เข้าสู่ระบบบทที่ 10 ไฟในจวน
กลางดึกคืนนั้น หลิงจงมาถึงเรือนของหลี่เหลี่ยงหรง เงาโคมสว่างเพียงริบหรี่เผยให้เห็นร่างของหญิงสาวที่นอนคว่ำหน้า บนหลังเต็มไปด้วยรอยหวายแดงจางและแผลเปิด
“นายหญิงหลับไปแล้วเจ้าค่ะ จะให้ปลุกไหมเจ้าคะ” จางซี่ถามเสียงเบา หลิงจงส่ายหน้า
“ไม่ต้อง ปลุกนางไปก็ทำอะไรไม่ได้”คำพูดที่ไม่ใส่ใจทำให้จางซี่โกรธนายน้อยของตน แต่เมื่อเขายื่นยารักษาให้ สีหน้าโกรธเคืองของจางซี่ก็อ่อนลง
วันถัดมาหน้าตาของหลิงจงดูจะหงุดหงิดเล็กน้อยทำให้บิดาที่นั่งร่วมโต๊ะด้วยต้องเอ่ยถามอย่างรำคาญใจ
“เจ้าจะทำหน้าเช่นนั้นไปถึงเมื่อใดกัน”
“ข้าก็แค่อารมณ์ไม่ดี ท่านพ่อจะสนใจอะไร”
“เจ้าเพิ่งแต่งเมียมีรึจะอารมณ์ไม่ดี”
“ก็เพราะข้าเพิ่งแต่ง แต่กลับทำอะไรไม่ได้ ไม่รู้ใครเอาหวายลงหลังนางจนได้ไข้”
แม้คำพูดจะลอย ๆ แต่กลับทำให้ฮูหยินใหญ่สะดุ้งเล็กกน้อย เพราะนางไม่คิดว่าหลิงจงจะเอ่ยเช่นนี้ต่อหน้าบิดาของตน
“เจ้าดูจะหลงนางไม่ใช่น้อยเลยนะ อย่าลืมนะว่านางเป็นเพียงอนุของเจ้า”
หลิงจงหัวเราะหยัน “คำพูดเช่นนี้ของท่านพ่อข้าจะเชื่อได้หรือ ตอนจวนแทบลุกเป็นไฟเพราะท่านรักภรรยาไม่เท่ากัน ข้ายังจำได้อยู่เลย”
หลิงจงเอ่ยอย่างขำขันเพราะบิดาของเขาเรื่องรักภรรยาไม่เท่ากันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว จนทำให้จวนแทบลุกเป็นไฟ เจ้าปกครองเมืองชะงักไปชั่วครู่ ก่อนเลิกคิ้ว
“ท่านพ่อก็อย่าลืมว่าตอนนี้นางเป็นเพียงอนุคนเดียวของข้า แล้วก็คนเดียวจากทุกตำแหน่งด้วย ข้าอิ่มแล้ว” หลิงจงวางตะเกียบเสียงดังแล้วลุกออกไป
เจ้าปกครองเมืองรู้ดีว่าความโกรธของบุตรชายไม่ได้เกิดเพราะอนุหลี่เพียงอย่างเดียว แต่เพราะเขาเกลียดการกระทำของฮูหยินเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ต่อให้ฮูหยินไม่ทำอะไร หากมีช่องให้เอ่ยถึง หลิงจงก็จะหยิบยกขึ้นมาเสมอ
และฮูหยินของเขาก็ไม่รู้จักฟังคำคน หลิงจงเป็นทายาทคนเดียวของเขาแท้ ๆ ชอบทำให้เขาอารมณ์ไม่ดี เขาหันมามองฮูหยิน
“เจ้าทำร้ายนางเพราะอะไร”
“ข้า..”
“ข้าถามว่าเพราะอะไร เจ้าก็รู้ว่าเรื่องเล็กน้อยในจวนข้าไม่เคยบ่น แต่เจ้าทำให้หลิงจงอารมณ์ไม่ดี หากมีบุตรชายเองไม่ได้ก็จงเลี้ยงบุตรของคนอื่นให้ดี” คำพูดนั้นเย็นเยียบราวมีดกรีด ฮูหยินหน้าถอดสี จบคำพูดนั้นเจ้าปกครองเมืองก็ลุกไป อาหารที่ยังเต็มโต๊ะทำให้รู้ว่านายใหญ่คงไปหากินเอาเรือนอื่นเป็นแน่
แต่แทนที่ฮูหยินจะยอมรามือจากหลี่เหลี่ยงหรงกลับกลายเป็นยิ่งอยากจะหาเรื่องนาง แต่การกระทำเช่นนั้นดูเหมือนจะถูกดักทางจากบุตรชายที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับตนเองมานานแล้ว
“ทำไมนางไม่มาเคารพข้า”
“นายน้อยแจ้งว่าให้ฮูหยินใหญ่ดูแลแต่บรรดาอนุเจ้าปครองเมืองเจ้าค่ะ อย่าไปยุ่งกับเรือนของคุณชาย” ฃมือที่เหี่ยวเพราะอายุกำแน่น
“เจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมนั้น มันคงอยากจะแก้แค้นแทนแม่ของมันถึงได้ปากดีกับข้าเช่นนี้”
“แต่คุณชายเป็นทายาทเพียงคนเดียวของเจ้าปกครองเมืองนะเจ้าคะ”
“แล้วอย่างไรเล่า แค่เพราะเกินเป็นชายจะทำอะไรก็ได้อย่างนั้นหรือไง” ฮูหยินใหญ่จ้องเขม่งไปยังจุดที่หลิงจงเคยนั่งอยู่อย่างไม่พอใจ
ยิ่งเด็กนั่นพูดเช่นนี้นางก็ยิ่งมั่นใจว่าอีกฝ่ายตั้งใจเอาหลี่เหลี่ยงหรงเข้ามาหาเรื่องนางโดยเฉพาะ ถ้าเป็นห่วงจริงคงมาตั้งแต่นางเรียกอนุของตนเองมาแล้ว แต่นี่เหมือนรอให้สาวใช้เฝ้าอยู่ให้อีกฝ่ายบาดเจ็บมากพอ ราวกับใช้หลี่เหลี่ยงหรงเป็นเครื่องมือในการหาเรื่องทำให้เจ้าปกครองเมืองไม่พอใจนาง
“ถ้าเล่นตรงไม่ได้ ก็เล่นทางอ้อมก็แล้วกัน”ในเมื่อเล่นทางตรงไม่ได้นางก็จะเล่นทางอ้อม สตรีผู้นี้ช่างสร้างเรื่องจนน่ารำคาญจริง ๆ
วันถัดมาอาหารที่ส่งมาที่เรือนของหลี่เหลี่ยงหรงก็ผิดปกติ นางรู้ดีว่าคงเป็นเพราะฮูหยินไม่พอใจ แต่แทนที่จะบ่นนางกลับคีบผักกินหน้าตาเฉย เพราะนี่ก็เป็นอาหารพื้น ๆ ที่นางเคยกินกับบิดาไม่ได้แย่จนรับไม่ได้
หลายวันผ่านไป แผลค่อย ๆ สมาน ร่างกายเริ่มดีขึ้นจากอาการบาดเจ็บ คืนนั้น หลิงจงมาที่เรือนอีกครั้ง
“นายน้อยวันนี้จะค้างที่นี่หรือเจ้าคะ” จางซี่ที่เห็นหลิงจงเดินเข้ามาก็เอ่ยต้อนรับอย่างดีขณะที่เจ้าของเรือนจริง ๆ อย่างหลี่เหลี่ยงหรงยังคงนั่งกินข้าวเงียบ ๆ ไม่มองหน้าเขา ไม่เร่งร้อน
“อ้าวยืนรออะไรไปเอาถ้วยมาสิ ข้าจะกินข้าวที่นี่”
จางซี่ทำท่าไม่อยากจะทำตาม หลิงจงเห็นแบบนั้นก็หันไปมองที่โต๊ะที่ก่อนหน้าเขาไม่ได้สนใจ เมื่อเห็นอาหารบนโต๊ะ เขาขมวดคิ้ว
“อาหารอะไรของเจ้ากัน นี่เจ้าสั่งให้ครัวทำอาหารเจหรือ”
หลี่เหลี่ยงหรงยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะวางตะเกียบลง
“ข้าสั่งพวกเขาได้ด้วยหรือ แค่อนุตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง เขาส่งอะไรมาให้ข้าก็กินเท่านั้น”
“นี่เจ้ากินอาหารเช่นนี้มากี่มื้อแล้ว”
“ตั้งแต่วันที่นายหญิงจับไข้เพราะถูกเฆี่ยนนั่นแหละเจ้าค่ะ” จางซี่ที่ยื่นปากมาบอกเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
หลิงจงหันมามองหญิงสาวตรงหน้า สายตาไม่พอใจ
“แล้วไม่มีปากหรืออย่างไรปล่อยให้นังจิ้งจอกนั่นแกล้งอยู่ได้ เจ้าดูไม่ออกหรือว่าข้ากับนางอยู่คนล่ะฝังตอนนี้เจ้าถือว่าเป็นคนของข้า ปล่อยให้นางรังแกก็เหมือนเจ้าทำให้ข้าเสียหน้า”
หลี่เหลี่ยงหรงวางตะเกียบลงช้า ๆ “ข้าจะจำเอาไว้ และวันหลังจะให้จางซี่ไปแจ้งแก่ท่าน แต่ส่วนตัวข้าแล้วเรื่องเท่านี้ไม่ได้มีปัญหาอะไรเลย”
หลิงจงกัดฟัน “เจ้านี่มัน” หลิงจงมองอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจ ก่อนจะหันไปบอกกับจางซี่ให้ไปเอาอย่างอื่นในครัวมาเพราะเขาจะกินข้าวที่นี่ และกำชับให้เรื่องนี้ถึงหูบิดา
บทที่ 13 ลุกเป็นไฟหลี่เหลียงหรงที่แต่งตัวเรียบร้อยดีแล้วเดินตามออกมา ด้านนอกมีสาวใช้บางคนถูกเฆี่ยนอยู่ นางเห็นแล้วก็นึกตกใจกลัวไม่น้อย เพราะไม่เคยเห็นหลิงจงมีอาการเช่นนั้นข่าวการสอบสวนดังไปถึงเรือนหลัก จนเจ้าปกครองเมืองต้องมาดูด้วยตนเองเขารู้ดีว่าบุตรชายตนแม้เอาแต่ใจ แต่ก็ไม่เคยทำเรื่องไร้เหตุผล หากเขาโมโหขนาดนี้ ย่อมต้องมีเรื่องใหญ่ไม่ทันถึงหน้าเรือน บุตรชายของท่านหมอก็นำจดหมายของบิดามาถวายให้เจ้าปกครองเมืองเมื่ออ่านข้อความจนจบ มือที่เหี่ยวย่นถึงกับสั่น “บังอาจนัก! สายเลือดตระกูลข้าก็กล้าลอบสังหารหรือ! ต่อให้เป็นบุตรของสตรีใด หากสืบเชื้อสายมังกรจากตระกูลหลิง ก็ล้วนมีค่าเท่ากัน ไม่ว่าใครเป็นคนทำ ข้าจะไม่ปล่อยให้รอดเด็ดขาด!“หลิงจงสอบสวนอยู่ที่ไหน”“หน้าเรือนของอนุหลี่ขอรับ”“นำข้าไป”เจ้าปกครองเมืองก็ปรากฏตัวขึ้น ท่าทางเดือดดาลไม่แพ้หลิงจงเลยแม้แต่นิดคำพูดยังไม่ทันขาดเสียง ก็มีเสียงตวาดดังลั่นจากหน้าเรือน“ข้าจะไม่พูดอะไรมาก เรื่องเช่นนี้ครั้งก่อนเกิด พวกเจ้าจำไม่ได้รึว่ามีใครต้องตายบ้าง” เจ้าปกครองเมืองมองไปทั่ว ๆ ครั้งก่อนเขาพลาดเพราะคิดไม่ถึงว่าคนที่ทำ ซึ่งหากพูดกันตามตรงเขา
บทที่ 12 ไฟถูกจุดอีกครั้งเช้าวันถัดมา ท่านหมอถูกตามมายังเรือนของอนุหลี่ตั้งแต่นางยังไม่ทันจะแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย และสาเหตุที่เร่งด่วนเช่นนี้ กลับไม่ใช่เพราะคำสั่งของหลิงจง แต่เพราะ จางซี่ สาวใช้คนสนิทของหลี่เหลี่ยงหรง ที่รู้จักกับบุตรชายของท่านหมอเป็นการส่วนตัว นางจึงไปตามตัวมาตั้งแต่เมื่อคืน“เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” จางซี่ถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน ราวกับหญิงสาวป่วยหนักเป็นมารดาหรือน้องสาวของตนเองแม้ทั้งสองจะเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด จางซี่จึงเต็มใจรับใช้อนุหลี่อย่างยิ่ง ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้นางมีโอกาสเลือกนายได้ตั้งหลายครั้งแต่ก็ไม่เคยยอมรับใช้ใคร ด้วยสถานะที่เป็นหลานสาวของแม่นมเก่าในจวน หลายคนยังเกรงใจนางอยู่บ้าง“เจ้านี่ตื่นเต้นเสียยิ่งกว่าใคร”บุตรชายท่านหมอหัวเราะเบา ๆ กล่าวอย่างสนิทสนมเพราะทั้งคู่เติบโตมาด้วยกัน และยิ่งทำให้หลี่เหลี่ยงหรงมั่นใจว่าจางซี่เลือกคนมาถูกจริง เมื่อท่านหมอตรวจชีพจรเสร็จ กลับขมวดคิ้วแล้วเอ่ยขึ้น “แปลกยิ่งนัก…”จางซี่ถึงกับรีบทรุดตัวลงข้างเตียง“แปลกเช่นไรหรือเจ้าคะ”หลี่เหลี่ยงหรงที่นั่งพิงหมอนอยู่ก็เอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่สบายใจ“ชีพจรสับสน
บทที่ 11 เป็นเบี้ยย่อมต้องเดินตามสั่งเท่านั้นหลังจากจางซี่ออกไปหลี่เหลียงหรงก็เอ่ยถามเรื่องของรับขวัญกับหลิงจง หลี่เหลี่ยงหรงที่ลังเลมาหลายวัน นางจะคุยเรื่องนี้หลายต่อหลายครั้งแต่ก็ไม่มีโอกาสสักที“จะว่าไป… วันที่ข้าเข้ามาในจวน มีหีบหนึ่งเต็มไปด้วยเสื้อผ้า เครื่องประดับ และตั๋วเงิน เขียนว่าเป็นของรับขวัญข้า”หลิงจงที่นั่งพิงเสาอยู่เงยตามองนาง “นั่นเป็นของที่แม่ข้าเตรียมไว้ให้”“มารดาของท่านหรือ…”“นางไม่อยู่แล้ว”“เช่นนั้นใครคนนำมาให้”“เจ้าเป็นบุตรีของอาจารย์จริงหรือ ช่างโง่ยิ่งนัก”หลี่เหลี่ยงหรงเม้มปากแน่น “ข้าก็แค่อยากจะคืน ของพวกนั้นมีค่ามากเกินไป”“แม่ข้าตั้งใจจะให้สะใภ้คนแรก ในเมื่อเป็นเจ้าก็รับเอาไว้เถอะ” “เจ้าค่ะ” หญิงสาวก้มหน้ารับเบา ๆหลิงจงจ้องนางนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเรียบ ๆ “คืนนี้ข้าจะค้างที่นี่” “เจ้าค่ะ” เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย “เมื่อก่อนเจ้าไม่ใช่คนถามคำตอบคำเช่นนี้นี่นา” “ข้าก็เป็นเช่นนี้” นางตอบอย่างแผ่วเบา ความทรงจำในอดีตหวนกลับมา นางเคยมีความฝัน เคยหัวเราะ เคยเพ้อฝันถึงวันที่จะได้อยู่เคียงข้างเขา แต่บัดนี้นางเหมือนคนที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ ไม่มีเข็มทิศนำทาง ปล่อย
บทที่ 10 ไฟในจวนกลางดึกคืนนั้น หลิงจงมาถึงเรือนของหลี่เหลี่ยงหรง เงาโคมสว่างเพียงริบหรี่เผยให้เห็นร่างของหญิงสาวที่นอนคว่ำหน้า บนหลังเต็มไปด้วยรอยหวายแดงจางและแผลเปิด“นายหญิงหลับไปแล้วเจ้าค่ะ จะให้ปลุกไหมเจ้าคะ” จางซี่ถามเสียงเบา หลิงจงส่ายหน้า “ไม่ต้อง ปลุกนางไปก็ทำอะไรไม่ได้”คำพูดที่ไม่ใส่ใจทำให้จางซี่โกรธนายน้อยของตน แต่เมื่อเขายื่นยารักษาให้ สีหน้าโกรธเคืองของจางซี่ก็อ่อนลงวันถัดมาหน้าตาของหลิงจงดูจะหงุดหงิดเล็กน้อยทำให้บิดาที่นั่งร่วมโต๊ะด้วยต้องเอ่ยถามอย่างรำคาญใจ“เจ้าจะทำหน้าเช่นนั้นไปถึงเมื่อใดกัน”“ข้าก็แค่อารมณ์ไม่ดี ท่านพ่อจะสนใจอะไร” “เจ้าเพิ่งแต่งเมียมีรึจะอารมณ์ไม่ดี”“ก็เพราะข้าเพิ่งแต่ง แต่กลับทำอะไรไม่ได้ ไม่รู้ใครเอาหวายลงหลังนางจนได้ไข้” แม้คำพูดจะลอย ๆ แต่กลับทำให้ฮูหยินใหญ่สะดุ้งเล็กกน้อย เพราะนางไม่คิดว่าหลิงจงจะเอ่ยเช่นนี้ต่อหน้าบิดาของตน“เจ้าดูจะหลงนางไม่ใช่น้อยเลยนะ อย่าลืมนะว่านางเป็นเพียงอนุของเจ้า” หลิงจงหัวเราะหยัน “คำพูดเช่นนี้ของท่านพ่อข้าจะเชื่อได้หรือ ตอนจวนแทบลุกเป็นไฟเพราะท่านรักภรรยาไม่เท่ากัน ข้ายังจำได้อยู่เลย” หลิงจงเอ่ยอย่างขำขันเพราะบ
บทที่ 9 ข้อหาที่ไม่อาจปฏิเสธ“เจ้าหมายความว่าหลังจากข้าถูกปล่อยตัวมาเป็นหลานสาวของฮูหยินใหญ่หรือที่ถูกนำตัวไปบูชายันแทน” “เจ้าค่ะ แม้จะเป็นหลานห่าง ๆ แต่เพราะบิดามารดาของคุณหนูคนนั้นโทษฮูหยินใหญ่ นางก็เลยพาลโกรธเคืองมาโลงที่นายหญิง”เหลี่ยงหรงถอนหายใจยาว “เรื่องบูชายัญไม่ควรเกิดขึ้นตั้งแต่แรก…”“นายน้อยเองก็เคยบ่นกับแม่นมเจ้าค่ะ ว่าแก้ปัญหาไม่ตรงจุด ไม่ยอมจัดการที่สาเหตุ”หลี่เหลี่ยงหรงเผลอยิ้มบาง ๆ เมื่อได้ยิน เพราะแม้จะผ่านเรื่องร้ายแรงมาเพียงใด หลิงจงก็ยังเป็นคนที่นางเคยแอบชอบอยู่วันยันค่ำ“อนุหลี่ อนุหลี่เจ้าคะ” เสียงของสาวใช้ที่ดังที่หน้าเรือนทำให้หลี่เหลี่ยงหรงขมวดคิ้ว ถ้ามีคนมาตามเช่นนี้คงมีเรื่องไม่ดีนัก“ฮูหยินให้มาตามท่านไปเจ้าค่ะ”“เมื่อเช้าข้าก็เพิ่งไปมา เรื่องเร่งด่วนหรือ”“ข้ามิรู้เจ้าค่ะ แค่ฮูหยินสั่งให้ท่านไป ท่านก็ควรไปมิใช่หรือเจ้าคะ”“นี่เจ้า” จางซี่ที่เห็นอีกฝ่ายหมายใจจะกลั่นแกล้งนายหญิงตนก็คิดจะเข้าสู้ กำลังจะโต้กลับ แต่หลี่เหลี่ยงหรงยกมือห้าม“สักครู่ข้าจะตามไป”“ต้องไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” เหลี่ยงหรงถอนหายใจ “เช่นนั้นเจ้าก็ยืนรอเสียตรงนี้” “ให้ข้าไปด้วยไหมเจ้าคะน
บทที่ 8 เรือนใหม่และเงาของจวน“กดตัวเองจนชินแล้วหรือ”เสียงเย็นของหลิงจงดังขึ้นจากด้านหลัง หลี่เหลี่ยงหรงไม่แม้แต่จะหันมอง ไม่ตอบ ไม่ปริปากสักคำ ตั้งแต่เรื่องคืนนั้นนางไม่เคยพูดกับเขาให้รู้เรื่องอีกเลยตั้งแต่เกิดเรื่องนางยังไม่ปริปากพูดคุยกับเขาให้รู้เรื่องสักคำ“นายน้อยเข้าไปในเรือนเถอะเจ้าค่ะ” จางซี่เอ่ยเชิญ แต่หลี่เหลี่ยงหรงเพียงเดินไปยังเรือนใหม่ที่จัดไว้ให้ตนเอง สีหน้าเรียบนิ่งจนไม่อาจอ่านออก“เรือนนี้ไม่เคยมีเจ้าของมาก่อน แต่ก็ดูไม่เก่าเลยนะ” หลิงจงเอ่ยขึ้นมาลอย ๆ แต่จางซี่กลับรีบตอบ “ที่จริงก็เก่าเจ้าค่ะ แต่เมื่อวานข้าพาคนที่เรือนของนายน้อยมาทำความสะอาด ลำพังข้าคนเดียวคงทำไม่ไหว”หลิงจงหัวเราะหึในลำคอ“ก็คงต้องเป็นเช่นนั้น เพราะฮูหยินของท่านพ่อมิเจียดแบ่งอะไรมาให้เลย เอาเงินนี่ไปหาอะไรมาเอานี่ไปตกแต่งเรือนให้นาง อย่าให้เสียหน้า ข้าไม่อยากให้ใครพูดว่าอนุของข้าต้องอยู่เรือนโทรม“ เขาล้วงเงินออกมายื่นให้จางซี่เร่งเข้าไปรับเงินนั้นแต่หลี่เหลี่ยงหรงรีบห้ามนางเอาไว้“ไม่จำเป็นหรอกเจ้าค่ะ ลำบากกว่านี้ข้าก็เคย มิจำเป็นต้องวุ่นวาย” หลิงจงก้าวเข้าใกล้จนหญิงสาวต้องเงยหน้ามอง “ใครบอกว่า







