ตอนที่ 6
“ท่านแม่ทัพ ท่านกุนซือขอเข้าพบขอรับ”
บ่าวรับใช้ด้านหน้ากล่าวรายงานผู้ที่อยู่ด้านใน
“เข้ามา”
น้ำเสียงทรงอำนาจ ผู้เป็นเจ้านายใหญ่ของจวนแห่งนี้ดังขึ้นจากภายในห้องด้านใน เฉิงเจ๋อเจาที่ได้รับอนุญาตแล้วก็เปิดประตูเข้าไปด้านใน
ภายในห้องหนังสือ ร่างสูงใหญ่ของนักรบที่ตอนนี้กำลังสวมชุดแพรไหมนั่งอยู่ที่โต๊ะอักษร ตัวเขากำลังก้มหน้าสนใจเอกสารทางราชการมากมายที่วางกองอยู่บนโต๊ะโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองคนที่เข้ามาใหม่เลยแม้แต่น้อย
“มีอะไร”
“พี่ใหญ่ เมื่อครู่ตอนที่ข้ากลับมาถึงที่จวน พบเด็กสาวชาวบ้านสองคนยืนอยู่ด้านหน้า เมื่อสอบถามดูจึงได้รู้ว่านางอยากพบท่าน”
ร่างสูงใหญ่ของท่านแม่ทัพปราบตะวันตกเงยหน้ามองน้องชายด้วยความไม่เข้าใจ
เด็กชาวบ้านสองคนต้องการพบเขา เรื่องเพียงเท่านี้เหตุใดน้องชายของเขาต้องเข้ามาบอกเขาด้วยตนเอง เพียงให้ทหารยามด้านหน้าไล่กลับไปก็จบแล้ว
ตอนนี้เขามีงานมากมายที่ต้องจัดการ ไม่มีเวลาว่างจะมาฟังเรื่องไร้สาระเช่นนี้
เฉิงเจ๋อเจาที่เป็นถึงกุนซือของเขาย่อมอ่านความคิดทางสายตาของพี่ชายตนเองออก
“ทหารยามที่ด้านหน้าเตรียมจะจัดการพวกนางแล้ว เพียงแต่เด็กสาวคนนั้นต้องการมอบสิ่งหนึ่งให้แก่ท่านก่อน หากท่านเห็นแล้วไม่อยากพบนาง นางยินดีรับโทษ”
เฉิงเจ๋อเจากล่าวกับพี่ชายตนเอง พร้อมวางปิ่นไม้ที่รับมาจากเด็กสาวด้านหน้าให้ที่โต๊ะทำงานของพี่ชายตนเอง
ตอนแรกนั้นท่านแม่ทัพใหญ่ไม่ได้อยากจะสนใจกับสิ่งของที่เด็กชาวบ้านผู้หนึ่งมอบให้นัก แต่เมื่อปรายตามองไปเห็นปิ่นไม้ธรรมดาๆ ด้ามนั้น ทำให้เขาจำต้องเพ่งมองมันอีกครั้ง
มือหนาหยิบปิ่นไม้นั้นขึ้นมาดู หากเฉิงเจ๋อเจาสังเกตสักนิดจะเห็นได้ว่า มือที่กำลังจับปิ่นไม้ด้ามนั้นสั่นอยู่เล็กน้อย
ปิ่นไม้ธรรมดาๆ ที่ดูไร้ค่านี้ ช่างคุ้นตายิ่ง
แต่ทันทีที่เขาลูบไปที่ส่วนหางของปิ่น กลับมีอักษรบางอย่างที่ถูกสลักเอาไว้
เยว่ซิน
เพียงอักษรสองตัวนี้ ก็ทำให้แม่ทัพใหญ่ผู้ไร้ความรู้สึก รู้สึกว่า ก้อนเนื้อภายในหน้าอกของตนกำลังเต้นอย่างรุนแรงราวกับจะทะลุออกมา
“เด็กคนนั้นอยู่ที่ใด?”
เขาพยายามบังคับเสียงของตนเองให้เป็นปกติ
หรือนางจะยอมกลับมาหาเขาแล้ว?แต่เหตุใดไม่เข้ามาพบเขาในจวนตรงๆ กลับส่งเด็กสาวชาวบ้านมา ด้วยวรยุทธของนาง การจะเข้าจวนแม่ทัพมาหาใช่เรื่องยากเกินไป
“ข้าให้รออยู่ที่ห้องโถงด้านหน้า”
เฉิงเจ๋อเจามีท่าทีประหลาดใจเป็นอย่างมาก ดูท่าแล้ว เด็กสาวที่อยู่ห้องโถงคงไม่ธรรมดาเป็นแน่นางเป็นใครกันนะ?
ห้องโถงจวนแม่ทัพ
เฉิงเข่อซิงและกู้ฟ่านถานถูกพามานั่งรออยู่ที่ห้องโถงใหญ่ โดยที่เฉิงเข่อซิงไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวกับบรรยากาศรอบข้างเลยแม้แต่น้อย ต่างจากกู้ฟ่านถานที่ตอนนี้นั่งตัวเกร็งอยู่บนพื้น ไม่กล้าแม้กระทั่งหายใจเสียงดัง เพราะกลัวว่าอาจทำให้คนของจวนแม่ทัพขุ่นเคืองได้
นั่งอยู่เพียงสองเค่อ ที่ด้านหน้าประตูทางเข้าก็มีความเคลื่อนไหว เฉิงเข่อซิงที่หูดีมาตั้งแต่เด็กรับรู้ได้ว่า กำลังมีคนเดินมาที่นี่ นางจึงหันไปมองที่ด้านหลัง
ร่างสูงใหญ่สวมชุดผ้าแพรสีดำตัดเย็บอย่างปราณีต ใบหน้าของเขามีความเย็นชาอยู่หลายส่วน ทำให้เฉิงเข่อซิงคาดเดาไม่ถูกว่าอีกฝ่ายรู้สึกเช่นไร
สายตาของทั้งคู่สบกันอยู่ชั่วครู่ แต่เฉิงเข่อซิงยังสังเกตุเห็นว่า สายตาที่ดูเย็นชามองไม่เห็นก้นบึ้งคู่นั้น มีชั่วครู่หนึ่งที่แสดงความอ่อนโยนออกมา คล้ายจะจ้องมองหาใครคนหนึ่งในสายตาของนาง
“สั่งการทุกคนให้อยู่ห่างจากห้องโถงยี่สิบก้าว” เฉิงป๋อเหวินที่เดินเข้ามาสั่งการคนสนิทของตนเอง
“ขอรับ”
เฉิงเจ๋อเจามองการกระทำของพี่ชายด้วยสายตาไหววูบเล็กน้อย ก่อนจะก้าวเดินออกจากห้องไปแต่โดยดี ปล่อยให้พี่ชายของตนเองอยู่กับเด็กทั้งสองเพียงลำพัง
เมื่อทุกคนออกไปกันจนหมด เหลือเพียงเขากับเด็กทั้งสองคน เฉิงป๋อเหวินมองสำรวจเด็กทั้งสองคนเล็กน้อย
คนที่นั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น ดูแล้วเป็นเด็กสาวที่ค่อนข้างจะเรียบร้อย และพอรู้มารยาท ต่างจากเด็กอีกคนที่ตัวเล็กกว่า ตั้งแต่ที่เขาเดินเข้ามา เด็กสาวที่ตัวเล็กกว่านี้จ้องมองมาที่เขาไม่มีท่าทีหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย แม้แต่ทหารชั้นนายพลที่อยู่ค่ายทหาร คนที่สามารถทนสบตากับเขาได้ยังแทบจะไม่มี
ช่างเป็นเด็กที่ใจกล้าเสียจริง!!
“พวกเจ้าได้ปิ่นไม้นี้มาจากที่ใด?” ท่านแม่ทัพใหญ่ชูสิ่งของที่อยู่ในมือให้เด็กทั้งสองได้เห็นว่าเขาหมายถึงสิ่งใด
“มันเป็นของข้าเองเจ้าค่ะ”
เฉิงเข่อซิงที่ยืนอยู่กล่าวตอบอีกฝ่าย แม้ภายนอกนางอาจดูนิ่งเฉย แต่ใครจะรู้บ้างว่าตอนนี้ภายในใจของนางตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง บิดาที่ตนเองดั้นด้นเดินทางไกลเพื่อต้องการพบหน้าอีกฝ่าย ตอนนี้เขาได้ยืนอยู่ตรงหน้าของนางแล้ว
“ของเจ้า?”
เฉิงป๋อเหวินมองร่างเด็กตรงหน้าด้วยสีหน้าจับผิด
จะเป็นไปได้อย่างไร เขามั่นใจว่าปิ่นไม้นี้เป็นของเขาที่ทำขึ้นให้ใครบางคนไม่ผิดแน่
แต่แม้จะคิดเช่นนั้น เขาก็ไม่คิดที่จะถามเด็กสาวออกไป มือใหญ่เอื้อมออกไปรินน้ำชาที่อยู่บนโต๊ะด้านหน้าออกมาจิบ ราวกับกำลังวางแผนการใดบางอย่าง
“เจ้าค่ะ เป็นของท่านแม่ข้าน้อยเอง”
เพล้งง
จอกน้ำชาร้อนร่วงลงพื้นทำให้มันแตกละเอียด แต่นั่นยังไม่น่าตกใจเท่ากิริยาของร่างสูงใหญ่ตรงหน้า
เฉิงป๋อเหวินมองหน้าเด็กสาวตรงหน้าด้วยสายตาค้นหา คล้ายกับว่าเขากำลังคาดเดาเรื่องราวบางอย่างที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่กล้าที่จะยืนยันได้
ร่างสูงลุกมาจากเก้าอี้เดินเข้ามาหาเด็กสาวตัวเล็กอย่างช้าๆ ยิ่งเข้าใกล้มากเท่าใด ฝีเท้าของท่านแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ก็ดูเหมือนจะไม่มั่นคงมากยิ่งขึ้น
“แม่ของเจ้ามีนามว่าอะไร?”
“เยว่ซิน นางชื่อว่าเยว่ซิน”
ชื่อที่เปล่งออกมาจากปากเล็กๆ ราวกับอัสนีบาตฟาดลงมายังกลางอกเขา ดูจากรูปร่างของเด็กสาวแล้ว นางน่าจะอายุราวเจ็ดถึงแปดขวบ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เยว่ซินหายไปพอดี
เด็กคนนี้ นางจะใช่ลูกสาวของเขาหรือไม่?
“แล้วนามของเจ้าเล่า..”
“นามของข้าคือเข่อซิง แซ่ของข้าคือ…. เฉิง”
อั๊กก
เพียงกล่าวคำว่าเฉิงออกไป ร่างของเฉิงเข่อซิงก็ลอยขึ้นจากพื้นไปสู่อ้อมแขนของร่างสูงใหญ่ทันที เฉิงป๋อเหวินกอดร่างเล็กแน่น คล้ายกับกำลังคิดว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่เขาฝันไปหรือไม่
การกระทำของท่านแม่ทัพใหญ่ทำให้เฉิงเข่อซิงตกใจเป็นอย่างมาก ก่อนหน้านี้นางเตรียมคำพูดมากมายเพื่อต้องการยืนยันสถานะของตนเองว่าเป็นบุตรสาวของอีกฝ่าย แต่ดูเหมือนตอนนี้ คำพูดเหล่านั้นคือไม่ต้องใช้มันเสียแล้ว
“ลูกพ่อ…” น้ำเสียงแหบพร่าคล้ายกำลังพยายามไม่ให้มันสั่นเปล่งออกมาอย่างแผ่วเบา
น้ำตาของเด็กสาวเอ่อล้นออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
เฉิงป๋อเหวินผละออกจากร่างบางเล็กน้อย เพื่อมองหน้าอีกฝ่ายให้ชัดๆ
เหมือนอย่างยิ่ง
เด็กคนนี้เหมือนนางถึงเจ็ดแปดส่วน ไม่ว่าจะเป็นจมูกน้อยๆ ปากเล็กๆ ของนางก็คล้ายกันไม่มีผิด จะมีก็แค่เพียงดวงตาเท่านั้น ที่เหมือนกับตัวเขา
“มานั่งนี่สิ ข้าจะสั่งให้คนนำจัดเตรียมอาหารให้ ส่วนเจ้าก็เล่ามาว่ามาที่นี่ได้อย่างไร” แม้อยากจะถามออกไปว่ามารดาของเจ้าสบายดีหรือไม่ แต่ความกล้าของเขากลับไม่มี
อาจเป็นเพราะสายใยพ่อลูกรึไม่ ทำให้เฉิงเข่อซิงรู้สึกไว้ใจอีกฝ่ายอย่างมาก แม้จะพึ่งพบหน้ากัน นางเล่าเรื่องตั้งแต่นั่งรถม้ามายังที่นี่ ว่าตนเองได้พบอะไรระหว่างทางบ้าง รวมถึงระหว่างทางนั้นนางได้เจอกับโจรภูเขาก่อนมาถึงที่นี่ และเพราะเหตุใดนางกับกู้ฟ่านถานจึงสาบานเป็นพี่น้องกัน
……………………………….