ตอนที่ 13 ดินแดนแคว้นฉวาง [1]
“เมื่อครู่.. เถ้าแก่นั้นพูดว่าม้าสามตัว.. เราออกไปดูก่อนกันก่อนดีหรือไม่” เมื่อเห็นด้วยกับคำพูดของเสี่ยวจ๋าย พวกเขาทั้งสามจึงตัดสินใจลองเปิดประตูนั้นอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้มันกลับถูกเปิดออกอย่างง่ายดาย ราวกับที่แห่งนี้เป็นโรงเตี๊ยมธรรมดาแห่งหนึ่ง
เมื่อทั้งสามออกมาได้แล้วนั้น ด้านหน้าปรากฏม้าที่ถูกผูกไว้กับต้นไม้สามตัว เจียอวี่เดินเข้าไปตรวจสอบเมื่อเห็นว่าม้าทั้งสามไม่ได้มีกลไก อาคม หรือความผิดปกติใด พวกเขาทั้งหมดพร้อมใจกันหันกลับไปเพื่อที่จะขอบคุณเถ้าแก่โรงเตี๊ยม ก็ต้องยืนนิ่งงันราวกับว่าฝันไป เพราะพื้นที่ตรงนั้นกลับว่างเปล่าราวกับว่าไม่เคยมีโรงเตี๊ยมหลังนั้นมาก่อน
“อะไรกันเนี่ย” เฟยหลงยิ่งเพิ่มความสงสัยไม่หาย เธอยืนมองพื้นที่ว่างเปล่านั้นด้วยความรู้สึกไม่อยากเชื่อสายตา ก่อนนี้ตรงนี้มีโรงเตี๊ยมเป็นเรื่องจริง อาหารที่กินก็เรื่องจริง เธอยกมือขึ้นมาลูบหน้าผากมนของตัวเอง ทั้งเจ็บและโนเป็นเรื่องจริง ม้าสามตัวเบื้องหน้าก็เรื่องจริง
“ไปได้แล้ว” และยังคงเป็นเจียอวี่ที่ส่งเสียงเรียกให้เธอหลุดจากภวังค์นั้น เธอมองพื้นที่โดยรอบอีกครั้งอย่างนึกสงสัยแต่ก็เพียงแค่นั้น เพราะทุกอย่างช่างดู.. ว่างเปล่า
“อืม” เฟยหลงที่เคยไปเข้าสนามขี่ม้ากับพ่ออยู่บ้างตอนเด็ก แต่พอมาเจอเหตุการณ์ที่ต้องขี่อย่างจริงจัง อาการประหม่าก็ค่อนข้างมากอยู่
“เจ้าขี่มันได้หรือไม่” เสี่ยวจ๋ายที่กระโดดขึ้นม้าด้วยท่าทางที่สง่างาม หันมามองเธอที่ยืนจ้องหน้าเจ้าอาชาสีขาวเผือกที่มันกำลังเล็มหญ้าสลับกับมองหน้าเธอ ราวกับว่ามันกำลังถามเธอว่าจะขี่มันหรือไม่
“ได้!” เฟยหลงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เป็นการข่มขวัญตัวเอง
เมื่อเธฮนั้นตั้งหลักได้แล้ว จึงกระโดดขึ้นม้าด้วยท่วงท่าที่คิดว่ามันช่างสง่างามที่สุดตามที่ครูเคยสอนเมื่อครั้งวัยเยาว์ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว ทั้งสามจึงเริ่มออกเดินทางด้วยความเร็วที่เจ้าม้าทั้งสามพอจะเร็วได้ แต่เพราะระยะทางจากกระท่อมของเธอนั้นที่อยู่นอกเขตที่ไกลไปหลายลี้กับทิศทางที่เจียอวี่บอกอยู่คนละทิศกับราชวัง ทำให้การเดินทางครั้งนี้ค่อนข้างใช้เวลานานพอสมควร
“อาอวี่.. เราหาที่พักกันดีหรือไม่” ผ่านไปมากกว่าสองวันที่ทั้งสามควบม้าอย่างบ้าระห่ำ หยุดพักเพียงไม่กี่ครั้ง ครั้งละกี่ถึงชั่วยาม นั่นจึงทำให้ร่างกายของทั้งสามค่อนข้างเหนื่อยล้าไม่น้อย เสี่ยวจ๋ายเลือกที่จะหยุดม้าก่อนจะหันมาถามเจียอวี่เสียงเรียบจริงจัง แต่สายตายังคงจ้องมองไปที่หลี่เฟยหลงที่ขี่ม้าตามหลังมาด้วยท่าทางที่ดูจะเหน็ดเหนื่อยอยู่มาก
“อาเพ่ย.. เจ้าเหนื่อยแล้วใช่หรือไหม เราหาที่พักกันก่อน” เจียอวี่ที่กำลังจะลงจากม้า แต่ถูกเฟยหลงห้ามไว้ก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธอย่างจริงจัง
“เดินทางกันต่อเถอะ.. ข้าอยากถึงที่หมายโดยเร็วที่สุด” ทั้งสามมองหน้ากันอย่างชั่งใจ แต่เมื่อเห็นว่าเธอนั้นยังยืนยันคำเดิม เจียอวี่จึงเลือกที่จะเร่งฝีเท้าของเจ้าอาชา พาทั้งสองมุ่งหน้าเข้าราชวังอย่างเร่งด่วน ไม่รู้เลยว่าตอนนี้สถานการณ์ในวังเป็นเช่นไร อาการของฮ่องเต้เป็นเช่นไร
“หยุด~” เจียอวี่สั่งหยุดม้ากะทันหัน ก่อนจะมองไปด้านหน้าที่มีกลุ่มทหารเดินตรวจการมากมายอยู่ห่างจากที่นี่ไม่มากนัก
“เกิดอะไรขึ้น” เสี่ยวจ๋ายเอ่ยถามอย่างงุนงงพร้อมทั้งใช้สายตาจ้องไปยังกลุ่มทหารนั้นที่อยู่ไม่ไกลมาก
“พ้นด่านตรงนี้ไป ก็เข้าเขตราชวังแล้ว พวกเจ้าพร้อมหรือไม่” เจียอวี่หันมาถามทั้งสองที่พยักหน้ารับอย่างหนักแน่น
ไม่รู้หรอกว่าในราชวังนี้จะสามารถมีวิธีทำให้เธอกลับไปยังโลกปัจจุบันได้หรือไม่ แต่ถ้าจะให้เลือกการตายแล้วออกไปเฟยหลงก็ใจไม่เด็ดพอ
เมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้วทั้งสามเริ่มขยับม้าคู่ใจที่เดินทางมาด้วยกันหลายวันให้ตรงไปทางด่านที่มีทหารตรวจการแน่นหนา และความหวังการผ่านด่านครั้งนี้คงต้องฝากไว้ที่เจียอวี่
“พวกเจ้าจะไปไหนกัน!” ทหารหน้าตาน่ากลัวเดินเข้ามาถามทันทีที่พวกเรานั้นหยุดม้าที่หน้าด่าน
เจียอวี่ไม่ได้ตอบอะไรออกไป เขาใช้มือหนาล้วงเข้าไปที่ชายเสื้อหยิบหยกชิ้นหนึ่งขึ้นมาส่งให้ทหาร เพียงเท่านั้นทหารนับสิบคนรอบบริเวณนั้นนั่งลงทำความเคารพโดยพร้อมเพรียงกัน ไม่แม้แต่ที่ทหารเหล่านั้นจะตกใจ เพราะเฟยหลงและเสี่ยวจ๋ายเองก็หันมองหน้ากันอย่างนึกสงสัยเช่นกัน
“ขออภัยที่พวกขามีตาหามีแววไม่.. เชิญขอรับ” เฟยหลงมองเหตุการณ์นั้นด้วยความสับสน เจียอวี่นั้นแล้ว ตกลงมียศถาบรรดาศักดิ์หรือว่าเป็นเพราะหยกห้วยเอวชิ้นนั้นที่มียศถาบรรดาศักดิ์กันแน่
“อาอวี่.. เจ้าสุดยอด!” เสี่ยวจ๋ายพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นหลังจากที่พวกเราเดินทางข้ามมายังพื้นที่ของแคว้นฉวางได้อย่างราบรื่น
“ข้าไม่ได้สุดยอด.. ที่สุดยอดคือป้ายหยกนั้นต่างหาก” เจียอวี่หันไปตอบเสี่ยวจ๋ายด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่จริงจัง
“อีกไกลหรือไม่” เฟยหลงเอ่ยขึ้นเมื่อตอนนี้มองไปทางไหน ก็ยังเห็นแต่ต้นไม้ใบหญ้าเต็มไปหมด
“ข้ามเขาลูกนั้นไปก็ถึงแล้ว” ทั้งสามหันไปมองตามเรียวนิ้วของเจียอวี่ที่ชี้ไปด้านหน้าที่เห็นเพียงเส้นทางและต้นไม้ใบหญ้า
“ไม่เห็นจะมีเขา” เสี่ยวจ๋ายเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงงุนงง ใบหน้าหันกลับมามองเจียอวี่อย่างตั้งคำถาม
“เจ้านี่มัน! เป็นจิ้งจอกเสียเปล่า.. เสี่ยชื่อหมด” เฟยหลงมองทั้งสองและพยายามกลั้นขำอย่างยากลำบาก ก่อนจะขยับเคลื่อนม้าไปด้านหน้าทิ้งให้สองคนนั้นถกเถียงกันเสียให้พอ
“อาเพ่ย! เจ้ารอข้าด้วยเจ้ามนุษย์ตัวขาวนี่รังแกข้า” เสี่ยวจ๋ายรีบควบม้าตามเธออย่างรวดเร็ว และตามมาด้วยเจียอวี่ที่เร่งฝีเท้าตามมาติด ๆ
“ข้าไม่ได้รังแกเจ้า! เจ้าต่างหากที่พูดไม่รู้เรื่องเจ้าจิ้งจอกหัวขาว” และยัง.. ยังคงเถียงกันไม่เลิก เฟยหลงส่ายหน้าก่อนจะมุ่งหน้าเร่งฝีเท้ามุ่งหน้าเข้าวัง โดยที่ไม่ได้สนใจสหายทั้งสองเลยแม้แต่น้อย
ทั้งสามเดินทางข้ามเขาลูกที่เจียอวี่พูดราวกับว่าใกล้นั้น ใช้เวลามากถึงสามชั่วยาม ผ่านด่านในเมืองมากกว่าห้าด่านด้วยป้ายหยกจนพากันเดินทางมาถึงหน้าจวนตระกูลเจิงได้อย่างปลอดภัย หลี่เฟยหลงแหงนหน้ามองป้ายหน้าจวนนั้นด้วยความรู้สึกคุ้นตาอย่างประหลาด
“อาอวี่.. เจ้าพักที่นี่งั้นหรือ”
ตอนที่ 98 เจิงฮูหยิน.. ข้ามาแล้วทั้งสี่ยืนมองเจิงอวี้เจินที่ร้องไห้อย่างน่าสงสาร สองแขนของเขากอดร่างกายของภรรยาเอาไว้แน่น ใบหน้าคมประกบจูบลงที่ริมฝีปากของนางก่อนจะขยับเลื่อนไปหอมแก้มทั้งสองข้างของเธอ พร้อมทั้งจุมพิตที่หน้าผากอย่างอ่อนโยนก่อนจะค่อย ๆ ช้อนตัวของเฟยหลงนั้นขึ้นยืนเต็มความสูงเพื่อเดินอุ้มนางไปวางไว้บนเตียง"ข้าขออยู่ส่งนางจนวินาทีสุดท้ายได้หรือไม่" เขาหันมามองท่านยายหลิงไถที่พยักหน้าให้เล็กน้อย เมื่อเขาได้รับอนุญาตแล้วจึงได้ขึ้นไปนอนคู่กันกับเธอบนเตียง สองแขนกอดร่างกายของเธอเอาไว้แน่นอยากสัมผัสไว้ให้นานที่สุด"พวกเจ้าทั้งสองออกไปรอด้านนอกก่อน ข้าจะเตรียมพิธีและเมื่อถึงเวลาอันสมควรข้าจะให้กู่ป๋ายออกไปเรียกพวกเจ้า" สิ้นสุดคำพูดของท่านยายสหายทั้งสองได้มองใบหน้าของเจิงอวี้เจินและหลี่เฟยหลงอีกครั้งก่อนจะเดินออกไปรอด้านนอกอย่างว่าง่าย"กู่ป๋าย.. เจ้ากลัวหรือไม่" แม้ว่าเจิงอวี้เจินนั้นจะได้ยินเสียงของท่านยายและน้องชายของแม่นางเพ่ยเพ่ยคุยกัน แต่เขากลับได้หาสนใจไม่ เขาไม่สนใจเลยว่าทั้งสองจะพูดเรื่องอะไร เขาสนใจเพียงแต่เขาอยากจะกอดร่างกายของภรรยาของเขาเอาไว้ให้นานที่สุด น้ำตาของชาย
ตอนที่ 97 หากนางอยู่ที่นี่.. นางจะเจ็บปวด"เหตุใดเจ้าถึงไม่ยินดี.. ในเมื่อเรื่องนี้เราทั้งสองนั้นได้คุยกันมาก่อนแล้วไม่ใช่หรือ ว่าหากจบเรื่องราวทั้งหมด ข้าจะให้ท่านพ่อของข้าไปสู่ขอเจ้า""ท่านพี่.. ข้ารักท่านอย่างที่ไม่เคยรักชายใดมาก่อน ท่านเป็นคนแรกที่ทำให้ข้ารู้จักคำว่ารัก คำว่าห่วงใย เพียงแต่ท่านหลงลืมไปแล้วอย่างนั้นหรือว่าข้ามิใช่คนในโลกใบนี้ หากเมื่อเราทั้งสองนั้นได้ตกลงปลงใจเข้าร่วมพิธีสมรสในครั้งนี้ หากข้าต้องสลายกลายเป็นเถ้าธุลีท่านจะอยู่อย่างโดดเดี่ยวข้าไม่ยินดีให้ท่านเป็นเช่นนั้น ข้าไม่ยินดีที่ให้งานมงคลสมรสของเราทั้งคู่เป็นสิ่งที่จะเหนี่ยวรั้งท่าน.. ท่านเข้าใจความรู้สึกของข้าหรือไม่""แม่นางหลี่เฟยหลง.. เช่นนั้นเจ้าฟังคำของข้าให้ดี ต่อให้ในโลกใบนี้หรือใบไหน หากเจ้าอยู่ที่ใดข้าขอให้คำมั่นสัญญาต่อฟ้าดินเพื่อเป็นพยาน ข้าจะรักเพียงเจ้าจะติดตามเจ้า ไปทุกที่ หรือต่อให้เจ้าจะทิ้งข้าไว้ในที่แห่งนี้ ทะเลเพลิง ภูเขาน้ำแข็งหรือต้องตายกี่ครั้ง ข้าก็ไม่เสียใจเลยแม้แต่น้อย ขอเพียงแค่ข้าได้รักเจ้าได้ดูแลเจ้าได้อยู่กับเจ้า แม้จะเป็นเพียงหนึ่ง วัน สองวัน เจ็ดวัน หนึ่งเดือน หนึ่งปี หรือตลอดชี
ตอนที่ 96 ข้าไม่ยินดีสำหรับงานมงคลสมรสในครานี้เฟยหลงมองดูแม่นางเพ่ยเพ่ยที่กระโดดโลดเต้นไปมาราวกับว่านางนั้นกำลังทำสิ่งที่เฝ้ารอจนสำเร็จ ด้วยความดีใจของสตรีผู้นี้ที่ดูจะดีใจเกินกว่าปกติทำให้เธอรู้สึกอยากรู้อีกครั้งได้ชะโงกหน้าไปมองที่ตำราเล่มนั้นอีกครา ในตำราหมายเหตุไว้ว่าหากต้องการสิ่งใดให้นึกถึงสิ่งนั้น เป็นการซ้อนวิญญาณของสิ่งมีชีวิตอีกโลกขนานหนึ่ง"สิ่งมีชีวิตอีกโลกหนึ่ง.. เหตุใดในยุคสมัยนี้ถึงรู้เรื่องราวเหล่านี้""ข้าต้องการท่านแม่.. หากข้าสามารถเรียกวิญญาณท่านแม่ได้เรื่องราวพวกนี้ก็จะจบลง แต่หากข้าทำไม่สำเร็จวิญญาณของคนผู้นั้นที่ข้าเรียกมาต้องสะสางเรื่องราวยุ่งเหยิงที่ข้าก่อขึ้นนี้ได้เป็นแน่"แม่นางเพ่ยพูดจบก็ได้วางทุกอย่างลงบนโต๊ะ พร้อมทั้งหยิบเจ้าปลาตัวใหญ่นั้นเดินเข้าไปในครัว แม้ว่าหลี่เฟยหลงจะอยู่ที่นี่อยู่นาน แต่เธอกลับไม่รู้ว่าที่แห่งนี้ส่วนนั้นเป็นครัวที่สามารถทำอาหารได้ เพียงแต่ไม่มีอุปกรณ์ใดที่ใช้ในการทำอาหารอะไรสักอย่าง เธอมองดูแม่นางเพ่ยเพ่ยที่ใช้พลังสีทองของตนในการถอดเกล็ดปลาเสียบไม้แล้วย่าง นางใช้พลังของตนเองในการทำจนหมดสิ้นราวกับไม่ว่าเธอจะไปอยู่ที่แห่งใดย่อมไม่อด
ตอนที่ 95 ซ้อนวิญญาณวิชาต้องห้ามสตรีผู้นี้แผดเสียงดังสนั่นไปทั่วทั้งห้องขัง สาดคำพูดต่อว่าสตรีที่สูงส่งผู้นี้อย่างไม่ได้รู้สึกเกรงกลัว แต่นอกจากที่พระสนมเอกจะไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองหรือไม่พอใจแล้ว นางกลับกำลังยกยิ้มอย่างชอบใจสายตาคู่นั้นของแม่นางเพ่ยเพ่ย มองไปทางน้องชายที่ถูกลากออกไป ราวกับหมูหมากาไก่เปรียบเหมือนว่าเขานั้นไม่ใช่สิ่งมีชีวิต ความรู้สึกคับแน่นในอกเริ่มทำให้นางไม่มีทางเลือก หากนางไม่ทำตามคำที่สนมเอกบอก ชีวิตของน้องชายนางไม่รอดแน่ แต่หากนางทำเรื่องที่พระสนมต้องการนั่นถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับเธอ หากมันสำเร็จก็ไม่ได้หมายความว่าชีวิตของเธอและน้องชายจะรอด แต่ก็ไม่ได้มีอะไรการันตีว่าทั้งสองจะไม่รอด"เจ้าคิดให้ดีหากเจ้าทำมันสำเร็จข้ารับรองว่าชีวิตของเจ้าและน้องชายเจ้า จะเดินทางออกจากแคว้นฉวางอย่างปลอดภัยหายห่วง.. แต่หากเจ้าไม่ยินดีข้าจะ นำหัวของน้องชายเจ้ามาคืนให้เจ้า.. เจ้าว่าเช่นนี้ดีหรือไม่"แม่นางเพ่ยเพ่ยทำได้เพียงจ้องมองไปที่น้องชายของตนเอง ที่กำลังหายลับไปจนสุดสายตา ก่อนจะสลับมามองพระสนมเอกที่มีนิสัยละโมบโลภมาก เธอไม่รู้เลยว่าทางออกของเธอควรเป็นอย่างไร เธอรู้เพียงแต่ใน
ตอนที่ 94 เจ้ามันปีศาจเธอตะโกนออกมาด้วยเสียงที่ดังก้องกังวานอย่างไม่มีที่สิ้นสุดจนรู้สึกแสบคอ ก่อนจะเด้งตัวมานั่งขัดสมาธิพร้อมทั้งกอดอก อย่างคนที่หงุดหงิด สายตาของเธอกวาดมองไปรอบ ๆ อีกครั้งก่อนจะหลับตาลงเล็กน้อย"ถ้าหงายหลังนอนอีกครั้งจะไปตกที่หลังคาวังหลวงหรือเปล่านะ" แม้ว่าเธอจะคิดเล่น ๆ แต่ทันทีที่เธอหงายหลังนอนลงไปอีกครา ร่างกายของเธอรู้สึกเบาหวิวอีกครั้ง"กำลังเดินทางอีกแล้วสินะ" เธอไม่แม้แต่จะลืมตามามองรอบกาย ทำได้เพียงแค่กอดอกพร้อมปล่อยร่างกายของตัวเองให้ไหลไปตามกระแสลมที่ได้รับฟึ่บ!แต่ครั้งนี้เธอรู้สึกว่าตนเองนั้นตกลงมาที่กองฟางเห็นจะได้ ดวงตาทั้งสองเปิดขึ้นเห็นเพียงแค่ความมืดสนิท เธอค่อย ๆ ใช้มือทั้งสองคลำไปรอบกายรับรู้ได้ว่ามันคือกองฟางจริง ๆ เฟยหลงดันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งพร้อมทั้งสอดสายตามองหาแสงสว่าง"จับมัน!" เธอต้องตกใจเมื่อได้ยินเสียงของผู้ชายคนหนึ่งเอ่ยคำสั่งที่น่ากลัว พร้อมทั้งเสียงฝีเท้าอีกหลายคู่วิ่งเข้ามาในกระท่อมหลังนี้ สองเท้าของเธอก้าวเดินออกไปข้างหน้าตามแสงสว่างที่มีเพียงน้อยนิดนั้น เธอแอบมองจากด้านในเห็นทหารมากมายในชุดดำกำลังจับสองพี่น้องที่ไม่มีทีท่าว่าจะร้
ตอนที่ 93 ความหลังของเพ่ยเพ่ยตู้ม!!แต่ไม่รู้ว่าเป็นเคราะห์ซ้ำหรือกำซัด ทันทีที่ก้นของเธอแตะที่ปุยเมฆขาวนุ่มฟูนั้นร่างกายของเธอก็ได้ตกลงไปในสระน้ำแห่งหนึ่งจนเนื้อตัวเปียกปอนฟู่ว~ทันทีที่เธอนั้นตะเกียกตะกายขึ้นโผล่พ้นน้ำ ริมฝีปากบางได้พ่นลมหายใจออกมาอย่างแรงเพื่อฮุบเอาอากาศด้านบน สายตาของเธอกวาดมองไปรอบกายเห็นกระท่อมที่คุ้นตา เฟยหลงจดจำกระท่อมหลังนี้ได้แม่นยำอย่างไม่มีวันลืม"ทำไมจู่ ๆ ถึงได้กลับมาที่กระท่อมกลางป่าอีกแล้ว" แม้ว่าจะสงสัยอยู่ไม่น้อย แต่บัดนี้หลี่เฟยหลงกำลังตะเกียกตะกายให้ตัวเองขึ้นมาจากในสระ ทันทีที่ร่างกายที่เปียกปอนของเธอปะทะเข้ากับสายลมที่พัดเข้ามาไม่ขาดสายทำให้รู้สึกหนาวเหน็บอยู่ไม่น้อย สองเท้าค่อย ๆ เดินขึ้นไปทางกระท่อมหลังนั้น ทุกอย่างดูไม่ผิดปกติจากที่เธอเห็นก่อนหน้านี้สักเท่าไหร่ เพียงแต่ที่แห่งนี้กลับรู้สึกว่ามีชีวิตชีวามากกว่าเมื่อคราวที่เธอมาในครั้งนั้นอยู่มาก"ท่านยาย.. ยาบำรุงนี้ปรุงอย่างนี้ใช่หรือไม่" ยังไม่ทันที่เธอจะผลักประตูเข้าไป หลี่เฟยหลงได้ยินเสียงของคนผู้หนึ่งดังขึ้นภายในกระท่อมหลังนั้น"ไม่ใช่! สมุนไพรชนิดนี้ไม่สามารถเป็นยาบำรุงได้เจ้าไปเอาชิ้นน