ตอนที่ 3
ขบวนสินค้าเดินทางมุ่งหน้าลงใต้ด้วยความรวดเร็ว จากการคุ้มกันของสำนักคุ้มกันที่ถูกจ้างมา ในการคุ้มกันแต่ละครั้ง พวกเขาจะได้รับเงินส่วนแบ่งจากทางเจ้าของสินค้า และเหล่าชาวบ้านที่ร่วมเดินทาง
จากที่เฉิงเข่อซิงได้สอบถามชาวบ้านที่เดินทางมาด้วยว่า ต้องใช้เวลากี่วันถึงจะเดินทางถึงเมืองหลวงของแคว้นชาง ก็ทำให้นางได้รู้ว่าต้องใช้เวลาถึงยี่สิบวันกว่าจะเข้าเขตเมืองหลวง
แต่เพียงผ่านมาห้าวัน นางก็รู้สึกปวดร้าวไปทั้งก้น เพราะเส้นทางที่เดินทางมานั้นค่อยข้างขรุขระ เป็นอย่างมาก
“หยุดดด”
เสียงของเจ้าหน้าที่ที่อยู่ด้านหน้าดังขึ้น
“พักที่นี่ครึ่งชั่วยาม”
การเดินทางของแต่ละวันจะเป็นพักเป็นระยะๆ ซึ่งระยะเวลาของการพักแต่ละครั้งนั้น จะขึ้นอยู่กับว่าพักบ่อยมากแค่ไหน อย่างเช่นวันนี้ตั้งแต่เช้า พึ่งจะได้พักครั้งแรกและได้พักถึงครึ่งชั่วยาม นั้นหมายความว่า หลังจากนี้ อาจจะไม่ได้พักอีกเลยจนกระทั่งค่ำ
เฉิงเข่อซิงกระโดดลงจากเกวียนเพื่อยืดเส้นยืดสายของตนเองเล็กน้อย โชคดีที่นางฝึกยุทธมาตั้งแต่เด็ก ทำให้ร่างกายอดทนต่อการเดินทางหนักหน่วงเช่นนี้ หากเป็นเด็กคนอื่นอาจจะป่วยระหว่างทางไปแล้ว
“เสี่ยวซิง กินน้ำหน่อยหรือไม่?”
เสียงท่านปู่กู้ ที่นั่งมาเกวียนเดียวกับนางถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเอ็นดู
ตลอดหลายวันมานี้ เฉิงเข่อซิงได้ทำความรู้จักคนทุกคนที่อยู่บนเกวียนเดียวกัน พร้อมจับกลุ่มพูดคุยกับทุกคนด้วยความสนุกสนาน โดยเฉพาะท่านปู่กู้และหลานสาวของเขา ที่เฉิงเข่อซิงสนิทสนมด้วยเป็นพิเศษ เพราะอีกฝ่ายมักจะเอ็นดูและคอยดูแลนางระหว่างเดินทางด้วยเสมอ
“ขอบคุณเจ้าค่ะ ท่านปู่กู้” เฉิงเข่อซิงรับน้ำมาดื่มด้วยความรู้สึกชื่นใจเป็นพิเศษ
“เสี่ยวซิง ข้ามีขนมเฉียวกั่วอยู่อีกหนึ่งชิ้น เจ้ารับไปสิ” กู้ฟ่านถาน หลานสาวของท่านปู่กู้กล่าวขึ้นกับนาง
กู้ฟ่านถานนั้น ปีนี้อายุเข้าสิบปี นางและท่านปู่ของนางต้องการเดินทางไปที่เมืองหลวงเพื่อจะขอไปอาศัยหางานทำด้วย เนื่องจากปีนี้ท่านปู่กู้อายุมากแล้ว พ่อกับแม่ของกู้ฟ่านถานเองก็เสียไปตั้งแต่ที่นางยังเป็นเด็ก ทำให้ตอนนี้กู้ฟ่านถานไม่มีญาติที่ไหนเหลืออีก
ท่านปู่กู้กลัวว่า เมื่อตนเองต้องจากไป จะทำให้หลานสาวเพียงคนเดียวของตนเองต้องลำบาก จึงได้ใช้เงินก้อนสุดท้ายที่ตนเองมีอยู่ ออกเดินทางไปที่เมืองหลวงแคว้นชาง เพื่อหาน้องสาวที่แต่งออกมาอยู่ที่นี่หลายสิบปีแล้วของเขา
“ข้าเองก็มีแผ่นแป้งเหลืออยู่ พี่เก็บขนมเฉียนกั่วไว้กินเองเถอะเจ้าค่ะ”
ในตอนแรกเฉิงเข่อซิงก็ยังรับน้ำใจของอีกฝ่ายอยู่ แต่เพราะอีกฝ่ายใจดีกับนางจนเกินไป ทำให้ขนมเฉียนกั่วที่อีกฝ่ายพกติดตัวมา ถูกนางกินไปมากกว่าครึ่ง
“เช่นนั้นเอาไว้รอเจ้าหิว ค่อยบอกพี่สาวก็แล้วกัน พี่สาวจะเก็บไว้ให้เจ้า”
กู้ฟ่านถานกล่าวกับเฉิงเข่อซิงด้วยความอ่อนโยน เพราะตั้งแต่ที่เดินทางมาด้วยกัน ตัวนางรู้สึกถูกชะตากับเด็กสาวคนนี้เป็นพิเศษ อาจเป็นเพราะตลอดชีวิตที่ผ่านมาของนางมีแค่ท่านปู่เพียงคนเดียวมาตลอด เมื่อมาเห็นเด็กสาวที่อายุไล่เลี่ยกันเช่นนี้ จึงรู้สึกอยากปกป้องเป็นพิเศษ
แม้จะเป็นช่วงระยะเวลาหยุดพัก แต่เฉิงเข่อซิงก็สังเกตเห็นว่าเหล่าผู้คุ้มกันดูกวดขันเข้มงวดผิดปกติจากที่ผ่านมา โดยเฉพาะสีหน้าของหัวหน้าผู้คุ้มกันสินค้า เขามีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างผิดปกติ
จากที่ตอนแรกคิดจะนอนหลับพักผ่อนสักพัก เฉิงเข่อซิงกลับไม่อาจข่มตาหลับลง สัญชาตญาณของนางกำลังเตือนนางว่า กำลังจะมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น
ร่างเล็กขยับไปอยู่ชิดกับกู้ฟ่านถานที่อยู่ด้านข้าง กู้ฟ่านถานที่เป็นเด็กสาวธรรมดาไม่มีวรยุทธอะไรก็คิดว่า การที่เฉิงเข่อซิงขยับมาใกล้ชิดตนก็คิดว่านางต้องการจะออดอ้อน จึงเอื้อมมือออกไปกอดอีกฝ่ายไว้ด้วยความรักใคร่
ชาวบ้านคนอื่นๆ เองเมื่อทานอาหารที่ตนเองพกมาด้วยเสร็จ ก็เตรียมที่จะเอนกายพักผ่อนกันตามปกติ เนื่องจากยังเหลือเวลาพักอยู่อีกมาก ตามที่ผู้คุ้มกันได้บอกเวลาไว้
ฟิ้วว ปึกก
ในตอนนั้นเองระหว่างที่ทุกคนกำลังพักผ่อน เสียงบางอย่างก็แหวกมาจากอากาศปักลงที่ต้นไม้ไม่ไกลจากที่พวกของเฉิงเข่อซิงนั่งอยู่
กรี๊ดดด
เสียงกรีดร้องของเหล่าชาวบ้านดังขึ้นเพราะความตกใจ จากนั้นก็เกิดความโกลาหลวุ่นวายขึ้นภายในขบวนสินค้า
“คุ้มกันชาวบ้านและสินค้า” เสียงของหัวหน้าผู้คุ้มกันดังขึ้นท่ามกลางความวุ่นวาย
“ขอรับ”
ผู้คุ้มกันที่ถูกฝึกมาหลายสิบคนรีบกระจายตัวกันเพื่อควบคุมสถานการณ์
ในตอนนั้นเองลูกธนูหลายสิบลูกก็พุ่งตรงเข้ามายังขบวนสินค้า ทำให้มีชาวบ้านบางคนได้รับบาดเจ็บ มีเพียงกลุ่มของเฉิงเข่อซิงเท่านั้น ที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ
เนื่องจากตั้งแต่มีลูกธนูลูกแรกพุ่งตรงเข้ามา เด็กสาวที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่มก็รีบคว้ามือของกู้ฟ่านถานและบอกให้ทุกคนเข้ามาหลบอยู่ใต้เกวียนสินค้า
ร่างกายของกู้ฟ่านถานสั่นไปด้วยความกลัว แต่ถึงอย่างนั้น มือเล็กๆ คู่นั้นก็ยังโอบกอดเด็กสาวไว้ใต้ร่าง
แต่เฉิงเข่อซิงกำลังมองการจัดการของเหล่าผู้คุ้มกันด้วยความครุ่นคิด
แม่สถานการณ์จะอยู่ขั้นเลวร้าย แต่หัวหน้าผู้คุ้มกันกลับสั่งการได้อย่างเฉียบแหลม ทำให้พวกเขาไม่ตกเป็นรองจากคนที่ลอบโจมตีมากนัก
“ฮ่าๆๆ ไม่เลวๆๆ ฝีมือใช้ได้” เสียงใครคนหนึ่งดังขึ้นจากทางพุ่มไม้ที่อยู่ไม่ไกล ก่อนที่อีกฝ่ายจะปรากฏตัวขึ้น
ร่างสูงใหญ่ หนวดเครารุงรังยากจะเห็นหน้าได้ชัดนั่งอยู่บนหลังม้า ที่ด้านหลังของเขายังมีกลุ่มชายฉกรรจ์อีกหลายสิบคนเดินออกมาพร้อมอาวุธครบมือ
โจรภูเขา!!
เหล่าชาวบ้านที่อยู่ในขบวนคนหนึ่งร้องอุทานขึ้น
ทำให้เฉิงเข่อซิงรู้ว่าอีกฝ่ายที่ซุ่มโจมตีขบวนสินค้าเป็นใคร
“สำนักคุ้มภัยอู่เฉวียน?” หัวหน้าโจรภูเขาที่อยู่บนหลังม้ากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงยิ้มเยาะ ทันทีที่เขาเห็นสัญลักษณ์บนธงที่ปักอยู่
“เมื่อเจ้ารู้แล้วว่าเราคือคนของสำนักคุ้มภัยอู่เฉวียน เช่นนั้นก็ถอยกลับไปซะ แล้วข้าจะไม่แจ้งแก่ทางการเรื่องในวันนี้” หัวหน้าผู้คุ้มกันส่งเสียงต่อรอง
“ไม่แจ้งแก่ทางการ?ฮ่าๆๆๆ เจ้าคิดว่าคนอย่างข้าจะกลัวทางการอย่างนั้นหรือ?” หัวหน้าโจรภูเขากล่าวออกมาด้วยสีหน้ามาดร้าย
“หากเจ้าไม่กลัวทางการ ก็คงไม่อยากผิดใจกับสำนักคุ้มภัยของพวกเราหรอกกระมัง” เมื่อข่มขู่อีกฝ่ายเรื่องทางการไม่ได้ หัวหน้าผู้คุ้มกันจึงใช้ชื่อเสียงสำนักของตัวเองขึ้นมาต่อรอง
สำนักคุ้มภัยอู่เสวียนเป็นที่รู้จักของคนทั่วทั้งสามแคว้น เพราะเป็นสำนักคุ้มภัยที่ใหญ่ที่สุด และไม่อยู่ใต้อำนาจของทางแคว้นใดทั้งสิ้น พวกเขาประกอบกิจการมาหลายรุ่น ทำให้มีเส้นสายกระจายตัวอยู่ไม่น้อย
หัวหน้าโจรภูเขาที่ได้ยินดังนั้นก็มีแววตาคุกรุ่นเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นเพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ก่อนจะกลับมาเป็นปกติ
“แม้โจรภูเขาอย่างพวกข้าจะไม่ยิ่งใหญ่เท่าสำนักคุ้มภัยของเจ้า แต่เจ้าอย่าลืมสิ ว่าตอนนี้พวกเจ้ากำลังอยู่ในถิ่นผู้ใด” น้ำเสียงที่กล่าวออกมาเหี้ยมเกรียมเป็นพิเศษ ทำเอาหัวหน้าผู้คุ้มภัยถึงกับผงะ
“หากเจ้ายอมปล่อยพวกเราไป ข้าสัญญาว่าจะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้”
“หึ ลมปากเปล่ายากจะเชื่อได้ มีเพียงร่างไร้วิญญาณเท่านั้น ที่จะไม่สามารถพูดเรื่องนี้ได้” ทันทีที่กล่าวจบ หัวหน้าโจรก็ยกหน้าไม้ขึ้นมา เล็งมาทางหัวหน้าผู้คุ้มภัยและยิงทันที
ฟิ้ว เคร้งง
แม้จะป้องกันการโจมตีได้ แต่ความรุนแรงของหน้าไม้ก็ทำเอามือที่จับกระบี่อยู่ชาไปทั้งง่ามนิ้ว
“จัดการให้หมดอย่าให้รอดไปได้แม้แต่คนเดียว!!”
ทันทีที่กล่าวจบ เหล่าโจรทั้งหลายก็ลงมือบุกทันที
เป็นเพราะที่นี่คือถิ่นของศัตรู และจำนวนโจรภูเขาที่มีมากกว่า ทำให้สถานการณ์ของเหล่าสำนักคุ้มภัยเป็นรองอย่างเห็นได้ชัด
“ไป!!”
เฉิงเข่อซิงอาศัยจังหวะที่ทุกคนกำลังชุลมุน คว้ามือของกู่ฟ่านถานเอาไว้พร้อมหันไปบอกท่านปู่กู้ที่หมอบอยู่ด้านข้าง
ทั้งสามคนรีบมุดออกมาจากใต้เกวียนสินค้า เตรียมวิ่งหลบหนีเข้าไปในป่า
ในตอนนั้นเองที่โจรป่าเห็นพวกเขาทั้งสามคนเข้า มันจึงพุ่งตรงมาที่ทั้งสามพร้อมง้างดาบในมือหวังฟันลงมาที่พวกนาง
เฉิงเข่อซิงใช้ความว่องไวของตนเอง ผลักให้กู้ฟ่านถานล้มลง จึงสามารถหลบคมดาบได้สำเร็จ จากนั้นเด็กสาวจึงหยิบบางอย่างออกมาจากห่อเสื้อและขว้างไปยังทิศทางที่โจรคนนั้นยืนอยู่
“อ๊าากกก”
ผงสีขาวกระจายฟุ้งไปทั่ว และมันทำให้โจรคนนั้นดิ้นไปมาอย่างทุรนทุราย แม้แต่กู้ฟ่านถานที่โดนผงนั้นเพียงเล็กน้อย ยังรู้สึกแสบผิวไปทั่วทั้งบริเวณที่โดน
“พี่สาว ท่านกินยาถอนพิษเม็ดนี้ซะ” เฉิงเข่อซิงยื่นยาลูกกลอนส่งให้อีกฝ่าย พร้อมหันไปเผชิญหน้ากับโจรคนนั้นอีกครั้ง
เสียงร้องโหยหวนของโจรคนดังกล่าว เรียกความสนใจจากโจรคนอื่นๆ และหัวหน้าโจรได้ดี ทำให้มีโจรอีกสองคนพุ่งตรงเข้ามาหาอีกฝ่าย
เฉิงเข่อซิงเห็นว่าสถานการณ์เริ่มแย่กว่าที่คิด นางมีผงพิษอย่างจำกัด และตอนนี้เหลืออยู่อีกเพียงห่อเดียวเท่านั้น ไม่สามารถใช้ได้อีกอาจทำให้ผู้บริสุทธิ์คนอื่นๆ ได้รับผลกระทบได้
“อย่าเข้ามานะ”
เสียงกู้ฟ่านถานตวาดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่อีกฝ่ายหยิบดาบของโจรที่โดนพิษขึ้นมาและยกขึ้นขู่โจรอีกสองคนที่ทำท่าจะพุ่งตรงเข้ามาทำร้ายเด็กสาวตัวน้อย
……………………………….