ฉะนั้นการที่อยู่ ๆ ได้ยินอวิ๋นซานหูพูดถึงแม่นางอวิ๋นในยามนี้แล้ว อวิ๋นหลิงจือจึงเอ่ยถามซักไซ้ไล่เลียงทันที “ชื่อแซ่เต็ม ๆ ของแม่นางอวิ๋นผู้นั้นว่าอะไรหรือ? ตอนนี้คนผู้นั้นอยู่ที่ใดเล่า? รูปร่างหน้าตาของนางเป็นเช่นไร?”อวิ๋นซานหูกำลังเจ็บปวดรวดร้าว ทันทีที่ได้ยินพี่สาวเอ่ยถามติดต่อกันถึงสามเรื่อง นางถึงกับสับสนมึนงงไม่น้อยเรื่องพวกนี้มันสำคัญตรงไหนกัน?เรื่องละเอียดยิบย่อยพกวนี้มันไม่สำคัญเลยสักนิดสิ่งที่สำคัญที่สุดในยามนี้ก็คือบาดแผลบนใบหน้าของนาง!ครั้นอวิ๋นหลิงจือเห็นสายตาน้อยเนื้อต่ำใจระคนเอาเรื่องของน้องสาวแล้ว นางก็ได้สติทันทีว่ายามนี้มิใช่เวลามาถามเรื่องพวกนี้อีกทั้งในห้องโถงแห่งนี้ยังมีคนรวมกันอยู่เป็นกลุ่มใหญ่เรื่องของแม่นางอวิ๋น ไว้นางค่อยหาโอกาสอื่น ๆ สอบถามรายละเอียดกับน้องสาวเป็นการส่วนตัวคราวอื่นก็ได้“ให้ข้าดูแผลของเจ้าหน่อย”อวิ๋นหลิงจือนั้นพอจะเข้าใจวิชาแพทย์อยู่บ้างเพียงแต่นางสติปัญญาไม่สูงมากนัก กอปรกับไม่ได้สนใจใคร่รู่วิชาแพทย์มากเท่าใด สาเหตุที่นางบีบบังคับให้ตนเองเล่าเรียนวิชาแพทย์ ก็เพราะว่านางพบว่าการรู้วิชาแพทย์นั้นเป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยให้นางเข้
ในฐานะคนที่เคยได้เห็นความคึกคักเจริญรุ่งเรืองของย่านการค้าซีบีดีในยุคปัจจุบันมาแล้ว ความเจริญของเขตปกครองเจียงหนิงนั้นไม่ต่างอะไรกับตัวอำเภอเมืองเล็ก ๆ เลยในสายตาของอวิ๋นฝูหลิงทว่านางก็ยังคงเดินเล่นได้อย่างเบิกบานใจนางจูงมืออวิ๋นจิงมั่ว อวิ๋นจิงมั่วอุ้มลูกเสือน้อยไว้ในอ้อมแขน ส่วนลูกพี่อู๋กับคังหมิงหย่วนก็เดินขนาบอยู่ด้านข้างทั้งสองคนคนสี่คนพร้อมกับเสืออีกหนึ่งตัวเที่ยวเดินเล่น จับจ่ายซื้อของ และกินอาหารเรื่อยไปขณะที่กำลังเดินเล่นกันอย่างสบายใจ จู่ ๆ ลูกพี่อู๋ก็โพล่งเตือนขึ้นมาว่า “แม่นางอวิ๋น ดูเหมือนว่าจะมีคนตามพวกเรามาตลอดทางนะ”อวิ๋นฝูหลิงเองก็รู้สึกได้พอดีกับที่มีตรอกอยู่ข้าง ๆ เส้นหนึ่ง ฝีเท้าของอวิ๋นฝูหลิงจึงเปลี่ยนทิศทาง รีบเดินเลี้ยงเข้าไปในตรอกนั้นคนในชุดสีเทาเดินตามเข้ามาในตรอก ทว่ากลับพบแต่ความว่างเปล่าตรอกแห่งนี้มีเพียงทางออกเดียว ทั้งที่เขาเห็นคนเดินเข้ามาด้านในนี้ชัด ๆ แต่เหตุใดถึงไม่เห็นตัวแล้วเล่า?คนชุดเทามองไปรอบ ๆ ไม่หยุด พร้อมกับที่ได้แต่พิศวงอยู่ในใจทันใดนั้นภาพตรงหน้าก็พร่าเลือน ราวกับมีบางสิ่งบางอย่างโฉบผ่านศีรษะเขาไป ยังไม่ทันที่เขาจะรู้สึกตัว
อวิ๋นฝูหลิงไม่ได้เอื้อนเอ่ยคำใด นางฟังอีกฝ่ายเงียบ ๆผ่านไปครู่ใหญ่ อวิ๋นฝูหลิงถึงได้กล่าวออกมา“ข้าจำท่านไม่ได้แล้ว ท่านคือใครหรือ?”“หลังจากที่ฝางมามาช่วยชีวิตข้าออกมาจากกองเพลิงได้ เพราะได้รับบาดเจ็บหนัก ความทรงจำบางอย่างของข้าเลยขาด ๆ หาย ๆ ไม่ชัดเจน”แม้ว่าอวิ๋นฝูหลิงจะฟื้นฟูความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมได้มาเป็นส่วนใหญ่แล้ว ทว่ายังมีความทรงจำบางอย่างที่ยังคงเลือนรางไม่ชัดเจนและใจคนนั้นเปลี่ยนง่ายแม้ว่าคนตรงหน้านางจะให้ความรู้สึกคุ้นเคย แต่ในใจของนางก็ยังไม่ละความระแวดระวังบุรุษชุดเทาถึงกับชะงักงัน จากนั้นก็ร้องห่มร้องไห้ออกมายกใหญ่มิน่าสายตาของคุณหนูใหญ่ยามที่มองเขาถึงได้ดูไม่คุ้นเคยขนาดนั้น ที่แท้ก็สูญเสียความทรงจำนี่เองหลายปีมานี้ คุณหนูใหญ่ต้องอยู่ข้างนอกและได้รับความทุกข์ตรมมากเป็นแน่“คุณหนูใหญ่ ข้าน้อยชื่อหลิงโหยวขอรับ”“แต่เดิมข้าน้อยถูกท่านโหวผู้เฒ่าเลือกมาจากชนบท ให้มาเป็นผู้ติดตามของท่านโหวขอรับ”“ข้าน้อยโชคดีนัก ได้เล่าเรียนตำราและวิชาแพทย์กับท่านโหว”“ต่อมาได้รับความไว้วางใจจากนายท่านเหมิงโหว ให้คอยช่วยท่านโหวดูแลจัดการสำนักช่วยชีพขอรับ”......จากคำ
ความทะเยอทะยานและความโฉดชั่วของบัณฑิตผู้นั้น เผยโฉมออกมาจนหมดเปลือกบุตรสาวของท่านโหวผู้เฒ่ามีนิสัยอ่อนแอ ทว่าซื่อจื่อน้อยนั้นถูกเลี้ยงดูภายใต้เงาของท่านโหวผู้เฒ่ามาตั้งแต่เด็ก จึงฉลาดเฉลียวไม่เป็นรองใคร จะบีบบังคับเขาก็ไม่ง่ายนักอีกทั้งเส้นสายและสินทรัพย์ของท่านโหวผู้เฒ่าทั้งหมดทั้งมวลล้วนอยู่ในมือของซื่อจื่อน้อยบัณฑิตผู้นั้นอาศัยว่าตนเองเป็นบิดาผู้ให้กำเนิด คิดอยากเป็นเจ้านายของจวนจี้ชุนโหว เช่นนี้ช่างเป็นความคิดเพ้อเจ้อไร้สาระเหลือเกินในมือของซื่อจื่อน้อยมีทั้งคนทั้งเงินทอง จึงบีบคั้นบัณฑิตผู้นั้นและบุตรนอกจวนไว้ ทั้งยังเอาชีวิตของบุตรนอกจวนมาบังคับขู่เข็ญ ให้บัณฑิตผู้นั้นทำตนเป็นนายท่านผู้เฒ่าของเขาไปอย่างเงียบ ๆ อย่าได้ริอ่านไร้สาระกับของที่ไม่ใช้ของตนเมื่อท่านโหวผู้เฒ่าจากไป ซื่อจื่อก็สืบช่วงต่อบรรดาศักดิ์ พระราชโองการแต่งตั้งจี้ชุนโหวคนใหม่ประกาศลงมาอย่างรวดเร็วไม่นานนักบัณฑิตนั้นก็ทำตัวสงบเสงี่ยมประพฤติตนดีภายใต้การกดดันของจี้ชุนโหวคนใหม่ส่วนบุตรสาวของท่านโหวผู้เฒ่านั้นก็ได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง เพราะเรื่องที่สามีไปร่วมคลุกคลีกับสตรีอื่น ทั้งยังให้กำเนิดบุ
เดิมทีนายท่านรองอวิ๋นก็มีความคิดที่จะกำจัดเขาเช่นกัน แต่หลิงโหยวนั้นฉลาดเฉียบแหลม พาครอบครัวออกไปจากเมืองหลวงแล้วเขาอาศัยวิชาแพทย์ที่ได้ร่วมเรียนกับจี้ชุนโหวเมื่อหลายปีก่อน ไปเป็นหมออยู่ในสำนักแพทย์แห่งหนึ่งในเขตปกครองเจียงหนิงยามนี้คุณชายน้อยสกุลลู่ได้รับบาดเจ็บ หมอมีชื่อแม้จะเล็กน้อยแทบจะทั่วทั้งเขตปกครองเจียงหนิงล้วนถูกสกุลลู่ตามตัวด้วยเหตุนี้ หลิงโหยวจึงได้เห็นอวิ๋นฝูหลิงที่เรือนหลังของสำนักผิงอันภายหลังจากนั้นเขาจำนางได้จากศาสตร์ฝังเข็มสกุลอวิ๋นที่อวิ๋นฝูหลิงใช้“ท่าทางคุณหนูใหญ่จะเติบโตขึ้นมากว่าเมื่อก่อนนะขอรับ”“รูปโฉมละม้ายคล้ายคลึงกับฮูหยิน ทั้งยังเหมือนกับท่านโหว”“วิชาแพทย์ก็ยิ่งเก่งกาจเหมือนอย่างท่านโหวผู้เฒ่ามากขอรับ”“หากท่านโหวผู้เฒ่า ท่านโหวและฮูหยินที่อยู่ในปรโลกได้รับรู้ ได้ทราบว่าสกุลอวิ๋นมีผู้สืบทอด จะต้องดีใจมากแน่ขอรับ!”พูดไปพูดมา หลิงโหยวก็อดร้องไห้ออกมาไม่ได้พวกเขาทั้งครอบครัวได้รับความเมตตาใหญ่หลวงจากท่านโหวผู้เฒ่า ถึงได้มีที่ทางให้ใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบสุขท่านโหวปฏิบัติกับเขาดียิ่ง สอนให้เขาอ่านตำราเล่าเรียนวิชาแพทย์ พอเห็นว่าบุตรชายของเขามีสต
อวิ๋นฝูหลิงหยิบป้ายอาญาสิทธิ์แผ่นนั้นออกมาจากมิติป้ายอาญาสิทธิ์นี้แกะสลักขึ้นจากหยกมันแพะทั้งแผ่น บริเวณด้านล่างมีลวดลายแปลกตาซึ่งลวดลายแปลกตานี้ วันนี้อวิ๋นฝูหลิงได้เห็นผ่านตาจากป้ายเหนือประตูสำนักช่วยชีพยามที่ไปเดินเที่ยวเล่นแล้วเดินผ่านสำนักช่วยชีพแต่เดิมอวิ๋นฝูหลิงไม่เข้าใจว่าลวดลายนั้นคืออะไร ทว่าพอวันนี้หยิบป้ายขึ้นมาดูอีกครั้ง นางก็เข้าใจได้ทันทีว่าลวดลายนี้เป็นการนำเห็ดหลินจือ โสม บัวหิมะและเขาอ่อนกวาง สี่ตัวยาล้ำค่าและมีชื่อมาประกอบกันราวกับอวิ๋นฝูหลิงนึกอะไรบางอย่างออก นางนำป้ายไม้ที่นายท่านหางมอบให้ออกมา บนป้ายไม้สลักลายเห็ดหลินจือเอาไว้นางจำได้ว่าเหนือประตูสำนักผิงอันก็มีลายเห็ดหลินจือซึ่งปู่ทวดของนางผู้นั้น ช่วงที่ดำรงเป็นจี้ชุนโหวแรก ๆ เคยรับศิษย์ไว้สี่คนเป็นไปได้หรือไม่ว่าตัวยาทั้งสี่จากในลวดลายนี้ พอแยกแล้วจะสื่อถึงศิษย์ทั้งสี่ของเขา?หรือว่าสกุลหางของสำนักผิงอัน จะมีความเกี่ยวข้องกับสกุลอวิ๋นเช่นนี้?อวิ๋นฝูหลิงพลิกเล่นป้ายหยกในมือ สายตาของนางมืดครึ้มผ่านไปครู่ใหญ่ นางถึงได้เก็บป้ายหยกกลับเข้าไปอย่างระมัดระวังเดิมทีหยกมันแพะใหญ่ขนาดนี้ก็ราคาสูงลิ่วอ
ต้องวิ่งวุ่นจนถึงยามดึกถึงจะปรุงโอสถพรรณหยกสำหรับกำจัดรอยแผลขึ้นมาได้ จากนั้นจึงทายาให้อวิ๋นซานหูแม้จะทาโอสถพรรณหยกแล้ว ทว่านายท่านรองอวิ๋นกลับยังคงเป็นกังวลด้วยบาดแผลของอวิ๋นซานหูสาหัสเกินไป แม้จะมีโอสถพรรณหยก แต่อยากจะให้รอยแผลเป็นหายไปเป็นปลิดทิ้งนั้นเกรงว่าจะไม่ง่ายดายนักนายท่านรองอวิ๋นตัดสินใจแล้วว่าคืนนี้จะไปพลิกดูตำราแพทย์ที่ห้องตำรา จะลองหาดูว่ามีวิธีกำจัดรอยแผลที่ดีกว่านี้หรือไม่ขณะที่กำลังพลิกดูตำราแพทย์ เขาก็อดนึกถึงตำราแพทย์และศาสตร์ฝังเข็มที่จี้ชุนโหวผู้เฒ่าทิ้งไว้ขึ้นมาไม่ได้ได้ยินมาว่าจี้ชุนโหวผู้เฒ่าเรียบเรียงตำราขึ้นมาจากความรู้ทั้งหมดที่ตนมี ไม่เพียงบันทึกโรคและวิธีการรักษาต่าง ๆ ที่เขาประสบพบเจอมาชั่วชีวิต แต่ยังบันทึกสูตรเทียบยาไว้มากมายนับไม่ถ้วนไม่แน่ว่าในตำราแพทย์นั่นอาจจะมีเทียบยาที่สามารถรักษารอยแผลเป็นอยู่ก็ได้น่าเสียดายก็แต่ ตอนนั้นที่กำจัดนางเด็กหน้าเหม็นนั่น ไม่ได้ขนของต่าง ๆ ออกมาด้วยแล้วก็ไม่รู้ด้วยว่านางเด็กหน้าเหม็นนั่นเอาของไปซุกซ่อนไว้ที่ใดกันแน่!นายท่านรองอวิ๋นเคียดแค้นอยู่ในใจใครจะรู้ว่าอวิ๋นหลิงจือจะมาพบในยามดึกสงัด นางมาบอกข่าว
หากไม่ใช่ว่าเขามีอุบายอยู่บ้าง ทั้งยังพึ่งพิงต้นไม้ใหญ่อย่างไทเฮาแล้วละก็ เกรงว่าเขาคงจะถูกขับออกจากสำนักหมอหลวงไปนานแล้วทว่าวันเวลาที่เขาได้อยู่ในสำนักหมอหลวงนั้น กลับไม่ได้ดีสักเท่าไรแม้ว่าฝีมือการรักษาของเขาจะไม่เลวนัก แต่จวบจนวันนี้ก็ยังเป็นเพียงแค่หมอหลวงขั้นสี่เท่านั้นเหนือขึ้นไปข้างบนยังมีขุนเขาใหญ่สามลูกอย่างสำนักหลักพร้อมกับสำนักซ้ายขวาคอยกดทับระหว่างนั้นมีโอกาสให้ได้เลื่อนขั้นอยู่หลายครั้ง ทว่าโอกาสเหล่านั้นล้วนไม่เคยมาถึงเขาสักคราช่วงนี้เขาได้ยินข่าวไม่เป็นทางการมาว่า เจ้าสำนักเซียวอายุมากแล้ว คิดจะเกษียณราชการกลับบ้านเดิมหากเจ้าสำนักเซียวเกษียณตัว รองเจ้าสำนักซ้ายขวาทั้งสองคนนั้นล้วนจับจ้องตำแหน่งเจ้าสำนักตาเป็นมันไม่ว่าใครในสองคนนั้นจะได้ขึ้นเป็นเจ้าสำนัก ตำแหน่งรองเจ้าสำนักก็ว่างลงหนึ่งตำแหน่งอยู่ดีนายท่านรองอวิ๋นรู้จักตนดี จากคุณสมบัติในยามนี้ของเขา หากจะเป็นเจ้าสำนักนั้นคงไม่อาจได้รับการยอมรับ แต่กับตำแหน่งรองเจ้าสำนักแล้ว เขาก็พอจะพยายามยื้อแย่งมาได้อยู่เขาอยู่ในสำนักหมอหลวงมานานหลายปีเช่นนี้ ก็ควรจะได้เลื่อนขั้นกับเขาบ้างหากยามนี้ เขามีตำราแพทย์กับ
อย่าว่าแต่คนเลย แม้แต่แมลงวันสักตัวก็อย่าคิดว่าจะได้ออกไปจากจุดพักแรมของทางการนี้ยามนี้คนผู้นั้นซึ่งคิดจะหลบหนีออกจากจุดพักแรมถูกจับตัวอยู่ และถูกทหารลาดตระเวนโยนมาไว้ตรงหน้าเซียวจิ่งอี้แล้ว เหล่าทหารองครักษ์ที่คอยเฝ้าอยู่ข้างเวินเจา จำคนผู้นั้นได้ทันทีว่าเป็นสตรีผู้นั้นซึ่งมาส่งอาหารก่อนหน้านี้เมื่อเอาเรื่องราวมารวมเข้าด้วยกัน ก็รู้ได้ว่านางจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับการวางยาพิษเวินเจาเป็นแน่เซียวจิ่งอี้ลูบแหวนหยกบนมือ สายตามองไปที่นางอย่างเย็นชา“เหตุใดเจ้าต้องวางยาพิษด้วย?”“ในจุดพักแรมยังมีผู้สมรู้ร่วมคิดของเจ้าอีกหรือไม่?”สตรีผู้นั้นเพียงแค่ส่งเสียงหัวเราะ โดยไม่ได้ตอบคำถามเซียวจิ่งอี้เห็นเช่นนั้นก็มิได้โกรธ และออกคำสั่งว่า “ไปพาตัวทุกคนในจุดพักแรมแห่งนี้มา ตรวจสอบพื้นเพของสตรีผู้นี้ให้ละเอียด จับตัวทั้งครอบครัวของนางมาให้หมด!”มีผู้ใต้บังคับบัญชาทำตามคำสั่งทันทีเซียวจิ่งอี้สังเกตการแสดงออกของสตรีผู้นั้น ทว่ากลับเห็นว่าการแสดงออกของนางไม่เปลี่ยนไปเลยตั้งแต่ต้นจนจบ แม้แต่ยามที่ได้ยินเซียวจิ่งอี้บอกว่าจะจับทั้งครอบครัวของนางมา ก็ยังไม่แม้แต่จะขยับคิ้วแววตาของเซียวจิ่งอ
รอบด้านรถคุมตัวนักโทษมีทหารองครักษ์เฝ้าอยู่สิบกว่าคน ทหารองครักษ์เรียกได้ว่าเข้มงวดมากทันทีที่มีคนเข้ามาใกล้ พวกทหารองครักษ์ก็ตะโกนออกไปอย่างระแวดระวัง “ใคร?”หญิงที่มาส่งอาหารราวกับถูกเสียงตะโกนทำให้ตกใจ และพูดอย่างสั่นเทาทันที “ใต้...ใต้เท้า ข้าน้อยเป็น...เป็นคนที่มาส่งอาหารเจ้าค่ะ...”เหล่าทหารองครักษ์มองบะหมี่บนถาดในมือนาง สีหน้าจึงเพิ่งอ่อนลงหลายส่วนหนึ่งในนั้นโบกมือ “เข้ามา”หญิงส่งอาหารผู้นั้นจึงเพิ่งก้าวไปด้านหน้า ถือบะหมี่ไปยังรถคุมตัวนักโทษคาดไม่ถึงว่าเพิ่งเดินไปไม่กี่ก้าว ยังมิทันได้ไปตรงหน้ารถคุมตัวนักโทษ ก็ถูกคนขวางทางไว้ทหารองครักษ์ผู้หนึ่งถือเข็มเงินไว้ในมือ แสดงท่าทีว่าจะทดสอบพิษในบะหมี่เมื่อหญิงผู้นั้นเห็นเช่นนี้ แววตาก็เกิดประกายวาบผ่านเล็กน้อยผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็ลดสายตาลงอย่างรวดเร็ว และปกปิดการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ไว้ทหารองครักษ์ใช้เข็มเงินทดสอบในบะหมี่ เมื่อเห็นว่าเข็มเงินไม่ได้เปลี่ยนสี จึงเพิ่งพยักหน้าให้คนด้านข้างเล็กน้อยคนผู้นั้นก้าวมาด้านหน้ารับบะหมี่ไปทันที และกล่าวกับหญิงผู้นั้นว่า “เจ้าไปได้แล้ว”หญิงผู้นั้นสะดุ้งก่อนโค้งคำนับอย่างนอบน้อม
เซียวจิ่งอี้นั่งอยู่บนรถม้า สายตามองทะลุผ่านหน้าต่างรถม้า เห็นพวกลุงหลี่ในฝูงชนเมื่อเห็นพวกเขาน้ำตาคลอเบ้า คุกเข่าขอบคุณด้วยสีหน้าซาบซึ้ง ก็นึกถึงก่อนหน้านี้ที่เทียนเฉวียนรายงานว่าพลเรือนจากเกาะหมัวกุ่ยเหล่านั้นได้รับการจัดหาที่อยู่อย่างเหมาะสมแล้ว ดูท่าผู้ใต้บังคับบัญชาจะทำหน้าที่ได้ไม่เลวทีเดียวมุมปากของเซียวจิ่งอี้โค้งเล็กน้อย ในอกรู้สึกอุ่น ๆ ความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้กำลังพรั่งพรูขึ้นมาขบวนรถม้าเดินทางมาหนึ่งวันแล้ว และแวะค้างแรมในจุดพักแรมของทางการหลังจากเซียวจิ่งอี้ลงมาจากรถม้า ก็มองไปทางรถคุมตัวนักโทษคันหนึ่งในกลุ่มเป็นพิเศษคนที่นั่งอยู่ในรถคุมตัวนักโทษมิใช่ใครอื่น แต่เป็นเวินเจานั่นเองสาเหตุที่เซียวจิ่งอี้จัดขบวนใหญ่โต ก็เพื่อดึงดูดสายตาของท่านจอมปราชญ์เหวินและพวกคนแคว้นเยว่ ให้มาช่วยเหลือเวินเจาระหว่างการเดินทางครั้งนี้ เป็นโอกาสสุดท้ายของพวกเขาแล้วหากพวกเขายังไม่ลงมือ รอจนให้เวินเจาถูกคุมตัวกลับเมืองหลวง ย่อมมีโอกาสสูงที่จะถูกลงโทษประหารชีวิตหลังจากเข้าเมืองหลวงแล้ว หากพวกท่านจอมปราชญ์เหวินคิดจะเข้าไปช่วยคนในคุกหลวง นั่นก็นับว่าเพ้อฝันแล้วส่วนการบุกไปชิงตัว
ยามที่กลุ่มของเซียวจิ่งอี้ออกจากจินโจว กองทหารเกียรติยศของอี้อ๋องคุ้มกันโดยตรง จึงมีความยิ่งใหญ่เกรียงไกรมากเทียบกับก่อนหน้านี้ที่ออกจากเจียงโจว พาอวิ๋นฝูหลิงกับลูกชายกลับเมืองหลวงโดยไม่ให้เป็นจุดสนใจนับว่าต่างกันโดยสิ้นเชิงระหว่างทางมีขุนนางและประชาชนมารอส่งไม่กี่วันที่ผ่านมา เซียวจิ่งอี้ได้จัดระเบียบเหล่าขุนนางในจินโจว ลงโทษข้าราชการทุจริต คืนความยุติธรรมให้ประชาชนอวิ๋นฝูหลิงใช้วิชาแพทย์ช่วยเหลือผู้คน เมื่อเจอผู้ป่วยที่ครอบครัวยากจน ก็ยังยกเว้นค่ารักษาของพวกเขาด้วยสิ่งนี้ย่อมทำให้เกิดน้ำหนักในใจของประชาชนเซียวจิ่งอี้กับอวิ๋นฝูหลิงมีจิตใจเมตตา ประชาชนย่อมจดจำความดีของพวกเขาไว้ในใจท่ามกลางฝูงชนที่คับคั่ง ชายร่างสูงผอมผิวคล้ำผู้หนึ่งยืดคอยาว มองไปทางรถม้าของเซียวจิ่งอี้ด้านข้างของเขามีเด็กหนุ่มยืนเขย่งปลายเท้า พลางดึงแขนเสื้อถามเขาว่า “ลุงหลี่ ท่านเห็นท่านอ๋องกับพระชายาหรือไม่?”ชายร่างสูงผอมผิวคล้ำกับเด็กหนุ่ม ก็คือลุงหลี่กับฟางอวี่ที่เซียวจิ่งอี้และอวิ๋นฝูหลิงช่วยออกมาจากเกาะหมัวกุ่ยก่อนหน้านี้หากเซียวจิ่งอี้อยู่ที่นี่ด้วยในยามนี้ จะต้องจำได้เป็นแน่ว่านอกจากลุงหลี่กั
จนกระทั่งสถานการณ์ทุกอย่างสิ้นสุดแล้ว หัวใจที่ตื่นตระหนกอยู่นานของเขาจึงสงบลงขณะนั้นเองจู่ ๆ ก็ได้ยินว่าอวิ๋นฝูหลิงจะถอนพิษให้ตามที่รับปากเขาไว้ เมื่อหวนนึกถึงทุกสิ่งก่อนหน้านี้ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกราวกับอยู่คนละโลกหลังจากเขาตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก็เพิ่งก้าวไปข้างหน้าอวิ๋นฝูหลิงหยิบหมอนหนุนจับชีพจรออกมาจากกล่องยา และส่งสัญญาณให้เวินจือเหิงวางมือลงไปหลังตรวจชีพจรของเวินจือเหิงแล้ว อวิ๋นฝูหลิงก็ดึงมือกลับมา และกล่าวว่า “พิษในร่างถูกถอนออกกว่าครึ่งแล้ว พูดตามหลักร่างกายของเจ้าควรจะฟื้นตัวได้ประมาณเจ็ดถึงแปดส่วนแล้ว”“แต่ช่วงนี้จิตใจเจ้ากระสับกระส่าย และวิตกกังวลมากเกินไป ทั้งยังได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายที่ไม่ค่อยดีอยู่แล้วยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก”“โชคดีที่ตอนยังเด็กเจ้าได้รับการเลี้ยงดูไม่เลว พื้นฐานร่างกายจึงแข็งแรง ตอนนี้จึงมีต้นทุนให้ใช้จ่ายได้”“ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ายังโชคดี ได้พบหมอเทวดาคนหนึ่งเช่นข้า!”เวินจือเหิงได้ยิน สีหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มขมขื่นสายหนึ่งสกุลเวินเผชิญวิกฤตครั้งใหญ่อย่างกะทันหัน เขาในฐานะผู้นำสกุลย่อมต้องค้ำจุนทั้งสกุลไว้ช่วงนี้ เขากินไม่อิ่มนอนไม่หลับ
อวิ๋นฝูหลิงเหลือบมองเวินจือเหิง เห็นว่าแม้เขาจะร่างกายอ่อนแอ แต่กลับมีแรงใจไม่เลว ในใจจึงอดไม่ได้ที่จะมองเขาดีขึ้นสกุลเวินมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีขี้ผึ้งทองและการลักลอบค้าของผิดกฎหมาย กอปรกับเวินเจาจากบ้านรองสกุลเวินยังถูกตรวจสอบพบว่าเป็นเชื้อสายของราชวงศ์แคว้นเยว่ ยิ่งไปกว่านั้นทุกร่องรอยยังแสดงให้เห็นถึงความมักใหญ่ใฝ่สูงของแคว้นเยว่ ซึ่งตั้งใจโค่นล้มราชสำนัก ถือเป็นกบฏอย่างแท้จริงหากคนของบ้านรองเข้าไปพัวพันกับคดีใหญ่เช่นนี้ เกรงว่าทั้งสกุลย่อมถูกทำลายลงตรงหน้าสกุลเวินยังสามารถยืนหยัดอยู่ในจินโจวได้ ต้องขอบคุณเวินจือเหิงซึ่งเป็นผู้นำตระกูลจริง ๆหากมิใช่เพราะเขามีไหวพริบมองการณ์ไกล ชิงยอมจำนนต่อเซียวจิ่งอี้เร็วกว่าก้าวหนึ่ง และเป็นฝ่ายลงทัณฑ์ญาติเพื่อผดุงธรรม นำหลักฐานที่เกี่ยวข้องซึ่งตัวเองตรวจสอบพบไปส่งมอบ ช่วยเป็นแรงสนับสนุนให้เซียวจิ่งอี้ เกรงว่าทุกคนในสกุลเวินคงจะติดคุกกันหมดแล้วหลังจากนั้น เวินจือเหิงก็เป็นฝ่ายขอรับโทษ บริจาคทรัพย์สมบัติเก้าส่วนของสกุลเวินให้ราชสำนักตระกูลที่มั่งคั่งเช่นสกุลเวิน ทรัพย์สมบัติที่สั่งสมมาหลายร้อยปีย่อมไม่อาจประเมินต่ำเกินไปได้ทรัพย์สมบัติ
อาศัยแค่เทียบยานั้นใบเดียว ด้วยการรักษาโรคชนิดหนึ่งได้อย่างแม่นยำ ก็เพียงพอที่จะตั้งตัวได้ ถึงขั้นมีชื่อเสียงโด่งดังทว่ายามนี้อวิ๋นฝูหลิงกลับหยิบตำราแพทย์เล่มหนึ่งออกมาให้ทุกคนเวียนกันอ่านและคัดลอกอย่างใจกว้างช่างมีจิตใจกว้างขวางเสียนี่กระไร!ชั่วขณะหนึ่ง ทุกคนต่างตกตะลึงจนพูดไม่ออกโดยเฉพาะหมอผู้ดูหมิ่นอวิ๋นฝูหลิงในคราแรก ยามนี้สัมผัสได้เพียงความร้อนผ่านที่แก้ม รู้สึกอับอายเป็นอย่างยิ่งผ่านไปครู่หนึ่ง จึงเพิ่งมีคนตั้งสติได้ โค้งคำนับอวิ๋นฝูหลิงด้วยความเคารพ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงซาบซึ้ง “การกระทำของแม่นางอวิ๋น เป็นแบบอย่างให้พวกข้าแล้วจริง ๆ พวกข้ายังเทียบแม่นางอวิ๋นไม่ติดเลย!”เมื่อมีคนเริ่มกล่าว คนอื่นก็เริ่มตอบสนองออกมาเช่นกัน พากันโค้งคำนับกล่าวขอบคุณอวิ๋นฝูหลิงอย่างจริงจังมีบางคนถึงกับเรียกอวิ๋นฝูหลิงว่าท่านอาจารย์ ขอบคุณที่ครั้งนี้นางช่วยรักษาอาการโรคที่เกิดจากขี้ผึ้งทองในจินโจว ทั้งยังถ่ายทอดคำสอนและไขข้อสงสัยอวิ๋นฝูหลิงก็มิได้อวดภูมิ รับคำคนเหล่านั้นอย่างนอบน้อมประการแรก ช่วงที่นางรักษาคนไข้ที่ป่วยเพราะขี้ผึ้งทองในจินโจว ก็ได้สอนวิธีการรักษาของตัวเองให้เหล่าหมอท่า
ท่านหมอในสำนักผิงอันต่างมองไปที่ตำราแพทย์ในมือหางซานสุ่ยด้วยดวงตาเป็นประกายนั่นเป็นถึงตำราแพทย์ที่บันทึกศาสตร์ฝังเข็มและเทียบยาสำหรับการรักษาผู้ป่วยเสพติดขี้ผึ้งทองเชียวนะโดยเฉพาะเมื่ออวิ๋นฝูหลิงเป็นผู้เขียนตำราเล่มนี้ด้วยตัวเองในช่วงเวลาที่ได้ทำงานร่วมกันมานี้ ท่านหมอในเมืองจินโจวถือว่าได้เปิดหูเปิดตารับรู้ถึงฝีมือการแพทย์อันสูงส่งของอวิ๋นฝูหลิงแล้วยามหารือเรื่องการรักษาผู้ป่วยติดขี้ผึ้งทอง นางก็มักจะหาแนวทางสำหรับการรักษาที่เหมาะสมที่สุดออกมาเสมอทักษะฝังเข็มล้ำเลิศ เทียบยาก็ล้ำลึกพิสดาร แม้จะเป็นท่านหมออาวุโสที่สั่งสมประสบการณ์มานานก็ยังมีบ้างที่ด้อยกว่าโดยเฉพาะเมื่ออวิ๋นฝูหลิงเป็นหมอหญิงอ่อนวัยที่อายุเพิ่งยี่สิบปีมีท่านหมอในเมืองจินโจวบางคนที่รู้สึกว่า การที่อวิ๋นฝูหลิงมีชื่อเสียงเลื่องลือนั้นทั้งหมดล้วนเป็นเพราะรัศมีอันมีติดตัวมาแต่กำเนิดด้วยนางถือกำเนิดในสกุลอวิ๋นเท่านั้น นางถึงได้มีชื่อเสียงและได้รับความเคารพอยู่บ้างในแวดวงแพทย์เช่นนี้ทว่าใครจะไปรู้ว่าอวิ๋นฝูหลิงกลับใช้ฝีมือการแพทย์ของตัวเองมาตบหน้า สอนเป็นบทเรียนให้พวกเขาอย่างดีหลังได้รู้ซึ้งถึงฝีมือการแพทย์ของ
ขุนนางที่ถูกส่งมาใหม่เหล่านี้ ต่างทยอยเดินทางมาถึงจินโจวกันแล้วในช่วงไม่กี่วันมานี้ก่อนที่พวกเขาจะเดินทางมาถึง งานบริหารราชการและบริหารกองทัพของจินโจวล้วนมีเซียวจิ่งอี้รับผิดชอบชั่วคราวบัดนี้ขุนนางชุดใหม่มาถึงแล้ว แน่นอนว่าเซียวจิ่งอี้ย่อมเริ่มมอบหมายงานแก่พวกเขา คืนอำนาจบริหารราชการและกองทัพของจินโจวให้ขุนนางที่เหมาะสมจากความหมั่นเพียรและการจัดระเบียบของเซียวจิ่งอี้ งานบริหารราชการในเมืองจินโจวจึงได้รับการจัดระเบียบเป็นที่เรียบร้อยนานแล้ว ขอแค่เหล่าขุนนางที่มารับหน้าที่นี้ต่อไปมัวแต่กินดื่ม ไม่ทำการงาน ก็สามารถบริหารปกครองเมืองจินโจวได้ และฟื้นฟูให้จินโจวรุ่งเรืองขึ้นมาใหม่อีกครั้งได้สิ่งเดียวที่ทำให้เซียวจิ่งอี้ไม่สบอารมณ์และปวดหัวก็คือ จวบจนบัดนี้ยังไม่อาจจับกุมตัวราชครูเผ่าเยว่ผู้นั้นได้ไม่ว่าจะค้นหาไปทั่วเมือง หรือใช้เวินเจาเป็นเหยื่อล่อ ล้วนไม่เห็นแม้แต่ร่องรอยของราชครูเผ่าเยว่ผู้นั้นอีกทั้งประตูเมืองจินโจวก็ไม่อาจปิด ไม่อนุญาตให้ชาวบ้านเข้าออกได้เป็นเวลานานได้แม้ว่าประชาชนจะไม่กล้ามีปากเสียง แต่การชดเชยเรื่องอาหารการกินในชีวิตประจำวันก็นับว่าเป็นปัญหานอกจากนี้ประ