“อย่าเดินห่างผมนักสิเบบี๋ หืม” ตฤณบอกพลางเดินไปจูงมือเธอเอาไว้
“หยาไม่แน่ใจว่าควร...” “ควรจ้ะ แฟนผมต้องเดินกับผม ไม่ใช่เดินห่างเป็นวาแบบนี้” พูดจบเขาก็เดินเข้าร้านจิวเวอร์รี่ทันที มาซื้อของขวัญร้านนี้อย่างนั้นหรือ เธอคิด “สวัสดีค่ะท่าน ยินดีต้อนรับค่ะ” พนักงานต้อนรับกล่าวยิ้มๆ“สวัสดีครับ” ตฤณตอบกลับและเดินไปดูตามตู้โชว์ต่างๆ “ไม่ทราบว่าท่านสนใจแบบไหน เป็นแหวน สร้อยคอ หรือต่างหูดีคะ” “ผมชอบแหวนครับ แต่เลือกไม่ถูก เลยให้สุภาพสตรีมาช่วยเลือก พอดีจะให้เป็นของขวัญคนสำคัญครับ” “หยาเลือกแล้วเธอคนนั้นของคุณจะถูกใจเหรอคะ” เธอประชดเล็กๆ “ถูกใจแน่นอนครับ” “แล้วซื้อของขวัญ ทำไมท่านไม่เลือกสร้อยล่ะคะ จะได้ดูกลางๆ ถ้าเป็นแหวนคนรับจะเข้าใจผิดได้ ว่าท่านคิดอยากได้เขาเป็นแฟนอีกแล้ว”“หึๆ คิดมาก งั้นเอาทั้งสองอย่างเลย เลือกให้หน่อยสิครับ” “ชอบกลัวฟ้าฝนก็อีกเรื่อง แต่กลัวคนเหมือนที่ตฤณบอก คนมันทำร้ายกันให้ตายได้ ผีก็แค่มาหลอกให้ช็อก ซึ่งถ้าหากเป็นคนจริงๆ แล้วมันวกกลับมาอีกจะทำอย่างไร เธอคิดด้วยความหวาดหวั่น ก่อนจะลุกจากโต๊ะทำงาน ไปปิดหน้าต่างลงกลอนให้หมดทุกบาน จากนั้นก็วิ่งไปล็อคประตูรั้ว ซึ่งอันนี้ไม่ได้ผลหรอก เพราะปีนรั้วได้ทว่าเพื่อความปลอดภัย แล้วกลับเข้าบ้านล็อคประตูให้เรียบร้อย ปิดผ้าม่านทุกผืนไม่ให้คนมองจากภายนอกแล้วเห็นเวลาประมาณ 2 ทุ่มกว่า ปั้นหยากลับเข้าห้องทันทีแบบไม่โอ้เอ้ พร้อมกับปิดไฟในห้อง เปิดเฉพาะหัวเตียงและอ่านหนังสือฆ่าเวลาเหมือนเคย อ่านข่าวผ่านเฟซบุ๊กค์ ดูหนังฟังเพลงทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองง่วงและหายกลัวสวบสาบ! สวบสาบ! เสียงลมกระโชกแรก พัดพาใบไม้และกิ่งไม้ไหวเบียดกันไปมา เป็นสัญญาณบอกอีกครั้งว่าคืนนี้จะมีฝน เป็นแบบนี้เกือบทุกวันเพราะอยู่ในช่วงมรสุมพายุฤดูร้อน เสียงรั้วเหล็กหน้าบ้านก็โครงเครงดังเป๊งๆ เธอพยายามไม่กลัวเพราะมันแค่ลม แต่แล้วอยู่ๆ ก็มีเสียงรั้วบ้านโยกเยกแรงขึ้น ทำให้เธอลุกไปแอบมองที่หน้าต่าง แต่กลับไม่เห็นอะไรแล้ว“เสียงลม
ส่วนตฤณ กลับมาเคร่งเครียดอีกครั้ง ตามประสาท่านประธานที่ต้องแบกภาระและทรัพย์สินนับหมื่นล้าน มีเงินใช่ว่าจะสุขสบาย แต่กลับเครียดกว่าคนปกติทั่วไป ปั้นหยาเป็นห่วงและแอบเหลือบมองเขาเป็นระยะ“วันนี้ท่านจะเข้าฟิตเนสไหมคะ”“ไม่จ้ะ” ตฤณตอบสั้นๆ เสียงเข้ม“อยากดื่มอะไรเย็นๆ ก่อนกลับไหมคะ”“หมายถึงกาแฟหรือเหล้าครับ”“แหมหยาไม่กล้ามอมท่านหรอกค่ะ”“ตอนนี้ยังจ้ะ โทรเข้าออฟฟิศให้หน่อย วันนี้ไม่เข้าไปแล้ว แต่ตอนถึงบ้านชงอะไรเย็นๆ ให้ผมดื่มหน่อยก็แล้วกัน”“จะซื้อให้ตอนนี้ก็ไม่เอา”“อยากให้หยาทำให้”“ก็ได้ค่ะ” เรียกได้ว่าอะไรที่จะทำให้เขาหายเครียดได้ พอจะทำให้เขารู้สึกดีเธอก็ควรจะทำ ยกเว้นก็เรื่องอย่างว่า หากเขาขอคงไม่มีทาง ทว่าเธอก็คิดไปนั่น ว่าแล้วก็โทรกลับไปยังบริษัท เพื่อให้ประชาสัมพันธ์แจ้งกับทุกคนว่าท่านไม่กลับเข้าออฟฟิศแล้ว ดูงานเสร็จก็ขอกลับบ้านตอนนี้เวลาประมาณสี่โมงเย็นเท่านั้นเอง พอกลับมาถึงปั้นหยาก
“แล้วตกลงเรื่องปรับ”“อยากให้ผมปรับไหมล่ะ”“ตามใจครับ เอาตามความถูกต้อง ผมห่วงก็แต่ลูกค้าของคุณตฤณ”“เลื่อนการส่งมอบให้ลูกค้าออกไปอีก เพิ่มออฟชั่นเสริมไป น่าจะช่วยได้และเพื่อให้งานของเราออกมาสมบูรณ์แบบ”“แล้วแบบนี้คุณซันด์จะรู้ตัวหรือยังนะ”“ไม่รู้เหมือนกัน อาจจะยัง เพราะถ้ารู้แล้วเขาก็ต้องได้รับผลกระทบและคงโทรมาแล้วล่ะ”“ท่านคิดว่า คุณวิทย์มีนอกมีในกับคุณซันด์หรือเปล่า”“ก็อย่างที่เคยคุยกัน มันต้องได้ส่วนต่างเยอะพอสมควร ถึงได้กล้าทำแบบนี้ ดูการเดินบัญชีในชื่อของเขาแล้ว ฟันธงได้เลย”“เฮ้อ! เป็นแบบนี้ทุกวงการ”“แต่ไม่น่าเกิดกับคนใกล้ตัวที่ผมไว้ใจ มันไม่ได้เพิ่งเกิด แต่วิทย์เขาเก็บเล็กผสมน้อย ส่วนรายได้ก้อนใหญ่ก็เห็นจะๆ เมื่อไม่นานมานี้”“ถ้าให้เดา...”“ไม่ต้องเดา มันถูกโอนมาจากบัญชีญาติผม เหมือนจะซื้อตัว”“เหมือนเป็นเงินใต้โ
“อย่าเดินห่างผมนักสิเบบี๋ หืม” ตฤณบอกพลางเดินไปจูงมือเธอเอาไว้“หยาไม่แน่ใจว่าควร...”“ควรจ้ะ แฟนผมต้องเดินกับผม ไม่ใช่เดินห่างเป็นวาแบบนี้” พูดจบเขาก็เดินเข้าร้านจิวเวอร์รี่ทันที มาซื้อของขวัญร้านนี้อย่างนั้นหรือ เธอคิด“สวัสดีค่ะท่าน ยินดีต้อนรับค่ะ” พนักงานต้อนรับกล่าวยิ้มๆ“สวัสดีครับ” ตฤณตอบกลับและเดินไปดูตามตู้โชว์ต่างๆ“ไม่ทราบว่าท่านสนใจแบบไหน เป็นแหวน สร้อยคอ หรือต่างหูดีคะ” “ผมชอบแหวนครับ แต่เลือกไม่ถูก เลยให้สุภาพสตรีมาช่วยเลือก พอดีจะให้เป็นของขวัญคนสำคัญครับ”“หยาเลือกแล้วเธอคนนั้นของคุณจะถูกใจเหรอคะ” เธอประชดเล็กๆ“ถูกใจแน่นอนครับ”“แล้วซื้อของขวัญ ทำไมท่านไม่เลือกสร้อยล่ะคะ จะได้ดูกลางๆ ถ้าเป็นแหวนคนรับจะเข้าใจผิดได้ ว่าท่านคิดอยากได้เขาเป็นแฟนอีกแล้ว”“หึๆ คิดมาก งั้นเอาทั้งสองอย่างเลย เลือกให้หน่อยสิครับ”“ชอบ
“หยาได้ยินเสียงคนเดินรอบบ้าน แล้วเสียงกิ่งไม้ลากไปมา เหมือนจะมีคนเปิดประตูเข้ามา หยาไม่กล้าเปิดผ้าม่านดูว่าใคร กลัวเป็นขโมย”“ดีแล้วที่ไม่เปิด เพราะอาจเป็นขโมย เราอาจได้รับอันตราย และถ้าเป็นขโมยจริงๆ ทีนี้ มันก็รู้แล้วว่าหยาอยู่คนเดียวจริงไหม”“หยากลัวมาก กลัวจนนอนไม่หลับ กลัวว่าจะเป็นผีก็กลัว” ประโยคสุดท้ายน้ำเสียงเธออ่อนลงจนเบากลัวเขาจะหาว่าไร้สาระ เสียงสั่นจนน่าสงสาร เขาจึงถอนใจส่ายหน้าแล้วเอามือลูกศีรษะเธอเบาๆ ก่อนจะกดลงซบที่ไหล่“คนกับผีกลัวอะไรมากกว่ากัน”“ทั้งสองอย่างค่ะ”“หึๆ คนเก่งอย่างเรากลับมากลัวผีเนี่ยนะ”“กลัวผีไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเก่งหรือไม่เก่งนะคะ หยาอยู่คนเดียว”“แล้วสมัยเรียนน่ะ ไม่เคยเจออะไรแบบนี้หรือไง”“ตอนเรียนอยู่หอ มีเพื่อนข้างห้องค่ะจนเรียนจบไม่ได้เหงาเหมือนอยู่บ้านเช่าแบบนี้ ว่าแต่ คุณไม่ได้ส่งคนไป
จากนั้น ปั้นหยาก็เดินออกจากบ้านท่ามกลางพื้นเปียกแฉะ แต่ไม่วายเดินสำรวจรอบๆ ว่ามีอะไรผิดปกติหรือเปล่า ทว่ามีแต่ใบไม้หล่นเต็มพื้นไปหมด ไหนจะกิ่งไม้เล็กใหญ่ หรือว่าเมื่อคืนจะเป็นกิ่งไม้พวกนี้ที่หล่น แล้วลากไปกับพื้นเพราะแรงลมหรือเปล่า เธอคิดด้วยความหวาดกลัว จากนั้นจึงออกจากบ้าน ปิดประตูให้เรียบร้อยแต่แล้วอยู่ๆ ก็มีรถแล่นสวนมาพอดี รถคันนี้เตะตามากเพราะเธอเคยขับมันมาก่อน ว่าแล้วจึงหยุดยืนรอ“คุณกัน” ปั้นหยาเรียกคนขับรถที่เปิดประตูลง แล้วเดินอ้อมมาเปิดให้“เชิญครับ คุณท่านให้มารับ” สิ้นคำของเขา ปั้นหยาก็เดินขึ้นรถแบบไม่โต้เถียงอะไรทั้งสิ้น ส่วนกันระพีก็เดินอ้อมมานั่งที่นั่งคนขับก่อนจะเอ่ย“หน้าซีดนะครับ” กันระพีเหลือบมองเธอเล็กน้อยเท่านั้น แต่เธอกลับเอามือจับหน้าตัวเองเอาไว้“รีบค่ะ เลยไม่ได้แต่งหน้า”“ไม่แต่งก็สวยครับแต่ว่าที่บอกว่าซีดเหมือนคนไม่ได้นอนหรือไม่สบายมากกว่า ค่อนไปทางโทรม”“ค่ะ เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับ ลมแรง