอบ คงเพราะอยากทำรักกับนางจนสติกู่ไม่กลับ
ม่านซือซือรวบรวมแรงที่มีอยู่ นางถอยหนีสุดชีวิต เป็นช่วงเวลานั้นที่มือจับปิ่นปักผมไม้ของตนได้จึงใช้มันเป็นอาวุธ นางไม่คิดทำร้ายเขาแต่ต้องรักตัวเอง ปิ่นไม้ในมือจึงจ้วงแทงออกไปส่งๆ มันปักเข้าที่ขาของชายหนุ่มสร้างบาดแผลทันที กลิ่นคาวจากเลือดลอยฟุ้ง ซึ่งมันทำให้ทั้งนางและเขาจ้องมองกันเขม็ง
“โอ๊ย... เจ้าหวังให้พี่ตายรึ ซือซือ”
หญิงสาวสั่นเทาไปทั้งร่าง นางไม่คิดว่าจะทำให้คนรักมีแผลและเสียเลือด ทว่านางไม่อาจย้อนเวลากลับคืน อีกทั้งเขาคิดข่มเหงนาง บุรุษเช่นนี้สมควรรักหรือ!
“พี่ถัง... ขะ ข้าขออภัย แต่พี่จะทำกับข้าเช่นนางโลมไม่ได้”
“แต่พี่ต้องการเจ้า ปรารถนาให้เจ้าเป็นคนรัก เป็นฮูหยิน และอุ้มท้องเจ้าก้อนแป้งของพี่”
คำพูดหวานหู แต่ท่าทางเขากลับตรงกันข้าม โดยเฉพาะแก่นกายที่ผงาดง้ำ หัวมันบานเบ่ง ยามนี้แสงจันทร์สว่างมากจึงเห็นร่างกายเขาชัดเจน ทั้งกำยำ สง่างาม แต่เป็นภัยร้ายต่อนาง
“มาเป็นเมียของพี่เสีย แล้วพี่จะไม่ถือโทษเจ้า”
“ข้าทำไม่ได้”
“อย่าให้พี่ต้องบังคับหรือขืนใจ!”
ม่านซือซือส่ายหน้าหวือ ให้ตายเป็นผีนางก็ไม่อาจนอนแผ่ลงไปบนพื้นให้เขากลืนกินร่างกาย และแทงแท่งหยกอวบใหญ่เข้าสู่กลีบบุปผา
“ข้าต้องกลับเรือน ขอให้พี่ถังเข้าใจด้วย”
ใบหน้าเอี๊ยะถังเครียดขึ้ง เขาไม่ตอบ หากโถมร่างพร้อมแรงรักเข้าหาม่านซือซือราวต้องการทำสิ่งที่ค้างไว้ให้สำเร็จ
“มะ ไม่... พี่ถังจะทำเช่นนี้ต่อข้าไม่ได้!”
นางแผดร้องเสียงดังและยกมือปัดป้องตนเอง ยามนั้นหน้าอกอวบสวยเด้งไหวไปมา เรือนร่างงดงามที่เปลือยเปล่าทำให้เอี๊ยะถังหื่นกระหายอย่างบ้าคลั่ง
ม่านซือซือจึงยกมือปิดสองเต้าไว้แล้วถดถอยหนีสุดชีวิต กระทั่งนางลื่นไถลไปตามทางลาด
“ซือซือ...”
เอี๊ยะถังเรียกหานาง ทว่าหญิงสาวกลับเงียบ เงียบจนน่าเป็นห่วง จากนั้นก็มีทหารยามออกมาเดินลาดตระเวน พร้อมกลุ่มมือปราบที่ส่งเสียงดังขึ้นว่า
“โจร... โจรราคะ จับตัวมันให้ได้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เอี๊ยะถังจึงไม่อาจเสียเวลาอันใด เขารีบแต่งตัวและเข้าไปรวมกลุ่มกับมือปราบคนอื่น แม้ใจนึกห่วงโฉมงามม่านซือซือ แต่เขาจะให้ผู้ใดพบเห็นว่าออกมาทำเรื่องเสื่อมเสียเกียรติที่สวนแปะก๊วยไม่ได้
ม่านซือซือพลัดตกลงไปในแม่น้ำ ร่างนางลอยไปเรื่อยๆ สติหญิงสาวหลับๆ ตื่นๆ นางพยายามรวบรวมแรงเพื่อยื้อชีวิตของตน สองมือไขว่คว้าไปข้างหน้า กระทั่งพบความแข็งอย่างหนึ่งเข้านางจึงยึดเอาไว้
“รอดแล้ว ข้าไม่ตายแล้ว!”
นางเอ่ยพร้อมกอดสิ่งแข็งแรงเอาไว้เป็นหลักยึด ก่อนจะต้องขวัญผวาด้วยสิ่งที่นางไขว่คว้านั้นไม่ใช่ท่อนไม้ หรือโขดหิน หากเป็นร่างของบุรุษ และเป็นบุรุษที่มีไอเย็น และผิวเขาขาว ขาวจัดราวกับหิมะ!
อิ่นสิงอี้อยากร้องประท้วงคนตัวโต ทั้งซักถามสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นมากมาย แต่เขายังเล่นบทคนใบ้เฉกเช่นเดิม “ท่านคืออาหลุน... องค์ชายรอง... เป็นเหรินอ๋องอีกด้วย” ถานป๋อหยางไม่สนใจเสียงนางสักนิด เขาเหนื่อยกับการไล่ล่าคนของรัชทายาท และกำจัดพวกคิดก่อกบฏไปมิน้อย พอได้พบหน้าอิ่นสิงอี้ สิ่งเดียวที่อยากทำคือกอดนาง และขบเม้มร่างบอบบางนี้ให้หายคิดถึง “อย่าทำเป็นไขสือ แม้พูดไม่ได้ แต่ท่านสื่อสารได้ และเข้าใจสิ่งที่ข้าบอกใช่หรือไม่” ชายหนุ่มจูบหลังตนคอนางไปแรงๆ ก่อนทำมือทำไม้ส่งข้อความที่นางเข้าใจเพียงแค่ครึ่งเดียว “ล้วนเป็นข้าทั้งหมด แล้วอาอี้เล่า... ยังเป็นคนเดิมที่ชอบกลืนน้ำหวานของคนใบ้หรือไม่”นางไม่เข้าใจทั้งหมดที่เขาพยายามสื่อสารหรอก แต่คาดเดาได้ว่า เป็นเรื่องสัปดนของคนไร้ยางอายแน่นอน “ทะ ท่าน... หลอกลวงข้ามาโดยตลอด กี่ครั้งแล้วที่ทำให้สตรีผู้หนึ่งเสี่ยงอันตราย เพื่อให้ท่าน จับผู้ร้ายได้” ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูง เขาหรือจะไร้มนุษย์ธรรม และทำสร้างเรื่องที่น่ารังเกียจเช่นนั้น “อาอี้ ล้วนเข้าใจผิด ข้าไม่เคยทำสิ่งอย่างที่เจ้ากล่าวหา
กระทั่งจู่ๆ ขบวนรถม้าของอิ่นสิงอี้ ที่มุ่งตรงไปยังเรือนของเจ้าบ่าวก็หยุดชะงัก “คุณหนูรอง... มาหลบข้างหลังข้า” แม่สื่อผู้นั้น เป็นห่วงอิ่นสิงอี้ และอย่างที่กล่าว นางต้องส่งอีกฝ่ายให้ถึงมือเจ้าบ่าว นี่คือคำสั่งที่ต้องทำให้สำเร็จ เสียงโห่ร้อง เสียงการใช้อาวุธดังอยู่หลายอึดใจ ก่อนที่ประตูรถม้าจะถูกเปิดเข้ามา แต่แม่สื่อใช้เท้าถีบคนที่มุ่งร้ายหมายชิงตัวอิ่นสิ่งอี้ ฝ่ายแม่สื่อนางเป็นวรยุทธ์อยู่บ้าง และคนว่าจ้างบอกให้นางอารักขาชีวิตของอิ่นสิงอี้ ห้ามให้ผู้ใดเข้าใกล้เป็นอันขาด “อย่ากังวล นอกจากพวกรับจ้างดูแลรถม้า ยังมีกำลังเสริมที่ติดตามเราอยู่ไม่ไกล ตอนนี้สัญญาณถูกส่งออกไปแล้ว อย่างไรพวกเขาย่อมมาช่วยทัน” แม่สื่อกล่าวอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด พลอยให้อิ่นสิงอี้สบายใจได้เปลาะหนึ่ง สุดท้ายอิ่นสิงอี้ต้องอึ้งมาก นางเห็นบุรุษที่ขี่ม้าตัวโต เขาโดดเด่นสง่างามกว่าใคร และทั้งที่ผู้อื่นสวมชุดเกราะ แต่เขากลับสวมเสื้อผ้าสีแดง ไม่ต้องอธิบายก็รู้ว่าเป็นชุดของเจ้าบ่าว “ทุกคน จะให้เสียฤกษ์ไม่ได้ งานนี้อย่างไรต้องส่งเจ้าสาวเข้าหอกับเหรินอ๋อง”
อิ่นสิงอี้เดินเข้าไปในเรือนของตน ยามนั้นซูซินดีใจมาก และร้องไห้ไม่หยุด ส่วนตงหย่วนไม่ได้ถูกทำร้าย เนื่องจากนางยอมเปิดปากเล่าเรื่องอาหลุนที่ทำหมั่นโถว ไม่ใช่ฝีมือนางหรืออิ่นสิงอี้ ทว่ายามนี้มีเรื่องให้ต้องปวดหัวหนัก ด้วยก่อนหน้านั้น ลู่เหวยให้แม่สื่อมาช่วยจัดแจงสิ่งต่างๆ และบอกว่า อีกสามวันจะส่งตัวอิ่นสิงอี้ไปเป็นฮูหยินของคุณชายที่ร่ำรวยคนหนึ่ง หญิงสาวไม่คาดคิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้อีก หลายวันที่ผ่านมานางได้มอบร่างกายและใจให้กับอาหลุนแล้ว ซึ่งตอนที่มาถึงจวนอิ่น นางได้รับคำมั่นสัญญาจากเขาว่า จะมาให้คนมารับตัว ไปอยู่ในที่ปลอดภัย ก่อนออกไปงานเลี้ยงลู่เหวย และอิ่นหลิวหลิงวางแผนชั่วร้าย เนื่องจากสืบรู้ว่าอิ่นสิงอี้ ต้องการหลบหนีออกจากจวนอิ่น และเพื่อตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลมจึงขังอิ่นสิงอี้ไว้ที่เรือนสำนึกตน ซ้ำร้ายซูซินถูกขายออกไป ส่วนตงหย่วน นางล้มป่วยลงไม่ทราบสาเหตุ เมื่อคนของตนไม่ได้อยู่รับใช้ ทั้งมีชะตากรรมน่าสงสาร อิ่นสิงอี้ก็ทุกข์ใจ นางไม่กินข้าวหลับแทบไม่ลง จนเช้าวันใหม่ นางถูกปลุกด้วยการสาดน้ำเย็นๆ ใส่ร่าง ก่อนจับแต่งตัว ฝ่ายอิ่นหลิวหลิงเข้ามาเผช
อิ่นสิงอี้ได้พบคนของตนในอีกเกือบสิบวันต่อมา ระยะเวลาดังกล่าวทำให้นางเปลี่ยนความคิดไปอีกด้านหนึ่ง หญิงสาวเข้าใจโลกนี้มากกว่าเดิม นางตายแล้วฟื้นกลับมา เรื่องนี้คือสิ่งที่ตระหนักถึงเสมอ และอิ่นสิงอี้คนเดิม ที่แสนดี โง่เขลา ได้สาบสูญไปแล้ว ยามนี้ ร่างกายขับพิษออกหมด สุขภาพดีขึ้นเป็นลำดับ โดยภายหลัง นางมาอยู่ที่กระท่อมนายพรานซึ่งอาหลุนพามาอาศัย อีกทั้งมีคนรับใช้คอยช่วยเหลืองานทั่วไป ส่วนอาหลุนได้บอกว่า มีเรื่องสำคัญต้องไปจัดการ และเขาให้สัญญากับนางไว้ “จงอยู่ที่นี่สักพัก อย่ากังวลเรื่องใด อาอี้ย่อมปลอดภัยแน่นอน” นางพยักหน้าเข้าใจ ก่อนเอ่ยถามเขา “มีสิ่งหนึ่งที่อยากกระจ่างใจ อาหลุนของข้าเป็นผู้ใดกันแน่” และนี่คือสิ่งที่นางสมควรรู้ สตรีที่มอบกายและใจให้เขา และนางไม่อาจหันเหไปทางใดอีก ในสายตาอิ่นสิงอี้ ยามนี้มีแต่อาหลุน แม้เขาจะแสดงตนว่าไร้แซ่ เป็นเพียงคนใบ้ ทว่านางกลับไม่คิดรังเกียรติ แต่ปรารถนาให้เขาอย่าหลอกลวงกัน นางไม่อยากเป็นแค่สตรีซึ่งทำหน้าที่อุ่นเตียงให้ชายใด “อาอี้ เมื่อวันนั้นมาถึงสามีจะบอกเจ้าเอง ตอนนี้ขอเจ้า มี
หลี่ซือซิงแทบจะเต้นรอบโรงเตี๊ยมเล็กๆ แห่งนั้น นางแค่อยากอยู่อย่างสงบ ทว่าเหตุใดทหารพร้อมองครักษ์เกราะเหล็กถึงได้โผล่มาที่นี่ “เปิดประตูเถิดอย่าได้ขัดขวางการทำงาน จงรู้ไว้ แค่ข้าหายใจแรงสักหน่อย ที่นี่ก็พังราบเป็นหน้ากองแล้ว” เสียงที่ดังก้องอยู่ด้านนอกจะเป็นใครได้ เขาคือโหวเจียกวงนั่นเอง คนผู้นี้หลี่ซือซิงชังน้ำหน้ายิ่งกว่ากิ้งกือไส้เดือน พบเขาหลายหน และดวงตาของอีกฝ่าย แจ้งชัดว่าอยากได้นางไปเป็นฮูหยินของตน ทว่าเขาเป็นเพียงแค่แม่ทัพจับดาบออกรบเก่งกาจ ได้เลื่อนขั้นเร็ว เพราะเป็นพวกกระหายสงคราม และเถรตรงไม่เอาพวกพ้อง ฆ่าได้ฆ่า และไฉนเขาจะอยากกินเนื้อหงส์ คนอย่างเขา เป็นได้แค่ทหารเฝ้าหน้าประตูจวนหลี่ก็เท่านั้น “ข้ามาพักผ่อน และอยากอยู่อย่างสงบ เหตุใด พวกปัญญาหาทึบ มือเปื้อนเลือดถึงต้องมารบกวน” “ฮึๆ ๆ หากท่านหญิงยังพยายามถ่วงเวลาอยู่เช่นนี้ และตัวข้า ตามน้องสาวของสหายไม่พบ เกรงว่าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่!” “บัดซบ แม่ทัพโหว... ถือว่ามีกำลังทหารในมือ ท่านจะใช้วาจาพล่อยๆ กับข้าได้หรือ ข้าถ่วงเวลาอันใด ในเมื่อที่นี่ข้ากำลังใช้เวลาพักผ่อนอย่างเป็นส่
ดวงตาก็พร่าเบลอ รับรู้เพียงแต่บุรุษตรงหน้ามีกลิ่นกายหอมจางๆ ช่วยให้นางผ่อนคลาย ยามนั้นนางจึงผุดลุกขึ้นยืน แล้วเป็นฝ่ายโน้มศีรษะเขาลงมาช้าๆ แรกเริ่มอาหลุนขัดขืน ทำท่าเหมือนหวงเนื้อตัว แต่นางหรือจะยอมให้เขาทำเช่นนั้น อิ่นสิงอี้ ส่งเสียงคำรามพร้อมกับสายตาดุกร้าวให้เขา “คนใบ้ย่อมพูดไม่ได้ เช่นนั้น ท่านคงเก็บความลับระหว่างเราได้ดีที่สุด” นางเอ่ยจบ จึงประกบริมฝีปากบดเบียดกับอีกฝ่าย คราแรกมันจืดชืด กระทั่งเขาเผยอริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย นางก็อาศัยโอกาสดังกล่าว แทรกลิ้นเข้าไปกวาดโพรงปากด้านในเขา ทั้งคู่แลกลิ้นกัน ส่งความหวานเย้าหยอกต่ออีกฝ่าย หัวใจนางสั่นไหวระรัวแรง ปรารถนาเรือนกายของอาหลุนยิ่งนัก อยากตกเป็นของเขา อยากครอบครอง ต้องการรุกอีกฝ่ายให้หนัก และทั้งหมดคือแรงพิศวาสที่เกิดจากพิษร้ายที่สะสมในร่างกายบอบบาง แต่ใจนางก็ปรารถนาเช่นนั้นไม่ต่างกัน กระทั่งนางปล่อยริมฝีปากเขาให้เป็นอิสระ ก็เห็นว่า เขากำลังสื่อสาร โดยไม่มีท่าทียั่วล้อ หากจริงจัง “คุณหนูรองแซ่อิ่น ช่างขวัญกล้าเทียมฟ้า...แต่ก่อนที่จะมีสิ่งที่ข้ามขั้นไปมากกว่านี้ คนต่ำต้อย