LOGINบทที่ 7 ชีวิตในจวน
ชีวิตของหลี่เหลี่ยงหรงยามนี้ราวกับหุ่นเชิด ถูกสั่งให้ทำสิ่งใดก็ต้องทำ เดินไปทางใดก็ต้องเดินไป ไม่มีสิทธิ์เลือกหนทางของตนเอง ตั้งแต่วันที่นางถูกเลือกให้เป็นเทพธิดา นางก็หมดสิทธิ์ในชะตากรรมของตนแล้ว
แม้วันนี้จะไม่ต้องบูชายัญ แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือการสูญเสียอิสรภาพอย่างสิ้นเชิง
“ดูจากที่หลิงจงไม่ใส่ใจแล้ว ข้าว่าเจ้าคงวางยาเขา เพื่อหนีจากการเป็นเทพธิดาบูชายัญใช่หรือไม่”
เสียงฮูหยินใหญ่ดังแหลม จ้องมองนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยการดูแคลน มองดูภาระที่นางต้องรับผิดชอบ
จวนนี้มิใช่วังหลวง แต่ทุกเรื่องเกี่ยวกับสตรีในจวนล้วนเป็นหน้าที่ของนางผู้เป็นฮูหยินเอกขแงเจ้าของจวน นั่นหมายความว่าชีวิตของหลี่เหลี่ยงหรงอยู่ในเงื้อมมือของนางโดยสมบูรณ์
“ฮูหยินใหญ่มีเรื่องด่วน”
“เรื่องอะไรก็รอก่อน ข้าจะต้องสั่งสอนนังคนไม่รู้ที่ต่ำที่สูงนี่ก่อน”
และทั้ง ๆ ที่โดนเคี่ยวกร่ำมาค่อนคืน ทั้ง ๆ ที่เป็นคืนแรก แต่หลี่เหลี่ยงหรงก็ยังถูกแม่เลี้ยงของหลิงจงสั่งทำโทษอย่างไม่มีเหตุไม่มีผล
อีกฝ่ายถึงขั้นนั่งเฝ้าการทำโทษเองแล้วก็ไม่มีใครกล้าที่จะยื่นมือเข้าไปยุ่ง แม้แต่หลิงจงที่เดินผ่านเพียงปรายตามองก็ไม่ได้เอ่ยปากห้าม ยิ่งทำให้ฮูหยินเอกที่เป็นแม่เลี้ยงของเขายิ่งได้ใจเข้าไปใหญ่
“จำเอาไว้ หากจะอยู่ที่นี่ เจ้าต้องเชื่อฟังข้า ต่อให้เจ้าจะเป็นคนของหลิงจงก็ตาม”
หลี่เหลี่ยงหรงไม่เอ่ยแม้สักคำ แม้ร่างกายจะปวดระบมเพียงใด
“กลับไปเรือนของเจ้าเสีย วันนี้ข้าไม่ได้เตรียมเรือนเอาไว้ให้ พรุ่งนี้ข้าจะให้คนไปรับ”
คำพูดนี้คือสิ่งที่หลี่เหลี่ยงหรงอยากได้ยินที่สุด นางลุกขึ้นอย่างช้า ๆ แล้วกลับเรือนของบิดาด้วยสภาพไร้วิญญาณ
บิดาของนางนั่งรออยู่แล้ว
“หลิงจงให้คนมาบอกพ่อว่า เจ้าจะไม่ต้องบูชายัญแล้ว”
รอยยิ้มฝืน ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลี่เหลี่ยงหรง
“เจ้าค่ะท่านพ่อ แต่ข้า…จะอยู่ปรนนิบัติท่านไม่ได้อีกแล้ว”
“พ่อรู้แล้ว เขาก็แจ้งพ่อไว้เช่นกัน ไม่เป็นอะไรหรอกลูก แค่เจ้ามีชีวิตรอดก็พอ แวะมาหาพ่อบ้างก็พอแล้ว”
นางน้ำตาคลอหน่วย
“ข้าจะมีหน้าไปมาหาท่านได้อย่างไร ท่านเป็นถึงบัณฑิตที่มีศิษย์มากมาย แต่บุตรสาวกลับเข้าไปในจวนเจ้าเมืองในฐานะอนุ
“อย่าไปคิดมากเลยลูก มิใช่เมื่อก่อนเจ้าก็แสดงออกว่ามีใจให้เขา”
“นั่นมันเรื่องเมื่อก่อนเจ้าค่ะ ข้าไม่อยากให้ใครดูแคลนท่าน”
บัณฑิตหลี่ยิ้มบาง ๆ “ไม่ต้องห่วงพ่อ อย่างไรฐานะของพ่อก็ไม่สูงส่งอยู่แล้ว เรื่องเช่นนี้ก็ไม่แปลก ขอแค่เจ้ามีชีวิตอยู่นั่นคือดีที่สุดแล้ว”
คำพูดนั้นทำให้หลี่เหลี่ยงหรงร้องไห้ออกมาอย่างหนัก นางอัดอั้นมาตั้งแต่วันที่ถูกเลือกให้เป็นเทพธิดา แม้ปากจะยอมรับชะตากรรมได้ แต่ความกลัวความตายยังติดค้างอยู่ การตายต่อให้ไม่กลัวก็กังวล เพราะนั้นเป็นสิ่งที่ไม่รู้และยังมาไม่ถึง
แต่ตอนนี้สิ่งที่นางกังวลกลับมากกว่านั้น เพราะเส้นทางชีวิตของนางมีตัวแปรมากมายจนไม่รู้ว่าควรก้าวเดินเช่นไร
“ไม่สบายใจก็ร้องไห้ออกมาลูก” มืออุ่นที่ลูบหัวนั้นไม่ได้ทำให้เหลี่ยงหรงสงบเลย แต่กลับร้องไห้ออกมาหนักกว่าเดิม
คนเป็นพ่อที่เห็นอย่างนั้นก็เข้าใจความรู้สึก บัณฑิตหลี่เพียงกอดบุตรสาวเงียบ ๆ เพราะรู้ดีว่าตนช่วยอะไรไม่ได้เลย
วันถัดมาหลี่เหลี่ยงหรงเข้ามาในจวนในฐานะอนุของหลิงจง ไม่มีสาวใช้คนไหนยอมเป็นสาวใช้ของนาง โชคยังดีที่หลานของแม่นมจางที่เคยดูแลหลิงจงมาแต่เด็กอาสาที่จะทำงานนี้ ไม่เช่นนั้นนางคงจะต้องลำบากยิ่งกว่านี้แน่ ๆ
“อนุห้ามมากินข้าวที่เรือนหลัก อาหารจะส่งให้จากส่วนกลาง หรือจะใช้เบี้ยหวัดที่ให้ไปซื้อเองก็ได้ แต่อย่าเสนอหน้าไปที่เรือนหลักหากไม่ได้ถูกเรียก!”
“เจ้าค่ะ” นางตอบรับน้ำเสียงราบเรียบราวกับไม่รู้สึกอะไรแล้ว
“ทั้งสวนก็ห้ามใช้ถ้าเกิดบรรดาคุณหนูหรือนายหญิงคนอื่น ๆ ใช้” นายหญิงที่นางว่าก็คืออนุของเจ้าปกครองเมือง แต่ตอนนี้ฐานะสูงกว่าอนุของบุตรชายอย่างหลิงจงตามขั้น
“เจ้าค่ะ”
“ห้ามใช้ประตูใหญ่ ให้ออกประตูด้านข้าง หากจะออกไปก็ใช้รถม้าของอนุ แม้จะมีแค่คันเดียว แต่ต้องใช้ร่วมกับอนุคนอื่น ๆ” หลี่เหลี่ยงหรงอยากจะหัวเราะ นางไม่ใช่ก็ได้รถม้า เพราะตอนอยู่กับบิดาก็ไม่ได้ใช้
“ก็จะลำบากหน่อยเพราะมีแค่คันเดียว แต่อนุของเจ้าปกครองก็หลายคนอยู่ แม้เจ้าจะเป็นอนุของหลิงจงแต่ก็ต้องใช้ด้วยกัน”
“ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” อธิบายยืดยาว ความหมายเท่าเดิม
“อีกอย่าง จำใส่หัวเอาไว้หากหลิงจงไม่ได้เรียกเจ้าอย่านำเสนอตัวเองไปที่เรือนเขาเด็ดขาด”
หลี่เหลี่ยงหรงไม่ได้รู้เลยว่ากฎข้อนี้ไม่มีอยู่จริงหรอก แต่ฮูหยินใหญ่เป็นคนที่เกลียดอนุที่สองที่สามมาแต่ไหนแต่ไร กฎข้อนี้ถูกสร้างขึ้นโดยฮูหยินเพียงเพื่อปิดทางสตรีอื่น ๆ ในจวน แม้แต่เจ้าปกครองเมืองก็ไม่รู้เรื่อง
“ถ้ารู้แล้วก็ไปได้ เหม็นหน้า!”
“เจ้าค่ะ”
หลี่เหลี่ยงหรงเดินตามสาวใช้ที่ชื่อจางซี่ออกมา
“ข้าชื่อจางซี่นะเจ้าคะ เป็นหลานของแม่นมจางมู่ คนที่เลี้ยงนายน้อยมาน่ะเจ้าค่ะ”
“อยู่กับข้า เจ้าจะไม่ลำบากหรือ” หลี่เหลี่ยงหรงถามด้วยน้ำเสียงกังวล นางไม่ห่วงว่าตนเองจะลำบากแต่กังวลว่าจะพาเรื่องมาให้ผู้อื่นด้วยมากกว่า
“ไม่ต้องห่วงข้าหรอกเจ้าค่ะ นายน้อยดูแลท่านป้าข้าและข้าเป็นอย่างดี เพราะฉะนั้นต่อให้นายหญิงใหญ่จะกลั่นแกล้ง ก็ไม่กระทบเรื่องความเป็นอยู่ แต่นายหญิงข้าเองก็กังวลอยู่”
หลี่เหลี่ยงหรงยิ้มบาง “ข้าไม่ใช่นายหญิงอะไรหรอก ไม่ต้องเรียกข้าเช่นนั้น”
บทที่ 13 ลุกเป็นไฟหลี่เหลียงหรงที่แต่งตัวเรียบร้อยดีแล้วเดินตามออกมา ด้านนอกมีสาวใช้บางคนถูกเฆี่ยนอยู่ นางเห็นแล้วก็นึกตกใจกลัวไม่น้อย เพราะไม่เคยเห็นหลิงจงมีอาการเช่นนั้นข่าวการสอบสวนดังไปถึงเรือนหลัก จนเจ้าปกครองเมืองต้องมาดูด้วยตนเองเขารู้ดีว่าบุตรชายตนแม้เอาแต่ใจ แต่ก็ไม่เคยทำเรื่องไร้เหตุผล หากเขาโมโหขนาดนี้ ย่อมต้องมีเรื่องใหญ่ไม่ทันถึงหน้าเรือน บุตรชายของท่านหมอก็นำจดหมายของบิดามาถวายให้เจ้าปกครองเมืองเมื่ออ่านข้อความจนจบ มือที่เหี่ยวย่นถึงกับสั่น “บังอาจนัก! สายเลือดตระกูลข้าก็กล้าลอบสังหารหรือ! ต่อให้เป็นบุตรของสตรีใด หากสืบเชื้อสายมังกรจากตระกูลหลิง ก็ล้วนมีค่าเท่ากัน ไม่ว่าใครเป็นคนทำ ข้าจะไม่ปล่อยให้รอดเด็ดขาด!“หลิงจงสอบสวนอยู่ที่ไหน”“หน้าเรือนของอนุหลี่ขอรับ”“นำข้าไป”เจ้าปกครองเมืองก็ปรากฏตัวขึ้น ท่าทางเดือดดาลไม่แพ้หลิงจงเลยแม้แต่นิดคำพูดยังไม่ทันขาดเสียง ก็มีเสียงตวาดดังลั่นจากหน้าเรือน“ข้าจะไม่พูดอะไรมาก เรื่องเช่นนี้ครั้งก่อนเกิด พวกเจ้าจำไม่ได้รึว่ามีใครต้องตายบ้าง” เจ้าปกครองเมืองมองไปทั่ว ๆ ครั้งก่อนเขาพลาดเพราะคิดไม่ถึงว่าคนที่ทำ ซึ่งหากพูดกันตามตรงเขา
บทที่ 12 ไฟถูกจุดอีกครั้งเช้าวันถัดมา ท่านหมอถูกตามมายังเรือนของอนุหลี่ตั้งแต่นางยังไม่ทันจะแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย และสาเหตุที่เร่งด่วนเช่นนี้ กลับไม่ใช่เพราะคำสั่งของหลิงจง แต่เพราะ จางซี่ สาวใช้คนสนิทของหลี่เหลี่ยงหรง ที่รู้จักกับบุตรชายของท่านหมอเป็นการส่วนตัว นางจึงไปตามตัวมาตั้งแต่เมื่อคืน“เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” จางซี่ถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน ราวกับหญิงสาวป่วยหนักเป็นมารดาหรือน้องสาวของตนเองแม้ทั้งสองจะเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด จางซี่จึงเต็มใจรับใช้อนุหลี่อย่างยิ่ง ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้นางมีโอกาสเลือกนายได้ตั้งหลายครั้งแต่ก็ไม่เคยยอมรับใช้ใคร ด้วยสถานะที่เป็นหลานสาวของแม่นมเก่าในจวน หลายคนยังเกรงใจนางอยู่บ้าง“เจ้านี่ตื่นเต้นเสียยิ่งกว่าใคร”บุตรชายท่านหมอหัวเราะเบา ๆ กล่าวอย่างสนิทสนมเพราะทั้งคู่เติบโตมาด้วยกัน และยิ่งทำให้หลี่เหลี่ยงหรงมั่นใจว่าจางซี่เลือกคนมาถูกจริง เมื่อท่านหมอตรวจชีพจรเสร็จ กลับขมวดคิ้วแล้วเอ่ยขึ้น “แปลกยิ่งนัก…”จางซี่ถึงกับรีบทรุดตัวลงข้างเตียง“แปลกเช่นไรหรือเจ้าคะ”หลี่เหลี่ยงหรงที่นั่งพิงหมอนอยู่ก็เอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่สบายใจ“ชีพจรสับสน
บทที่ 11 เป็นเบี้ยย่อมต้องเดินตามสั่งเท่านั้นหลังจากจางซี่ออกไปหลี่เหลียงหรงก็เอ่ยถามเรื่องของรับขวัญกับหลิงจง หลี่เหลี่ยงหรงที่ลังเลมาหลายวัน นางจะคุยเรื่องนี้หลายต่อหลายครั้งแต่ก็ไม่มีโอกาสสักที“จะว่าไป… วันที่ข้าเข้ามาในจวน มีหีบหนึ่งเต็มไปด้วยเสื้อผ้า เครื่องประดับ และตั๋วเงิน เขียนว่าเป็นของรับขวัญข้า”หลิงจงที่นั่งพิงเสาอยู่เงยตามองนาง “นั่นเป็นของที่แม่ข้าเตรียมไว้ให้”“มารดาของท่านหรือ…”“นางไม่อยู่แล้ว”“เช่นนั้นใครคนนำมาให้”“เจ้าเป็นบุตรีของอาจารย์จริงหรือ ช่างโง่ยิ่งนัก”หลี่เหลี่ยงหรงเม้มปากแน่น “ข้าก็แค่อยากจะคืน ของพวกนั้นมีค่ามากเกินไป”“แม่ข้าตั้งใจจะให้สะใภ้คนแรก ในเมื่อเป็นเจ้าก็รับเอาไว้เถอะ” “เจ้าค่ะ” หญิงสาวก้มหน้ารับเบา ๆหลิงจงจ้องนางนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเรียบ ๆ “คืนนี้ข้าจะค้างที่นี่” “เจ้าค่ะ” เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย “เมื่อก่อนเจ้าไม่ใช่คนถามคำตอบคำเช่นนี้นี่นา” “ข้าก็เป็นเช่นนี้” นางตอบอย่างแผ่วเบา ความทรงจำในอดีตหวนกลับมา นางเคยมีความฝัน เคยหัวเราะ เคยเพ้อฝันถึงวันที่จะได้อยู่เคียงข้างเขา แต่บัดนี้นางเหมือนคนที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ ไม่มีเข็มทิศนำทาง ปล่อย
บทที่ 10 ไฟในจวนกลางดึกคืนนั้น หลิงจงมาถึงเรือนของหลี่เหลี่ยงหรง เงาโคมสว่างเพียงริบหรี่เผยให้เห็นร่างของหญิงสาวที่นอนคว่ำหน้า บนหลังเต็มไปด้วยรอยหวายแดงจางและแผลเปิด“นายหญิงหลับไปแล้วเจ้าค่ะ จะให้ปลุกไหมเจ้าคะ” จางซี่ถามเสียงเบา หลิงจงส่ายหน้า “ไม่ต้อง ปลุกนางไปก็ทำอะไรไม่ได้”คำพูดที่ไม่ใส่ใจทำให้จางซี่โกรธนายน้อยของตน แต่เมื่อเขายื่นยารักษาให้ สีหน้าโกรธเคืองของจางซี่ก็อ่อนลงวันถัดมาหน้าตาของหลิงจงดูจะหงุดหงิดเล็กน้อยทำให้บิดาที่นั่งร่วมโต๊ะด้วยต้องเอ่ยถามอย่างรำคาญใจ“เจ้าจะทำหน้าเช่นนั้นไปถึงเมื่อใดกัน”“ข้าก็แค่อารมณ์ไม่ดี ท่านพ่อจะสนใจอะไร” “เจ้าเพิ่งแต่งเมียมีรึจะอารมณ์ไม่ดี”“ก็เพราะข้าเพิ่งแต่ง แต่กลับทำอะไรไม่ได้ ไม่รู้ใครเอาหวายลงหลังนางจนได้ไข้” แม้คำพูดจะลอย ๆ แต่กลับทำให้ฮูหยินใหญ่สะดุ้งเล็กกน้อย เพราะนางไม่คิดว่าหลิงจงจะเอ่ยเช่นนี้ต่อหน้าบิดาของตน“เจ้าดูจะหลงนางไม่ใช่น้อยเลยนะ อย่าลืมนะว่านางเป็นเพียงอนุของเจ้า” หลิงจงหัวเราะหยัน “คำพูดเช่นนี้ของท่านพ่อข้าจะเชื่อได้หรือ ตอนจวนแทบลุกเป็นไฟเพราะท่านรักภรรยาไม่เท่ากัน ข้ายังจำได้อยู่เลย” หลิงจงเอ่ยอย่างขำขันเพราะบ
บทที่ 9 ข้อหาที่ไม่อาจปฏิเสธ“เจ้าหมายความว่าหลังจากข้าถูกปล่อยตัวมาเป็นหลานสาวของฮูหยินใหญ่หรือที่ถูกนำตัวไปบูชายันแทน” “เจ้าค่ะ แม้จะเป็นหลานห่าง ๆ แต่เพราะบิดามารดาของคุณหนูคนนั้นโทษฮูหยินใหญ่ นางก็เลยพาลโกรธเคืองมาโลงที่นายหญิง”เหลี่ยงหรงถอนหายใจยาว “เรื่องบูชายัญไม่ควรเกิดขึ้นตั้งแต่แรก…”“นายน้อยเองก็เคยบ่นกับแม่นมเจ้าค่ะ ว่าแก้ปัญหาไม่ตรงจุด ไม่ยอมจัดการที่สาเหตุ”หลี่เหลี่ยงหรงเผลอยิ้มบาง ๆ เมื่อได้ยิน เพราะแม้จะผ่านเรื่องร้ายแรงมาเพียงใด หลิงจงก็ยังเป็นคนที่นางเคยแอบชอบอยู่วันยันค่ำ“อนุหลี่ อนุหลี่เจ้าคะ” เสียงของสาวใช้ที่ดังที่หน้าเรือนทำให้หลี่เหลี่ยงหรงขมวดคิ้ว ถ้ามีคนมาตามเช่นนี้คงมีเรื่องไม่ดีนัก“ฮูหยินให้มาตามท่านไปเจ้าค่ะ”“เมื่อเช้าข้าก็เพิ่งไปมา เรื่องเร่งด่วนหรือ”“ข้ามิรู้เจ้าค่ะ แค่ฮูหยินสั่งให้ท่านไป ท่านก็ควรไปมิใช่หรือเจ้าคะ”“นี่เจ้า” จางซี่ที่เห็นอีกฝ่ายหมายใจจะกลั่นแกล้งนายหญิงตนก็คิดจะเข้าสู้ กำลังจะโต้กลับ แต่หลี่เหลี่ยงหรงยกมือห้าม“สักครู่ข้าจะตามไป”“ต้องไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” เหลี่ยงหรงถอนหายใจ “เช่นนั้นเจ้าก็ยืนรอเสียตรงนี้” “ให้ข้าไปด้วยไหมเจ้าคะน
บทที่ 8 เรือนใหม่และเงาของจวน“กดตัวเองจนชินแล้วหรือ”เสียงเย็นของหลิงจงดังขึ้นจากด้านหลัง หลี่เหลี่ยงหรงไม่แม้แต่จะหันมอง ไม่ตอบ ไม่ปริปากสักคำ ตั้งแต่เรื่องคืนนั้นนางไม่เคยพูดกับเขาให้รู้เรื่องอีกเลยตั้งแต่เกิดเรื่องนางยังไม่ปริปากพูดคุยกับเขาให้รู้เรื่องสักคำ“นายน้อยเข้าไปในเรือนเถอะเจ้าค่ะ” จางซี่เอ่ยเชิญ แต่หลี่เหลี่ยงหรงเพียงเดินไปยังเรือนใหม่ที่จัดไว้ให้ตนเอง สีหน้าเรียบนิ่งจนไม่อาจอ่านออก“เรือนนี้ไม่เคยมีเจ้าของมาก่อน แต่ก็ดูไม่เก่าเลยนะ” หลิงจงเอ่ยขึ้นมาลอย ๆ แต่จางซี่กลับรีบตอบ “ที่จริงก็เก่าเจ้าค่ะ แต่เมื่อวานข้าพาคนที่เรือนของนายน้อยมาทำความสะอาด ลำพังข้าคนเดียวคงทำไม่ไหว”หลิงจงหัวเราะหึในลำคอ“ก็คงต้องเป็นเช่นนั้น เพราะฮูหยินของท่านพ่อมิเจียดแบ่งอะไรมาให้เลย เอาเงินนี่ไปหาอะไรมาเอานี่ไปตกแต่งเรือนให้นาง อย่าให้เสียหน้า ข้าไม่อยากให้ใครพูดว่าอนุของข้าต้องอยู่เรือนโทรม“ เขาล้วงเงินออกมายื่นให้จางซี่เร่งเข้าไปรับเงินนั้นแต่หลี่เหลี่ยงหรงรีบห้ามนางเอาไว้“ไม่จำเป็นหรอกเจ้าค่ะ ลำบากกว่านี้ข้าก็เคย มิจำเป็นต้องวุ่นวาย” หลิงจงก้าวเข้าใกล้จนหญิงสาวต้องเงยหน้ามอง “ใครบอกว่า







