เข้าสู่ระบบบทที่ 6 เช้าตรู่ในเรือนคุณชาย
เสียงเคาะประตูดังอยู่หน้าเรือนคุณชายเพียงคนเดียวของจวนเจ้าปกครองเมืองไม่ขาดสาย แต่ด้านในกลับเงียบสนิทราวกับไร้คนอยู่
ความผิดปกตินี้ทำให้สาวใช้ต้องไปรายงานต่อนายท่านเพราะคุณชายหลิงจงนั้นเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวอีกทั้งยังเป็นทายาทที่มีสิทธิ์สืบทอด หากเกิดเรื่องกับหลิงจง จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ในทันที
เจ้าปกครองเมืองเร่งรุดมาถึงหน้าเรือนของบุตรชายด้วยสีหน้าหนักใจก่อนจะสั่งให้คนพังประตูเข้าไปด้านใน
“เขายังไม่เปิดประตูอีกรึ”
“ยังเลยเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็พังเข้าไป”
“จะดีหรือเจ้าคะท่านพี่” ฮูหยินใหญ่แสร้งทำสีหน้ากังวล แต่ในใจกลับยินดี เพราะอยากหาเรื่องเล่นงานหลิงจงอยู่แล้ว นางเสียดายที่ไร้วาสนาให้กำเนิดเพียงบุตรสาวคนเดียว และเมื่อไม่อาจตั้งครรภ์ได้อีก จึงพยายามสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับบุตรชายของสามี แต่หลิงจงกลับเย็นชาใส่จนทำให้นางไม่ชอบขี้หน้าเขายิ่งนัก
“ต้องดีอยู่แล้ว พังเข้าไป! มีอะไรข้ารับผิดชอบเอง”
เสียงไม้ประตูถูกกระแทกจนเปิดออก ทว่าคนทั้งเรือนกลับยังคงหลับใหล
“ตายแล้ว! บัดสีบัดเถลิง!” ฮูหยิงใหญ่ร้องออกมาเสียงดังแล้วเอามือยกขึ้นปิดหน้าทำเป็นเขินอาย
“เลิกทำทีไร้เดียงสาเถอะ เจ้ามีบุตรแล้วนะ”
เสียงของเจ้าเมืองเอ่ยตักเตือนนางอย่างไม่พอใจ ไม่เห็นด้วยกับการแสดงเกินจริงของนาง เขาไม่รู้ว่านี่จะเป็นปัญหาอะไร ดีเสียอีกที่บุตรชายของเขาเริ่มได้เลือดของเขาไปบ้างแล้ว สำหรับเขา เรื่องนี้กลับทำให้โล่งใจอยู่ลึก ๆ บุตรชายที่เคยไม่แลสตรีสักนาง เริ่มมีเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลบ้างเสียทีแต่เรื่องที่ยินดีกับเรื่องที่บุตรชายไปคว้าใครมานอนด้วยก็ไม่รู้นั้นเป็นคนล่ะเรื่อง
“หลิงจง! เจ้าตื่นขึ้นมาเดี๋ยวนี้!” คนเป็นพ่อพยักเพยิกให้คนของตนเข้าไปสะกิดบุตรชายที่ยังคงหลับสนิทไม่มีท่าทีจะตื่นต่างกับสตรีข้าง ๆ ที่เลยขยับตัวเล็กน้อยแล้ว
บ่าวไพร่รีบเข้าไปเขย่าปลุก ชายหนุ่มขมวดคิ้วรำคาญ
“รบกวนข้านัก…”
“ตื่นเดี๋ยวนี้ “เจ้ามิอายหรืออย่างไร!”หลิงจง”
เสียงของบิดาทำให้ชายหนุ่มลืมตาขึ้นมาแต่แทนที่เขาจะตอบกลับดึงร่างของนางที่นอนอยู่ข้าง ๆ ให้เข้ามาหาตัวมากขึ้นและนั่นก็ทำให้หลี่เหลี่ยงหรงตื่นขึ้นมาด้วย เสียงของบิดาทำให้เขาลืมตา ก่อนจะดึงร่างสตรีข้างกายมากอดแนบแน่น หลี่เลี่ยงหรง ลืมตาขึ้นมาเห็นคนมากมายในเรือนก็รีบดึงผ้าห่มคลุมตัว
“อ้าวท่านพ่อ”
“ยังจะมาพูดจาไม่ดูสถานการณ์อีก เจ้าไปฉุดสตรีที่ไหนมา”
“สตรี” หลิงจงทำเป็นนึกก่อนจะหันไปมองหลี่เหลี่ยงหรงที่ลืมตาขึ้นมาและเมื่อเจอกับคนมากมายก็ได้แต่ดึงผ้าปิดตนเองเอาไว้
“นางหรือ… บุตรสาวของอาจารย์ข้า”
“พวกเจ้าแต่งตัวแล้วออกมาคุยกับข้าให้รู้เรื่อง”
หลิงจงก้มลงมองคนที่อยู่ในอ้อมกอดของตน
“จะอยู่…หรือตาย!”
เสียงของเขาเย็นยะเยือก ราวกับคมดาบกรีดลึกลงในหัวใจนาง
“หากเลือกตายมิใช่เพียงเจ้าที่ตาย แต่บิดาเจ้าก็จะต้องพลอยดับตามไปด้วย”
ริมฝีปากหนานั้นยกยิ้มบาง รอยยิ้มที่ไม่ใช่ความอ่อนโยน แต่คือการบีบคั้นให้สิ้นหนทาง
สายตาของเขามองนางอย่างผู้ถือไพ่เหนือสุด ขณะที่ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความสับสนและสิ้นหวัง
“แต่หากเลือกอยู่…เจ้ากับบิดายังจะมีลมหายใจ” เขาหยุดเล็กน้อย ก่อนทิ่มแทงซ้ำด้วยเสียงต่ำ “เพียงแต่ตั้งแต่นี้ไป เจ้าจะต้องไร้อิสระไปชั่วชีวิต”
หลีเหลียงหรงน้ำตาคลอหน่วย หัวใจของนางสั่นสะท้านเหมือนนกที่ถูกขังอยู่ในกรงเหล็กที่ไม่มีทางออก เขาเหมือนมอบทางเลือกให้นาง แต่แท้จริงแล้วทุกประตูคือกำแพง ไม่ว่าจะก้าวไปทางใด…ก็ล้วนคือการสูญเสียแต่หากการสูญเสียนั่นคือการที่บิดานางยังคงมีชีวิตอยู่
นางยอมแล้ว
ต่อให้ชีวิตหลังจากนี้ไร้ความรักจากเขาก็ช่างมัน นางจะไม่ฝืนไขว่คว้า ไม่คาดหวังอีกต่อไป ทุกสิ่งถูกปล่อยวางในวันที่นางรู้ความจริง ว่านางถูกเลือกให้เป็นสตรีที่ต้องบูชายัน ไม่ใช่เพราะคุณสมบัติอันสูงส่งของนาง ไม่ใช่เพราะสวรรค์กำหนด แต่เพียงเพราะบิดาของนางเป็นเพียงบัณฑิตคนหนึ่ง ที่เดินทางมาจากเมืองอื่น ไร้เส้นสาย ไร้กำลังหนุนหลัง
นางถูกเลือกให้ ตาย! เพียงเพราะครอบครัวของนางอ่อนแอเกินกว่าจะต่อรองชะตาชีวิต และเขาชายผู้เป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของเจ้าปกครองเมือง ตลอดเวลาที่ผ่านมา ทำราวกับว่านางเป็นเพียงเศษผ้าที่ใช้แล้วทิ้ง ไม่มีค่าแม้แต่ให้เหลียวแล
เช่นนั้นแล้ว… ไม่ว่านับจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น นางก็จะไม่หวาดหวั่นอีกต่อไป ขอเพียงบิดาของนางยังมีลมหายใจอยู่ นางก็พร้อมจะยอมรับทุกสิ่งที่ชะตาจะเหวี่ยงโยนมา
เจ้าปกครองเมืองก็เดินออกจากเรือนของบุตรชายแล้วไปนั่งอยู่ที่ลานกลางเรือน ราวกับเรื่องนี้จะต้องมีการจัดการให้เด็ดขาด
“สตรีผู้นั้นต้องหลอกลวงหลิงจงแน่ ๆ”
“แต่ดูเขาก็ไม่ได้ร้อนใจอะไรนี่ ฟังเขาก่อนค่อยตัดสินใจ แต่ที่แน่ ๆ ก็คงจะต้องเตรียมเรือนเอาไว้ให้”
“แค่ห้องสักห้องในเรือนของหลิงจงก็พอมั้งเจ้าคะ”
“ไม่ได้ ที่นี่เป็นจวนเจ้าเมือง ต่อให้เป็นอนุหรือสาวใช้อุ่นเตียงก็ต้องอยู่ให้สมฐานะของพวกนาง”
ฮูหยินใหญ่แสดงสีหน้าไม่พอใจ แต่ก็พูดอะไรไม่ได้
ไม่นานนัก ทั้งสองออกมาเผชิญหน้าที่ลานกลางเรือน หลี่เลี่ยงหรงคุกเข่าเงียบงัน ไม่กล้าสบตาใคร ส่วนหลิงจงเพียงเอ่ยสั้น ๆ
ขณะเดียวกันหลิงจงก็ไม่ได้แก้ตัวอะไร เพียงแค่บอกกับบิดานางว่าเป็นของข้าแล้วก็รับเข้ามาเท่านั้น
“นางเป็นของข้าแล้ว ข้าจะรับเข้ามา”
เจ้าปกครองเมืองเลิกคิ้ว “เจ้าพูดง่ายนี่”
“ก็ไม่ใช่เรื่องยากอันใดนิท่านพ่อ”
“เช่นนั้นก็รับนางมาเป็นอนุของเจ้าก็แล้วกัน”
คิ้วของหลิงจงขมวดน้อย ๆ
“เจ้ายังไม่ได้ตบแต่งภรรยาเอกก็รับอนุแล้ว ที่จริงไม่เหมาะแต่ก็ช่างเถิด ดีกว่าเจ้ามิแลสตรีเลยสักนาง”
“แต่ท่านเจ้าเมือง บางทีนางอาจจะ...” ฮูหยินใหญ่ที่ไม่ถูกชะตากับสตรีนางนี้พยายามพูดคัดค้าน
“คำที่ข้าพูดไปแล้วหรือว่าจบตามนั้น” น้ำเสียงหนักแน่นตัดบททุกคน เจ้าปกครองเมืองกำลังจะลุกขึ้นแต่แต่ยังไม่ทันจบเรื่อง คนของศาลหลักเมืองก็มาถึงที่จวนเข้าเสียก่อน
“ท่านเจ้าเมืองเกิดเรื่องแล้วขอรับ เทพธิดาที่พาตัวมาเมื่อวานหายไป ข้าจะขอให้ท่านใช้กองกำลังตามหา...นาง” คำสุดท้ายเจ้าศาลหลักเมืองชี้ไปยังสตรีที่คุกเข่าอยู่ข้าง ๆ กันนั้นมีหลิงจงยืนอย่างไม่สบอารมณ์ ซึ่งใครก็รู้ว่าเขาเป็นบุตรชายคนโปรดของเจ้าปกครองเมือง ขัดใจไม่ได้
“นางไหน” หลิงจงหันขวับ สายตาเย็นเฉียบ ถามอีกฝ่ายเสียงนิ่ง
““นาง…นางนั่นแหละ!” เป็นนางที่ข้าตามหาอยู่”
เจ้าปกครองเมืองขมวดคิ้ว “นางเป็นอนุของบุตรชายข้าจะเป็นเทพธิดาที่บริสุทธิ์ได้อย่างไง”
“แต่ว่า...”
“ไม่ต้องอธิบายอะไรทั้งนั้น เรื่องนี้จบเพียงเท่านี้!”
เจ้าศาลหลักเมืองกำมือแน่นด้วยความโกรธเกรี้ยว คิดว่ากำจัดหนามยอกอกแล้วแท้ ๆ แต่กลับกลายเป็นว่านางกลับเข้ามาอยู่ในจวนเจ้าเมืองอย่างสมศักดิ์ศรี
“ยังจะยืนรออะไรอยู่”
“ขอรับข้าจะรีบไปจัดการเดี๋ยวนี้”
เจ้าศาลหลักเมืองจากไปแล้ว คนสลายตัว หลี่เลี่ยงหรงยังคงคุกเข่านิ่ง ไม่รู้ว่าควรจะโล่งใจหรือหวาดหวั่น นางไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกเช่นไรกับสถานการณ์นี้
“ข้าจะกลับไปหาท่านพ่อ”
“ข้าจะให้คนพาไป และไปขนของของเจ้ามาด้วย”
หลิงจงหันไปหาฮูหยินใหญ่ ก่อนจะเอ่ยบอกนาง “รบกวนแม่ใหญ่จัดกาช่วยหาคนดูแลนาง และจัดเรือนให้นางอยู่ใกล้ข้าหน่อย ข้าไม่อยากเดินไกล”
กล่าวจบเขาก็เดินจากไปโดยไม่หันมามองหญิงสาวที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่เลย
บทที่ 13 ลุกเป็นไฟหลี่เหลียงหรงที่แต่งตัวเรียบร้อยดีแล้วเดินตามออกมา ด้านนอกมีสาวใช้บางคนถูกเฆี่ยนอยู่ นางเห็นแล้วก็นึกตกใจกลัวไม่น้อย เพราะไม่เคยเห็นหลิงจงมีอาการเช่นนั้นข่าวการสอบสวนดังไปถึงเรือนหลัก จนเจ้าปกครองเมืองต้องมาดูด้วยตนเองเขารู้ดีว่าบุตรชายตนแม้เอาแต่ใจ แต่ก็ไม่เคยทำเรื่องไร้เหตุผล หากเขาโมโหขนาดนี้ ย่อมต้องมีเรื่องใหญ่ไม่ทันถึงหน้าเรือน บุตรชายของท่านหมอก็นำจดหมายของบิดามาถวายให้เจ้าปกครองเมืองเมื่ออ่านข้อความจนจบ มือที่เหี่ยวย่นถึงกับสั่น “บังอาจนัก! สายเลือดตระกูลข้าก็กล้าลอบสังหารหรือ! ต่อให้เป็นบุตรของสตรีใด หากสืบเชื้อสายมังกรจากตระกูลหลิง ก็ล้วนมีค่าเท่ากัน ไม่ว่าใครเป็นคนทำ ข้าจะไม่ปล่อยให้รอดเด็ดขาด!“หลิงจงสอบสวนอยู่ที่ไหน”“หน้าเรือนของอนุหลี่ขอรับ”“นำข้าไป”เจ้าปกครองเมืองก็ปรากฏตัวขึ้น ท่าทางเดือดดาลไม่แพ้หลิงจงเลยแม้แต่นิดคำพูดยังไม่ทันขาดเสียง ก็มีเสียงตวาดดังลั่นจากหน้าเรือน“ข้าจะไม่พูดอะไรมาก เรื่องเช่นนี้ครั้งก่อนเกิด พวกเจ้าจำไม่ได้รึว่ามีใครต้องตายบ้าง” เจ้าปกครองเมืองมองไปทั่ว ๆ ครั้งก่อนเขาพลาดเพราะคิดไม่ถึงว่าคนที่ทำ ซึ่งหากพูดกันตามตรงเขา
บทที่ 12 ไฟถูกจุดอีกครั้งเช้าวันถัดมา ท่านหมอถูกตามมายังเรือนของอนุหลี่ตั้งแต่นางยังไม่ทันจะแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย และสาเหตุที่เร่งด่วนเช่นนี้ กลับไม่ใช่เพราะคำสั่งของหลิงจง แต่เพราะ จางซี่ สาวใช้คนสนิทของหลี่เหลี่ยงหรง ที่รู้จักกับบุตรชายของท่านหมอเป็นการส่วนตัว นางจึงไปตามตัวมาตั้งแต่เมื่อคืน“เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” จางซี่ถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน ราวกับหญิงสาวป่วยหนักเป็นมารดาหรือน้องสาวของตนเองแม้ทั้งสองจะเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด จางซี่จึงเต็มใจรับใช้อนุหลี่อย่างยิ่ง ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้นางมีโอกาสเลือกนายได้ตั้งหลายครั้งแต่ก็ไม่เคยยอมรับใช้ใคร ด้วยสถานะที่เป็นหลานสาวของแม่นมเก่าในจวน หลายคนยังเกรงใจนางอยู่บ้าง“เจ้านี่ตื่นเต้นเสียยิ่งกว่าใคร”บุตรชายท่านหมอหัวเราะเบา ๆ กล่าวอย่างสนิทสนมเพราะทั้งคู่เติบโตมาด้วยกัน และยิ่งทำให้หลี่เหลี่ยงหรงมั่นใจว่าจางซี่เลือกคนมาถูกจริง เมื่อท่านหมอตรวจชีพจรเสร็จ กลับขมวดคิ้วแล้วเอ่ยขึ้น “แปลกยิ่งนัก…”จางซี่ถึงกับรีบทรุดตัวลงข้างเตียง“แปลกเช่นไรหรือเจ้าคะ”หลี่เหลี่ยงหรงที่นั่งพิงหมอนอยู่ก็เอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่สบายใจ“ชีพจรสับสน
บทที่ 11 เป็นเบี้ยย่อมต้องเดินตามสั่งเท่านั้นหลังจากจางซี่ออกไปหลี่เหลียงหรงก็เอ่ยถามเรื่องของรับขวัญกับหลิงจง หลี่เหลี่ยงหรงที่ลังเลมาหลายวัน นางจะคุยเรื่องนี้หลายต่อหลายครั้งแต่ก็ไม่มีโอกาสสักที“จะว่าไป… วันที่ข้าเข้ามาในจวน มีหีบหนึ่งเต็มไปด้วยเสื้อผ้า เครื่องประดับ และตั๋วเงิน เขียนว่าเป็นของรับขวัญข้า”หลิงจงที่นั่งพิงเสาอยู่เงยตามองนาง “นั่นเป็นของที่แม่ข้าเตรียมไว้ให้”“มารดาของท่านหรือ…”“นางไม่อยู่แล้ว”“เช่นนั้นใครคนนำมาให้”“เจ้าเป็นบุตรีของอาจารย์จริงหรือ ช่างโง่ยิ่งนัก”หลี่เหลี่ยงหรงเม้มปากแน่น “ข้าก็แค่อยากจะคืน ของพวกนั้นมีค่ามากเกินไป”“แม่ข้าตั้งใจจะให้สะใภ้คนแรก ในเมื่อเป็นเจ้าก็รับเอาไว้เถอะ” “เจ้าค่ะ” หญิงสาวก้มหน้ารับเบา ๆหลิงจงจ้องนางนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเรียบ ๆ “คืนนี้ข้าจะค้างที่นี่” “เจ้าค่ะ” เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย “เมื่อก่อนเจ้าไม่ใช่คนถามคำตอบคำเช่นนี้นี่นา” “ข้าก็เป็นเช่นนี้” นางตอบอย่างแผ่วเบา ความทรงจำในอดีตหวนกลับมา นางเคยมีความฝัน เคยหัวเราะ เคยเพ้อฝันถึงวันที่จะได้อยู่เคียงข้างเขา แต่บัดนี้นางเหมือนคนที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ ไม่มีเข็มทิศนำทาง ปล่อย
บทที่ 10 ไฟในจวนกลางดึกคืนนั้น หลิงจงมาถึงเรือนของหลี่เหลี่ยงหรง เงาโคมสว่างเพียงริบหรี่เผยให้เห็นร่างของหญิงสาวที่นอนคว่ำหน้า บนหลังเต็มไปด้วยรอยหวายแดงจางและแผลเปิด“นายหญิงหลับไปแล้วเจ้าค่ะ จะให้ปลุกไหมเจ้าคะ” จางซี่ถามเสียงเบา หลิงจงส่ายหน้า “ไม่ต้อง ปลุกนางไปก็ทำอะไรไม่ได้”คำพูดที่ไม่ใส่ใจทำให้จางซี่โกรธนายน้อยของตน แต่เมื่อเขายื่นยารักษาให้ สีหน้าโกรธเคืองของจางซี่ก็อ่อนลงวันถัดมาหน้าตาของหลิงจงดูจะหงุดหงิดเล็กน้อยทำให้บิดาที่นั่งร่วมโต๊ะด้วยต้องเอ่ยถามอย่างรำคาญใจ“เจ้าจะทำหน้าเช่นนั้นไปถึงเมื่อใดกัน”“ข้าก็แค่อารมณ์ไม่ดี ท่านพ่อจะสนใจอะไร” “เจ้าเพิ่งแต่งเมียมีรึจะอารมณ์ไม่ดี”“ก็เพราะข้าเพิ่งแต่ง แต่กลับทำอะไรไม่ได้ ไม่รู้ใครเอาหวายลงหลังนางจนได้ไข้” แม้คำพูดจะลอย ๆ แต่กลับทำให้ฮูหยินใหญ่สะดุ้งเล็กกน้อย เพราะนางไม่คิดว่าหลิงจงจะเอ่ยเช่นนี้ต่อหน้าบิดาของตน“เจ้าดูจะหลงนางไม่ใช่น้อยเลยนะ อย่าลืมนะว่านางเป็นเพียงอนุของเจ้า” หลิงจงหัวเราะหยัน “คำพูดเช่นนี้ของท่านพ่อข้าจะเชื่อได้หรือ ตอนจวนแทบลุกเป็นไฟเพราะท่านรักภรรยาไม่เท่ากัน ข้ายังจำได้อยู่เลย” หลิงจงเอ่ยอย่างขำขันเพราะบ
บทที่ 9 ข้อหาที่ไม่อาจปฏิเสธ“เจ้าหมายความว่าหลังจากข้าถูกปล่อยตัวมาเป็นหลานสาวของฮูหยินใหญ่หรือที่ถูกนำตัวไปบูชายันแทน” “เจ้าค่ะ แม้จะเป็นหลานห่าง ๆ แต่เพราะบิดามารดาของคุณหนูคนนั้นโทษฮูหยินใหญ่ นางก็เลยพาลโกรธเคืองมาโลงที่นายหญิง”เหลี่ยงหรงถอนหายใจยาว “เรื่องบูชายัญไม่ควรเกิดขึ้นตั้งแต่แรก…”“นายน้อยเองก็เคยบ่นกับแม่นมเจ้าค่ะ ว่าแก้ปัญหาไม่ตรงจุด ไม่ยอมจัดการที่สาเหตุ”หลี่เหลี่ยงหรงเผลอยิ้มบาง ๆ เมื่อได้ยิน เพราะแม้จะผ่านเรื่องร้ายแรงมาเพียงใด หลิงจงก็ยังเป็นคนที่นางเคยแอบชอบอยู่วันยันค่ำ“อนุหลี่ อนุหลี่เจ้าคะ” เสียงของสาวใช้ที่ดังที่หน้าเรือนทำให้หลี่เหลี่ยงหรงขมวดคิ้ว ถ้ามีคนมาตามเช่นนี้คงมีเรื่องไม่ดีนัก“ฮูหยินให้มาตามท่านไปเจ้าค่ะ”“เมื่อเช้าข้าก็เพิ่งไปมา เรื่องเร่งด่วนหรือ”“ข้ามิรู้เจ้าค่ะ แค่ฮูหยินสั่งให้ท่านไป ท่านก็ควรไปมิใช่หรือเจ้าคะ”“นี่เจ้า” จางซี่ที่เห็นอีกฝ่ายหมายใจจะกลั่นแกล้งนายหญิงตนก็คิดจะเข้าสู้ กำลังจะโต้กลับ แต่หลี่เหลี่ยงหรงยกมือห้าม“สักครู่ข้าจะตามไป”“ต้องไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” เหลี่ยงหรงถอนหายใจ “เช่นนั้นเจ้าก็ยืนรอเสียตรงนี้” “ให้ข้าไปด้วยไหมเจ้าคะน
บทที่ 8 เรือนใหม่และเงาของจวน“กดตัวเองจนชินแล้วหรือ”เสียงเย็นของหลิงจงดังขึ้นจากด้านหลัง หลี่เหลี่ยงหรงไม่แม้แต่จะหันมอง ไม่ตอบ ไม่ปริปากสักคำ ตั้งแต่เรื่องคืนนั้นนางไม่เคยพูดกับเขาให้รู้เรื่องอีกเลยตั้งแต่เกิดเรื่องนางยังไม่ปริปากพูดคุยกับเขาให้รู้เรื่องสักคำ“นายน้อยเข้าไปในเรือนเถอะเจ้าค่ะ” จางซี่เอ่ยเชิญ แต่หลี่เหลี่ยงหรงเพียงเดินไปยังเรือนใหม่ที่จัดไว้ให้ตนเอง สีหน้าเรียบนิ่งจนไม่อาจอ่านออก“เรือนนี้ไม่เคยมีเจ้าของมาก่อน แต่ก็ดูไม่เก่าเลยนะ” หลิงจงเอ่ยขึ้นมาลอย ๆ แต่จางซี่กลับรีบตอบ “ที่จริงก็เก่าเจ้าค่ะ แต่เมื่อวานข้าพาคนที่เรือนของนายน้อยมาทำความสะอาด ลำพังข้าคนเดียวคงทำไม่ไหว”หลิงจงหัวเราะหึในลำคอ“ก็คงต้องเป็นเช่นนั้น เพราะฮูหยินของท่านพ่อมิเจียดแบ่งอะไรมาให้เลย เอาเงินนี่ไปหาอะไรมาเอานี่ไปตกแต่งเรือนให้นาง อย่าให้เสียหน้า ข้าไม่อยากให้ใครพูดว่าอนุของข้าต้องอยู่เรือนโทรม“ เขาล้วงเงินออกมายื่นให้จางซี่เร่งเข้าไปรับเงินนั้นแต่หลี่เหลี่ยงหรงรีบห้ามนางเอาไว้“ไม่จำเป็นหรอกเจ้าค่ะ ลำบากกว่านี้ข้าก็เคย มิจำเป็นต้องวุ่นวาย” หลิงจงก้าวเข้าใกล้จนหญิงสาวต้องเงยหน้ามอง “ใครบอกว่า







