ช่วงเวลาที่ไม่น่าอภิรมย์มากที่สุดของตระกูลจ้าว คือเมื่อยามที่ตะวันลับขอบฟ้า...
ช่วงเวลาที่แสนน่าหวาดหวั่นของคนที่อยู่ในจวนตระกูลจ้าว
ทั้งเจ้านายและบ่าวไพร่มารวมตัวกันอยู่ที่เดียว เรือนรับรองถูกใช้เป็นที่ซุกหัวนอนในยามค่ำคืนของคนในตระกูลนี้
แต่ถึงอย่างนั้น ทุกๆคืนก็ยังได้ยินเสียงลมหวีดหวิวอยู่ด้านนอก เรือนรับรองนั้นแม้ในยามที่ทุกคนรวมตัวกันอยู่ ด้านนอกก็ยังมีเสียงฝีเท้าที่เดินรอบเรือน
ครั้งหนึ่งเคยให้บ่าวพากันออกไปดูว่าใครเป็นคนเดิน แต่เมื่อออกไปดูก็พบเพียงความว่างเปล่า สายลมกรรโชกแรง พัดพายอดไม้สูงเอนไหวตามลมเป็นภาพที่น่าขนลุก
หลังจากนั้นแม้จะมีเสียงเดินรอบเรือนรับรอง หรือเสียงขูดเล็บกับบานหน้าต่าง กระทั่งเสียงเดินบนหลังคาเรือนรับรองก็ไม่มีใครกล้าออกไปดู
แต่คืนนี้ จะเป็นคืนสุดท้ายแล้ว การกลั่นแกล้งทั้งหมดจะจบลงในคืนนี้
ดังนั้นจ้าวซิ่วเทียนจึงคาดหวังให้มันเป็นคืนที่จะฝังอยู่ในใจของผู้พบเจอไปจนตาย...
"จงอยู่กับความหวาดกลัวไปชั่วชีวิตเสียเถอะ"
เสียงแผ่วเบาพัดหายไปกับสายลมแรง จ้าวเซินฝูคับแค้นเสียจนต้องเอ่ยปากกับตัวเอง เกรงว่าหากไม่ได้ระบายออกมาเสียหน่อยคงจะอกแตกตาย
เรื่องที่ว่าจะให้ยกโทษ หรือให้อภัยนั้น ไม่เคยมีอยู่ในหัวของจ้าวเซินฝูแม้แต่น้อย แม้ว่ามันจะเป็นการใช้ชีวิตที่ยากลำบากเพียงใดก็ตาม
ชีวิตน่ะ มันต้องมีอุปสรรค ถึงจะมีสีสัน
โชคดีที่คนตระกูลจ้าวนั้น ไม่ว่าชาติก่อน หรือชาตินี้ก็ยังเหมือนเดิม เช่นนั้นจะได้ไม่รู้สึกผิดที่ต้องลงมือแก้แค้น
ต้องขอบคุณความชั่วช้าที่เสมอต้นเสมอปลายของคนตระกูลนี้จริงๆ
จุดหมายแรกของคืนนี้คือเรือนของประมุขตระกูล หรือเรือนของจ้าวจวิ้นซาน
ที่เรือนของจ้าวจวิ้นซานมีบางสิ่งบางอย่างเพื่อประกอบฉากละครปาหี่ของจ้าวเซินฝู
จ้าวจวิ้นซานและติงมี่เซียนเรีกได้ว่าอาศัยนอนในเรือนเดียวกัน ต่างจากตอนที่เมิ่งหรูซีเป็นฮูหยิน จ้าวจวิ้นซานให้จัดเรือนแยกของเมิ่งหรูซีออกมา
ดูเหมือนว่าจ้าวจวิ้นซานจะรักใคร่ฮูหยินคนนี้ไม่น้อย ต่างจากมารดาของจ้าวเซินฝูที่ไม่เคยได้รับความรักจากจ้าวจวิ้นซาน
นอกจากสายตารังเกียจ เหยียดหยามแล้ว ดูเหมือนว่าเมิ่งหรูซีจะไม่ได้รับความรู้สึกอะไรอีก
จ้าวเซินฝูเดินทอดน่องจากเรือนเล็กท้ายจวนไปยังเรือนของจ้าวจวิ้นซานอย่างสบายใจ ในเวลานี้ไม่มีใครกล้าออกมาเดินเตร็ดเตร่อยู่ด้านนอก
กระทั่งเวรยามยังไม่มีการจัดวางเพื่อป้องกันเหตุร้ายใดๆ
บ่าวไพร่เองก็หวาดกลัวไม่แพ้กัน ดังนั้นไม่ว่าจ้าวจวิ้นซานจะเสนอค่าตอบแทนมากมายแค่ไหน ก็ไม่มีใครกล้าเสี่ยง
ในเวลานี้เหมือนทั้งจวนตระกูลจ้าวเป็นของจ้าวเซินฝู ไม่จำเป็นต้องหลบซ่อน เพราะตอนนี้คนตระกูลจ้าวพากันไปหลบซ่อนแทนแล้ว
เรือนของจ้าวจวิ้นซานอยู่ถัดจากหอบรรพชนมานิดหน่อย เมื่อเห็นความใหญ่โตโอ่อ่าก็รู้ได้ทันทีว่านี่คือเรือนของประมุขตระกูล
จ้าวซิ่วเทียนแค่นหัวเราะ ทั้งที่เรือนของจ้าวจวิ้นซานใหญ่โตปานนี้ ไหนจะเรือนของฮูหยินรอง หรือกระทั่งบุตรคนอื่นๆยังดูดีสมฐานะ
มีเพียงจ้าวเซินฝูที่เป็นคุณชายใหญ่ที่แท้จริงเท่านั้น ที่ได้อยู่อย่างแร้นแค้น
แม้ในใจยังอยากจะรังแกคนในตระกูลจ้าวให้มากกว่านี้ แต่การเล่นยืดเยื้อต่อไปไม่ใช่เรื่องดี อย่างไรแล้วเรื่องการกลั่นแกล้งคงต้องจบในคืนนี้
จ้าวเซินฝูเดินมาจนถึงประตูของเรือนนอน ค่อยๆเปิดมันออกอย่างเบามือ
ภายในตกแต่งด้วยของมีค่า หรูหรา สมฐานะประมุขตระกูล แต่สิ่งของเหล่านั้นไม่ใช่ของที่จ้าวเซินฝูต้องการ
จ้าวเซินฝูกวาดสายตาหาไม่นานก็พบเข้ากับของที่ต้องใช้ในคืนนี้...
เสื้อคลุมสีม่วงเข้มปักลายดอกไม้ขาวนานาชนิด กลางหลังปักคำว่า 'จ้าว' ที่เป็นชื่อตระกูลเอาไว้ด้วยด้ายสีทอง
จ้าวเซินฝูเอื้อมมือไปลูบมันอย่างแผ่วเบา... ครั้งหนึ่งเขาจำได้ว่าเคยสัมผัสกับเสื้อตัวนี้มาก่อนในวัยเยาว์
เพราะก่อนหน้านี้ เสื้อคลุมปักลายหรูหรานี้เป็นของมารดา
เสื้อคลุมประจำตำแหน่งฮูหยินใหญ่ตระกูลจ้าว
และตอนนี้มันถูกเปลี่ยนมือไปยังติงมี่เซียน ยังดีที่นางหวงแหนมันนักหนา ในตอนนี้จึงมีสภาพไม่ต่างจากตอนที่เมิ่งหรูซียังอยู่
เสื้อคลุมตัวนี้ยังคงงดงามเช่นเดิม
จ้าวเซินฝูถอดมันออกจากราวแขวน จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ได้เห็นมันเลือนลางเสียเหลือเกิน
จ้าวเซินฝูมองเห็นจากไกลๆเท่านั้น... ในยามที่จ้าวจวิ้นซานมอบมันให้กับติงมี่เซียนในงานมงคลของทั้งคู่ ยามนั้นจ้าวเซินฝูยังเล็กนัก แม้ไม่เข้าใจว่าสิ่งที่จ้าวจวิ้นซานทำนั้นคืออะไร แต่ก็ไม่พอใจเช่นกัน
กระทั่งโตขึ้นมาจึงได้รู้ความหมายของมัน แม้ชาติก่อนจะไม่สามารถทำอะไรได้ก็ตาม
แต่ไม่ใช่กับชาตินี้...
จ้าวเซินฝูสาบานกับตัวเองแล้วว่าจะไม่ทำตัวโง่เขลาคอยให้คนอื่นจูงจมูก เพียงเพราะต้องการเป็นที่ยอมรับอีกต่อไป
จะยอมหรือก็ช่าง หรือจะไม่ยอมรับก็ช่าง จ้าวเซินฝูไม่คิดจะสนใจอีกต่อไป
จ้าวเซินฝูเลิกคิดอะไรไร้สาระ มองเสื้อคลุมในมือ พลางเอ่ยขอโทษมารดาผู้ล่วงลับในใจ
จ้าวเซินฝูโยนมันลงกับพื้น ก่อนจะควบคุมสายลมให้โอบอุ้มเอามันขึ้นมา ใช้ลมจำนวนหนึ่งวิ่งวนผ่านภายในเสื้อคลุม ให้เหมือนกับมีคนใส่อยู่
เมื่อจัดรูปร่างได้จนเป็นที่น่าพึงพอใจแล้ว จึงดำเนินตามแผนการที่วางไว้
เสื้อคลุมสีม่วงหรูหราลอยช้าๆไปยังเรือนรับรองที่คนในจวนตระกูลจ้าวไปรวมกันอยู่ จ้าวเซินฝูเดินตามมันไปช้าๆ มือข้างหนึ่งยกมากุมกล่องเล็กๆที่อยู่ในอกเสื้อ เพราะนี่ก็เป็นอีกสิ่งจำเป็นสำหรับแผนการคืนนี้เช่นกัน
กระทั่งจ้าวเซินฝูนำชุดคลุมมาถึงเรือนรับรองเรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาดำเนินตามแปนการจริงๆเสียที
จ้าวเซินฝูก้าวขึ้นไปบนทางเดิน ก่อนจะเดินลากขาช้าๆให้คนในเรือนรับรองได้แตกตื่นกันเล่นๆ และก็เป็นอย่างที่คิด
ทันทีที่มีเสียงจากด้านนอก คนที่กองกันอยู่ในเรือนรับรองต่างก็รีบเกาะกลุ่มกันทันที เสียงกุกกักดังออกมาจากในเรือนรับรองที่ปิดประตูอยู่
จ้าวเซินฝูนึกขำไม่น้อย ค่อยๆเดินลากขาไปยังประตูของเรือนรับรองก่อนจะหยุดฝีเท้า
มือเล็กของจ้าวเซินฝูยกขึ้น พร้อมๆกับเสื้อคลุมนั้นที่ทำท่าคล้ายกับจ้าวเซินฝู ตอนนี้เสื้อคลุมตัวนั้นราวกับมีผู้สวมใส่จริงๆเสียแล้ว
จ้าวเซินฝูยืนห่างจากประตูเล็กน้อยเพื่อให้คนในเรือนรับรองได้เห็นเพียงแค่เสื้อคลุมเท่านั้นที่ลอยอยู่
จ้าวเซินฝูบังคับสายลมให้ค่อยๆเลื่อนประตูไม้ออกช้าๆ เพียงทันทีที่ประตูไม้นั้นถูกเลื่อนออกก็มีเสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวดังขึ้นทันที
ทุกคนถอยกรูดออกห่างจากประตู ในขณะที่มันค่อยๆเลื่อนออก เสียงของสายลมด้านนอกฟังดูโหยหวนยิ่งนักในยามนี้
โดยปกติแล้ว สิ่งที่ทุกคนในจวนตระกูลจ้าวนั้นเชื่อว่าเป็นวิญญาณแค้นของอดีตฮูหยินอย่างเมิ่งหรูซีนั้น ทำเพียงแค่ส่งเสียงชวนขนหัวลุกเท่านั้น ไม่มีครั้งใดที่ทำรุนแรงถึงเพียงนี้
และภาพที่เห็นตรงหน้า สายตานับสิบๆคู่เป็นพยานได้ถึงความน่ากลัวครั้งนี้...
เสื้อคลุมฮูหยินตระกูลจ้าวลอยคว้างอยู่หน้าประตู ในขณะที่ประตูค่อยๆเลื่อนเปิดออก ทันทีที่เห็นดังนั้น ฮูหยินรองคนหนึ่งถึงกับเป็นลมหมดสติ
จ้าวจวิ้นซานและติงมี่เซียนนั้น คราวนี้ได้ประจักษ์ชัดแล้วว่า วิญญาณแค้นที่ว่านั้นเป็นอดีตฮูหยินอย่างเมิ่งหรูซีจริงๆ
เสื้อคลุมสีม่วงเข้มค่อยๆลอยเข้ามา เป้าหมายคือจ้าวจวิ้นซานและติงมี่เซียนอย่างไม่ต้องสงสัย
ในยามนี้เหล่าบ่าวที่นั่งล้อมอยู่รีบพากันวิ่งหนีราวกับผึ้งแตกรัง หากเป้าหมายคือจ้าวจวิ้นซานและติงมี่เซียน ดังนั้นก็หลีกทางเสียเถอะ แม้จะเป็นบ่าว แต่ไม่ว่าผู้ใดก็รักตัวกลัวตายกันทั้งนั้น
จ้าวเซินฝูสะบัดมืออีกครั้ง ลมหอบใหญ่พัดเข้าไปในเรือนรับรอง เทียนที่จุดเพื่อสร้างความสว่างดับพรึ่บพร้อมกันทุกเล่ม
เสียงกรีดร้องของคนตระกูลจ้าวดังขึ้นอีกระลอก อีกทั้งยังมีเสียงวิงวอน ก้มหมอบกราบวิงวอนต่อวิญญาณแค้นของอดีตฮูหยิน ขอให้ไว้ชีวิตพวกตนด้วย
เสื้อคลุมสีเข้มนั้นลอยเข้ามาใกล้จนเกือบชิดกับจ้าวจวิ้นซาน ชายแขนเสื้อข้างหนึ่งถูกยกขึ้นมา มันไล้ผ่านใบหน้าของจ้าวจวิ้นซานเพียงเบาๆ
จ้าวเซินฝูใช้จังหวะที่สร้างมุมอับสายตาของจ้าวจวิ้นซาน รีบพุ่งเข้าไปในเรือนรับรองโดยฝ่าเท้าจ้าวเวหา ก่อนจะจุดไม้ขีดไฟแล้วโยนใส่เสื้อคลุมประจำตำแหน่งตัวนั้นแล้วรับพุ่งออกมา
เปลวไฟลุกไหม้บนผ้าเนื้อดีจนกลิ่นคละคลุ้ง คนที่อยู่ในเรือนรับรองนั้น ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่ทันได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น นั่นยิ่งทำให้รู้สึกหวาดกลัวมากขึ้นไปอีก เพราะอยู่ๆไฟก็ลุกไหม้เสื้อคลุม
เสื้อคลุมตัวนั้นไม่ได้ตกลงที่พื้นอย่างควรจะเป็น กลังจากที่ถูกไฟเผา มันกางแขนออกแล้วหมุนสะบัดผ้าไปทั่วเรือนรับรอง
สะเก็ดไฟจากเสื้อคลุมกระเด็นออก โดนผ้าม่าน บานหน้าต่าง พื้นเรือนกระทั่งเกิดไฟลุกไหม้เรือนรับรอง
บ่าวไพร่รีบวิ่งหนีตายออกจากเรือนรับรองโดยไม่หันกลับมามองผู้เป็นนายที่ยังนั่งนิ่งไม่ไหวติงด้วยความหวาดกลัว
ไฟโหมแรงขึ้นกระทั่งเสื้อคลุมตัวนั้นกำลังจะมอดไหม้ไปทั้งหมด ชายแขนเสื้อติดไฟข้างหนึ่งถูกยกขึ้นมาทางจ้าวจวิ้นซาน
จ้าวจวิ้นซานลอบกลืนน้ำลายด้วยความหวาดกลัว คิดจะขยับตัวเพื่อหนีออกจากเรือนรับรองที่ไฟกำลังลุกไหม้
แต่คาดไม่ถึงว่าเสื้อคลุมที่กำลังมอดไหม้นั่นจะพุ่งเข้ามาหาจ้าวจวิ้นซานอย่างไม่ทันตั้งตัว... แม้ว่าเสื้อคลุมตัวนั้นจะมอดไหม้เป็นเถ้าถ่านก่อนจะได้ปะทะกับตัวของจ้าวจวิ้นซาน
แต่ลมร้อนสายหนึ่งก็ปะทะกับหน้าของจ้าวจวิ้นซานจังๆ
จ้าวจวิ้นซานยืนนิ่งไม่กล้าขยับขา กระทั่งติงมี่เซียนเขย่าตัวเรียกสติ จึงได้พากันออกมาจากเรือนรับรองอย่างทุลักทุเล
จ้าวเซินฝูยืนมองผลงานของตัวเองอยู่ที่หลังคาเรือนของจ้าวจวิ้นซาน เปลวไฟที่ค่อยๆลุกไหม้ยังคงไม่เพียงพอที่จะปลดปล่อยให้จ้าวเซินฝูให้พ้นจากบ่วงแค้นของคนตระกูลจ้าว
เพียงเท่านี้ยังไม่พอ...
แม้ว่าสุดท้ายแล้ว เรือนรับรองนั้นจะถูกเปลวไฟลุกไหม้ไปจนสิ้นก็ตาม
ในค่ำคืนนี้ ช่างเป็นคืนที่แสนสาหัสเหลือเกินสำหรับคนในตระกูลจ้าว
ยามที่ท้องฟ้าเป็นสีคราม จวนตระกูลจ้าวกลับสว่างไสวกว่าใคร เปลวเพลิงโหมเผาไหม้เรือนรับรองของจวนจนสว่างไปทั่วบริเวณ โดยที่คนตระกูลจ้าวทำได้เพียงแค่ยืนมองเท่านั้น
เมื่อภาพตรงหน้าไม่มีอันใดให้ใส่ใจแล้ว จ้าวเซินฝูรีบกลับเรือนเล็กของตนทันที
เพราะแผนการเมื่อวันที่ไต้ซือท่านนั้นมาปราบวิญญาณ ทำให้ไม่ว่าใครในตระกูลจ้าวล้วนไม่กล้าเฉียดกายเข้าใกล้เรือนเล็กของจ้าวเซินฝูอีก
กระทั่งโรงครัวยังต้องย้ายไปไว้ใครเรือนรับรองเป็นการชั่วคราว ดังนั้นชีวิตของจ้าวเซินฝูในตอนนี้เรียกได้ว่าสงบสุขมากกว่าที่คิดเอาไว้
แผนการทั้งหมดของจ้าวเซินฝูดำเนินไปตามแผนที่วางเอาไว้ไม่ผิดเพี้ยน แต่แผนของจ้าวเซินฝูนั้จะสำเร็จก็ต่อเมื่อตัวละครอีกตัวที่จ้างวานเอาไว้มาถึงในรุ่งเช้า
ค่ำคืนที่แสนวุ่นวายของตระกูลจ้าวยังดำเนินต่อไป ในขณะที่ตัวต้นเรื่องอย่างจ้าวเซินฝูนอนหลับอย่างเป็นสุขอยู่ที่เรือนเล็กของตนเอง
รอคอยวันพรุ่งนี้อย่างใจจดใจจ่อ...
บ่าวไพร่ตระกูลจ้าววุ่นวายตั้งแต่มืดยันสว่าง รุ่งอรุณนั้นไม่สดใสอย่างที่เป็นมาหลายวัน บ่าวชายผู้หนึ่งยืนปัดกวาดใบไม้อยู่หน้าจวน
ผู้คนที่เดินผ่านไปมาต่างซุบซิบเกี่ยวกับตระกูลจ้าวเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน บ่าวผู้นั้นก้มหน้าก้มตาปัดกวาดไม่มองผู้ใด กระทั่งรู้สึกได้ถึงผู้มาใหม่ที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก
ชายผู้นั้นสวมใส่ชุดกลางเก่ากลางใหม่ ห้อยสร้อยประคำ ในมือมีไม้เท้าหน้าตาประหลาด ใบหน้าออกจะยิ้มแย้ม ผมยาวถึงกลางหลัง
"ที่นี่...จวนตระกูลจ้าวสินะ"
บ่าวผู้นั้นเงยหน้ามองด้วยความสงสัย ยังไม่ได้พูดอะไรตอบกลับไป ผู้มาใหม่ตรงหน้าก็พูดขึ้นอีกครั้ง
"มีวิญญาณสิงสู่สินะ..."
เมื่อได้ยินดังนั้น บ่าวที่ยืนทำความสะอาดอยู่ก็ทิ้งไม้กวาดเร่งรุดมาคุกเข่าลงตรงหน้าชายผู้นั้นทันที
"คะ คุณชาย ได้โปรด ช่วยพวกเราด้วยเถอะขอรับ"
น้ำเสียงที่ดูหวาดกลัวของบ่าวคนนั้นฟังดูน่าสงสารไม่น้อย ชายผู้มาใหม่ส่ายหน้าเบาๆ บ่าวที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าถึงกับหน้าถอดสี ก้มลงโขกหัวแทบเท้า
"ได้โปรดเถอะขอรับ ตอนนี้ในจวนอยู่กันไม่เป็นสุขเลยขอรับ"
"...แล้วนายเจ้าจะยอมหรือ เราเป็นใครก็ไม่รู้"
"ชะ เช่นนั้น ไปพบนายท่านดีหรือไม่ขอรับ ได้โปรดเถอะขอรับ"
ดูท่าว่าเจ้าเด็กนั่นจะเล่นงานหนักเลยสินะ...
"อย่างนั้นก็ได้ แต่เรายังไม่รับปากนะ"
"ขอบพระคุณมากขอรับ เชิญทางนี้ขอรับคุณชาย"
บ่าวคนนั้นผายมือ ก่อนจะเดินนำชายแปลกหน้าเข้าไปในจวน
ชายผู้มาใหม่ยืนมองประตูจวนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินตามบ่าวคนนั้นเข้าไปในจวน
วันนี้ตระกูลจ้าวยังเงียบสงัดเช่นเดิมเมื่อตะวันลับขอบฟ้า ความมืดคืบคลานจนกระทั่งเต็มแผ่นฟ้า จวนตระกูลจ้าวจุดไฟสว่างไสวแต่กับไร้ผู้คนเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงเย็น จ้าวจวิ้นซานขุ่นเคืองเสียจนไม่รับสำรับพร้อมกับติงมี่เซียน กระทั่งบุตรชายของนางเองก็ยังมีข้ออ้างเพื่อที่จะอยู่ให้ไกลจากนางจ้าวจวิ้นซานไปนอนที่เรือนของฮูหยินรองตามที่เจ้าตัวว่าเอาไว้ ส่วนฮูหยินเอกอย่างติงมี่เซียนในตอนนี้ ก็ต้องกลับมานอนที่เรือนใหญ่คนเดียว เพราะเรือนรับรองนั้นยังไม่ได้ซ่อมแซมแม้ว่าในช่วงเย็นจะมีบ่าวใจกล้าสามสี่คนมาจัดการเรื่องต่างๆให้ติงมี่เซียน แต่เมื่อท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีก็รีบกลับเรือนบ่าวไปโดยไม่ลาเท่ากับว่าในตอนนี้ติงมี่เซียนอยู่ที่เรือนใหญ่นี่เพียงคนเดียวติงมี่เซียนอยู่ในชุดผ้าสีขาวพร้อมนอน แต่สายตาของนางกวาดมองไปรอบห้องอย่างหวาดระแวงสายตาของนางจ้องเขม็งไปยังราวไม้ว่างเปล่า เดิมทีมันเป็นราวไม้สำหรับแขวนเสื้อคลุมประจำตำแหน่งฮูหยินเอกที่ถูกเผาทำลายไปตอนนี้มันเป็นเพียงราวไม้ว่างเปล่า แต่กลับดูน่าหวาดกลัวเสียเหลือเกินหากยังเป็นเช่นนี้ ราตรีนี้นางคงไม่อาจข่มตาหลับได้...ติงมี่เซียนรีบคิดหาทางรอดอย่
หลังจากที่ลงทะเบียนบ่าวกับทางการแล้ว จ้าวเซินฝูก็พาบ่าวทั้งคู่ไปเลือกซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูปง่ายๆคนละห้าชุด ก่อนจะพากันกลับจวนเงินค่าตัวบ่าวนั้นมอบให้กับทั้งสองคนอย่างเท่าเทียม และมีสัญญาบ่าวเป็นเวลาห้าปีเนื่องจากทั้งเสี่ยวเล่อและเสี่ยวเมิ่งนั้นไม่มีบิดามารดา หรือผู้ดูแลอะไรเลย เงินที่ทั้งสองคนได้จึงเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องรับใช้จ้าวเซินฝูให้ครบห้าปีเสียก่อนจึงจะไถ่ถอนตัวเองได้ โดยมีพันธะสัญญานายบ่าวที่จัดการโดยทางการเย็นย่ำแล้ว หวังซิ่นเจียและจ้าวเซินฝูจึงได้พากันกลับมาที่จวนตระกูลจ้าวในตอนนี้คนตระกูลจ้าวมีสีหน้าที่เหนื่อยล้าไม่น้อย เพราะทุกอย่างจะต้องเสร็จสิ้นก่อนตะวันตกดิน และทุกอย่างเพิ่งจะเสร็จสิ้นก่อนที่จ้าวซิ่วเทียนจะกลับมาไม่ถึงสองเค่อจ้าวจวิ้นซานเมื่อเห็นว่าหวังซิ่นเจียและจ้าวเซินฝูกลับมาก็รีบเดินเข้ามาหา"หวังไต้ซือ""ทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วหรือประมุขจ้าว""ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วขอรับ""เช่นนั้นหรือ..."จ้าวจวิ้นซานแม้จะพูดแบบนั้น แต่ก็ยังไม่แน่ใจนักว่าสมบัติที่ติงมี่เซียนเก็บเอาไว้นั้น ได้เอาไปคืนที่เรือนจันทร์เสี้ยวจนครบทุกอย่างแล้วหรือยัง"นางกล่าวว่ายังมี
เช้าวันถัดมาหวังซิ่นเจียเดินมาหาจ้าวเซินฝูที่เรือนเล็กพร้อมกับพ่อบ้านหยางในตอนนี้พ่อบ้านหยางเป็นบ่าวส่วนตัวของจ้าวเซินฝูแล้ว เหมือนว่าพ่อบ้านหยางจะดูยิ้มแย้มขึ้น แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเรื่องไหน ระหว่างได้เป็นบ่าวส่วนตัวของจ้าวเซินฝู หรือได้ปลดภาระจากการเป็นพ่อบ้านของตระกูลจ้าว"วันนี้ข้าจะพาไปเลือกบ่าวคนใหม่"จ้าวเซินฝูเพียงพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินตามออกมา แต่ดูเหมือนว่าหวังซิ่นเจียจะไม่ค่อยพึงพอใจนัก และสิ่งที่ทำให้หวังซิ่นเจียดูไม่พึงพอใจคือชุดที่จ้าวเซินฝูสวมใส่"แน่ใจนะว่าจะไปหาบ่าวเพิ่ม ไม่ใช่ไปขายตัวเป็นบ่าว"ตอนนี้ชุดที่จ้าวเซินฝูสวมใส่ราวกับผ้าขี้ริ้วก็ไม่ปาน หากเป็นเช่นนี้เกรงว่าหวังซิ่นเจียคงไม่กล้าเดินใกล้แม้ว่าชุดของหวังซิ่นเจียจะดูเก่า แต่มันก็มีราคา ที่สำคัญมันดูเก่าเพราะต้องระหกระเหินไปนู่นมานี่ต่างหาก หากใส่ชุดดีๆเกรงว่าชุดจะหม่นหมอง"เป็นถึงคุณชายใหญ่ ไม่มีเสื้อผ้าที่ดีกว่านี้หรือ"จ้าวเซินฝูได้แต่ทำหน้าแหยๆออกมาตั้งแต่เติบโตมาเสื้อผ้าที่จะมีใส่ก็มีเพียงชุดของบ่าวไพร่ที่เอามาทิ้งเท่านั้น อีกทั้งสองตัวนี้ยังใส่มานานแล้วด้วย"เป็นข้าที่สะเพร่าเอง พวกท่านโปรดรอสักครู่ ข้
หวังซิ่นเจียถ่ายทอดเรื่องที่อดีตฮูหยินอย่างเมิ่งหรูซีต้องการออกมาเป็นข้อๆอย่างแรกที่นางต้องการย่อมไม่พ้นตำแหน่งคุณชายใหญ่ตระกูลจ้าวที่ควรเป็นของจ้าวเซินฝูบุตรของนางตั้งแต่แรก ที่ผ่านมาเป็นติงมี่เซียนต้องการตำแหน่งนั้นให้กับบุตรชายของตนเอง และจ้าวจวิ้นซานไม่ได้โต้แย้งอะไรหวังซิ่นเจียกล่าวว่า นางคิดว่าจ้าวซินเหอหลงระเริงกับตำแหน่งนั้นมานานเกินพอแล้ว จ้าวซินเหอควรรู้ฐานะของตนแม้ว่าเมื่อพูดเรื่องแรกขึ้นมาแล้ว ลูกหนี้ความแค้นของจ้าวเซินฝูจะทำหน้าเหมือนไม่อยากจะยอมรับมากเพียงใด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ในประการแรกที่เมิ่งหรูซีร้องขอมา จ้าวจวิ้นซานจึงตอบตกลงติงมี่เซียนมีสีหน้าที่ไม่น่าดูนัก อย่างไรการที่ลดตำแหน่งของจ้าวซินเหอนั้น นางมีแต่เสียกับเสีย ไม่ว่าจะเป็นตัวจ้าวซินเหอเองที่ต้องทนอยู่กับฐานะที่เป็นรอง อีกทั้งคนภายนอกอาจจะมองว่าที่ผ่านมา เป็นจ้าวซินเหอที่ใฝ่สูง อยากเป็นคุณชายใหญ่ก็ได้แล้วไหนจะตัวนางที่เป็นฮูหยินอยู่ในตอนนี้...สายตาเหยียดหยามจากคนอื่นคงทิ่มแทงจนนางแทบจะเป็นรูแต่เมื่อจ้าวจวิ้นซานนั้นรับปากไปแล้ว นางย่อมทำอะไรไม่ได้"สมบัติของอดีตฮูหยิน... โปรดมอบคืนให้กับคุณชายใหญ่ด้วย"แ
"เจ้าว่าอย่างไรนะ""คะ คุณชายผู้นี้ กล่าวว่าเห็นวิญญาณขอรับ"จ้าวจวิ้นซานแทบจะสั่งโบยบ่าวตรงหน้าให้ตายเสีย ในยามนี้มีผู้ใดบ้างที่ไม่รู้ว่าจวนตระกูลจ้าวกำลังประสบปัญหาอะไร เชิญคนแปลกหน้าเข้ามาในจวนสุ่มสี่สุ่มห้า ครั้งนี้ก็คงจะเป็นพวกต้มตุ๋นเหมือนคนก่อนๆ"ขออภัยด้วยคุณชาย เกรงว่าตอนนี้ที่จวนไม่เหมาะจะรับแขก"เพราะเพิ่งผ่านเหตุการณ์ระทึกขวัญมา ในตอนนี้จวนตระกูลจ้าวจึงมีปัญหามากมายรอการแก้ไข อีกทั้งเรื่องเรือนรับรองที่ถูกไฟไหม้ไปเมื่อคืน ยังไม่สามารถหาช่างมาซ่อมแซมได้ด้วยเรื่องข่าวลือที่ว่าจวนตระกูลจ้าวมีวัญญาณร้ายสิงสู่ ทำให้ไม่มีใครอยากรับงาน ไม่ว่าจ้าวจวิ้นซานจะเสนอราคาที่สูงแค่ไหนก็ตาม"เอาเถอะ หากนายท่านจ้าวกล่าวเช่นนั้น ข้าก็ไม่บังคับ"จ้าวจวิ้นซานยกมือนวดขมับเบาๆ ข้างๆมีติงมี่เซียนนั่งทำท่าขบคิดอยู่ไม่ห่างกาย"แต่ข้าขอเตือนไว้อย่าง..."เมื่อชายแปลกหน้าผู้นั้นพูดขึ้นมา จ้าวจวิ้นซาน ติงมี่เซียน หรือคนที่อยู่แถวนั้นต่างก็หยุดฟัง พวกเขาแทบไม่กล้าหายใจดังด้วยซ้ำ เพราะกลัวว่าจะพลาดใจความสำคัญไป"ครั้งหน้า... นางคงไม่ยอมจบแค่เสื้อคลุมประจำตำแหน่ง และเรือนรับรองแน่ ที่นางกล่าวมีเพียงเท่าน
ช่วงเวลาที่ไม่น่าอภิรมย์มากที่สุดของตระกูลจ้าว คือเมื่อยามที่ตะวันลับขอบฟ้า...ช่วงเวลาที่แสนน่าหวาดหวั่นของคนที่อยู่ในจวนตระกูลจ้าวทั้งเจ้านายและบ่าวไพร่มารวมตัวกันอยู่ที่เดียว เรือนรับรองถูกใช้เป็นที่ซุกหัวนอนในยามค่ำคืนของคนในตระกูลนี้แต่ถึงอย่างนั้น ทุกๆคืนก็ยังได้ยินเสียงลมหวีดหวิวอยู่ด้านนอก เรือนรับรองนั้นแม้ในยามที่ทุกคนรวมตัวกันอยู่ ด้านนอกก็ยังมีเสียงฝีเท้าที่เดินรอบเรือนครั้งหนึ่งเคยให้บ่าวพากันออกไปดูว่าใครเป็นคนเดิน แต่เมื่อออกไปดูก็พบเพียงความว่างเปล่า สายลมกรรโชกแรง พัดพายอดไม้สูงเอนไหวตามลมเป็นภาพที่น่าขนลุกหลังจากนั้นแม้จะมีเสียงเดินรอบเรือนรับรอง หรือเสียงขูดเล็บกับบานหน้าต่าง กระทั่งเสียงเดินบนหลังคาเรือนรับรองก็ไม่มีใครกล้าออกไปดูแต่คืนนี้ จะเป็นคืนสุดท้ายแล้ว การกลั่นแกล้งทั้งหมดจะจบลงในคืนนี้ดังนั้นจ้าวซิ่วเทียนจึงคาดหวังให้มันเป็นคืนที่จะฝังอยู่ในใจของผู้พบเจอไปจนตาย..."จงอยู่กับความหวาดกลัวไปชั่วชีวิตเสียเถอะ"เสียงแผ่วเบาพัดหายไปกับสายลมแรง จ้าวเซินฝูคับแค้นเสียจนต้องเอ่ยปากกับตัวเอง เกรงว่าหากไม่ได้ระบายออกมาเสียหน่อยคงจะอกแตกตายเรื่องที่ว่าจะให้ยกโทษ