หลังจากที่ลงทะเบียนบ่าวกับทางการแล้ว จ้าวเซินฝูก็พาบ่าวทั้งคู่ไปเลือกซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูปง่ายๆคนละห้าชุด ก่อนจะพากันกลับจวน
เงินค่าตัวบ่าวนั้นมอบให้กับทั้งสองคนอย่างเท่าเทียม และมีสัญญาบ่าวเป็นเวลาห้าปี
เนื่องจากทั้งเสี่ยวเล่อและเสี่ยวเมิ่งนั้นไม่มีบิดามารดา หรือผู้ดูแลอะไรเลย เงินที่ทั้งสองคนได้จึงเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องรับใช้จ้าวเซินฝูให้ครบห้าปีเสียก่อนจึงจะไถ่ถอนตัวเองได้ โดยมีพันธะสัญญานายบ่าวที่จัดการโดยทางการ
เย็นย่ำแล้ว หวังซิ่นเจียและจ้าวเซินฝูจึงได้พากันกลับมาที่จวนตระกูลจ้าว
ในตอนนี้คนตระกูลจ้าวมีสีหน้าที่เหนื่อยล้าไม่น้อย เพราะทุกอย่างจะต้องเสร็จสิ้นก่อนตะวันตกดิน และทุกอย่างเพิ่งจะเสร็จสิ้นก่อนที่จ้าวซิ่วเทียนจะกลับมาไม่ถึงสองเค่อ
จ้าวจวิ้นซานเมื่อเห็นว่าหวังซิ่นเจียและจ้าวเซินฝูกลับมาก็รีบเดินเข้ามาหา
"หวังไต้ซือ"
"ทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วหรือประมุขจ้าว"
"ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วขอรับ"
"เช่นนั้นหรือ..."
จ้าวจวิ้นซานแม้จะพูดแบบนั้น แต่ก็ยังไม่แน่ใจนักว่าสมบัติที่ติงมี่เซียนเก็บเอาไว้นั้น ได้เอาไปคืนที่เรือนจันทร์เสี้ยวจนครบทุกอย่างแล้วหรือยัง
"นางกล่าวว่ายังมีสมบัติของนางอีกหนึ่งชิ้นที่ยังไม่ได้คืน"
เพียงแค่นั้นคนในตระกูลก็ขนลุกชัน ทุกสายตาจ้องไปที่ติงมี่เซียนที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากจ้าวจวิ้นซานนัก กระทั่งจ้าวจวิ้นซานก็ยังหันมามองนางด้วยสายตาตำหนิ
"สะ สมบัติของนางทุกชิ้น ข้านำไปคืนให้ไม่มีตกหล่น..."
"ปิ่น..."
ทุกสายตาเลื่อนไปจับจ้องที่ปิ่นปักผมของติงมี่เซียน
ปิ่นปักผมประดับอัญมณีสีม่วงเข้มที่ปักอยู่กับผมสีน้ำหมึกของติงมี่เซียน เดิมทีเป็นของเมิ่งหรูซีอย่างนั้นหรือ...
เรื่องนี้บ่าวที่เพิ่งเข้ามาทำงานหลังจากที่เมิ่งหรูซีตายไปย่อมไม่รู้ แต่ว่าคนที่อยู่มาก่อน หรือจ้าวจวิ้นซาน กระทั่งตัวติงมี่เซียนเองก็รู้ดีว่าปิ่นนี้เดิมทีเป็นของใคร
"ฮูหยิน"
จ้าวจวิ้นซานเรียกติงมี่เซียนด้วยน้ำเสียงที่ไม่สบอารมณ์นัก ทั้งๆที่รู้ว่าเมิ่งหรูซีในตอนนี้ร้ายกาจเพียงใด ยังจะมาสร้างเรื่องเพิ่มอีก
"แต่ปิ่นนี้เป็นปิ่นประจำตำแหน่ง..."
แม้จะดูฟังแก้ตัวขึ้นก็ตาม แต่หากจำได้ เมื่อคืนก่อนชุดคลุมประจำตำแหน่งก็ยังถูกเผาไปแล้ว
และถึงจะบอกว่าปิ่นนี้เป็นปิ่นประจำตำแหน่ง แต่ที่จริงแล้วจ้าวจวิ้นซานได้มอบปิ่นอีกอันให้ไปแล้วในตอนที่แต่งเข้าจวนตระกูลจ้าว
ปิ่นที่จ้าวจวิ้นซานมอบให้ติงมี่เซียนเป็นปิ่นประดับอัญมณีสีสมพูที่งดงามอันหนึ่ง แต่ว่าปิ่นอันนั้นเป็นปิ่นที่จ้าวจวิ้นซานมอบให้
แต่ปิ่นของเมิ่งหรูซี เป็นปิ่นที่อดีตประมุขและอดีตฮูหยินตระกูลจ้าวมอบให้ และเป็นปิ่นที่แสดงถึงการยอมรับที่คนตระกูลจ้าวมอบให้เมิ่งหรูซี
การยอมรับที่ติงมี่เซียนไม่เคยได้รับ...
ติงมี่เซียนยังนึกอิจฉาเมิ่งหรูซีทุกครั้งที่ได้เห็นปิ่นนี้ แม้นางจะนึกข่มเมิ่งหรูซีอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่าคนตายอย่างเมิ่งหรูซี แม้จะได้รับการยอมรับ แต่มีวาสนาอยู่ใช้ปิ่นนี้ไม่นาน
แต่วันนี้...
"อย่างที่นางกล่าว... ปิ่นนี้เป็นปิ่นประจำตำแหน่ง..."
"นางมีอีกอันไม่ใช่หรือ ปิ่นนี้ไม่ใช่ของนาง"
ที่จริงแล้วเรื่องปิ่นที่ติงมี่เซียนใช้ปักผมทุกวันนั้น กระทั่งจ้าวเซินฝูก็ยังไม่รู้ ในตอนที่ได้ยินนั้นก็นึกตกใจอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
แต่เมื่อในตอนนี้รับรู้แล้วว่ายังมีสมบัติอีกชิ้นหนึ่งของมารดาที่ติงมี่เซียนจงใจไม่มอบคืนก็รู้สึกโกรธจนกำมือแน่น
"ใช้ของของคนตาย ไม่รู้สึกกระดากอายบ้างหรือ"
คำพูดของหวังซิ่นเจียทำให้นางรู้สึกอับอายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เมื่อก่อนไม่มีใครรู้เรื่องปิ่นนี้ กระทั่งหวังซิ่นเจียพูดออกมา
"ไม่ว่าหวังไต้ซือจะกล่าวอย่างไร แต่ปิ่นนี้ข้าคงมอบให้ไม่ได้"
ติงมี่เซียนกัดฟันกล่าวเสียงแข็ง
แม้ว่าปิ่นอันนี้จะเป็นปิ่นของคนตาย แต่นี่เป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจของการเป็นฮูหยินของนาง
หวังซิ่นเจียมองติงมี่เซียนที่กล้าสบตากับตน ในดวงตามีความแข็งกร้าว ไม่ยอมอ่อนให้ ดังนั้นจึงไม่คิดพูดให้มากความ
"เช่นนั้นก็ให้นางเป็นคนไปทวงคืนแล้วกัน"
หวังซิ่นเจียไม่ใส่ใจติงมี่เซียนที่ทำตัวโง่งมไม่เลิก พาทั้งจ้าวเซินฝู และผู้ติดตามอีกสามคนไปที่เรือนจันทร์เสี้ยว
สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่ติงมี่เซียน
อย่างที่หวังซิ่นเจียกล่าวเอาไว้ เมิ่งหรูซีจะเป็นคนไปทวงคืนด้วยตัวเอง...
แปลว่าหลังจากนี้ ติงมี่เซียนคือเป้าหมายของเมิ่งหรูซีอย่างไม่ต้องสงสัย เช่นนั้นไม่ว่าผู้ใดก็ต้องออกห่าง กระทั่งบุตรอย่างจ้าวซินเหอยังรีบดีดตัวออกไม่กล้าเข้าใกล้
จ้าวจวิ้นซานเองยังหันมามองที่ติงมี่เซียนอย่างไม่พอใจ
เรื่องทุกอย่างกำลังจะจบลงด้วยดีแล้ว แต่ติงมี่เซียนทำให้เรื่องมันยากขึ้นมาอีก เพียงแค่ปิ่นอันเดียว จะหวงแหนอะไรนักหนา
"ท่านพี่..."
"คืนนี้ข้าจะไปนอนที่เรือนของฮูหยินรอง"
พูดจบไม่รอฟังติงมี่เซียนพูดอะไรกิน เดินหนีไปอย่างรวดเร็ว
จ้าวซินเหอเองก็ไม่อยากอยู่ใกล้มารดานักในตอนนี้ ทุกคนล้วนมองติงมี่เซียนเป็นเหมือนตัวปัญหา
เพราะอย่างนั้นคืนนี้ติงมี่เซียนต้องจัดการกับปัญหาด้วยตัวเอง หากต้องเผชิญหน้ากับเมิ่งหรูซีก็ต้องเผชิญหน้าเพียงคนเดียว
ติงมี่เซียนกำมือแน่น อย่างไรแล้วนางก็ไม่ต้องการที่จะเสียปิ่นนี้ไป แม้ว่ามันจะเป็นของเมิ่งหรูซีที่ตายไป แต่ก็เป็นปิ่นที่ผู้เฒ่าของตระกูลจ้าวมอบให้เมิ่งหรูซีด้วยความยินดี
ต่างจากนางที่นอกจากจ้าวจวิ้นซานแล้วไม่มีผู้อาวุโสของตระกูลจ้าวผู้ใดตอนรับ เพราะอย่างนั้นปิ่นนี่จึงเป็นความภาคภูมิใจเดียวของนาง
แม้ว่ามันจะไม่ใช่ความภาคภูมิใจของนางอย่างแท้จริงก็ตาม
แต่ถึงอย่างนั้นก็มอบให้ไม่ได้
ให้คืนไม่ได้อย่างเด็ดขาด...
.
.
.
"คุณชายหวัง เรื่องปิ่น..."
"อ้อ เรื่องนั้นพ่อบ้านหยางเป็นคนบอกน่ะ"
หลังจากกลับมาถึงเรือนจันทร์เสี้ยวที่เป็นเรือนของจ้าวเซินฝูแล้ว พ่อบ้านหยางก็แยกตัวพาบ่าวทั้งสองไปล้างเนื้อล้างตัวให้เรียบร้อย
ในส่วนห้องรับรองของเรือนจันทร์เสี้ยวจึงมีเพียงหวังซิ่นเจีย และจ้าวเซินฝูอยู่ด้วยกัน
"เช่นนั้นเองหรือ..."
พ่อบ้านหยางเป็นคนเก่าแก่ อีกทั้งยังมาจากตระกูลเมิ่งของเมิ่งหรูซี ดังนั้นเป็นคนที่ค่อนข้างเชื่อถือได้ และหลังจากที่เห็นท่าทางของติงมี่เซียนแล้ว เรื่องปิ่นนั่นคงเป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน
"ถึงปิ่นนั่นจะไม่ได้มีราคาค่างวดอะไรนัก แต่มันเป็นของของมารดาเจ้า ไม่ควรให้นางถือครองเอาไว้"
"เช่นนั้นคืนนี้คงต้องพาท่านแม่ไปเยี่ยมเยียนนางเสียหน่อย..."
หวังซิ่นเจียยกน้ำชาขึ้นมาจิบอย่างสบายใจ เหลือบมองท่าทางที่ดูตื่นเต้นจนแทบเก็บเอาไว้ไม่ไหวแล้วก็ได้แต่ระบายยิ้มออกมา
"หากต้องการให้ช่วยก็บอกล่ะ"
แม้ว่าหวังซิ่นเจียรู้ดีว่าจ้าวเซินฝูจะไม่ต้องการความช่วยเหลืออะไรก็ตาม
พ่อบ้านหยางกลับเข้ามาที่โถงรับรองของเรือนจันทร์เสี้ยวเมื่อจัดการกับบ่าวทั้งสองคนเรียบร้อยแล้ว เสี่ยวเล่อ และเสี่ยวเมิ่งดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นเมื่อเนื้อตัวสะอาดสะอ้าน
ที่จริงแล้วงานในเรือนจันทร์เสี้ยวคงไม่มีมากเท่าเรือนอื่นๆที่ต้องคอยทำเรื่องนู่นนี่ตามใจเจ้านาย แต่งานหลักๆมีแค่ทำความสะอาดเรือน กับเตรียมสำรับเท่านั้น
"อย่างแรกที่พวกเจ้าต้องรู้ คือเจ้าเป็นบ่าวของข้า จ้าวเซินฝู ไม่ใช่บ่าวของตระกูลจ้าว รับใช้ข้าเพียงผู้เดียว"
เสี่ยวเล่อและเสี่ยวเมิ่งพยักหน้ารับ เรื่องนี้เมื่อครู่พ่อบ้านหยางบอกพวกเขามาแล้ว
"เรื่องงานต่างๆ พ่อบ้านหยางจะเป็นคนบอกพวกเจ้าเอง"
จ้าวเซินฝูหันไปมองพ่อบ้านหยางที่ยืนอยู่ด้านหลังของเด็กทั้งสองคน พ่อบ้านหยางค้อมตัวรับคำสั่ง
จ้าวเซินฝูคิดว่าเรื่องในเรือนไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว จะเหลือก็แต่เรื่องนอกเรือนเท่านั้น
เสี่ยวเล่อและเสี่ยวเมิ่งเป็นบ่าวของจ้าวเซินฝู ดังนั้นเรือนอื่นๆต้องเพ่งเล็งเป็นแน่ โดยเฉพาะกับจ้าวซินเหอที่ดูแล้วจะมีความแค้นกับจ้าวเซินฝูมากที่สุด
หากเห็นแล้วว่าไม่สามารถกลั่นแกล้งจ้าวเซินฝูได้แล้ว เป้าหมายต่อไปย่อมไม่พ้นบ่าวทั้งสองคนอย่างแน่นอน
"อีกเรื่องหนึ่ง..."
เสี่ยวเล่อและเสี่ยวเมิ่งมองมาที่เจ้านายใหม่ตาแป๋วตั้งใจฟัง
จ้าวเซินฝูเห็นแล้วนึกถึงพวกบ่าวเมื่อชีวิตก่อนเหลือเกิน หลังจากที่ได้เลื่อนขั้นเป็นผู้อาวุโสแล้ว อาจารย์ของจ้าวเซินฝูก็หาบ่าวมาให้เช่นกัน
อีกทั้งยังมีท่าทางคล้ายกันเสียเหลือเกิน...
แม้ว่าจะไม่รู้ก็ตามว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน ใช้ชีวิตอย่างไร
"แม้ว่าอยู่ในเรือนจะไม่ลำบากอะไรนัก แต่หากออกไปนอกเรือนแล้วย่อมมีคนอื่นที่ไม่ชอบหน้าข้านัก"
จ้าวเซินฝูรู้สึกปวดหัวตุบๆ หลังจากที่ทวงปิ่นคืนจากติงมี่เซียนแล้ว เกรงว่าจะต้องหาวิธีไม่ให้บ่าวตัวน้อยของจ้าวเซินฝูเป็นเป้าหมายที่จะโดนรังแกต่อไปสินะ
"หากมีผู้ใดเข้ามารังแกล่ะก็ จงโต้กลับเสีย หากโดนลงโทษข้าจะเป็นผู้ยื่นมือช่วยเอง"
แม้ว่าตัวตนของจ้าวเซินฝูในชีวิตนี้เพิ่งจะมีอำนาจ แต่อำนาจนั้นก็เป็นอำนาจที่รองประมุขตระกูลเพียงผู้เดียว ในฐานะคุณชายใหญ่ผู้สืบสกุล
ในเมื่อมีอำนาจในมือมากขนาดนั้น ก็ควรใช้ให้คุ้มเสียหน่อย
อีกทั้งนอกจากอำนาจของคุณชายใหญ่แล้ว ยังมีอำนาจของมารดาที่คนในจวนตระกูลจ้าวพากันหวาดกลัวจนหัวหดอีก เพราะอย่างนั้นจึงไม่มีอะไรน่ากังวล
"พวกเจ้าเป็นบ่าวของคุณชายใหญ่ อย่าให้บ่าวคนอื่นในบ้านมาข่มเอาได้"
"ขอรับคุณชาย"
เสี่ยวเล่อและเสี่ยวเมิ่งจำคำของจ้าวเซินฝูเอาไว้ขึ้นใจ หากมีผู้ใดมารังแก ให้โต้กลับ!
หมายถึงจะรุนแรงแค่ไหนก็ย่อมได้ใช่หรือไม่...
แต่คุณชายกล่าวแล้ว ไม่ว่าจะเรื่องใหญ่แค่ไหน คุณชายย่อมจัดการได้อย่างแน่นอน!
"ดี"
จ้าวเซินฝูพูดเพียงสั้นๆอย่างพออกพอใจ
ถึงแม้จะบอกว่าให้โต้กลับ แต่ไม่ได้หมายความว่าให้เป็นผู้รังแก เพียงแค่ไม่ได้เป็นผู้เริ่มนั่นก็เพียงพอแล้ว
หากอีกฝ่ายเป็นคนเริ่ม เราที่เป็นผู้โต้กลับจะทุบตีแรงเท่าไหร่ก็ย่อมได้
"เช่นนั้นก็ไปเถอะ พ่อบ้านหยางคงมีหลายสิ่งอยากจะสอนพวกเจ้า"
จ้าวเซินฝูบอกให้ทั้งสามคนไปจัดการเรื่องของตัวเองเสีย
ในขณะนี้ในหัวเล็กของจ้าวเซินฝูกำลังคิดสารพัดวิธีที่จะกลั่นแกล้งติงมี่เซียน
หญิงคนนี้ไม่ว่าจะเป็นชีวิตใด ก็สร้างปัญหาให้ไม่หยุดหย่อน ยามยังเด็กนั้นยังไม่ได้คิดอะไรมากมายเพราะไม่รู้ความ
อีกทั้งเมื่อมีอำนาจ ก็ดันกระเสือกกระสนโหยหาการยอมรับจากครอบครัวอย่างหน้ามืดตามัว ไม่ใช้อำนาจที่มีให้เป็นประโยชน์
ช่างโง่เขลาเสียเหลือเกินจ้าวเซินฝู...
ชีวิตก่อนจ้าวเซินฝูไม่ได้เอะใจอะไร กระทั่งปิ่นปักผมของมารดา ยังปล่อยให้หญิงแพศยานั่นครอบครองจนตายจากไป
ชีวิตนี้เป็นดังโอกาสอันล้ำค่าที่จะทวงคืน
จ้าวเซินฝูเผยยิ้มโหดเหี้ยมออกมาอย่างไม่รู้ตัวเมื่อคิดแผนการที่จะเอาคืน
หวังซิ่นเจียเพียงเหลือบมองเล็กน้อย ก่อนจะเหยียดยิ้มออกมาเช่นกัน
หากเป็นเช่นนี้แล้ว...
ย่อมไม่มีอะไรต้องห่วง
หวังซิ่นเจียยกน้ำชาขึ้นจิบ พลางนึกถึงอีกคนที่เป็นกังวลเหลือเกินกับเรื่องนี้ ยิ่งนึกถึงใบหน้าที่ดูยุ่งยากของคนๆนั้นแล้ว ยิ่งนึกขันขึ้นมา จนต้องหลุดขำออกมาเบาๆ
เป็นห่วงมากไปแล้ว...
จ้าวเซินฝูไม่ใช่คนโง่งมอีกต่อไปแล้ว
วันนี้ตระกูลจ้าวยังเงียบสงัดเช่นเดิมเมื่อตะวันลับขอบฟ้า ความมืดคืบคลานจนกระทั่งเต็มแผ่นฟ้า จวนตระกูลจ้าวจุดไฟสว่างไสวแต่กับไร้ผู้คนเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงเย็น จ้าวจวิ้นซานขุ่นเคืองเสียจนไม่รับสำรับพร้อมกับติงมี่เซียน กระทั่งบุตรชายของนางเองก็ยังมีข้ออ้างเพื่อที่จะอยู่ให้ไกลจากนางจ้าวจวิ้นซานไปนอนที่เรือนของฮูหยินรองตามที่เจ้าตัวว่าเอาไว้ ส่วนฮูหยินเอกอย่างติงมี่เซียนในตอนนี้ ก็ต้องกลับมานอนที่เรือนใหญ่คนเดียว เพราะเรือนรับรองนั้นยังไม่ได้ซ่อมแซมแม้ว่าในช่วงเย็นจะมีบ่าวใจกล้าสามสี่คนมาจัดการเรื่องต่างๆให้ติงมี่เซียน แต่เมื่อท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีก็รีบกลับเรือนบ่าวไปโดยไม่ลาเท่ากับว่าในตอนนี้ติงมี่เซียนอยู่ที่เรือนใหญ่นี่เพียงคนเดียวติงมี่เซียนอยู่ในชุดผ้าสีขาวพร้อมนอน แต่สายตาของนางกวาดมองไปรอบห้องอย่างหวาดระแวงสายตาของนางจ้องเขม็งไปยังราวไม้ว่างเปล่า เดิมทีมันเป็นราวไม้สำหรับแขวนเสื้อคลุมประจำตำแหน่งฮูหยินเอกที่ถูกเผาทำลายไปตอนนี้มันเป็นเพียงราวไม้ว่างเปล่า แต่กลับดูน่าหวาดกลัวเสียเหลือเกินหากยังเป็นเช่นนี้ ราตรีนี้นางคงไม่อาจข่มตาหลับได้...ติงมี่เซียนรีบคิดหาทางรอดอย่
หลังจากที่ลงทะเบียนบ่าวกับทางการแล้ว จ้าวเซินฝูก็พาบ่าวทั้งคู่ไปเลือกซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูปง่ายๆคนละห้าชุด ก่อนจะพากันกลับจวนเงินค่าตัวบ่าวนั้นมอบให้กับทั้งสองคนอย่างเท่าเทียม และมีสัญญาบ่าวเป็นเวลาห้าปีเนื่องจากทั้งเสี่ยวเล่อและเสี่ยวเมิ่งนั้นไม่มีบิดามารดา หรือผู้ดูแลอะไรเลย เงินที่ทั้งสองคนได้จึงเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องรับใช้จ้าวเซินฝูให้ครบห้าปีเสียก่อนจึงจะไถ่ถอนตัวเองได้ โดยมีพันธะสัญญานายบ่าวที่จัดการโดยทางการเย็นย่ำแล้ว หวังซิ่นเจียและจ้าวเซินฝูจึงได้พากันกลับมาที่จวนตระกูลจ้าวในตอนนี้คนตระกูลจ้าวมีสีหน้าที่เหนื่อยล้าไม่น้อย เพราะทุกอย่างจะต้องเสร็จสิ้นก่อนตะวันตกดิน และทุกอย่างเพิ่งจะเสร็จสิ้นก่อนที่จ้าวซิ่วเทียนจะกลับมาไม่ถึงสองเค่อจ้าวจวิ้นซานเมื่อเห็นว่าหวังซิ่นเจียและจ้าวเซินฝูกลับมาก็รีบเดินเข้ามาหา"หวังไต้ซือ""ทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วหรือประมุขจ้าว""ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วขอรับ""เช่นนั้นหรือ..."จ้าวจวิ้นซานแม้จะพูดแบบนั้น แต่ก็ยังไม่แน่ใจนักว่าสมบัติที่ติงมี่เซียนเก็บเอาไว้นั้น ได้เอาไปคืนที่เรือนจันทร์เสี้ยวจนครบทุกอย่างแล้วหรือยัง"นางกล่าวว่ายังมี
เช้าวันถัดมาหวังซิ่นเจียเดินมาหาจ้าวเซินฝูที่เรือนเล็กพร้อมกับพ่อบ้านหยางในตอนนี้พ่อบ้านหยางเป็นบ่าวส่วนตัวของจ้าวเซินฝูแล้ว เหมือนว่าพ่อบ้านหยางจะดูยิ้มแย้มขึ้น แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเรื่องไหน ระหว่างได้เป็นบ่าวส่วนตัวของจ้าวเซินฝู หรือได้ปลดภาระจากการเป็นพ่อบ้านของตระกูลจ้าว"วันนี้ข้าจะพาไปเลือกบ่าวคนใหม่"จ้าวเซินฝูเพียงพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินตามออกมา แต่ดูเหมือนว่าหวังซิ่นเจียจะไม่ค่อยพึงพอใจนัก และสิ่งที่ทำให้หวังซิ่นเจียดูไม่พึงพอใจคือชุดที่จ้าวเซินฝูสวมใส่"แน่ใจนะว่าจะไปหาบ่าวเพิ่ม ไม่ใช่ไปขายตัวเป็นบ่าว"ตอนนี้ชุดที่จ้าวเซินฝูสวมใส่ราวกับผ้าขี้ริ้วก็ไม่ปาน หากเป็นเช่นนี้เกรงว่าหวังซิ่นเจียคงไม่กล้าเดินใกล้แม้ว่าชุดของหวังซิ่นเจียจะดูเก่า แต่มันก็มีราคา ที่สำคัญมันดูเก่าเพราะต้องระหกระเหินไปนู่นมานี่ต่างหาก หากใส่ชุดดีๆเกรงว่าชุดจะหม่นหมอง"เป็นถึงคุณชายใหญ่ ไม่มีเสื้อผ้าที่ดีกว่านี้หรือ"จ้าวเซินฝูได้แต่ทำหน้าแหยๆออกมาตั้งแต่เติบโตมาเสื้อผ้าที่จะมีใส่ก็มีเพียงชุดของบ่าวไพร่ที่เอามาทิ้งเท่านั้น อีกทั้งสองตัวนี้ยังใส่มานานแล้วด้วย"เป็นข้าที่สะเพร่าเอง พวกท่านโปรดรอสักครู่ ข้
หวังซิ่นเจียถ่ายทอดเรื่องที่อดีตฮูหยินอย่างเมิ่งหรูซีต้องการออกมาเป็นข้อๆอย่างแรกที่นางต้องการย่อมไม่พ้นตำแหน่งคุณชายใหญ่ตระกูลจ้าวที่ควรเป็นของจ้าวเซินฝูบุตรของนางตั้งแต่แรก ที่ผ่านมาเป็นติงมี่เซียนต้องการตำแหน่งนั้นให้กับบุตรชายของตนเอง และจ้าวจวิ้นซานไม่ได้โต้แย้งอะไรหวังซิ่นเจียกล่าวว่า นางคิดว่าจ้าวซินเหอหลงระเริงกับตำแหน่งนั้นมานานเกินพอแล้ว จ้าวซินเหอควรรู้ฐานะของตนแม้ว่าเมื่อพูดเรื่องแรกขึ้นมาแล้ว ลูกหนี้ความแค้นของจ้าวเซินฝูจะทำหน้าเหมือนไม่อยากจะยอมรับมากเพียงใด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ในประการแรกที่เมิ่งหรูซีร้องขอมา จ้าวจวิ้นซานจึงตอบตกลงติงมี่เซียนมีสีหน้าที่ไม่น่าดูนัก อย่างไรการที่ลดตำแหน่งของจ้าวซินเหอนั้น นางมีแต่เสียกับเสีย ไม่ว่าจะเป็นตัวจ้าวซินเหอเองที่ต้องทนอยู่กับฐานะที่เป็นรอง อีกทั้งคนภายนอกอาจจะมองว่าที่ผ่านมา เป็นจ้าวซินเหอที่ใฝ่สูง อยากเป็นคุณชายใหญ่ก็ได้แล้วไหนจะตัวนางที่เป็นฮูหยินอยู่ในตอนนี้...สายตาเหยียดหยามจากคนอื่นคงทิ่มแทงจนนางแทบจะเป็นรูแต่เมื่อจ้าวจวิ้นซานนั้นรับปากไปแล้ว นางย่อมทำอะไรไม่ได้"สมบัติของอดีตฮูหยิน... โปรดมอบคืนให้กับคุณชายใหญ่ด้วย"แ
"เจ้าว่าอย่างไรนะ""คะ คุณชายผู้นี้ กล่าวว่าเห็นวิญญาณขอรับ"จ้าวจวิ้นซานแทบจะสั่งโบยบ่าวตรงหน้าให้ตายเสีย ในยามนี้มีผู้ใดบ้างที่ไม่รู้ว่าจวนตระกูลจ้าวกำลังประสบปัญหาอะไร เชิญคนแปลกหน้าเข้ามาในจวนสุ่มสี่สุ่มห้า ครั้งนี้ก็คงจะเป็นพวกต้มตุ๋นเหมือนคนก่อนๆ"ขออภัยด้วยคุณชาย เกรงว่าตอนนี้ที่จวนไม่เหมาะจะรับแขก"เพราะเพิ่งผ่านเหตุการณ์ระทึกขวัญมา ในตอนนี้จวนตระกูลจ้าวจึงมีปัญหามากมายรอการแก้ไข อีกทั้งเรื่องเรือนรับรองที่ถูกไฟไหม้ไปเมื่อคืน ยังไม่สามารถหาช่างมาซ่อมแซมได้ด้วยเรื่องข่าวลือที่ว่าจวนตระกูลจ้าวมีวัญญาณร้ายสิงสู่ ทำให้ไม่มีใครอยากรับงาน ไม่ว่าจ้าวจวิ้นซานจะเสนอราคาที่สูงแค่ไหนก็ตาม"เอาเถอะ หากนายท่านจ้าวกล่าวเช่นนั้น ข้าก็ไม่บังคับ"จ้าวจวิ้นซานยกมือนวดขมับเบาๆ ข้างๆมีติงมี่เซียนนั่งทำท่าขบคิดอยู่ไม่ห่างกาย"แต่ข้าขอเตือนไว้อย่าง..."เมื่อชายแปลกหน้าผู้นั้นพูดขึ้นมา จ้าวจวิ้นซาน ติงมี่เซียน หรือคนที่อยู่แถวนั้นต่างก็หยุดฟัง พวกเขาแทบไม่กล้าหายใจดังด้วยซ้ำ เพราะกลัวว่าจะพลาดใจความสำคัญไป"ครั้งหน้า... นางคงไม่ยอมจบแค่เสื้อคลุมประจำตำแหน่ง และเรือนรับรองแน่ ที่นางกล่าวมีเพียงเท่าน
ช่วงเวลาที่ไม่น่าอภิรมย์มากที่สุดของตระกูลจ้าว คือเมื่อยามที่ตะวันลับขอบฟ้า...ช่วงเวลาที่แสนน่าหวาดหวั่นของคนที่อยู่ในจวนตระกูลจ้าวทั้งเจ้านายและบ่าวไพร่มารวมตัวกันอยู่ที่เดียว เรือนรับรองถูกใช้เป็นที่ซุกหัวนอนในยามค่ำคืนของคนในตระกูลนี้แต่ถึงอย่างนั้น ทุกๆคืนก็ยังได้ยินเสียงลมหวีดหวิวอยู่ด้านนอก เรือนรับรองนั้นแม้ในยามที่ทุกคนรวมตัวกันอยู่ ด้านนอกก็ยังมีเสียงฝีเท้าที่เดินรอบเรือนครั้งหนึ่งเคยให้บ่าวพากันออกไปดูว่าใครเป็นคนเดิน แต่เมื่อออกไปดูก็พบเพียงความว่างเปล่า สายลมกรรโชกแรง พัดพายอดไม้สูงเอนไหวตามลมเป็นภาพที่น่าขนลุกหลังจากนั้นแม้จะมีเสียงเดินรอบเรือนรับรอง หรือเสียงขูดเล็บกับบานหน้าต่าง กระทั่งเสียงเดินบนหลังคาเรือนรับรองก็ไม่มีใครกล้าออกไปดูแต่คืนนี้ จะเป็นคืนสุดท้ายแล้ว การกลั่นแกล้งทั้งหมดจะจบลงในคืนนี้ดังนั้นจ้าวซิ่วเทียนจึงคาดหวังให้มันเป็นคืนที่จะฝังอยู่ในใจของผู้พบเจอไปจนตาย..."จงอยู่กับความหวาดกลัวไปชั่วชีวิตเสียเถอะ"เสียงแผ่วเบาพัดหายไปกับสายลมแรง จ้าวเซินฝูคับแค้นเสียจนต้องเอ่ยปากกับตัวเอง เกรงว่าหากไม่ได้ระบายออกมาเสียหน่อยคงจะอกแตกตายเรื่องที่ว่าจะให้ยกโทษ