ตอนที่ 12 พวกข้าไม่มีเงิน
“ไหนเจ้าบอกว่าไม่ไกลมิใช่หรือ.. เหตุใดหมู่บ้านที่เจ้าว่ายังไม่ถึงเสียที” เสี่ยวจ๋ายหันไปถามเจียอวี่ พร้อมทั้งสลับมองใบหน้าที่ไร้อารมณ์ของหลี่เฟยหลง ที่คล้ายกับว่าเธอนั้นเดินด้วยท่าทางที่แสนจะสบาย ไม่ได้แสดงอาการเหน็ดเหนื่อยออกมาเลยแม้แต่น้อย
“เจ้าบ่นเช่นนี้.. ข้ากำลังคิดว่าเจ้าเหนื่อยนะเจ้าจิ้งจอก” และเพราะสหายตัวน้อยนี้ช่างน่าหยอกเย้า เจียอวี่ได้ที่จึงหยุดนิ่งไม่ได้ขยับ พร้อมทั้งหันไปมองใบหน้าของเสี่ยวจ๋ายที่ทำหน้าหงิกงออย่างไม่ค่อยจะสบอารมณ์
“ข้าไม่ได้เหนื่อย!” แต่เพราะคำพูดที่น่าจะทิ่มแทงหัวใจจึงทำให้จิ้งจอกน้อยอย่างเสี่ยวจ๋ายนั้นสะบัดหน้าหนี ก่อนจะหันขวับมามองที่หลี่เฟยหลงนิ่งอย่างมีความหมาย
“เพ่ยเพ่ย.. เจ้าขี่หลังข้าดีหรือไม่” จิ้งจอกน้อยเอ่ยถามสหายซึ่งเป็นสตรีเพียงนางเดียวอย่างอ่อนโยน
“ข้าไม่เหนื่อย” แต่เมื่อได้ยินคำตอบของเธอแล้วนั้น เสี่ยวจ๋ายที่มองหน้าเธฮไม่กะพริบได้แสยะยิ้มจนกว้างออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ หลี่เฟยหลงมองหน้าเจ้าจิ้งจอกหัวขาวตัวนี้อย่างชั่งใจ
“เช่นนั้น~ ข้าแปลงกายเป็นจิ้งจอกตัวน้อยน่ารักให้เจ้าอุ้มดีหรือไม่.. ขนของข้านั้นนุ่มมาก.. ตัวก็เล็กนิดเดียว.. เจ้าไม่เหนื่อยมากนักหรอก” เฟยหลงจ้องหน้าเสี่ยวจ๋ายด้วยสายตาที่ไร้อารมณ์ พร้อมกันนั้นยังลอบถอนหายใจเสียงดังในท่าทางเอือมระอา
“เจ้าจิ้งจอกตัวน้อยหัวขาวไร้เรี่ยวแรง~ เจ้าดูนั่นนะ..” เจียอวี่เดินเข้าไปจับไหล่ทั้งสองของเขาให้หันหลังไปอีกด้าน พร้อมทั้งชี้นิ้วเรียวไปที่หนึ่งที่มองดูคล้ายหมู่บ้านอยู่ลิบตา
“แล้วทำไมเจ้าเพิ่งบอก!” เสี่ยวจ๋ายหันหลังกลับมาจ้องหน้าเจียอวี่เขม็ง
“แล้วเหตุใดเจ้าไม่ถาม” เฟยหลงที่ยืนฟังมานาน เอียงคอไปถามสหายตัวน้อยพร้อมเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนจะเดินผ่านทั้งสองไปยังหมู่บ้านนั้นที่อยู่ไม่ไกลนัก
จนเมื่อทั้งสามที่เดินถกเถียงกันมาจนถึงสถานที่แห่งนี้ ใช้สายตากวาดมองกลับไม่ใช่หมู่บ้านอย่างที่เข้าใจแต่เป็นโรงเตี๊ยมประหลาดที่ดูลึกลับอยู่ข้างทาง สามเกลอเดินเข้ามาด้านในที่ดูคล้ายว่าจะไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตอื่นนอกจากพวกเขา นั่นทำให้ทั้งหมดต้องเดินตรวจสอบภายในโรงเตี๊ยมแห่งนี้อย่างระวัง
ปึง!
แต่ยังไม่ทันที่ทั้งสามจะได้สำรวจที่แห่งนี้จนถ้วนที่ ได้มีชายฉกรรจ์สวมชุดสีดำทะมึนน่าเกรงขาม ผลักประตูจนเกิดเสียงดังเดินเข้ามาอย่างอุกอาจ
“เถ้าแก่อยู่ไหน!”
ชายฉกรรจ์ผู้นี้เดินผ่านทั้งสามไปนั่งที่โต๊ะอย่างไม่นึกสงสัยหรือสนใจพวกเธอ พร้อมทั้งตะโกนเสียงดังอย่างคุ้นเคยและเหมือนว่านี่จะเป็นรหัสลับ เพราะทันทีที่ชายคนนี้ตะโกนเรียก เถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมแห่งนี้ก็เดินออกมาจากมุมหนึ่งของร้าน
ทั้งสามมองหน้ากันด้วยความแปลกใจ แต่ความแปลกใจนี้ไม่ใช่เพราะเถ้าแก่มาจากไหนแต่แปลกใจที่หน้าตาของเถ้าแก่โรงเตี๊ยมนี้ กลับเหมือนชายฉกรรจ์ผู้นั้นไม่มีผิดเพี้ยนแม้แต่น้อยราวกับว่าเป็นคนเดียวกัน
“อาคมบังตา”
เจียอวี่เอ่ยขึ้นพร้อมเสี่ยวจ๋าย ทั้งสองดูไม่ตกใจกับเหตุการณ์นี้มากนัก แต่สำหรับมนุษย์ยุคปัจจุบันเช่นหลี่เฟยหลงแล้ว แม้จะท่องไว้ในใจว่านี่คือโลกนิยายมิติลี้ลับที่อะไรก็เกิดขึ้นได้ แต่เมื่อพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้จริง ๆ ทุกอย่างกลับยังน่าตื่นเต้นจนหัวใจเต้นรัวไม่มีผิด
“พวกเจ้ารู้จักอาคมนี้งั้นหรือ” เฟยหลงเอนกายขยับใบหน้าไปถามทั้งสองด้วยน้ำเสียงที่เบาราวกระซิบ
“ไม่ใช่อาคมที่หายาก.. แต่น้อยคนมากที่จะใช้มันได้” เจียอวี่เองขยับใบหน้าเอนมาตอบด้วยเสียงแผ่วเบา
“เจ้าสาม.. พวกท่านจะเข้ามาหรือไม่” และเพราะทั้งสามคนตั้งใจกระซิบคุยกันอย่างออกรสออกชาติ ทำให้เมื่อเถ้าแก่ผู้นั้นหันมาเอ่ยถาม พวกเขาเป็นต้องสะดุ้งอย่างช่วยไม่ได้
“เข้า.. เข้าขอรับ”
เจียอวี่เอ่ยขึ้นก่อนจะส่งสัญญาณให้ทั้งสามคนเดินเข้าไปนั่งโต๊ะที่ห่างจากบุรุษผู้นั้นไม่มาก หลี่เฟยหลงหันไปมองเถ้าแก่ที่เดินเข้าไปด้านหลังแม้นว่าพวกเขาจะยังไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาเลยสักคำ ก่อนจะเดินออกมาพร้อมอาหารมากหน้าหลายตา ถูกนำออกมาวางตรงหน้าด้วยใบหน้าของเจียอวี่
“เชิญขอรับ” เถ้าแก่ประหลาดผู้นี้เอ่ยขึ้นเพียงแค่นั้น
ก่อนจะเดินหายไปทางด้านหลัง เฟยหลงหยิบกล่องเข็มเงินออกมาจิ้มอาหารทั้งหมด ข้อดีของการเขียนนิยายจีนโบราณก็เหตุนี้แหละนะ ปกติทำได้แค่เขียนลงไปบนคีย์บอร์ดตอนนี้กลับได้ใช้งานจริง เริ่มสนุกกับชีวิตในโลกนี้เสียแล้วสิ เวลาผ่านไม่ถึงถ้วยชา เมื่อเข็มเงินไม่เปลี่ยนสีแสดงว่าอาหารพวกนี้ปลอดภัย
ปึง!
และทันทีที่น่องไก่ชิ้นโตกำลังเข้าปากของเฟยหลง บุรุษชุดดำผู้นั้นได้กระแทกวางก้อนเงินสามก้อนลงบนโต๊ะตัวนั้นจนเกิดเสียงดัง ก่อนที่จะเดินผ่านทั้งสามไป มีแวบหนึ่งที่เขาหันมามองเธอด้วยหางตาอย่างนึกสงสัย แต่ก็เป็นเพียงแวบเดียวเท่านั้น
“เฮ้อ~” เฟยหลงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกแบบไม่ปิดบัง
ผู้ชายที่หน้าตาน่ากลัว มิหนำซ้ำรูปร่างของเขายังน่าเกรงขามเพียงนั้นหากเกิดอยากหาเรื่องขึ้นมา มีเพียงหนึ่งหญิงที่ไม่รู้เรื่องราวการต่อสู้แม้แต่น้อย หนึ่งชายที่เพิ่งหายจากการป่วยและดูเหมือนว่าจะไม่มีท่าทีว่าจะต่อสู้เป็น และอีกหนึ่งตัวที่เอาแต่หยิบปลาและน่องแกะไปกินแบบไม่สนใจใคร รวมกันแล้วยังมองไม่เห็นหนทางชนะเลยแม้แต่นิด
“เจ้ากินได้แล้ว.. อย่าได้กังวลนักเลยพวกข้าดูแลเจ้าได้” เจียอวี่เอ่ยกับเธอด้วยน้ำเสียงจริงจังหนักแน่น จนเมื่อทั้งสามจัดการกับอาหารทั้งหมดเรียบร้อย
“อาอวี่~ เจ้ามีเงินจ่ายอาหารมื้อนี้ใช่หรือไม่” เฟยหลงเอ่ยถามเจียอวี่ทันทีที่กินเสร็จด้วยน้ำเสียงที่เรียกว่าอ่อนหวานที่สุดเท่าที่จะทำได้ พร้อมทั้งส่งสายตากะพริบปริบ ๆ อย่างน่ารักน่าเอ็นดู
“อาเพ่ย~ เจ้าคงไม่ได้ลืมหรอกใช่หรือไม่.. ว่าเดิมทีตัวข้านั้นถูกชิงทรัพย์จนเกือบตายถึงได้ไปอยู่กับเจ้า” เจียอวี่ยกยิ้มแห้งให้เธอ ก่อนที่ทั้งคู่จะหันไปมองหน้าคนที่กินจนท้องแน่นอย่างต้องการที่พึ่งพิง แต่เมื่อคิดได้ว่าเสี่ยวจ๋ายนั้นเป็นเพียงจิ้งจอกน้อยที่ตกสวรรค์ทั้งสองจึงหันกลับมามองหน้ากันก่อนจะเงียบกริบปิดปากสนิท
“พวกเจ้าเป็นอันใดกัน.. กินไม่อิ่มงั้นหรือ” เจ้าจิ้งจอกหัวขาวที่ลุกขึ้นมายืนเต็มความสูง หันมองหน้าเฟยหลงสลับกับมองหน้าเจียอวี่อย่างไม่เข้าใจ
“ไม่ใช่อย่างนั้น..” เฟยหลงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงต่ำราวกับไม่อยากเอ่ยถึง
“เจ้าสองคน.. วิ่งไวหรือไม่” เจียอวี่กระซิบขึ้นด้วยคำถามที่ทั้งสองเข้าใจ เสี่ยวจ๋ายยิ้มกว้างพร้อมทั้งยังกางกรงเล็บอวดอย่างน่าหมั่นไส้
“ไม่นะ!” และเพราะสิ่งที่คิดมันกำลังจะเกิดขึ้น เจียอวี่และเสี่ยวจ๋ายหันมองรอบโรงเตี๊ยมด้วยท่าทางที่น่าสงสัย และเมื่อไม่เห็นคนอื่นทั้งสองจึงกระชากมือของเฟยหลงวิ่งออกจากโรงเตี๊ยมทันที
ปึก!
“โอ๊ย”
“พวกท่านจะรีบไปหรือขอรับ”
เสียงของเถ้าแก่เดินมาทางด้านหลัง ทันทีที่ทั้งสามวิ่งชนกับประตูอย่างแรงจนเฟยหลงที่ไม่ทันระวังตัวกระเด็นไปกองที่พื้นอย่างน่าเวทนาโดยที่ทั้งสองคนไม่เป็นอะไรเลย ดีมาก!
“เถ้าแก่.. คือมิใช่แบบนั้น พวกเราแค่ เอ่อ..” เจียอวี่ที่ไม่รู้ว่าจะหาคำไหนมาแก้ต่างได้แต่อึกอัก
“คือพวกข้ากินอิ่ม.. แค่อยากลองวิ่งย่อยอาหารเท่านั้น มิได้มีเจตนาอื่น มิได้มีเจตนาอื่น” เสี่ยวจ๋ายรีบดึงแขนเฟยหลงที่ยังนั่งอยู่กับพื้นขึ้นมาอย่างเร่งรีบ เจ้าจิ้งจอกหัวขาวใช้พลังของปีศาจจิ้งจอกมองในโรงเตี๊ยมให้ชัดเจน ถึงได้เข้าใจและมองเห็นว่าทุกจุดในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ปกคลุมด้วยอาคมที่ไม่รู้จัก และคาดว่าทั้งสามนั้นจะไม่สามารถออกจากที่นี่ได้ง่ายเช่นกัน
“พวกข้าไม่มีเงิน” หลี่เฟยหลงที่ยืนนิ่งอยู่นานเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดังและฟังชัด ในเมื่อเรื่องราวก็มาถึงขั้นนี้แล้วอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เธอเอ่ยพร้อมทั้งเลื่อนมือเข้าไปล้วงกำมีดที่เธอเก็บไว้ในแขนเสื้อแน่น เตรียมพร้อมหากต้องตายแบบศพไร้ญาติ ก็ขอสู้สักครั้ง
“เงิน.. เหตุใดพวกท่านต้องใช้เงิน” เถ้าแก่หันมาถามด้วยใบหน้าของเจียอวี่ที่กำลังค่อย ๆ สลายไปกลายเป็นชายมีอายุที่เดินไปเก็บก้อนเงินอีกโต๊ะ แล้วหันมามองที่พวกเราอีกครั้ง
“ค่าอาหารโต๊ะนี้เพียงไม่กี่อีแปะ ส่วนสามก้อนนี้เป็นส่วนที่จ่ายแทนพวกท่าน รวมถึงม้าสามตัวด้านนอกนั้นด้วย”
คำพูดของเถ้าแก่ทำให้พวกเราหันมองหน้ากันด้วยความไม่วางใจ แต่เมื่อเฟยหลงหันไปมองที่เถ้าแก่คนนั้นอีกครั้ง เพียงในเวลาที่แสนสั้นไม่กี่วินาทีที่ตรงนั้นกลับว่างเปล่า
“หมายความว่าเช่นไรกัน” เธอหันไปเอ่ยถามเจียอวี่ที่ยืนทำหน้าครุ่นคิดอยู่เช่นเดียวกัน แต่ก็ไร้ซึ่งคำตอบ ทั้งสองได้แต่มองหน้ากันตาปริบ ๆ อย่างมึนงงและไม่เข้าใจ
“เมื่อครู่.. เถ้าแก่นั้นพูดว่าม้าสามตัว! เช่นนั้นพวกเราออกไปดูก่อนกันก่อนดีหรือไม่”
ตอนที่ 98 เจิงฮูหยิน.. ข้ามาแล้วทั้งสี่ยืนมองเจิงอวี้เจินที่ร้องไห้อย่างน่าสงสาร สองแขนของเขากอดร่างกายของภรรยาเอาไว้แน่น ใบหน้าคมประกบจูบลงที่ริมฝีปากของนางก่อนจะขยับเลื่อนไปหอมแก้มทั้งสองข้างของเธอ พร้อมทั้งจุมพิตที่หน้าผากอย่างอ่อนโยนก่อนจะค่อย ๆ ช้อนตัวของเฟยหลงนั้นขึ้นยืนเต็มความสูงเพื่อเดินอุ้มนางไปวางไว้บนเตียง"ข้าขออยู่ส่งนางจนวินาทีสุดท้ายได้หรือไม่" เขาหันมามองท่านยายหลิงไถที่พยักหน้าให้เล็กน้อย เมื่อเขาได้รับอนุญาตแล้วจึงได้ขึ้นไปนอนคู่กันกับเธอบนเตียง สองแขนกอดร่างกายของเธอเอาไว้แน่นอยากสัมผัสไว้ให้นานที่สุด"พวกเจ้าทั้งสองออกไปรอด้านนอกก่อน ข้าจะเตรียมพิธีและเมื่อถึงเวลาอันสมควรข้าจะให้กู่ป๋ายออกไปเรียกพวกเจ้า" สิ้นสุดคำพูดของท่านยายสหายทั้งสองได้มองใบหน้าของเจิงอวี้เจินและหลี่เฟยหลงอีกครั้งก่อนจะเดินออกไปรอด้านนอกอย่างว่าง่าย"กู่ป๋าย.. เจ้ากลัวหรือไม่" แม้ว่าเจิงอวี้เจินนั้นจะได้ยินเสียงของท่านยายและน้องชายของแม่นางเพ่ยเพ่ยคุยกัน แต่เขากลับได้หาสนใจไม่ เขาไม่สนใจเลยว่าทั้งสองจะพูดเรื่องอะไร เขาสนใจเพียงแต่เขาอยากจะกอดร่างกายของภรรยาของเขาเอาไว้ให้นานที่สุด น้ำตาของชาย
ตอนที่ 97 หากนางอยู่ที่นี่.. นางจะเจ็บปวด"เหตุใดเจ้าถึงไม่ยินดี.. ในเมื่อเรื่องนี้เราทั้งสองนั้นได้คุยกันมาก่อนแล้วไม่ใช่หรือ ว่าหากจบเรื่องราวทั้งหมด ข้าจะให้ท่านพ่อของข้าไปสู่ขอเจ้า""ท่านพี่.. ข้ารักท่านอย่างที่ไม่เคยรักชายใดมาก่อน ท่านเป็นคนแรกที่ทำให้ข้ารู้จักคำว่ารัก คำว่าห่วงใย เพียงแต่ท่านหลงลืมไปแล้วอย่างนั้นหรือว่าข้ามิใช่คนในโลกใบนี้ หากเมื่อเราทั้งสองนั้นได้ตกลงปลงใจเข้าร่วมพิธีสมรสในครั้งนี้ หากข้าต้องสลายกลายเป็นเถ้าธุลีท่านจะอยู่อย่างโดดเดี่ยวข้าไม่ยินดีให้ท่านเป็นเช่นนั้น ข้าไม่ยินดีที่ให้งานมงคลสมรสของเราทั้งคู่เป็นสิ่งที่จะเหนี่ยวรั้งท่าน.. ท่านเข้าใจความรู้สึกของข้าหรือไม่""แม่นางหลี่เฟยหลง.. เช่นนั้นเจ้าฟังคำของข้าให้ดี ต่อให้ในโลกใบนี้หรือใบไหน หากเจ้าอยู่ที่ใดข้าขอให้คำมั่นสัญญาต่อฟ้าดินเพื่อเป็นพยาน ข้าจะรักเพียงเจ้าจะติดตามเจ้า ไปทุกที่ หรือต่อให้เจ้าจะทิ้งข้าไว้ในที่แห่งนี้ ทะเลเพลิง ภูเขาน้ำแข็งหรือต้องตายกี่ครั้ง ข้าก็ไม่เสียใจเลยแม้แต่น้อย ขอเพียงแค่ข้าได้รักเจ้าได้ดูแลเจ้าได้อยู่กับเจ้า แม้จะเป็นเพียงหนึ่ง วัน สองวัน เจ็ดวัน หนึ่งเดือน หนึ่งปี หรือตลอดชี
ตอนที่ 96 ข้าไม่ยินดีสำหรับงานมงคลสมรสในครานี้เฟยหลงมองดูแม่นางเพ่ยเพ่ยที่กระโดดโลดเต้นไปมาราวกับว่านางนั้นกำลังทำสิ่งที่เฝ้ารอจนสำเร็จ ด้วยความดีใจของสตรีผู้นี้ที่ดูจะดีใจเกินกว่าปกติทำให้เธอรู้สึกอยากรู้อีกครั้งได้ชะโงกหน้าไปมองที่ตำราเล่มนั้นอีกครา ในตำราหมายเหตุไว้ว่าหากต้องการสิ่งใดให้นึกถึงสิ่งนั้น เป็นการซ้อนวิญญาณของสิ่งมีชีวิตอีกโลกขนานหนึ่ง"สิ่งมีชีวิตอีกโลกหนึ่ง.. เหตุใดในยุคสมัยนี้ถึงรู้เรื่องราวเหล่านี้""ข้าต้องการท่านแม่.. หากข้าสามารถเรียกวิญญาณท่านแม่ได้เรื่องราวพวกนี้ก็จะจบลง แต่หากข้าทำไม่สำเร็จวิญญาณของคนผู้นั้นที่ข้าเรียกมาต้องสะสางเรื่องราวยุ่งเหยิงที่ข้าก่อขึ้นนี้ได้เป็นแน่"แม่นางเพ่ยพูดจบก็ได้วางทุกอย่างลงบนโต๊ะ พร้อมทั้งหยิบเจ้าปลาตัวใหญ่นั้นเดินเข้าไปในครัว แม้ว่าหลี่เฟยหลงจะอยู่ที่นี่อยู่นาน แต่เธอกลับไม่รู้ว่าที่แห่งนี้ส่วนนั้นเป็นครัวที่สามารถทำอาหารได้ เพียงแต่ไม่มีอุปกรณ์ใดที่ใช้ในการทำอาหารอะไรสักอย่าง เธอมองดูแม่นางเพ่ยเพ่ยที่ใช้พลังสีทองของตนในการถอดเกล็ดปลาเสียบไม้แล้วย่าง นางใช้พลังของตนเองในการทำจนหมดสิ้นราวกับไม่ว่าเธอจะไปอยู่ที่แห่งใดย่อมไม่อด
ตอนที่ 95 ซ้อนวิญญาณวิชาต้องห้ามสตรีผู้นี้แผดเสียงดังสนั่นไปทั่วทั้งห้องขัง สาดคำพูดต่อว่าสตรีที่สูงส่งผู้นี้อย่างไม่ได้รู้สึกเกรงกลัว แต่นอกจากที่พระสนมเอกจะไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองหรือไม่พอใจแล้ว นางกลับกำลังยกยิ้มอย่างชอบใจสายตาคู่นั้นของแม่นางเพ่ยเพ่ย มองไปทางน้องชายที่ถูกลากออกไป ราวกับหมูหมากาไก่เปรียบเหมือนว่าเขานั้นไม่ใช่สิ่งมีชีวิต ความรู้สึกคับแน่นในอกเริ่มทำให้นางไม่มีทางเลือก หากนางไม่ทำตามคำที่สนมเอกบอก ชีวิตของน้องชายนางไม่รอดแน่ แต่หากนางทำเรื่องที่พระสนมต้องการนั่นถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับเธอ หากมันสำเร็จก็ไม่ได้หมายความว่าชีวิตของเธอและน้องชายจะรอด แต่ก็ไม่ได้มีอะไรการันตีว่าทั้งสองจะไม่รอด"เจ้าคิดให้ดีหากเจ้าทำมันสำเร็จข้ารับรองว่าชีวิตของเจ้าและน้องชายเจ้า จะเดินทางออกจากแคว้นฉวางอย่างปลอดภัยหายห่วง.. แต่หากเจ้าไม่ยินดีข้าจะ นำหัวของน้องชายเจ้ามาคืนให้เจ้า.. เจ้าว่าเช่นนี้ดีหรือไม่"แม่นางเพ่ยเพ่ยทำได้เพียงจ้องมองไปที่น้องชายของตนเอง ที่กำลังหายลับไปจนสุดสายตา ก่อนจะสลับมามองพระสนมเอกที่มีนิสัยละโมบโลภมาก เธอไม่รู้เลยว่าทางออกของเธอควรเป็นอย่างไร เธอรู้เพียงแต่ใน
ตอนที่ 94 เจ้ามันปีศาจเธอตะโกนออกมาด้วยเสียงที่ดังก้องกังวานอย่างไม่มีที่สิ้นสุดจนรู้สึกแสบคอ ก่อนจะเด้งตัวมานั่งขัดสมาธิพร้อมทั้งกอดอก อย่างคนที่หงุดหงิด สายตาของเธอกวาดมองไปรอบ ๆ อีกครั้งก่อนจะหลับตาลงเล็กน้อย"ถ้าหงายหลังนอนอีกครั้งจะไปตกที่หลังคาวังหลวงหรือเปล่านะ" แม้ว่าเธอจะคิดเล่น ๆ แต่ทันทีที่เธอหงายหลังนอนลงไปอีกครา ร่างกายของเธอรู้สึกเบาหวิวอีกครั้ง"กำลังเดินทางอีกแล้วสินะ" เธอไม่แม้แต่จะลืมตามามองรอบกาย ทำได้เพียงแค่กอดอกพร้อมปล่อยร่างกายของตัวเองให้ไหลไปตามกระแสลมที่ได้รับฟึ่บ!แต่ครั้งนี้เธอรู้สึกว่าตนเองนั้นตกลงมาที่กองฟางเห็นจะได้ ดวงตาทั้งสองเปิดขึ้นเห็นเพียงแค่ความมืดสนิท เธอค่อย ๆ ใช้มือทั้งสองคลำไปรอบกายรับรู้ได้ว่ามันคือกองฟางจริง ๆ เฟยหลงดันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งพร้อมทั้งสอดสายตามองหาแสงสว่าง"จับมัน!" เธอต้องตกใจเมื่อได้ยินเสียงของผู้ชายคนหนึ่งเอ่ยคำสั่งที่น่ากลัว พร้อมทั้งเสียงฝีเท้าอีกหลายคู่วิ่งเข้ามาในกระท่อมหลังนี้ สองเท้าของเธอก้าวเดินออกไปข้างหน้าตามแสงสว่างที่มีเพียงน้อยนิดนั้น เธอแอบมองจากด้านในเห็นทหารมากมายในชุดดำกำลังจับสองพี่น้องที่ไม่มีทีท่าว่าจะร้
ตอนที่ 93 ความหลังของเพ่ยเพ่ยตู้ม!!แต่ไม่รู้ว่าเป็นเคราะห์ซ้ำหรือกำซัด ทันทีที่ก้นของเธอแตะที่ปุยเมฆขาวนุ่มฟูนั้นร่างกายของเธอก็ได้ตกลงไปในสระน้ำแห่งหนึ่งจนเนื้อตัวเปียกปอนฟู่ว~ทันทีที่เธอนั้นตะเกียกตะกายขึ้นโผล่พ้นน้ำ ริมฝีปากบางได้พ่นลมหายใจออกมาอย่างแรงเพื่อฮุบเอาอากาศด้านบน สายตาของเธอกวาดมองไปรอบกายเห็นกระท่อมที่คุ้นตา เฟยหลงจดจำกระท่อมหลังนี้ได้แม่นยำอย่างไม่มีวันลืม"ทำไมจู่ ๆ ถึงได้กลับมาที่กระท่อมกลางป่าอีกแล้ว" แม้ว่าจะสงสัยอยู่ไม่น้อย แต่บัดนี้หลี่เฟยหลงกำลังตะเกียกตะกายให้ตัวเองขึ้นมาจากในสระ ทันทีที่ร่างกายที่เปียกปอนของเธอปะทะเข้ากับสายลมที่พัดเข้ามาไม่ขาดสายทำให้รู้สึกหนาวเหน็บอยู่ไม่น้อย สองเท้าค่อย ๆ เดินขึ้นไปทางกระท่อมหลังนั้น ทุกอย่างดูไม่ผิดปกติจากที่เธอเห็นก่อนหน้านี้สักเท่าไหร่ เพียงแต่ที่แห่งนี้กลับรู้สึกว่ามีชีวิตชีวามากกว่าเมื่อคราวที่เธอมาในครั้งนั้นอยู่มาก"ท่านยาย.. ยาบำรุงนี้ปรุงอย่างนี้ใช่หรือไม่" ยังไม่ทันที่เธอจะผลักประตูเข้าไป หลี่เฟยหลงได้ยินเสียงของคนผู้หนึ่งดังขึ้นภายในกระท่อมหลังนั้น"ไม่ใช่! สมุนไพรชนิดนี้ไม่สามารถเป็นยาบำรุงได้เจ้าไปเอาชิ้นน