ログインบทที่ 11 เป็นเบี้ยย่อมต้องเดินตามสั่งเท่านั้น
หลังจากจางซี่ออกไปหลี่เหลียงหรงก็เอ่ยถามเรื่องของรับขวัญกับหลิงจง หลี่เหลี่ยงหรงที่ลังเลมาหลายวัน นางจะคุยเรื่องนี้หลายต่อหลายครั้งแต่ก็ไม่มีโอกาสสักที
“จะว่าไป… วันที่ข้าเข้ามาในจวน มีหีบหนึ่งเต็มไปด้วยเสื้อผ้า เครื่องประดับ และตั๋วเงิน เขียนว่าเป็นของรับขวัญข้า”
หลิงจงที่นั่งพิงเสาอยู่เงยตามองนาง “นั่นเป็นของที่แม่ข้าเตรียมไว้ให้”
“มารดาของท่านหรือ…”
“นางไม่อยู่แล้ว”
“เช่นนั้นใครคนนำมาให้”
“เจ้าเป็นบุตรีของอาจารย์จริงหรือ ช่างโง่ยิ่งนัก”
หลี่เหลี่ยงหรงเม้มปากแน่น “ข้าก็แค่อยากจะคืน ของพวกนั้นมีค่ามากเกินไป”
“แม่ข้าตั้งใจจะให้สะใภ้คนแรก ในเมื่อเป็นเจ้าก็รับเอาไว้เถอะ”
“เจ้าค่ะ” หญิงสาวก้มหน้ารับเบา ๆ
หลิงจงจ้องนางนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเรียบ ๆ “คืนนี้ข้าจะค้างที่นี่”
“เจ้าค่ะ”
เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย “เมื่อก่อนเจ้าไม่ใช่คนถามคำตอบคำเช่นนี้นี่นา”
“ข้าก็เป็นเช่นนี้” นางตอบอย่างแผ่วเบา ความทรงจำในอดีตหวนกลับมา นางเคยมีความฝัน เคยหัวเราะ เคยเพ้อฝันถึงวันที่จะได้อยู่เคียงข้างเขา แต่บัดนี้นางเหมือนคนที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ ไม่มีเข็มทิศนำทาง ปล่อยชีวิตให้ไหลไปตามกระแส แล้วแต่ใครใครจะลากไปทางไหน
หลิงจงมองใบหน้าที่เรียบนิ่งเกินวัยแล้วเอ่ยสั้น ๆ
“ช่างเถอะ”
การที่เขามาหานางบ่อยครั้ง พูดเรื่องที่นางโดนรังแกต่อหน้าบิดา ไม่ใช่เพราะใจอ่อนเพียงอย่างเดียว หลิงจงวางแผนทุกก้าว หมากตัวเล็ก ๆ ที่ชื่อหลี่เหลี่ยงหรงนี้ กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการเขย่าจวนเจ้าปกครองเมือง และเล่นงานแม่เลี้ยงที่เขาเกลียดชังมานาน
เขารู้ดีว่าฮูหยินและภรรยาคนอื่น ๆ ของบิดาล้วนไม่ชอบตน จะทำอย่างไรได้ แข่งอะไรก็แข่งกันได้ แต่บุญวาสนาของเขาเมื่อเทียบกับคนเหล่านั้นคงยังห่างชั้นอยู่ แต่นั่นก็แลกมากับความทรมานแสนสาหัสของมารดาเขา ซึ่งเขาจะเอาคืนจากคนเหล่านี้ทุกคนแน่ ๆ
ฝ่ายอนุทั้งหลายที่เคยร่วมมือกับฮูหยินกลั่นแกล้งหลี่เหลี่ยงหรงเริ่มลังเล
“หรือพวกเราไม่ควรจะรวมมือกับฮูหยินกลั่นแกล้งอนุหลี่แล้ว” เหล่าอนุของเจ้าปกครองเมืองแอบพูดคุยกัน ฝ่ายอนุทั้งหลายที่เคยร่วมมือกับฮูหยินกลั่นแกล้งหลี่เหลี่ยงหรงเริ่มลังเล
พวกนางคอยช่วยเหลือฮูหยินกลั่นแกล้งคนของหลิงจงก็เพราะคิดว่านางไม่ได้เป็นที่โปรดปรานเพราะรับเข้ามาเป็นคนแรกแท้ ๆ แต่กลับให้นางเป็นแค่อนุ
แต่เมื่อดูจากการไปหานางอีกทั้งยังไม่มีสตรีอื่นทำให้พวกนางเริ่มไหวเอน เพราะหากหลิงจงชอบสตรีนางนี้ขึ้นมาจริง ๆ แล้วสิ่งที่พวกนางทำมิเป็นการหลบหลู่เจ้าปกครองเมืองคนถัดไปหรือ
“นางก็แค่อนุคนหนึ่ง อย่าไปเชื่อที่หลิงจงไปหานางบ่อยครั้งเลย ข้าว่านั่นก็แค่อยากตบตาใครบางคนก็เท่านั้น ข้าเห็นเขาเข้าไปแล้วก็ออกมา ไม่ได้ค้างอยู่ที่นั่นเสียหน่อย”
“เรื่องนั้นก็จริง ข้าเคยส่งคนไปแอบดู บางวันก็ไม่ได้อยู่ทั้งคืน อีกอย่างเรื่องโปรดปรานแล้วเป็นเช่นไร มารดาของหลิงจงเองก็...”
“เจ้าพูดเรื่องนี้ออกมาอยากจะตายหรืออย่างไง” เสียงซุบซิบค่อย ๆ แผ่วลง ความหวาดหวั่นเริ่มก่อตัว
“ข้าก็แค่อยากยกให้ดูว่าต่อให้ชอบพอไม่เหมาะสมก็คือไม่เหมาะสม”
“ช่วงนี้ข้าก็ได้ยินเจ้าปกครองเมืองพูดอยู่บ่อย ๆ ว่าอยากหาสตรีที่เหมาะสมให้กับหลิงจง แต่ดูเหมือนเขาจะยังไม่เบื่อของเล่นที่เพิ่งได้มา”
“ก็คงอีกไม่นานหรอก”
แม้จะพูดเช่นนั้น แต่เกือบทุกคืนหลิงจงก็ยังคงมาพักที่เรือนของหลี่เหลี่ยงหรง แม้ไม่ใช่ทุกครั้งที่จะมีสัมพันธ์กับนาง บางคืนเพียงนั่งเงียบอยู่จนฟ้าสาง เพื่อให้ทั้งจวนได้ยินข่าวลือกระจายออกไปตามแผนของเขากำลังสร้างกระแสให้คนในจวนพูดถึงเรื่องนี้
เย็นวันหนึ่ง หลังอาหารเสร็จ หลี่เหลี่ยงหรงเอ่ยเสียงเบา
“คืนนี้ท่านจะค้างหรือไม่”
หลิงจงเลิกคิ้ว “เพิ่งกินข้าวเสร็จเจ้าก็รีบแล้วหรือ”
“เปล่าเจ้าค่ะ” หญิงสาวรีบส่ายหน้าหลบตา “หากท่านจะค้าง ข้าจะบอกว่าข้าไม่สะดวก”
“เจ้า...ช่วงนั้นของเดือนหรือ” สายตาคมหรี่ลง
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบายเท่าไร ไม่อยากทำให้ท่านต้องติดไข้จากข้า” แก้มของหญิงสาวแดงเรื่อ
“ถ้าเช่นนั้นไม่บอกเล่าจะได้ให้คนไปตามหมอมา”
“ข้าไม่ได้เป็นอะไรมากคงเพราะนอนน้อยไป”
“เจ้าจะบอกว่าข้ารบกวนเจ้ามากไปหรือ”
“มิกล้าหรอกเจ้าค่ะ ข้าก็แค่ไม่สบายจริง ๆ ไม่ได้มีความหมายอื่นแอบแฝง”
“ช่างเถอะที่จริงข้าก็ไม่ได้จะค้างอยู่แล้ว ถ้าเช่นนั้นพรุ่งนี้ให้จางซี่ไปตามหมอมาดู”
“เจ้าค่ะ”
เขาพยักหน้า ก่อนจะลุกขึ้น “ถ้าอย่างนั้นข้ากลับแล้ว”
หลี่เหลี่ยงหรงลุกขึ้นส่งหลิงจง นางอยู่ที่นี่จนเคยชินกับการกระทำไปเสียแล้ว
ทุกอย่างล้วนเป็นหน้าที่ของอนุที่เพิ่งกระทำต่อสามีของตน นางไม่มีสิทธิถามว่าเขาจะไปไหนหรือทำอะไร เพียงแค่รออยู่ที่เรือนเท่านั้น จะมาหรือไม่ก็แล้วแต่เขา
หากเป็นเมื่อก่อนนางคงเจ็บปวดใจหากเขาไปมีคนอื่น แต่ยามนี้นางไม่ได้สนใจ นางแค่อยากอยู่เงียบ ๆ เขาจะมาหรือไม่ก็ไม่ร้อนใจ ไม่อ้อนวอน ไม่งอแง แค่ทำหน้าที่แต่ละวันไป และหวังว่าสักวันจะขออีกฝ่ายกลับไปเยี่ยมบิดาได้บ้างก็เท่านั้น
เพราะนางไม่ได้แต่งเข้ามาจึงไม่ได้กลับบ้านในช่วงอาทิตย์แรกเหมือนกับสตรีอื่นที่เพิ่งออกเรือน
ที่จริงนานนับเดือนแล้วที่นางไม่ได้รู้เลยว่าบิดาเป็นเช่นไร จะถามจากหลิงจงก็ไม่กล้าเพราะนางเป็นแค่อนุที่ทำได้แค่คอยรับฟัง
แต่อีกอย่างหลี่เหลี่ยงหรงก็คิดว่าดีแล้วที่นางติดต่อบิดาได้ไม่สะดวก เพราะพ่อของนางจะได้ไม่ต้องรู้ว่าชีวิตในจวนเจ้าปกครองเมืองของนางเป็นเช่นไร
บทที่ 13 ลุกเป็นไฟหลี่เหลียงหรงที่แต่งตัวเรียบร้อยดีแล้วเดินตามออกมา ด้านนอกมีสาวใช้บางคนถูกเฆี่ยนอยู่ นางเห็นแล้วก็นึกตกใจกลัวไม่น้อย เพราะไม่เคยเห็นหลิงจงมีอาการเช่นนั้นข่าวการสอบสวนดังไปถึงเรือนหลัก จนเจ้าปกครองเมืองต้องมาดูด้วยตนเองเขารู้ดีว่าบุตรชายตนแม้เอาแต่ใจ แต่ก็ไม่เคยทำเรื่องไร้เหตุผล หากเขาโมโหขนาดนี้ ย่อมต้องมีเรื่องใหญ่ไม่ทันถึงหน้าเรือน บุตรชายของท่านหมอก็นำจดหมายของบิดามาถวายให้เจ้าปกครองเมืองเมื่ออ่านข้อความจนจบ มือที่เหี่ยวย่นถึงกับสั่น “บังอาจนัก! สายเลือดตระกูลข้าก็กล้าลอบสังหารหรือ! ต่อให้เป็นบุตรของสตรีใด หากสืบเชื้อสายมังกรจากตระกูลหลิง ก็ล้วนมีค่าเท่ากัน ไม่ว่าใครเป็นคนทำ ข้าจะไม่ปล่อยให้รอดเด็ดขาด!“หลิงจงสอบสวนอยู่ที่ไหน”“หน้าเรือนของอนุหลี่ขอรับ”“นำข้าไป”เจ้าปกครองเมืองก็ปรากฏตัวขึ้น ท่าทางเดือดดาลไม่แพ้หลิงจงเลยแม้แต่นิดคำพูดยังไม่ทันขาดเสียง ก็มีเสียงตวาดดังลั่นจากหน้าเรือน“ข้าจะไม่พูดอะไรมาก เรื่องเช่นนี้ครั้งก่อนเกิด พวกเจ้าจำไม่ได้รึว่ามีใครต้องตายบ้าง” เจ้าปกครองเมืองมองไปทั่ว ๆ ครั้งก่อนเขาพลาดเพราะคิดไม่ถึงว่าคนที่ทำ ซึ่งหากพูดกันตามตรงเขา
บทที่ 12 ไฟถูกจุดอีกครั้งเช้าวันถัดมา ท่านหมอถูกตามมายังเรือนของอนุหลี่ตั้งแต่นางยังไม่ทันจะแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย และสาเหตุที่เร่งด่วนเช่นนี้ กลับไม่ใช่เพราะคำสั่งของหลิงจง แต่เพราะ จางซี่ สาวใช้คนสนิทของหลี่เหลี่ยงหรง ที่รู้จักกับบุตรชายของท่านหมอเป็นการส่วนตัว นางจึงไปตามตัวมาตั้งแต่เมื่อคืน“เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” จางซี่ถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน ราวกับหญิงสาวป่วยหนักเป็นมารดาหรือน้องสาวของตนเองแม้ทั้งสองจะเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด จางซี่จึงเต็มใจรับใช้อนุหลี่อย่างยิ่ง ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้นางมีโอกาสเลือกนายได้ตั้งหลายครั้งแต่ก็ไม่เคยยอมรับใช้ใคร ด้วยสถานะที่เป็นหลานสาวของแม่นมเก่าในจวน หลายคนยังเกรงใจนางอยู่บ้าง“เจ้านี่ตื่นเต้นเสียยิ่งกว่าใคร”บุตรชายท่านหมอหัวเราะเบา ๆ กล่าวอย่างสนิทสนมเพราะทั้งคู่เติบโตมาด้วยกัน และยิ่งทำให้หลี่เหลี่ยงหรงมั่นใจว่าจางซี่เลือกคนมาถูกจริง เมื่อท่านหมอตรวจชีพจรเสร็จ กลับขมวดคิ้วแล้วเอ่ยขึ้น “แปลกยิ่งนัก…”จางซี่ถึงกับรีบทรุดตัวลงข้างเตียง“แปลกเช่นไรหรือเจ้าคะ”หลี่เหลี่ยงหรงที่นั่งพิงหมอนอยู่ก็เอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่สบายใจ“ชีพจรสับสน
บทที่ 11 เป็นเบี้ยย่อมต้องเดินตามสั่งเท่านั้นหลังจากจางซี่ออกไปหลี่เหลียงหรงก็เอ่ยถามเรื่องของรับขวัญกับหลิงจง หลี่เหลี่ยงหรงที่ลังเลมาหลายวัน นางจะคุยเรื่องนี้หลายต่อหลายครั้งแต่ก็ไม่มีโอกาสสักที“จะว่าไป… วันที่ข้าเข้ามาในจวน มีหีบหนึ่งเต็มไปด้วยเสื้อผ้า เครื่องประดับ และตั๋วเงิน เขียนว่าเป็นของรับขวัญข้า”หลิงจงที่นั่งพิงเสาอยู่เงยตามองนาง “นั่นเป็นของที่แม่ข้าเตรียมไว้ให้”“มารดาของท่านหรือ…”“นางไม่อยู่แล้ว”“เช่นนั้นใครคนนำมาให้”“เจ้าเป็นบุตรีของอาจารย์จริงหรือ ช่างโง่ยิ่งนัก”หลี่เหลี่ยงหรงเม้มปากแน่น “ข้าก็แค่อยากจะคืน ของพวกนั้นมีค่ามากเกินไป”“แม่ข้าตั้งใจจะให้สะใภ้คนแรก ในเมื่อเป็นเจ้าก็รับเอาไว้เถอะ” “เจ้าค่ะ” หญิงสาวก้มหน้ารับเบา ๆหลิงจงจ้องนางนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเรียบ ๆ “คืนนี้ข้าจะค้างที่นี่” “เจ้าค่ะ” เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย “เมื่อก่อนเจ้าไม่ใช่คนถามคำตอบคำเช่นนี้นี่นา” “ข้าก็เป็นเช่นนี้” นางตอบอย่างแผ่วเบา ความทรงจำในอดีตหวนกลับมา นางเคยมีความฝัน เคยหัวเราะ เคยเพ้อฝันถึงวันที่จะได้อยู่เคียงข้างเขา แต่บัดนี้นางเหมือนคนที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ ไม่มีเข็มทิศนำทาง ปล่อย
บทที่ 10 ไฟในจวนกลางดึกคืนนั้น หลิงจงมาถึงเรือนของหลี่เหลี่ยงหรง เงาโคมสว่างเพียงริบหรี่เผยให้เห็นร่างของหญิงสาวที่นอนคว่ำหน้า บนหลังเต็มไปด้วยรอยหวายแดงจางและแผลเปิด“นายหญิงหลับไปแล้วเจ้าค่ะ จะให้ปลุกไหมเจ้าคะ” จางซี่ถามเสียงเบา หลิงจงส่ายหน้า “ไม่ต้อง ปลุกนางไปก็ทำอะไรไม่ได้”คำพูดที่ไม่ใส่ใจทำให้จางซี่โกรธนายน้อยของตน แต่เมื่อเขายื่นยารักษาให้ สีหน้าโกรธเคืองของจางซี่ก็อ่อนลงวันถัดมาหน้าตาของหลิงจงดูจะหงุดหงิดเล็กน้อยทำให้บิดาที่นั่งร่วมโต๊ะด้วยต้องเอ่ยถามอย่างรำคาญใจ“เจ้าจะทำหน้าเช่นนั้นไปถึงเมื่อใดกัน”“ข้าก็แค่อารมณ์ไม่ดี ท่านพ่อจะสนใจอะไร” “เจ้าเพิ่งแต่งเมียมีรึจะอารมณ์ไม่ดี”“ก็เพราะข้าเพิ่งแต่ง แต่กลับทำอะไรไม่ได้ ไม่รู้ใครเอาหวายลงหลังนางจนได้ไข้” แม้คำพูดจะลอย ๆ แต่กลับทำให้ฮูหยินใหญ่สะดุ้งเล็กกน้อย เพราะนางไม่คิดว่าหลิงจงจะเอ่ยเช่นนี้ต่อหน้าบิดาของตน“เจ้าดูจะหลงนางไม่ใช่น้อยเลยนะ อย่าลืมนะว่านางเป็นเพียงอนุของเจ้า” หลิงจงหัวเราะหยัน “คำพูดเช่นนี้ของท่านพ่อข้าจะเชื่อได้หรือ ตอนจวนแทบลุกเป็นไฟเพราะท่านรักภรรยาไม่เท่ากัน ข้ายังจำได้อยู่เลย” หลิงจงเอ่ยอย่างขำขันเพราะบ
บทที่ 9 ข้อหาที่ไม่อาจปฏิเสธ“เจ้าหมายความว่าหลังจากข้าถูกปล่อยตัวมาเป็นหลานสาวของฮูหยินใหญ่หรือที่ถูกนำตัวไปบูชายันแทน” “เจ้าค่ะ แม้จะเป็นหลานห่าง ๆ แต่เพราะบิดามารดาของคุณหนูคนนั้นโทษฮูหยินใหญ่ นางก็เลยพาลโกรธเคืองมาโลงที่นายหญิง”เหลี่ยงหรงถอนหายใจยาว “เรื่องบูชายัญไม่ควรเกิดขึ้นตั้งแต่แรก…”“นายน้อยเองก็เคยบ่นกับแม่นมเจ้าค่ะ ว่าแก้ปัญหาไม่ตรงจุด ไม่ยอมจัดการที่สาเหตุ”หลี่เหลี่ยงหรงเผลอยิ้มบาง ๆ เมื่อได้ยิน เพราะแม้จะผ่านเรื่องร้ายแรงมาเพียงใด หลิงจงก็ยังเป็นคนที่นางเคยแอบชอบอยู่วันยันค่ำ“อนุหลี่ อนุหลี่เจ้าคะ” เสียงของสาวใช้ที่ดังที่หน้าเรือนทำให้หลี่เหลี่ยงหรงขมวดคิ้ว ถ้ามีคนมาตามเช่นนี้คงมีเรื่องไม่ดีนัก“ฮูหยินให้มาตามท่านไปเจ้าค่ะ”“เมื่อเช้าข้าก็เพิ่งไปมา เรื่องเร่งด่วนหรือ”“ข้ามิรู้เจ้าค่ะ แค่ฮูหยินสั่งให้ท่านไป ท่านก็ควรไปมิใช่หรือเจ้าคะ”“นี่เจ้า” จางซี่ที่เห็นอีกฝ่ายหมายใจจะกลั่นแกล้งนายหญิงตนก็คิดจะเข้าสู้ กำลังจะโต้กลับ แต่หลี่เหลี่ยงหรงยกมือห้าม“สักครู่ข้าจะตามไป”“ต้องไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” เหลี่ยงหรงถอนหายใจ “เช่นนั้นเจ้าก็ยืนรอเสียตรงนี้” “ให้ข้าไปด้วยไหมเจ้าคะน
บทที่ 8 เรือนใหม่และเงาของจวน“กดตัวเองจนชินแล้วหรือ”เสียงเย็นของหลิงจงดังขึ้นจากด้านหลัง หลี่เหลี่ยงหรงไม่แม้แต่จะหันมอง ไม่ตอบ ไม่ปริปากสักคำ ตั้งแต่เรื่องคืนนั้นนางไม่เคยพูดกับเขาให้รู้เรื่องอีกเลยตั้งแต่เกิดเรื่องนางยังไม่ปริปากพูดคุยกับเขาให้รู้เรื่องสักคำ“นายน้อยเข้าไปในเรือนเถอะเจ้าค่ะ” จางซี่เอ่ยเชิญ แต่หลี่เหลี่ยงหรงเพียงเดินไปยังเรือนใหม่ที่จัดไว้ให้ตนเอง สีหน้าเรียบนิ่งจนไม่อาจอ่านออก“เรือนนี้ไม่เคยมีเจ้าของมาก่อน แต่ก็ดูไม่เก่าเลยนะ” หลิงจงเอ่ยขึ้นมาลอย ๆ แต่จางซี่กลับรีบตอบ “ที่จริงก็เก่าเจ้าค่ะ แต่เมื่อวานข้าพาคนที่เรือนของนายน้อยมาทำความสะอาด ลำพังข้าคนเดียวคงทำไม่ไหว”หลิงจงหัวเราะหึในลำคอ“ก็คงต้องเป็นเช่นนั้น เพราะฮูหยินของท่านพ่อมิเจียดแบ่งอะไรมาให้เลย เอาเงินนี่ไปหาอะไรมาเอานี่ไปตกแต่งเรือนให้นาง อย่าให้เสียหน้า ข้าไม่อยากให้ใครพูดว่าอนุของข้าต้องอยู่เรือนโทรม“ เขาล้วงเงินออกมายื่นให้จางซี่เร่งเข้าไปรับเงินนั้นแต่หลี่เหลี่ยงหรงรีบห้ามนางเอาไว้“ไม่จำเป็นหรอกเจ้าค่ะ ลำบากกว่านี้ข้าก็เคย มิจำเป็นต้องวุ่นวาย” หลิงจงก้าวเข้าใกล้จนหญิงสาวต้องเงยหน้ามอง “ใครบอกว่า







