ตอนที่ 5
จนกระทั่งวันที่สิบห้าของการเดินทาง ขบวนขนส่งสินค้าก็ได้มาถึงเมืองหลวง เฉิงเข่อซิงที่นั่งอยู่ภายในรถม้าคันเล็กก็แหวกม่านออกมาดูความครึกครื้นของเมืองหลวงด้วยความสนอกสนใจ
ที่นี่ต่างจากเมืองอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าหรือว่าผู้คนภายในเมือง ร้านค้ามากมายเรียงรายอยู่เต็มทั้งสองฟากของถนน เหล่าผู้คนภายในเมืองล้วนแต่งกายด้วยชุดผ้าไหมราคาแพงทั้งสิ้น แม้แต่ขอทานก็ไม่มีให้ได้เห็น
ขบวนของสินค้ามาหยุดอยู่ที่ถนนเส้นหนึ่ง ด้านหน้าประตูมีป้ายเขียนไว้ขนาดใหญ่ว่า สำนักคุ้มภัยอู่เฉวียน
“พวกเราถึงแล้ว” ผู้คุ้มกันคนหนึ่งเดินมาที่รถม้าของพวกนางก่อนจะกล่าวขึ้น
เฉิงเข่อซิงและกู้ฟ่านถานจึงรีบเก็บสัมภาระของตนเองและลงมาจากรถม้าทันที ชายที่เป็นผู้คุ้มกันมองมาที่ทั้งสองด้วยสายตาเวทนา
เรียกได้ว่าเป็นเพราะความบกพร่องของการคุ้มกันของสำนักคุ้มภัยพวกเขา จึงทำให้เด็กสาวทั้งสองสูญเสียคนในครอบครัวไป ไม่รู้ว่าทางการและทางสำนักคุ้มภัยจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร
“พวกเราส่งพวกเจ้าได้เพียงเท่านี้ ต่อจากนี้รักษาตัวด้วย”
“ขอบคุณท่านน้า/ขอบคุณนายท่าน”
จากนั้นเด็กทั้งสองคนก็แยกตัวออกไปทันที โดยมีสายตาของเหล่าผู้คุ้มกันมองส่งตามหลังทั้งสองไป
ความคึกคักของเมืองหลวงเรียกความสนใจของทั้งสองไปได้มาก เฉิงเข่อซิงมักจะหยุดดูสิ่งต่างๆ ที่นางไม่เคยพบเห็นมาก่อนอย่างสนอกสนใจ ในตอนนั้นเองที่นางเห็นชายกลุ่มหนึ่งสวมชุดมือปราบกำลังนั่งทานอาหารอยู่ข้างทาง
“พี่ชาย ข้าขอถามทางท่านได้หรือไม่?”
เหล่ามือปราบที่กำลังพักกลางวันอยู่หันมองเด็กสาวทั้งสองคนด้วยความสงสัย ก่อนจะมีมือปราบคนหนึ่งที่หน้าตาดูเป็นมิตรมากที่สุดกล่าวขึ้นกับนาง
“เด็กน้อย เจ้าหลงทางกับพ่อแม่อย่างนั้นหรือ?” แม้จะถามออกไปเช่นนั้น แต่หากดูจากชุดที่เด็กทั้งสองสวมใส่ เหล่ามือปราบก็คาดเดาว่า พวกนางอาจจะเป็นลูกๆ ของชาวบ้านที่เข้ามาขายของในตัวเมืองและพลัดหลงก็เป็นได้
เฉิงเข่อซิงส่ายหน้า
“ข้าอยากถามท่านว่า ท่านพอจะรู้จักจวนของท่านแม่ทัพหรือไม่เจ้าคะ?"
คำถามของเด็กสาว ทำเอาเหล่ามือปราบที่กำลังกินอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อยอยู่ถึงกับชะงักนิ่งทันที
“เจ้าหมายถึงแม่ทัพคนใดเล่า?” ที่เมืองหลวงแห่งนี้มีจวนแม่ทัพอยู่ถึงสี่จวน นางหมายถึงจวนใดกัน?
“จวนแม่ทัพเฉิงป๋อเหวิน!!!”
แกร๊กก
ชื่อที่เด็กสาวเอ่ยออกมา ทำเอาตะเกียบในมือพวกเขาหล่นพื้น
เด็กสาวผู้นี้ไปกินดีหมีหัวใจเสือที่ใดมากันหนอ ถึงกล้าเรียกชื่อเต็มๆ ของแม่ทัพปราบตะวันตกได้เต็มปากถึงเพียงนั้น
ท่าทีของพวกเขาทำให้เฉิงเข่อซิงรู้สึกฉงนเป็นอย่างมาก หรือพวกเขาไม่รู้จักแม่ทัพเฉิงกันนะ?
“ยัยหนู จะ.. เจ้าจะไปที่จวนท่านแม่ทัพเพราะเหตุใด?”
“ข้ามาหาคนเจ้าค่ะ บิดาของข้าอยู่ที่จวนแห่งนั้น” เพราะนางต้องการมาหาบิดาจริงๆ และไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด นางจึงบอกแก่อีกฝ่ายไปด้วยความสัตย์จริง
เหล่ามือปราบที่ได้ยินเช่นนั้นก็รู็สึกโล่งอกมากขึ้น
บิดาของนางคงเป็นบ่าวรับใช้ หรือไม่ก็ทหารคนใดคนหนึ่งที่อยู่ที่จวนท่านแม่ทัพ การที่เด็กสาวคนหนึ่งเดินทางมาหาบิดาเช่นนี้ อาจเป็นเพราะที่บ้านคงเกิดเรื่องแน่ๆ
มือปราบผู้หนึ่งจึงยอมบอกทางไปจวนแม่ทัพให้แก่เด็กๆ ทั้งสอง
เฉิงเข่อซิงพยายามจดจำในสิ่งที่อีกฝ่ายบอก ก่อนจะขอบคุณพวกเขาและแยกตัวออกไปตามทางที่อีกฝ่ายได้บอกไว้
แต่เมืองหลวงแคว้นชางนั้นกว้างใหญ่ยิ่ง กว่าเด็กทั้งสองจะหาประตูจวนแม่ทัพพบ ตะวันก็แทบจะตกดินเข้าเสียแล้ว
กู้ฟ่านถานที่เดินตามน้องสาวมาตั้งแต่ต้นเงยหน้ามองประตูบานใหญ่ด้านหน้าด้วยสีหน้าตื่นตะลึงเล็กน้อย พวกนางเดินผ่านจวนขุนนางมามากมาย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นประตูบานใหญ่ถึงเพียงนี้
ด้านหน้าประตูยังมีหินแกะสลักรูปพยัคฆ์สองตัวตั้งอยู่ ทำให้จวนแห่งนี้ดูน่ากลัวและน่าเกรงขามกว่าจวนขุนนางที่ผ่านมาหลายเท่า รวมถึงป้ายชื่อที่ด้านบนประตูนั้นอีก แม้นางจะอ่านไม่ออก แต่ดูก็รู้ว่าเจ้าของจวนแห่งนี้จะต้องไม่ใช่ขุนนางธรรมดาอย่างแน่นอน
จวนแม่ทัพปราบตะวันตก
เฉิงเข่อซิงมองป้ายอักษรที่เขียนไว้ด้านบนประตู
เป็นที่นี่ไม่ผิดแน่!
“ที่นี่เป็นจวนท่านแม่ทัพปราบตะวันตก ไสหัวไป!!” ทหารคนหนึ่งที่เห็นเด็กสองคนหยุดอยู่ที่ด้านหน้าประตูจวนตั้งนานแล้วไม่ยอมไปไหน จึงรีบตวาดไล่
กู้ฟ่านถานที่ถูกอีกฝ่ายตวาดใส่ก็ตกใจ รีบดึงแขนน้องสาวของตนเองให้ออกห่าง เพราะกลัวว่านายทหารสองคนด้านหน้าจะลงมือทำร้ายพวกนาง
“ท่านน้า ข้ามาพบท่านแม่ทัพเฉิง” เฉิงเข่อซิงไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวแต่อย่างใด ตรงกันข้าม นางกลับยิ้มอย่างดีใจที่ในที่สุดก็ได้เดินทางมาถึงที่นี่เสียที
“ช่างไม่รู้ที่ต่ำที่สูง เจ้าคิดว่าท่านแม่ทัพเป็นผู้ใด ถึงจะยอมลดตัวออกมาหาเจ้า!!” นายทหารอีกคนเริ่มดุด่าเด็กสาวทั้งสอง เพราะคิดว่าอีกฝ่ายเป็นเด็กขอทานที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ริอ่านอยากพบท่านแม่ทัพของพวกตน
เฉิงเข่อซิงรู้อยู่แล้วว่าการจะได้เข้าพบบิดาไม่ใช่เรื่องง่าย นางเองก็ได้เตรียมตัวเรื่องนี้มาแล้วเช่นกัน
เด็กสาวใช้มือล้วงเข้าไปเอาสิ่งของบางอย่างที่อยู่ภายในอกเสื้อออกมา ก่อนจะยื่นไปให้ทหารยามอีกฝ่าย
“ท่านช่วยนำสิ่งนี้ไปมอบให้ท่านแม่ทัพได้หรือไม่ หากท่านแม่ทัพเห็นอาจจะยอมออกมาพบข้าก็ได้”
เด็กสาวยื่นปิ่นไม้อันหนึ่งส่งให้อีกฝ่าย ทหารยามก้มมองปิ่นไม้ราคาถูกตรงหน้าด้วยแววตาดูถูก
“เจ้าคิดว่าปิ่นไม้ราคาถูกเช่นนี้จะเป็นของท่านแม่ทัพอย่างนั้นหรือ ออกไป!!ไสหัวไปได้แล้ว” นายทหารคนหนึ่งปัดมือน้อยๆ ที่ยื่นปิ่นไม้มาให้ ทำให้ปิ่นไม้ในมือของเด็กสาวหล่นลงที่พื้น
เฉิงเข่อซิงตกใจอย่างยิ่ง รีบก้มลงไปเก็บปิ่นไม้ของท่านแม่ของนางขึ้นมาสำรวจมามีตรงไหนเสียหายหรือไม่ เมื่อเห็นว่าที่ปลายปิ่นมีรอยร้าวเล็กน้อย ดวงตาของนางเบิกกว้าง ก่อนจะมองไปที่ทหารยามผู้นั้นด้วยสายตาเอาเรื่อง
“มีเรื่องอะไรกัน”
ขณะที่เฉิงเข่อซิงกำลังมีอารมณ์คุกรุ่นอยู่นั้น เสียงกล่าวถามของใครบางคนก็ดังมาจากทางด้านหลัง ทำให้นายทหารสองคนรีบทำความเคารพอีกฝ่ายทันที
“คารวะนายท่านรอง”
ชายสวมอาภรณ์สีขาวตลอดทั้งร่างก้าวลงมาจากรถม้า คำว่านายท่านรองทำให้เฉิงเข่อซิงหันไปมองอีกฝ่ายด้วยความสนใจ
เฉิงเจ๋อเจาที่พึ่งเดินทางกลับมาถึงจวนก็เลิกคิ้วสูงด้วยความแปลกใจ เมื่อเห็นว่าที่ด้านหน้าจวนของเขาเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น และดูเหมือนว่าเรื่องที่เกิดขึ้น จะมาจากเด็กน้อยสองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้
“เกิดอะไรขึ้น?”
“เรียนนายท่านรอง เด็กขอทานทั้งสองคนนี้มาก่อกวนที่ด้านหน้าจวนเล็กน้อย ข้าน้อยกำลังจะไล่ออกไปขอรับ”
เพราะกลัวความผิดที่ไม่รีบจัดการปัญหาให้เรียบร้อย นายทหารคนหนึ่งจึงรีบรายงานทันที พร้อมกับโยนความผิดมาให้เด็กสาวทั้งสอง
เฉิงเจ๋อเจามองมายังเด็กสาว เขากลับรู้สึกสะดุดเด็กสาวตัวเล็กกว่าเป็นพิเศษ คล้ายกับว่านางมีส่วนหน้าตาคล้ายใครบางคนที่เขาเคยรู้จักยิ่ง
“เด็กน้อย เจ้ามีเรื่องเดือดร้อนอะไรอย่างนั้นหรือ?”
การที่เด็กชาวบ้านมาวุ่นวายอยู่แถวจวนขุนนางเช่นนี้ ย่อมต้องมีเหตุผลเป็นแน่
แต่คำตอบของเด็กสาวตรงหน้ากลับผิดจากการคาดการณ์ของเขาอย่างสิ้นเชิง
“ข้าต้องการพบท่านแม่ทัพเฉิงป๋อเหวินเจ้าค่ะ” เด็กสาวที่ตัวเล็กกว่าเป็นฝ่ายตอบขึ้น ทำให้สีหน้าของเฉิงเจ๋อเจาเย็นชาขึ้นหลายส่วน
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าการจะพบหน้าแม่ทัพใหญ่นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย หากไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายแล้วละก็ อาจถูกโทษโบยสามสิบไม้โดยไม่มีข้อยกเว้น”
เฉิงเข่อซิงที่ได้ยินคำพูดข่มขู่ของอีกฝ่ายก็หาได้มีท่าทีเกรงกลัวแม้แต่น้อย มือเล็กๆ ยื่นบางอย่างออกไปให้อีกฝ่ายก่อนจะกล่าวขึ้น
“รบกวนท่านช่วยมอบสิ่งนี้ให้ท่านแม่ทัพดูด้วยเจ้าค่ะ หากท่านแม่ทัพได้เห็นสิ่งนี้แล้วไม่อยากพบหน้าข้า ข้ายินดีรับโทษโบยสามสิบไม้แต่โดยดี”
ปิ่นไม้แกะสลักที่ตกลงพื้นเมื่อครู่ถูกยื่นให้อีกฝ่ายอีกครั้ง เฉิงเข่อซิงทำได้เพียงเดิมพันกับสิ่งนี้เท่านั้น เพราะมันเป็นของที่ดูไร้ค่าเพียงสิ่งเดียวที่ท่านแม่ของนางรักและทนุถนอมมันเป็นอย่างมาก
นางคาดเดาว่ามันอาจเป็นสิ่งของที่ท่านพ่อมอบให้แก่ท่านแม่เอาไว้ก็เป็นได้
เฉิงเจ๋อเจามองปิ่นไม้ในมือเพียงเล็กน้อย ความสนใจของเขาไม่ได้อยู่ที่มัน แต่กลับเป็นแววตาที่เด็ดเดี่ยวของเด็กสาวตรงหน้านั่นมากกว่า
“พานางเข้าไปรอที่ห้องโถงด้านใน” เขาสั่งคนของตนเอง ก่อนจะก้าวเข้าไปด้านในจวนและมุ่งหน้าไปที่เรือนของพี่ชายตนเอง
……………………………….