เช้าวันถัดมาหวังซิ่นเจียเดินมาหาจ้าวเซินฝูที่เรือนเล็กพร้อมกับพ่อบ้านหยาง
ในตอนนี้พ่อบ้านหยางเป็นบ่าวส่วนตัวของจ้าวเซินฝูแล้ว เหมือนว่าพ่อบ้านหยางจะดูยิ้มแย้มขึ้น แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเรื่องไหน ระหว่างได้เป็นบ่าวส่วนตัวของจ้าวเซินฝู หรือได้ปลดภาระจากการเป็นพ่อบ้านของตระกูลจ้าว
"วันนี้ข้าจะพาไปเลือกบ่าวคนใหม่"
จ้าวเซินฝูเพียงพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินตามออกมา แต่ดูเหมือนว่าหวังซิ่นเจียจะไม่ค่อยพึงพอใจนัก และสิ่งที่ทำให้หวังซิ่นเจียดูไม่พึงพอใจคือชุดที่จ้าวเซินฝูสวมใส่
"แน่ใจนะว่าจะไปหาบ่าวเพิ่ม ไม่ใช่ไปขายตัวเป็นบ่าว"
ตอนนี้ชุดที่จ้าวเซินฝูสวมใส่ราวกับผ้าขี้ริ้วก็ไม่ปาน หากเป็นเช่นนี้เกรงว่าหวังซิ่นเจียคงไม่กล้าเดินใกล้
แม้ว่าชุดของหวังซิ่นเจียจะดูเก่า แต่มันก็มีราคา ที่สำคัญมันดูเก่าเพราะต้องระหกระเหินไปนู่นมานี่ต่างหาก หากใส่ชุดดีๆเกรงว่าชุดจะหม่นหมอง
"เป็นถึงคุณชายใหญ่ ไม่มีเสื้อผ้าที่ดีกว่านี้หรือ"
จ้าวเซินฝูได้แต่ทำหน้าแหยๆออกมา
ตั้งแต่เติบโตมาเสื้อผ้าที่จะมีใส่ก็มีเพียงชุดของบ่าวไพร่ที่เอามาทิ้งเท่านั้น อีกทั้งสองตัวนี้ยังใส่มานานแล้วด้วย
"เป็นข้าที่สะเพร่าเอง พวกท่านโปรดรอสักครู่ ข้าจะไปนำชุดมาให้คุณชายใหญ่"
"เอามาชุดเดียวก็พอ เดี๋ยวจะต้องออกไปซื้อใหม่ที่ตลาด"
"ขอรับ หวังไต้ซือ"
พ่อบ้านหยางค้อมตัว ก่อนจะไปทำหน้าที่ของตน
"หาที่นั่งรอเถอะ ข้าไม่อยากเข้าไปในเรือนของเจ้านัก"
จ้าวเซินฝูพยักหน้ารับ เข้าใจดีว่าเรือนของจ้าวเซินฝูที่ว่า สภาพมันไม่น่ารับแขกมากเพียงใด จ้าวเซินฝูจึงเดินนำหวังซิ่นเจียเดินไปแถวครัวที่มีม้านั่งของบ่าวอยู่
"จบเรื่องนี้แล้ว เจ้าจะทำอะไร"
"ข้าคงจะอยู่ที่นี่ไม่นานนัก... อาจจะสักปี หรือน้อยกว่านั้น"
"หลังจากนั้นเล่า"
"คงระหกระเหินอยู่พักหนึ่ง แล้วเมื่อครบสิบห้าหนาว ค่อยสอบเข้าสำนักฝึกตนสักแห่ง"
"คิดไว้ขนาดนั้นเชียวหรือ"
หวังซิ่นเจียดูจะแปลกใจไม่น้อย กับความคิดของจ้าวเซินฝูในตอนนี้ ดูแล้วไม่ว่าอย่างไร ตระกูลจ้าวก็ไม่ได้อยู่ในแผนการเลยด้วยซ้ำ
"เจ้าไม่อาลัยครอบครัวหน่อยหรือ"
หากเป็นจ้าวเซินฝูในชีวิตก่อน ย่อมไม่มีความคิดที่จะไปจากตระกูลจ้าว หนำซ้ำหากเห็นว่าตนมีความสำคัญกับตระกูลแล้ว ย่อมยอมทำทุกอย่างตามที่ครอบครัวร้องขอ
แต่ไม่ใช่กับจ้าวเซินฝูในชีวิตนี้อีกต่อไป สิ่งที่ผูกมัดจ้าวเซินฝูเอาไว้กับตระกูลจ้าวในตอนนี้มีเพียงความแค้นเท่านั้น
"ครอบครัวงั้นหรือ..."
วีรกรรมของคนตระกูลจ้าวนั้นตราตรึงใจยิ่งนัก แต่นั่นก็ไม่ใช่ความหมายในทางที่ดี นอกจากเรื่องชั่วช้าที่ตระกูลจ้าวเคยทำ จ้าวเซินฝูเล็งเห็นว่าไม่มีเรื่องอันใดต้องอาลัยอาวรณ์
"ข้ามีคนที่เปรียบเสมือนครอบครัวอยู่แล้ว"
จ้าวเซินฝูตอบเพียงเท่านั้น ในใจแล้วหากจบเรื่องคราวนี้แล้ว และเมื่อเวลาที่เหมาะสมมาถึง จ้าวเซินฝูก็ไม่คิดจะผูกสัมพันธ์อันใดกับคนตระกูลจ้าวอีก
นอกเสียจากคนตระกูลจ้าวนั้นจะรนหาที่ด้วยตัวเอง
อย่างไรแล้วใจนึงก็รู้อยู่แล้วว่าหากในภายภาคหน้านั้น จ้าวเซินฝูเกิดเก่งกาจขึ้นมา ต้องเป็นที่ต้องตาของตระกูลจ้าวอย่างแน่นอน
"เช่นนั้นก็ดีแล้ว"
อย่างน้อยคราวนี้ จุดจบย่อมเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน
.
.
.
หลังจากที่พ่อบ้านหยางนำชุดใหม่มาให้เปลี่ยนแล้ว หวังซิ่นเจียก็พาจ้าวเซินฝูและพ่อบ้านหยางออกไปทำธุระนอกจวนอย่างที่ว่าไว้ ก่อนจะไปยังกำชับจ้าวจวิ้นซานให้จัดการเรื่องต่างๆให้เสร็จสิ้นก่อนตะวันจะตกดิน
ตั้งแต่เช้าวันนี้ไม่ได้เห็นติงมี่เซียนแม้แต่เงา นางคงอยู่ในห้องสมบัติ คอยลูบจับสมบัติของคนอื่นด้วยความเสียดายก่อนที่จะต้องมอบให้กับเจ้าของตัวจริง
ที่แรกที่หวังซิ่นเจียพาไปคือร้านขายผ้า
จ้าวเซินฝูนั้นเรียกได้ว่าไม่มีเสื้อผ้าดีๆเลย นั่นเป็นเพราะผู้เป็นพ่ออย่างจ้าวจวิ้นซานไม่เคยสนใจใยดี กระทั่งเสื้อผ้ายังต้องรอให้มีบ่าวนำมาทิ้งเสียก่อนจึงจะมีชุดใหม่ใส่
ดังนั้นวันนี้นอกจากผ้าเนื้อดีหลายพับที่สั่งตัดสำหรับจ้าวเซินฝูแล้ว ยังมีชุดแบบสำเร็จรูปอีกราวห้าหกชุดที่ซื้อติดมือกลับไปด้วย
หลังจากนั้นก็พากันแวะทานอาหารที่เหลาอาหารขนาดกลางแห่งหนึ่งในเมือง แม้ว่าจะเป็นเพียงเหลาอาหารขนาดกลางๆ แต่ก็มีอาหารรสเลิศไม่น้อย
จ้าวเซินฝูในชีวิตนี้เพิ่งเคยได้ลิ้มรสอาหารที่เรียกได้ว่าเป็นอาหารจริงๆเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น แม้ว่าในชีวิตก่อนจะทานมาจนเบื่อ แต่ในชีวิตนี้ไม่เหมือนกัน ดังนั้นจ้าวเซินฝูจึงเจริญอาหารไม่น้อย
หลังจากทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้วก็แวะที่หอขายตำรา หวังซิ่นเจียเลือกซื้อตำราความรู้พื้นฐานจำนวนหนึ่งกลับไปด้วย และมอบหมายให้พ่อบ้านหยางเป็นผู้สอนให้จ้าวเซินฝู
ถึงตรงนี้แล้วจ้าวเซินฝูเบ้หน้าเล็กน้อย แม้ว่าชีวิตนี้จะไม่เคยได้รับการสั่งสอน แต่เมื่อชีวิตก่อนนั้นอาจารย์ของจ้าวเซินฝูเคี่ยวกรำมาจนจะสำรอกออกมาเป็นตัวอักษร
เพราะในชีวิตก่อนจ้าวเซินฝูเองก็จากบ้านตระกูลจ้าวไปแบบไม่รู้เรื่องอะไรเลยเช่นกัน ดังนั้นอาจารย์ของจ้าวเซินฝูจึงต้องสั่งสอนอย่างหนักหน่วงเพื่อให้จ้าวเซินฝูได้เป็นผู้อาวุโสที่น่าภาคภูมิของสำนัก
แม้ว่าสุดท้ายแล้ว จะเป็นจ้าวเซินฝูเองที่ทำมันเสียเปล่าก็ตาม
ในตอนนั้นเป็นจ้าวเซินฝูที่มองข้ามความพยายามของอาจารย์และทำให้ตนเองต้องมีจุดจบที่น่าสังเวช
"เรื่องเล็กๆน้อยๆก็คงมีเพียงเท่านี้... ถ้าอย่างนั้น ไปที่สุดท้ายกันเถอะ"
หวังซิ่นเจียเดินนำไปที่ทิศทางหนึ่ง จ้าวเซินฝูและพ่อบ้านหยางพากันเดินตาม ไม่เอ่ยถามอะไร เพราะรู้อยู่แล้วว่าจุดประสงคฺหลักของวันนี้คืออะไร
จุดหมายปลายทางสุดท้ายของวันนี้คือตลาดค้าทาส
เดิมทีนั้นตลาดค้าทาสเป็นสถานที่ที่มีคนยากไร้นำตัวมาขายเป็นทาสอยู่เต็มตรอกขนาดกลางๆ อยู่ในส่วนที่มืดมนของเมือง
แต่เมื่อมีคนมารวมกันอยู่มากเข้า ก็กลายเป็นที่ทำมาหากินของเหล่าพ่อค้าหัวใส
ก่อนหน้านี้มีเพียงชาวบ้านทั่วไปมารอให้มีคนมาซื้อตัวไปเป็นบ่าวเท่านั้น แต่บัดนี้มีหอค้าทาสขึ้นเต็มไปหมด จึงได้เรียกที่ตรงนี้ว่าตลาดค้าทาส
หากว่าต้องการทาสที่มีความสามารถต่างๆก็สามารถเลือกซื้อได้จากหอค้าทาส หรือหากอยากได้ทาสราคาไม่แพงมากก็ยังมีพวกชาวบ้านที่เต็มใจไปเป็นทาส หรือคนที่เอาบุตรมาขายเป็นทาสก็มี
หอค้าทาสมักจะได้ทาสมากความสามารถมาจากเชลยศึก หรือตามจวนตระกูลที่ขับไล่ทาสคนนั้นๆออกมาเพราะกระทำความผิด หรือที่ดีหน่อยก็อาจจะมีผู้ฝึกตนรวมอยู่ด้วย
เมื่อเดินเข้ามาในตรอกนี้แล้ว เสียงต้อนรับก็ดังเซ็งแซ่ ไม่ว่าจะเป็นเสียงจากหอค้าทาส หรือเสียงจากเหล่าชาวบ้านที่ยืนร้องขอความเมตตาให้รับตนไปด้วยก็ตาม
ที่ตลาดค้าทาสแห่งนี้เรียกได้ว่าไม่เคยหลับใหล คนเก่าไป คนใหม่มา เหล่าคุณชาย คุณหญิงจากตระกูลต่างๆก็มาเลือกซื้อทาสด้วยตนเอง
จ้าวเซินฝูกวาดตามองที่แห่งนี้อย่างตื่นตา ในช่วงเวลาเดียวกันของชาติที่แล้ว จ้าวเซินฝูไม่เคยมาเหยียบที่แห่งนี้เลย
"อยากเลือกเองหรือให้ข้าเลือกให้"
หวังซิ่นเจียเอ่ยถามจ้าวเซินฝูที่เดินตามมาไม่พูดไม่จา เมื่อได้รับคำถามจากหวังซิ่นเจียแล้ว ก็กวาดตามองรอบข้างเล็กน้อย ก่อนจะตอบหวังซิ่นเจีย
"ข้าอยากเลือกเองขอรับ"
หวังซิ่นเจียพยักหน้า ก่อนจะเดินนำไปเรื่อยๆอย่างไม่มีจุดหมาย หากจ้าวเซินฝูพอใจคนไหนก็ค่อยเลือกคนนั้น หรือหากยังไม่ถูกใจ ค่อยเข้าไปเลือกบ่าวดีๆสักคนจากหอค้าทาสก็ได้
"คุณชายขอรับ เด็กคนนี้เพียงแค่ห้าเหรียญทองเท่านั้นขอรับ"
"คุณชายเจ้าคะ ได้โปรดรับข้าไปด้วยเถอะเจ้าค่ะ"
"คุณชายเจ้าคะ เลือกดูบุตรของข้าก่อนได้นะเจ้าคะ คนละสี่เหรียญทองเท่านั้นเจ้าค่ะ"
"คุณชายขอรับ..."
"คุณชายเจ้าคะ"
"คุณชาย..."
"คุณชาย..."
ตลาดค้าทาสนั้น ไม่ว่าจะเป็นชาติไหนก็ยังทำให้จ้าวเซินฝูรู้สึกหดหู่ได้เช่นเดิม
ไม่เพียงแค่เหล่าชาวบ้านยากจนที่มาขายตัวเป็นทาสเท่านั้น แต่บ้านไหนที่ยากจนแต่มีบุตรมาก ก็เอาบุตรที่พอรู้ความแล้วมาเร่ขายเป็นผักปลา
จ้าวเซินฝูได้แต่มองบรรยากาศรอบข้างอย่างอดสู
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น แต่จ้าวเซินฝูก็ไม่ได้คิดจะหยิบยื่นความช่วยเหลือให้คนเหล่านั้นไปเพราะความสงสารแต่อย่างใด
ไม่ว่าใครก็ต้องมองหาสิ่งที่ตนเองได้ประโยชน์ร่วมด้วยเท่านั้น
จ้าวเซินฝูยังไม่ถูกตาต้องใจกับคนที่มาขายตัวเป็นทาสคนไหนเลย กระทั่งเดินมาจวนเกือบท้ายตรอก
เด็กสองคนสภาพมอมแมมไม่น้อยยืนจับมือกันอยู่ตรงมุมอับ จ้าวเซินฝูหยุดยืนมองเด็กน้อยทั้งคู่อยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวกับหวังซิ่นเจียว่าต้องการเด็กทั้งสองคนนั้นไปเป็นบ่าว
หวังซิ่นเจียหันกลับมามองเล็กน้อย แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร หนึ่งในนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาสบตากับจ้าวเซินฝูเสียก่อน
เด็กคนที่เงยหน้าขึ้นมาส่งรอยยิ้มสดใสมาให้จ้าวเซินฝู แม้ว่าจะอยู่ในตรอกโสมมนี่ก็ตาม
จ้าวเซินฝูไม่รอฟังคำตอบของหวังซิ่นเจีย เดินตรงเข้าไปหาเด็กทั้งคู่ทันที
"คารวะคุณชาย..."
เด็กคนที่ส่งยิ้มให้เมื่อครู่ปล่อยมือจากอีกคนและค้อมตัวทำความเคารพ
สิ่งนี้ไม่ได้มีผู้ใดสั่งสอนมา เพียงแต่จดจำจากผู้ค้าที่อยู่ในหอค้าทาสต่างๆทำเท่านั้น
"คะ คารวะคุณชาย..."
หลังจากที่เด็กคนแรกปล่อยมือแล้ว เด็กอีกคนที่ยืนข้างกันก็เงยหน้าขึ้นมาทำหน้าตาตื่น ก่อนจะเลียนแบบคนที่อยู่ข้างกัน
"ข้าน้อยเสี่ยวเมิ่ง ด้านข้างเป็นน้องชายของข้าเสี่ยวเล่อ"
จ้าวเซินฝูฉายแววตาเอ็นดูเด็กทั้งสองคน ก่อนจะเอ่ยถามสิ่งที่อยากรู้
"หากจะพาเจ้าไปด้วย ข้าต้องจ่ายเท่าไหร่หรือ"
"เรียนคุณชาย พวกข้าจะไปด้วยกันขอรับ..."
หลายครั้งที่เด็กชายที่ร่าเริงอย่างเสี่ยวเมิ่งพูดว่าจะไปด้วยกันสองคน หลายคนก็พากันเบือนหน้าหนี หากเป็นแค่ตัวเสี่ยวเมิ่งนั้นไม่ใช่เรื่องลำบากอะไร
แต่เสี่ยวเล่อที่ยืนอยู่ข้างกันนั้นดูขี้กลัวและไม่เป็นงาน เกรงว่าจะรับไปเป็นภาระเปล่าๆ
หากคุณชายตรงหน้าไม่สนใจจะพาเสี่ยวเล่อไปด้วย เสี่ยวเมิ่งก็จะไม่บอกราคาของตนเอง
"ข้าเข้าใจแล้ว"
ทันทีที่จ้าวเซินฝูกล่าวเช่นนั้น เสี่ยวเล่อก็เงยหน้าขึ้นมาอย่างมีความหวัง เสี่ยวเล่อนั้นรู้ดีว่าตนเองเป็นภาระของพี่ชายมากเพียงใด
หากเป็นแค่เสี่ยวเมิ่งคนเดียวนั้น ย่อมได้ไปอยู่กับเจ้านายดีๆสักคนแล้ว ติดก็แต่กับเสี่ยวเล่อที่คอยฉุดรั้งพี่ชายตัวเองเอาไว้
แต่ถึงแม้ว่าจ้าวเซินฝูจะเอ่ยออกไปแบบนั้น แต่พ่อบ้านหยางก็รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย เล็งเห็นว่าเสี่ยวเล่อคงต้องสั่งสอนกันอีกมาก
ต่างกับหวังซิ่นเจียที่ดูพออกพอใจกับการเลือกบ่าวของจ้าวเซินฝูเหลือเกิน
"ข้าสองคน.. แปดเหรียญทองขอรับ..."
ถึงอย่างนั้นเสี่ยวเมิ่งก็ยังเอ่ยออกมาไม่เต็มคำนัก สำหรับบ่าวที่ไม่ได้มีนายหน้าราคานับว่าสูงอยู่เล็กน้อย
"ตกลง แปดเหรียญทอง... พ่อบ้านหยาง"
เมื่อตกลงกันได้อย่างรวดเร็วจ้าวเซินฝูจึงมอบหมายเรื่องนีให้พ่อบ้านหยางจัดการต่อ เสี่ยวเมิ่งและเสี่ยวเล่อจับมือกันแน่นด้วยความดีใจ
แม้ว่าจะยืนอยู่ตรงนี้นับเดือน ผู้คนที่มาสนใจต่างก็ต้องส่ายหน้าหนีเพราะพวกเขาต้องการที่จะไปด้วยกัน
แต่คุณชายน้อยคนนี้ยอมซื้อทั้งคู่
เสี่ยวเมิ่งและเสี่ยวเล่อหันหน้ามองกันด้วยความดีใจ ก่อนที่ทั้งคู่จะพากันก้มหัวขอบคุณด้วยความยินดี
"เอาเถอะ รีบตามพ่อบ้านหยางไปเถอะ"
"ขอรับคุณชาย"
ทั้งสองคนรีบตามพ่อบ้านหยางไปยังโต๊ะตีทะเบียนบ่าวของทางการ เพื่อเข้าบัญชีเป็นบ่าวของจ้าวเซินฝู
"ถือว่าตามีแววไม่น้อย"
หวังซิ่นเจียเอ่ยชม จ้าวเซินฝูเพียงแค่ยิ้มรับเท่านั้น
อย่างไรก็ตามจ้าวเซินฝูหมายมั่นว่าในภายภาคหน้า ทั้งสองคนจะต้องมีประโยชน์สำหรับตนเองอย่างแน่นอน
วันนี้ตระกูลจ้าวยังเงียบสงัดเช่นเดิมเมื่อตะวันลับขอบฟ้า ความมืดคืบคลานจนกระทั่งเต็มแผ่นฟ้า จวนตระกูลจ้าวจุดไฟสว่างไสวแต่กับไร้ผู้คนเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงเย็น จ้าวจวิ้นซานขุ่นเคืองเสียจนไม่รับสำรับพร้อมกับติงมี่เซียน กระทั่งบุตรชายของนางเองก็ยังมีข้ออ้างเพื่อที่จะอยู่ให้ไกลจากนางจ้าวจวิ้นซานไปนอนที่เรือนของฮูหยินรองตามที่เจ้าตัวว่าเอาไว้ ส่วนฮูหยินเอกอย่างติงมี่เซียนในตอนนี้ ก็ต้องกลับมานอนที่เรือนใหญ่คนเดียว เพราะเรือนรับรองนั้นยังไม่ได้ซ่อมแซมแม้ว่าในช่วงเย็นจะมีบ่าวใจกล้าสามสี่คนมาจัดการเรื่องต่างๆให้ติงมี่เซียน แต่เมื่อท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีก็รีบกลับเรือนบ่าวไปโดยไม่ลาเท่ากับว่าในตอนนี้ติงมี่เซียนอยู่ที่เรือนใหญ่นี่เพียงคนเดียวติงมี่เซียนอยู่ในชุดผ้าสีขาวพร้อมนอน แต่สายตาของนางกวาดมองไปรอบห้องอย่างหวาดระแวงสายตาของนางจ้องเขม็งไปยังราวไม้ว่างเปล่า เดิมทีมันเป็นราวไม้สำหรับแขวนเสื้อคลุมประจำตำแหน่งฮูหยินเอกที่ถูกเผาทำลายไปตอนนี้มันเป็นเพียงราวไม้ว่างเปล่า แต่กลับดูน่าหวาดกลัวเสียเหลือเกินหากยังเป็นเช่นนี้ ราตรีนี้นางคงไม่อาจข่มตาหลับได้...ติงมี่เซียนรีบคิดหาทางรอดอย่
หลังจากที่ลงทะเบียนบ่าวกับทางการแล้ว จ้าวเซินฝูก็พาบ่าวทั้งคู่ไปเลือกซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูปง่ายๆคนละห้าชุด ก่อนจะพากันกลับจวนเงินค่าตัวบ่าวนั้นมอบให้กับทั้งสองคนอย่างเท่าเทียม และมีสัญญาบ่าวเป็นเวลาห้าปีเนื่องจากทั้งเสี่ยวเล่อและเสี่ยวเมิ่งนั้นไม่มีบิดามารดา หรือผู้ดูแลอะไรเลย เงินที่ทั้งสองคนได้จึงเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องรับใช้จ้าวเซินฝูให้ครบห้าปีเสียก่อนจึงจะไถ่ถอนตัวเองได้ โดยมีพันธะสัญญานายบ่าวที่จัดการโดยทางการเย็นย่ำแล้ว หวังซิ่นเจียและจ้าวเซินฝูจึงได้พากันกลับมาที่จวนตระกูลจ้าวในตอนนี้คนตระกูลจ้าวมีสีหน้าที่เหนื่อยล้าไม่น้อย เพราะทุกอย่างจะต้องเสร็จสิ้นก่อนตะวันตกดิน และทุกอย่างเพิ่งจะเสร็จสิ้นก่อนที่จ้าวซิ่วเทียนจะกลับมาไม่ถึงสองเค่อจ้าวจวิ้นซานเมื่อเห็นว่าหวังซิ่นเจียและจ้าวเซินฝูกลับมาก็รีบเดินเข้ามาหา"หวังไต้ซือ""ทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วหรือประมุขจ้าว""ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วขอรับ""เช่นนั้นหรือ..."จ้าวจวิ้นซานแม้จะพูดแบบนั้น แต่ก็ยังไม่แน่ใจนักว่าสมบัติที่ติงมี่เซียนเก็บเอาไว้นั้น ได้เอาไปคืนที่เรือนจันทร์เสี้ยวจนครบทุกอย่างแล้วหรือยัง"นางกล่าวว่ายังมี
เช้าวันถัดมาหวังซิ่นเจียเดินมาหาจ้าวเซินฝูที่เรือนเล็กพร้อมกับพ่อบ้านหยางในตอนนี้พ่อบ้านหยางเป็นบ่าวส่วนตัวของจ้าวเซินฝูแล้ว เหมือนว่าพ่อบ้านหยางจะดูยิ้มแย้มขึ้น แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเรื่องไหน ระหว่างได้เป็นบ่าวส่วนตัวของจ้าวเซินฝู หรือได้ปลดภาระจากการเป็นพ่อบ้านของตระกูลจ้าว"วันนี้ข้าจะพาไปเลือกบ่าวคนใหม่"จ้าวเซินฝูเพียงพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินตามออกมา แต่ดูเหมือนว่าหวังซิ่นเจียจะไม่ค่อยพึงพอใจนัก และสิ่งที่ทำให้หวังซิ่นเจียดูไม่พึงพอใจคือชุดที่จ้าวเซินฝูสวมใส่"แน่ใจนะว่าจะไปหาบ่าวเพิ่ม ไม่ใช่ไปขายตัวเป็นบ่าว"ตอนนี้ชุดที่จ้าวเซินฝูสวมใส่ราวกับผ้าขี้ริ้วก็ไม่ปาน หากเป็นเช่นนี้เกรงว่าหวังซิ่นเจียคงไม่กล้าเดินใกล้แม้ว่าชุดของหวังซิ่นเจียจะดูเก่า แต่มันก็มีราคา ที่สำคัญมันดูเก่าเพราะต้องระหกระเหินไปนู่นมานี่ต่างหาก หากใส่ชุดดีๆเกรงว่าชุดจะหม่นหมอง"เป็นถึงคุณชายใหญ่ ไม่มีเสื้อผ้าที่ดีกว่านี้หรือ"จ้าวเซินฝูได้แต่ทำหน้าแหยๆออกมาตั้งแต่เติบโตมาเสื้อผ้าที่จะมีใส่ก็มีเพียงชุดของบ่าวไพร่ที่เอามาทิ้งเท่านั้น อีกทั้งสองตัวนี้ยังใส่มานานแล้วด้วย"เป็นข้าที่สะเพร่าเอง พวกท่านโปรดรอสักครู่ ข้
หวังซิ่นเจียถ่ายทอดเรื่องที่อดีตฮูหยินอย่างเมิ่งหรูซีต้องการออกมาเป็นข้อๆอย่างแรกที่นางต้องการย่อมไม่พ้นตำแหน่งคุณชายใหญ่ตระกูลจ้าวที่ควรเป็นของจ้าวเซินฝูบุตรของนางตั้งแต่แรก ที่ผ่านมาเป็นติงมี่เซียนต้องการตำแหน่งนั้นให้กับบุตรชายของตนเอง และจ้าวจวิ้นซานไม่ได้โต้แย้งอะไรหวังซิ่นเจียกล่าวว่า นางคิดว่าจ้าวซินเหอหลงระเริงกับตำแหน่งนั้นมานานเกินพอแล้ว จ้าวซินเหอควรรู้ฐานะของตนแม้ว่าเมื่อพูดเรื่องแรกขึ้นมาแล้ว ลูกหนี้ความแค้นของจ้าวเซินฝูจะทำหน้าเหมือนไม่อยากจะยอมรับมากเพียงใด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ในประการแรกที่เมิ่งหรูซีร้องขอมา จ้าวจวิ้นซานจึงตอบตกลงติงมี่เซียนมีสีหน้าที่ไม่น่าดูนัก อย่างไรการที่ลดตำแหน่งของจ้าวซินเหอนั้น นางมีแต่เสียกับเสีย ไม่ว่าจะเป็นตัวจ้าวซินเหอเองที่ต้องทนอยู่กับฐานะที่เป็นรอง อีกทั้งคนภายนอกอาจจะมองว่าที่ผ่านมา เป็นจ้าวซินเหอที่ใฝ่สูง อยากเป็นคุณชายใหญ่ก็ได้แล้วไหนจะตัวนางที่เป็นฮูหยินอยู่ในตอนนี้...สายตาเหยียดหยามจากคนอื่นคงทิ่มแทงจนนางแทบจะเป็นรูแต่เมื่อจ้าวจวิ้นซานนั้นรับปากไปแล้ว นางย่อมทำอะไรไม่ได้"สมบัติของอดีตฮูหยิน... โปรดมอบคืนให้กับคุณชายใหญ่ด้วย"แ
"เจ้าว่าอย่างไรนะ""คะ คุณชายผู้นี้ กล่าวว่าเห็นวิญญาณขอรับ"จ้าวจวิ้นซานแทบจะสั่งโบยบ่าวตรงหน้าให้ตายเสีย ในยามนี้มีผู้ใดบ้างที่ไม่รู้ว่าจวนตระกูลจ้าวกำลังประสบปัญหาอะไร เชิญคนแปลกหน้าเข้ามาในจวนสุ่มสี่สุ่มห้า ครั้งนี้ก็คงจะเป็นพวกต้มตุ๋นเหมือนคนก่อนๆ"ขออภัยด้วยคุณชาย เกรงว่าตอนนี้ที่จวนไม่เหมาะจะรับแขก"เพราะเพิ่งผ่านเหตุการณ์ระทึกขวัญมา ในตอนนี้จวนตระกูลจ้าวจึงมีปัญหามากมายรอการแก้ไข อีกทั้งเรื่องเรือนรับรองที่ถูกไฟไหม้ไปเมื่อคืน ยังไม่สามารถหาช่างมาซ่อมแซมได้ด้วยเรื่องข่าวลือที่ว่าจวนตระกูลจ้าวมีวัญญาณร้ายสิงสู่ ทำให้ไม่มีใครอยากรับงาน ไม่ว่าจ้าวจวิ้นซานจะเสนอราคาที่สูงแค่ไหนก็ตาม"เอาเถอะ หากนายท่านจ้าวกล่าวเช่นนั้น ข้าก็ไม่บังคับ"จ้าวจวิ้นซานยกมือนวดขมับเบาๆ ข้างๆมีติงมี่เซียนนั่งทำท่าขบคิดอยู่ไม่ห่างกาย"แต่ข้าขอเตือนไว้อย่าง..."เมื่อชายแปลกหน้าผู้นั้นพูดขึ้นมา จ้าวจวิ้นซาน ติงมี่เซียน หรือคนที่อยู่แถวนั้นต่างก็หยุดฟัง พวกเขาแทบไม่กล้าหายใจดังด้วยซ้ำ เพราะกลัวว่าจะพลาดใจความสำคัญไป"ครั้งหน้า... นางคงไม่ยอมจบแค่เสื้อคลุมประจำตำแหน่ง และเรือนรับรองแน่ ที่นางกล่าวมีเพียงเท่าน
ช่วงเวลาที่ไม่น่าอภิรมย์มากที่สุดของตระกูลจ้าว คือเมื่อยามที่ตะวันลับขอบฟ้า...ช่วงเวลาที่แสนน่าหวาดหวั่นของคนที่อยู่ในจวนตระกูลจ้าวทั้งเจ้านายและบ่าวไพร่มารวมตัวกันอยู่ที่เดียว เรือนรับรองถูกใช้เป็นที่ซุกหัวนอนในยามค่ำคืนของคนในตระกูลนี้แต่ถึงอย่างนั้น ทุกๆคืนก็ยังได้ยินเสียงลมหวีดหวิวอยู่ด้านนอก เรือนรับรองนั้นแม้ในยามที่ทุกคนรวมตัวกันอยู่ ด้านนอกก็ยังมีเสียงฝีเท้าที่เดินรอบเรือนครั้งหนึ่งเคยให้บ่าวพากันออกไปดูว่าใครเป็นคนเดิน แต่เมื่อออกไปดูก็พบเพียงความว่างเปล่า สายลมกรรโชกแรง พัดพายอดไม้สูงเอนไหวตามลมเป็นภาพที่น่าขนลุกหลังจากนั้นแม้จะมีเสียงเดินรอบเรือนรับรอง หรือเสียงขูดเล็บกับบานหน้าต่าง กระทั่งเสียงเดินบนหลังคาเรือนรับรองก็ไม่มีใครกล้าออกไปดูแต่คืนนี้ จะเป็นคืนสุดท้ายแล้ว การกลั่นแกล้งทั้งหมดจะจบลงในคืนนี้ดังนั้นจ้าวซิ่วเทียนจึงคาดหวังให้มันเป็นคืนที่จะฝังอยู่ในใจของผู้พบเจอไปจนตาย..."จงอยู่กับความหวาดกลัวไปชั่วชีวิตเสียเถอะ"เสียงแผ่วเบาพัดหายไปกับสายลมแรง จ้าวเซินฝูคับแค้นเสียจนต้องเอ่ยปากกับตัวเอง เกรงว่าหากไม่ได้ระบายออกมาเสียหน่อยคงจะอกแตกตายเรื่องที่ว่าจะให้ยกโทษ