วันนี้ตระกูลจ้าวยังเงียบสงัดเช่นเดิมเมื่อตะวันลับขอบฟ้า ความมืดคืบคลานจนกระทั่งเต็มแผ่นฟ้า จวนตระกูลจ้าวจุดไฟสว่างไสวแต่กับไร้ผู้คน
เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงเย็น จ้าวจวิ้นซานขุ่นเคืองเสียจนไม่รับสำรับพร้อมกับติงมี่เซียน กระทั่งบุตรชายของนางเองก็ยังมีข้ออ้างเพื่อที่จะอยู่ให้ไกลจากนาง
จ้าวจวิ้นซานไปนอนที่เรือนของฮูหยินรองตามที่เจ้าตัวว่าเอาไว้ ส่วนฮูหยินเอกอย่างติงมี่เซียนในตอนนี้ ก็ต้องกลับมานอนที่เรือนใหญ่คนเดียว เพราะเรือนรับรองนั้นยังไม่ได้ซ่อมแซม
แม้ว่าในช่วงเย็นจะมีบ่าวใจกล้าสามสี่คนมาจัดการเรื่องต่างๆให้ติงมี่เซียน แต่เมื่อท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีก็รีบกลับเรือนบ่าวไปโดยไม่ลา
เท่ากับว่าในตอนนี้ติงมี่เซียนอยู่ที่เรือนใหญ่นี่เพียงคนเดียว
ติงมี่เซียนอยู่ในชุดผ้าสีขาวพร้อมนอน แต่สายตาของนางกวาดมองไปรอบห้องอย่างหวาดระแวง
สายตาของนางจ้องเขม็งไปยังราวไม้ว่างเปล่า เดิมทีมันเป็นราวไม้สำหรับแขวนเสื้อคลุมประจำตำแหน่งฮูหยินเอกที่ถูกเผาทำลายไป
ตอนนี้มันเป็นเพียงราวไม้ว่างเปล่า แต่กลับดูน่าหวาดกลัวเสียเหลือเกิน
หากยังเป็นเช่นนี้ ราตรีนี้นางคงไม่อาจข่มตาหลับได้...
ติงมี่เซียนรีบคิดหาทางรอดอย่างรวดเร็ว ถ้าหากนางไปนอนที่อื่น เมิ่งหรูซีคงตามหานางไม่เจออย่างนั้นหรือเปล่า
แต่เมื่อคืนก่อนนั้น ทุกคนก็รวมกันอยู่ที่เรือนรับรอง...
เมื่อได้นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่เรือนรับรองยิ่งรู้สึกขนลุก
ภาพของชุดคลุมนั่นที่ลอยอยู่เหนือพื้นพุ่งเข้ามาพร้อมกับไฟที่ลุกท่วม สะเก็ดไฟที่กระเด็นออกมาราวกับผู้สวมใส่กำลังร่ายรำบทเพลงแห่งความพินาศให้แก่ตระกูลจ้าว
กระทั่งจ้าวจวิ้นซานในตอนนั้นยังตะลึงค้างแทบเอาตัวไม่รอดด้วยซ้ำ...
ติงมี่เซียนนั่งนิ่งอยู่บนตั่ง สายตาหยุดอยู่ที่ราวไม้ว่างเปล่า ในมือกำปิ่นประจำตำแหน่งเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ความหวาดกลัวท่วมท้นในหัวใจทำเอานางสั่นไปทั้งตัว
แต่ถ้าหากนำมันไปคืนให้กับจ้าวเซินฝูตอนนี้ก็เท่ากับว่าเสียหน้า
ถึงอย่างนั้นจ้าวจวิ้นซานที่เป็นประมุขตระกูลยังยอมอ่อนข้อให้เมิ่งหรูซี โดยการทำตามความประสงค์ของนาง
เสียหน้ายังดีกว่าตายมิใช่หรือ...
ราวกับว่าติงมี่เซียนเพิ่งจะคิดได้
แม้ว่าปิ่นอันนี้นางจะหวงแหนนัก ราวกับมันเป็นตัวแทนแห่งความภาคภูมิใจของนางในฐานะฮูหยินเอกตระกูลจ้าวเพียงอย่างเดียว
แต่อย่างไรมันก็ไม่ใช่ของนาง...
ต่อให้ไม่มีปิ่นอันนี้ ในตอนนี้ติงมี่เซียนก็ยังเป็นฮูหยินเอกของตระกูลจ้าวอยู่ดี
ในใจของติงมี่เซียนคิดแต่ริษยาอยากจะแย่งชิงของของผู้อื่น จนลืมมองความจริงข้อนี้ไป...
เช่นนั้นต้องเอาไปคืน
ติงมี่เซียนผุดลุกขึ้นจากตั่งนอน คว้าเอาเสื้อคลุมตัวบางมาสวมใส่ หวังจะเดินไปที่เรือนจันทร์เสี้ยวของจ้าวซิ่วเทียน คืนปิ่นของเมิ่งหรูซีไปเสีย แล้วทิ้งคำพูดเจ็บแสบเอาไว้ให้จ้าวเซินฝูเจ็บใจเล่นๆ
แต่ก่อนที่จะได้เดินออกไปติงมี่เซียนได้ยินเสียงประหลาดจากหลังประตูด้านนอกเข้าเสียก่อน...
ติงมี่เซียนหยุดนิ่งเงี่ยหูฟังไม่กล้าเปิดประตูออกไป
เสียงฝีเท้าเบาๆที่ทางเดินของเรือนใหญ่ทำเอานางขนหัวลุก ในยามนี้คงไม่มีผู้ใดในตระกูลจ้าวอุตริออกมาเดินเล่นทั้งๆที่มีเรื่องน่ากลัวแบบนี้เกิดขึ้นหรอก
ติงมี่เซียนถอยห่างจากประตู รีบกลับขึ้นไปบนตั่งนอนอย่างเดิม จ้องมองไปที่ประตูด้วยความหวาดกลัว
นางไม่กล้าแม้จะละสายตาออกจากประตูเพราะหวาดกลัวว่า หากละสายตาเพียงครู่เดียว บางสิ่งบางอย่างที่นางหวาดกลัวจะเข้าถึงตัว
แม้ว่านั่นจะไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ได้ผลก็ตามที
เสียงฝีเท้าลากยาวดังขึ้นรอบเรือนใหญ่ราวกับกำลังข่มขวัญผู้ที่อยู่ในเรือน และมันก็ได้ผล เมื่อติงมี่เซียนรู้สึกหวาดกลัวจนแทบจะกัดลิ้นตาย
ติงมี่เซียนพยายามทำใจดีสู้เสือ นางคิดว่าหากตอนที่ไปถึงประตูแล้ว เสียงฝีเท้าที่เดินอยู่นั้นห่างออกไป นางจะรีบวิ่งได้ที่เรือนจันทร์เสี้ยวอย่างไม่คิดชีวิต
สองขาสั่นๆพาเจ้าของร่างยืนขึ้น ก่อนจะค่อยๆเดินเข้าใกล้ประตูทีละน้อย ในมือของนางยังกำปิ่นเจ้าปัญหาเอาไว้แน่น
ติงมี่เซียนยืนนิ่งรวบรวมความกล้าอยู่หน้าประตูเรือน เมื่อนางได้ยินเสียงฝีเท้านั่นห่างออกไปแล้วจึงรีบกระชากประตูเปิดออกทันที
แต่เมื่อเปิดประตูออกมา ภาพที่นางเห็นตรงหน้าก็ทำเอาเข่าอ่อนจนยืนไม่ไหว
อาภรณ์สีขาวพลิ้วไสวเช่นเดียวกับที่เคยเห็นที่เรือนเล็กของจ้าวเซินฝูลอยอยู่ตรงหน้าของนางในระยะประชิด
ติงมี่เซียนล้มตึงลงกับพื้น ในขณะที่อาภรณ์สีขาวตรงหน้านั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้อย่างใจเย็น
ในตอนนี้ติงมี่เซียนย่อมต้องเอาชีวิตรอดเป็นอันดับแรก แขนขาที่อ่อนแรงของนางตะกุยกับพื้นพาร่างกายที่สั่นเทาเคลื่อนที่ออกห่างจากสิ่งที่น่าหวาดกลัวนั่น
หากมีใครได้เห็นสภาพตอนนี้ของติงมี่เซียนคงนึกขันไม่น้อย
สิ่งที่นางเป็นอยู่ตอนนี้ เรียกได้ว่าหวาดกลัวเสียจนหมดสภาพฮูหยินเอกทีเดียว
ติงมี่เซียนพยายามคลานหนีไปให้ไกล แต่ดูเหมือนว่ากลุ่มก้อนความน่าหวาดหวั่นตรงหน้านั้นไม่อนุญาตให้นางได้ทำตามใจตนเอง
อาภรณ์สีสะอาดไร้ผู้สวมใส่ โฉบลงมาจนอยู่ระดับเดียวกับติงมี่เซียน แม้ว่าจะกล่าวว่าอาภรณ์นี้ไม่มีผู้สวมใส่ แต่แท้จริงแล้วรูปร่างของมันคล้ายมนุษย์มาก
ราวกับว่าผู้สวมใส่นั้นล่องหนอยู่เท่านั้นเอง...
"มะ เมิ่ง...อึก..."
เพียงแค่คำๆเดียวที่หลุดออกจากปากของติงมี่เซียน เส้นผมที่ปล่อยสยายของนางก็ราวกับถูกกระชากด้วยมือที่มองไม่เห็น
สายลมหนักแน่นราวกับสัมผัสไปทั่วทั้งใบหน้าของติงมี่เซียนทำเอาอึดอัด ราวกับว่ากำลังถูกจับที่ใบหน้าจริงๆ
"ปะ ปล่อย อึก ปล่อย..ข้า.."
ปั้ก!
เมื่อครู่ที่ติงมี่เซียนรู้สึกเหมือนว่ามีคนกระชากผมของนาง บัดนี้ออกแรงดึงผมของนางฟาดลงกับพื้นอย่างแรงจนมองเห็นภาพตรงหน้าเป็นภาพเบลอ
สิ่งนั้นไม่จบเพียงแค่ดึงเส้นผมจนติงมี่เซียนหงายหลังหัวฟาดพื้นเท่านั้น แต่หลังจากนั้นร่างของติงมี่เซียนก็ราวกับถูกลากด้วยมือที่มองไม่เห็น กระแทกเข้ากับผนังห้องนอนอีกครั้ง
"กรี๊ดดดด!"
เสียงหวีดร้องด้วยความเจ็บปวดของติงมี่เซียนดังลั่นไปทั่วบริเวณ จวนตระกูลจ้าวในตอนนี้ที่เงียบสงัดนั้นไม่ว่าเรือนไหนต่างก็ได้ยินเสียงร้องของนาง
ผู้คนแต่ละเรือนขยับตัวเข้าหากันเป็นกลุ่มก้อน ไม่มีผู้ใดคิดจะออกไปช่วยนางแม้แต่คนเดียว
กระทั่งสามีอย่างจ้าวจวิ้นซานก็ได้แต่โทษในใจว่าเป็นเพราะติงมี่เซียนหวงสมบัติไม่เข้าท่า คนตายถึงขั้นลุกขึ้นมาทวงคืนแล้วยังหวงแหนเอาไว้
หรือจะเป็นบุตรชายอย่างจ้าวซินเหอที่ไม่รู้จะโทษว่าผู้ใด แม้ในใจจะห่วงมารดาแค่ไหน แต่จ้าวซินเหอเองก็เคยเจอกับเหตุการณ์แบบนั้นมาก่อน
การที่จะเอาตัวเข้าไปเสี่ยงอีกรอบไม่ใช่เรื่องตลก หากมีหัวคิดสักหน่อย ย่อมรู้ว่าไม่ควรเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้
ในขณะที่แต่ละเรือนกำลังโทษว่าติงมี่เซียนอยู่ในใจ ติงมี่เซียนต้องเผชิญหน้ากับความหวาดกลัวที่ทั้งชีวิตนี้ก็คงลืมไม่ลง
แรงเหวี่ยงเมื่อครู่บ่งบอกโทสะของผู้กระทำได้ดี ในตอนนี้ติงมี่เซียนรู้สึกปวดร้าวไปทั่วทั้งร่างกาย แต่ดูเหมือนจะยังไม่จบแค่นั้น เมื่อลมหอบใหญ่กระชากนางออกจากมุมห้องแล้วเหวี่ยงนางไปกระแทกกับผนังอีกฝั่งหนึ่ง
ครั้งนี้ติงมี่เซียนถึงกับได้เลือด ศีรษะของนางกระแทกกับพื้นห้องจนเลือดอาบ
แม้นางจะเจ็บจนขยับตัวไม่ไหวแล้ว แต่ดูเหมือนว่าเจ้าของโทสะนั้นจะยังไม่พึงพอใจกับการกระทำเท่านี้
เส้นผมยาวสลวยบัดนี้ยุ่งเหยิงไปหมด ติงมี่เซียนสะอึกสะอื้นกองอยู่กับพื้นเสียงไม่ดังนัก แต่เป็นภาพที่น่าเวทนาไม่น้อย
ติงมี่เซียนพยายามชี้ไปที่ปิ่นที่ตกอยู่บนพื้นเพื่อให้เมิ่งหรูซีรับมันกลับไป แต่ในตอนนี้ดูเหมือนว่าเมิ่งหรูซีจะไม่ได้สนใจปิ่นนั่นมากไปกว่าการกลั่นแกล้งนาง
ทิศทางที่นิ้วสั่นๆของนางชี้ไปนั้นไม่ได้รับความสนใจแม้แต่น้อย ความสนใจของเมิ่งหรูซีพุ่งเป้ามาที่นาง
"ดะ ได้...โปรด...อึก..."
ติงมี่เซียนคลานอยู่กับพื้นด้วยสภาพน่าเวทนา นางพยายามบอกกับเจ้าของแรงโทสะนั้นว่านางยอมคืนสมบัติชิ้นนั้นให้แล้วแต่โดยดี
แต่ในตอนนี้นอกจากการมอบความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสให้ติงมี่เซียนแล้ว ดูเหมือนว่าเมิ่งหรูซีในตอนนี้จะไม่มีความสนใจอื่น
ติงมี่เซียนพยายามคลานไปยังทิศทางที่ประตูเปิดอยู่ หวังจะหนีจากเหตุการณ์น่าสะพรึงนี้
ราวกับว่าติงมี่เซียนเป็นของเล่น เมื่อปลายนิ้วของเมิ่งหรูซีได้แตะที่ขอบประตู ประตูไม้ของเรือนใหญ่ก็เลื่อนปิดเสียงดัง นิ้วที่วางอยู่บนรางเลื่อนของติงมีเซียนถูกทับจากประตูไม้บานใหญ่ นางเจ็บปวดจนต้องร้องออกมาสุดเสียง
"กรี๊ดดดด!"
ยังไม่จบเท่านั้น ใบหน้าของนางที่แนบอยู่กับพื้นถูกกระชากขึ้นมา แล้วจับฟาดลงกับพื้นหน้าประตูหลายครั้ง
ติงมี่เซียนกรีดร้องอย่างเจ็บปวดจนกระทั่งไร้เสียงออกมาจากลำคอ
สภาพห้องนอนเรือนใหญ่บัดนี้เละจนไม่เหลือเค้าโครงเดิม เลือดของติงมี่เซียนไหลอาบใบหน้าของนาง อีกทั้งยังเผื่อแผ่ไปตามทางที่นางถูกลากไปรอบห้อง
ครืด..ครืด..ครืด..ครืด...
เสียงประหลาดบางอย่างดังขึ้นที่ศีรษะของนาง ลากช้าๆและสัมผัสประหลาดที่หนังศีรษะ
ติงมี่เซียนพยายามเอื้อมมือไปจับด้วยความสงสัย มือของนางจับเข้าที่กลุ่มผมของตัวเองช้าๆ เมื่อจับดูแล้วทีแรกเหมือนจะไม่มีอะไรผิดปกติ
แต่ผมกลุ่มนั้นกลับติดมือของนางออกมาเป็นกำ...
"อึก.."
ติงมี่เซียนมองเส้นผมกำใหญ่ในมือของตนเอง น้ำตาไหลออกมาเป็นสายอย่างเงียบเชียบ ในตอนนี้นางไม่ปัญญาจะต่อกรอะไรกับเมิ่งหรูซีอีกต่อไปแล้ว
ไม่มีแรงกระทั่งจะส่งเสียงห้ามการกระทำของเมิ่งหรูซีในตอนนี้
ได้แต่นอนน้ำตาไหลเงียบๆ ยอมรับผลที่จะเกิดตามมาหลังจากนี้...
ครืด... ครืด... ครืด...
เส้นผมกำแล้วกำเล่าถูกโกนออกด้วยสายลมไม่มีรูปร่าง เส้นผมของติงมี่เซียนถูกหย่อยลงตรงหน้าของนางราวกับย้ำเตือนสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น
ในเมื่อนางหวงแหนปิ่นที่ไม่ใช่ของนางนักหนา...
เช่นนั้นหากไม่สามารถปักปิ่นได้อีกต่อไป ยังจะหวงแหนอยู่อีกหรือไม่
กระทั่งศีรษะของติงมี่เซียนไม่เหลือผมแม้แต่เส้นเดียวแล้ว เสียงที่น่าหวาดกลัวและสัมผัสประหลาดนั้นจึงได้หมดไป
ติงมี่เซียนหลับตาลงอย่างยอมจำนน คิดว่าในเมื่อเมิ่งหรูซีกลั่นแกล้งคนจนสาแก่ใจแล้วก็จากไป
แต่ติงมี่เซียนยังไม่สามารถขยับตัวได้เพราะมือของนางถูกประตูไม้ทับเอาไว้ และยังรู้สึกเจ็บปวดมากจนไม่กล้าขยับตัว
เวลาผ่านไปสักพัก ติงมี่เซียนที่นอนนิ่งอยู่กับที่เริ่มมีเรี่ยวแรงขึ้นมาบ้าง อย่างน้อยก็ควรขยับตัวออกจากหน้าประตูเสียก่อน
ติงมี่เซียนค่อยๆขยับมือของตัวเองช้าๆ หวังจะเอานิ้วที่โดนทับอยู่นั้นออกมา ทันใดนั้นประตูไม้บานใหญ่ก็ถูกเลื่อนออกอย่างแรง ติงมี่เซียนที่เพิ่งกลับมามีเรี่ยวแรงถึงกับต้องหวีดร้องของมาอย่างเจ็บปวดและสิ้นหวังอีกครั้ง
เสียงที่ดังขึ้นมาอีกครั้งของติงมี่เซียนฟังดูโหยหวนดังไปทั่วจวน คนตระกูลจ้าวเกาะกลุ่มกันแน่น มองรอบข้างด้วยสายตาหวาดระแวง
จวนตระกูลจ้าวที่เงียบสงัดมีเพียงเสียงกรีดร้องของติงมี่เซียนดังมาเป็นระยะ สร้างความหวาดหวั่นให้คนในจวน
มีเพียงแต่คนกลุ่มเดียวเท่านั้น ที่มองเป็นเรื่องสนุกสนาน
วิชามารก็ดี
เลี้ยงภูติผีก็ดี
วิญญาณอาฆาตของอดีตฮูหยินเมิ่งหรูซีก็ดี
ทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่คนตระกูลจ้าเป็นคนสร้างมันขึ้นมา ส่วนจ้าวเซินฝูเพียงแค่ใช้ประโยชน์จากความหวาดกลัวเหล่านั้นเพื่อแก้แค้น
หากจะโทษใครก็โทษตนเองเถอะ ตระกูลจ้าว...
เสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดของติงมี่เซียนยังสร้างความหวาดหวั่นให้คนตระกูลจ้าวเป็นระยะตลอดทั้งคืน
ราตรีนี้ยังอีกยาวไกล...
วันนี้ตระกูลจ้าวยังเงียบสงัดเช่นเดิมเมื่อตะวันลับขอบฟ้า ความมืดคืบคลานจนกระทั่งเต็มแผ่นฟ้า จวนตระกูลจ้าวจุดไฟสว่างไสวแต่กับไร้ผู้คนเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงเย็น จ้าวจวิ้นซานขุ่นเคืองเสียจนไม่รับสำรับพร้อมกับติงมี่เซียน กระทั่งบุตรชายของนางเองก็ยังมีข้ออ้างเพื่อที่จะอยู่ให้ไกลจากนางจ้าวจวิ้นซานไปนอนที่เรือนของฮูหยินรองตามที่เจ้าตัวว่าเอาไว้ ส่วนฮูหยินเอกอย่างติงมี่เซียนในตอนนี้ ก็ต้องกลับมานอนที่เรือนใหญ่คนเดียว เพราะเรือนรับรองนั้นยังไม่ได้ซ่อมแซมแม้ว่าในช่วงเย็นจะมีบ่าวใจกล้าสามสี่คนมาจัดการเรื่องต่างๆให้ติงมี่เซียน แต่เมื่อท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีก็รีบกลับเรือนบ่าวไปโดยไม่ลาเท่ากับว่าในตอนนี้ติงมี่เซียนอยู่ที่เรือนใหญ่นี่เพียงคนเดียวติงมี่เซียนอยู่ในชุดผ้าสีขาวพร้อมนอน แต่สายตาของนางกวาดมองไปรอบห้องอย่างหวาดระแวงสายตาของนางจ้องเขม็งไปยังราวไม้ว่างเปล่า เดิมทีมันเป็นราวไม้สำหรับแขวนเสื้อคลุมประจำตำแหน่งฮูหยินเอกที่ถูกเผาทำลายไปตอนนี้มันเป็นเพียงราวไม้ว่างเปล่า แต่กลับดูน่าหวาดกลัวเสียเหลือเกินหากยังเป็นเช่นนี้ ราตรีนี้นางคงไม่อาจข่มตาหลับได้...ติงมี่เซียนรีบคิดหาทางรอดอย่
หลังจากที่ลงทะเบียนบ่าวกับทางการแล้ว จ้าวเซินฝูก็พาบ่าวทั้งคู่ไปเลือกซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูปง่ายๆคนละห้าชุด ก่อนจะพากันกลับจวนเงินค่าตัวบ่าวนั้นมอบให้กับทั้งสองคนอย่างเท่าเทียม และมีสัญญาบ่าวเป็นเวลาห้าปีเนื่องจากทั้งเสี่ยวเล่อและเสี่ยวเมิ่งนั้นไม่มีบิดามารดา หรือผู้ดูแลอะไรเลย เงินที่ทั้งสองคนได้จึงเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องรับใช้จ้าวเซินฝูให้ครบห้าปีเสียก่อนจึงจะไถ่ถอนตัวเองได้ โดยมีพันธะสัญญานายบ่าวที่จัดการโดยทางการเย็นย่ำแล้ว หวังซิ่นเจียและจ้าวเซินฝูจึงได้พากันกลับมาที่จวนตระกูลจ้าวในตอนนี้คนตระกูลจ้าวมีสีหน้าที่เหนื่อยล้าไม่น้อย เพราะทุกอย่างจะต้องเสร็จสิ้นก่อนตะวันตกดิน และทุกอย่างเพิ่งจะเสร็จสิ้นก่อนที่จ้าวซิ่วเทียนจะกลับมาไม่ถึงสองเค่อจ้าวจวิ้นซานเมื่อเห็นว่าหวังซิ่นเจียและจ้าวเซินฝูกลับมาก็รีบเดินเข้ามาหา"หวังไต้ซือ""ทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วหรือประมุขจ้าว""ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วขอรับ""เช่นนั้นหรือ..."จ้าวจวิ้นซานแม้จะพูดแบบนั้น แต่ก็ยังไม่แน่ใจนักว่าสมบัติที่ติงมี่เซียนเก็บเอาไว้นั้น ได้เอาไปคืนที่เรือนจันทร์เสี้ยวจนครบทุกอย่างแล้วหรือยัง"นางกล่าวว่ายังมี
เช้าวันถัดมาหวังซิ่นเจียเดินมาหาจ้าวเซินฝูที่เรือนเล็กพร้อมกับพ่อบ้านหยางในตอนนี้พ่อบ้านหยางเป็นบ่าวส่วนตัวของจ้าวเซินฝูแล้ว เหมือนว่าพ่อบ้านหยางจะดูยิ้มแย้มขึ้น แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเรื่องไหน ระหว่างได้เป็นบ่าวส่วนตัวของจ้าวเซินฝู หรือได้ปลดภาระจากการเป็นพ่อบ้านของตระกูลจ้าว"วันนี้ข้าจะพาไปเลือกบ่าวคนใหม่"จ้าวเซินฝูเพียงพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินตามออกมา แต่ดูเหมือนว่าหวังซิ่นเจียจะไม่ค่อยพึงพอใจนัก และสิ่งที่ทำให้หวังซิ่นเจียดูไม่พึงพอใจคือชุดที่จ้าวเซินฝูสวมใส่"แน่ใจนะว่าจะไปหาบ่าวเพิ่ม ไม่ใช่ไปขายตัวเป็นบ่าว"ตอนนี้ชุดที่จ้าวเซินฝูสวมใส่ราวกับผ้าขี้ริ้วก็ไม่ปาน หากเป็นเช่นนี้เกรงว่าหวังซิ่นเจียคงไม่กล้าเดินใกล้แม้ว่าชุดของหวังซิ่นเจียจะดูเก่า แต่มันก็มีราคา ที่สำคัญมันดูเก่าเพราะต้องระหกระเหินไปนู่นมานี่ต่างหาก หากใส่ชุดดีๆเกรงว่าชุดจะหม่นหมอง"เป็นถึงคุณชายใหญ่ ไม่มีเสื้อผ้าที่ดีกว่านี้หรือ"จ้าวเซินฝูได้แต่ทำหน้าแหยๆออกมาตั้งแต่เติบโตมาเสื้อผ้าที่จะมีใส่ก็มีเพียงชุดของบ่าวไพร่ที่เอามาทิ้งเท่านั้น อีกทั้งสองตัวนี้ยังใส่มานานแล้วด้วย"เป็นข้าที่สะเพร่าเอง พวกท่านโปรดรอสักครู่ ข้
หวังซิ่นเจียถ่ายทอดเรื่องที่อดีตฮูหยินอย่างเมิ่งหรูซีต้องการออกมาเป็นข้อๆอย่างแรกที่นางต้องการย่อมไม่พ้นตำแหน่งคุณชายใหญ่ตระกูลจ้าวที่ควรเป็นของจ้าวเซินฝูบุตรของนางตั้งแต่แรก ที่ผ่านมาเป็นติงมี่เซียนต้องการตำแหน่งนั้นให้กับบุตรชายของตนเอง และจ้าวจวิ้นซานไม่ได้โต้แย้งอะไรหวังซิ่นเจียกล่าวว่า นางคิดว่าจ้าวซินเหอหลงระเริงกับตำแหน่งนั้นมานานเกินพอแล้ว จ้าวซินเหอควรรู้ฐานะของตนแม้ว่าเมื่อพูดเรื่องแรกขึ้นมาแล้ว ลูกหนี้ความแค้นของจ้าวเซินฝูจะทำหน้าเหมือนไม่อยากจะยอมรับมากเพียงใด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ในประการแรกที่เมิ่งหรูซีร้องขอมา จ้าวจวิ้นซานจึงตอบตกลงติงมี่เซียนมีสีหน้าที่ไม่น่าดูนัก อย่างไรการที่ลดตำแหน่งของจ้าวซินเหอนั้น นางมีแต่เสียกับเสีย ไม่ว่าจะเป็นตัวจ้าวซินเหอเองที่ต้องทนอยู่กับฐานะที่เป็นรอง อีกทั้งคนภายนอกอาจจะมองว่าที่ผ่านมา เป็นจ้าวซินเหอที่ใฝ่สูง อยากเป็นคุณชายใหญ่ก็ได้แล้วไหนจะตัวนางที่เป็นฮูหยินอยู่ในตอนนี้...สายตาเหยียดหยามจากคนอื่นคงทิ่มแทงจนนางแทบจะเป็นรูแต่เมื่อจ้าวจวิ้นซานนั้นรับปากไปแล้ว นางย่อมทำอะไรไม่ได้"สมบัติของอดีตฮูหยิน... โปรดมอบคืนให้กับคุณชายใหญ่ด้วย"แ
"เจ้าว่าอย่างไรนะ""คะ คุณชายผู้นี้ กล่าวว่าเห็นวิญญาณขอรับ"จ้าวจวิ้นซานแทบจะสั่งโบยบ่าวตรงหน้าให้ตายเสีย ในยามนี้มีผู้ใดบ้างที่ไม่รู้ว่าจวนตระกูลจ้าวกำลังประสบปัญหาอะไร เชิญคนแปลกหน้าเข้ามาในจวนสุ่มสี่สุ่มห้า ครั้งนี้ก็คงจะเป็นพวกต้มตุ๋นเหมือนคนก่อนๆ"ขออภัยด้วยคุณชาย เกรงว่าตอนนี้ที่จวนไม่เหมาะจะรับแขก"เพราะเพิ่งผ่านเหตุการณ์ระทึกขวัญมา ในตอนนี้จวนตระกูลจ้าวจึงมีปัญหามากมายรอการแก้ไข อีกทั้งเรื่องเรือนรับรองที่ถูกไฟไหม้ไปเมื่อคืน ยังไม่สามารถหาช่างมาซ่อมแซมได้ด้วยเรื่องข่าวลือที่ว่าจวนตระกูลจ้าวมีวัญญาณร้ายสิงสู่ ทำให้ไม่มีใครอยากรับงาน ไม่ว่าจ้าวจวิ้นซานจะเสนอราคาที่สูงแค่ไหนก็ตาม"เอาเถอะ หากนายท่านจ้าวกล่าวเช่นนั้น ข้าก็ไม่บังคับ"จ้าวจวิ้นซานยกมือนวดขมับเบาๆ ข้างๆมีติงมี่เซียนนั่งทำท่าขบคิดอยู่ไม่ห่างกาย"แต่ข้าขอเตือนไว้อย่าง..."เมื่อชายแปลกหน้าผู้นั้นพูดขึ้นมา จ้าวจวิ้นซาน ติงมี่เซียน หรือคนที่อยู่แถวนั้นต่างก็หยุดฟัง พวกเขาแทบไม่กล้าหายใจดังด้วยซ้ำ เพราะกลัวว่าจะพลาดใจความสำคัญไป"ครั้งหน้า... นางคงไม่ยอมจบแค่เสื้อคลุมประจำตำแหน่ง และเรือนรับรองแน่ ที่นางกล่าวมีเพียงเท่าน
ช่วงเวลาที่ไม่น่าอภิรมย์มากที่สุดของตระกูลจ้าว คือเมื่อยามที่ตะวันลับขอบฟ้า...ช่วงเวลาที่แสนน่าหวาดหวั่นของคนที่อยู่ในจวนตระกูลจ้าวทั้งเจ้านายและบ่าวไพร่มารวมตัวกันอยู่ที่เดียว เรือนรับรองถูกใช้เป็นที่ซุกหัวนอนในยามค่ำคืนของคนในตระกูลนี้แต่ถึงอย่างนั้น ทุกๆคืนก็ยังได้ยินเสียงลมหวีดหวิวอยู่ด้านนอก เรือนรับรองนั้นแม้ในยามที่ทุกคนรวมตัวกันอยู่ ด้านนอกก็ยังมีเสียงฝีเท้าที่เดินรอบเรือนครั้งหนึ่งเคยให้บ่าวพากันออกไปดูว่าใครเป็นคนเดิน แต่เมื่อออกไปดูก็พบเพียงความว่างเปล่า สายลมกรรโชกแรง พัดพายอดไม้สูงเอนไหวตามลมเป็นภาพที่น่าขนลุกหลังจากนั้นแม้จะมีเสียงเดินรอบเรือนรับรอง หรือเสียงขูดเล็บกับบานหน้าต่าง กระทั่งเสียงเดินบนหลังคาเรือนรับรองก็ไม่มีใครกล้าออกไปดูแต่คืนนี้ จะเป็นคืนสุดท้ายแล้ว การกลั่นแกล้งทั้งหมดจะจบลงในคืนนี้ดังนั้นจ้าวซิ่วเทียนจึงคาดหวังให้มันเป็นคืนที่จะฝังอยู่ในใจของผู้พบเจอไปจนตาย..."จงอยู่กับความหวาดกลัวไปชั่วชีวิตเสียเถอะ"เสียงแผ่วเบาพัดหายไปกับสายลมแรง จ้าวเซินฝูคับแค้นเสียจนต้องเอ่ยปากกับตัวเอง เกรงว่าหากไม่ได้ระบายออกมาเสียหน่อยคงจะอกแตกตายเรื่องที่ว่าจะให้ยกโทษ