“แม่นางหลี่ท่านนี้กับข้าพอจะรู้จักกัน หวังว่าผู้นำตระกูลวั่นจะเห็นแก่หน้าข้า ช่วยดูแลนางเป็นการส่วนตัวหน่อย”วั่นจื้อซินหน้าซีดทันที เกือบจะคุกเข่าโดยตรงเขาคิดไม่ถึงว่าคนคนนี้จะไปอยู่แล้ว ยังจะถือโอกาสจัดการเขาอีกยกและยิ่งคิดไม่ถึงว่าแม่นางสกุลหลี่ที่กลายเป็นเด็กกำพร้าแล้ว จะรู้จักกับอวิ๋นฝูหลิงด้วย เขารีบสารภาพทันที “เมื่อก่อนข้าเลอะเลือนไปชั่วขณะ ไม่กล้าอีกแล้ว ต่อไปข้าไม่กล้าอีกแล้ว!”วั่นหงเขม็งใส่วั่นจื้อซินแวบหนึ่ง แล้วกล่าวสัญญากับอวิ๋นฝูหลิง “แม่นางอวิ๋น เจ้าวางใจได้ ข้าจะอบรมเจ้าหลานชายที่ไม่เอาไหนคนนี้ดีๆ แน่นอน”“ส่วนทางแม่นางหลี่ ข้าก็จะให้คนดูแลช่วยดูแล จะไม่มีใครหาเรื่องนางอีกแน่นอน”อวิ๋นฝูหลิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นรบกวนผู้นำตระกูลวั่นแล้ว”“ข้าไปรอนายน้อยวั่นที่เมืองหลวงนะ!”หลังจากกล่าวอำลาผู้นำตระกูลวั่นและคนอื่น รถม้าก็แล่นออกจากเขตปกครองจินโจวจากจินโจวถึงเมืองหลวง ใช้เวลาไม่ถึงสองวันก็ถึงแล้วเมื่อเห็นว่าเริ่มเข้าใกล้เมืองหลวงทีละนิด วันนี้ ตอนอวิ๋นฝูหลิงและคนอื่นเดินทางถึงชานเมืองเมืองหลวง จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงคนตะโกน “ช่วยด้วย”เป็นเสียงของผู้หญิง
อวิ๋นฝูหลิงโบกมือทันทีโดยไม่ยอมรับข้อกล่าวหา“เจ้าอย่าพูดไร้สาระ ข้าไปทำร้ายเจ้าเมื่อใด?”อวิ๋นซานหูทุบพื้นด้วยหมัด ก่อนจะกล่าวโทษออกมาทีละคำ“ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้า ข้าจะโดยกรงเล็บเสือข่วนที่หน้าหรือ?”“หากมิใช่เพราะเจ้าปฏิเสธที่จะเอายาออกมาเพื่อรักษาข้า รูปโฉมของข้าจะถูกทำลายหรือ?”“หากไม่ใช่เพราะเจ้า ข้าจะถูกท่านพ่อทิ้งไว้ที่หมู่บ้านชนบทหรือ?”“หากไม่ใช่เพราะเจ้า ข้าจะถูกผู้อื่นเหยียดหยาม จนแม้แต่คนรับใช้ที่หมู่บ้านชนบทก็ยังเมินข้า และกล้าดูหมิ่นข้าหรือ?”แต่ละคำที่อวิ๋นซานหูกล่าวออกมา เต็มไปด้วยความโศกเศร้า สิ้นหวัง ความเจ็บปวดและเคียดแค้นอวิ๋นฝูหลิงฟังจากคำพูดไม่กี่ประโยคของนาง ไม่นานก็พอจะคาดเดาต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ก่อนหน้านี้อวิ๋นซานหูถูกเสือข่วนหน้าที่เขาเฟิ่งลั่ว เพราะขาดการรักษาและยา ทั้งยังเสียเวลาไปนาน ทำให้ไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที หลังจากนั้นย่อมมีแผลเป็นแม้ว่านางจะรีบกลับมาเมืองหลวง เพื่อมารับการรักษาจากหมอที่ดีที่สุด ก็ยังไม่อาจรักษาให้หายสนิทได้ด้วยนิสัยเห็นแก่ผลประโยชน์ของอวิ๋นกานซง ลูกสาวผู้สูญเสียรูปโฉมไป ย่อมสูญเสียราคาไปด้วยไม
ไม่นาน ขบวนรถม้าก็เดินทางอีกครั้งเซียวจิ่งอี้ถาม “เจ้าจับนางมาเพื่ออันใดหรือ?”อวิ๋นฝูหลิงเผยรอยยิ้มลึกล้ำออกมา “ย่อมเป็นเพราะมีประโยชน์ หลังจากนี้ท่านจะรู้เอง”ในช่วงเวลาสั้น ๆ อวิ๋นฝูหลิงก็มีแผนการในใจแล้วเซียวจิ่งอี้เห็นเช่นนั้น ในใจก็คาดเดาออกได้หลายส่วน แต่ก็มิได้ซักไซ้ ทว่ากลับเอ่ยเตือน“สตรีผู้นี้โง่เขลา หากเจ้าต้องการใช้ประโยชน์จากนาง ต้องระวังเสียหน่อย เพื่อมิให้นางทำเสียเรื่องมากกว่าจะสร้างประโยชน์ จนทำลายแผนของเจ้า”อวิ๋นฝูหลิงรู้สึกราวกับตัวเองเจอเนื้อคู่ความรู้สึกที่ใจตรงกันเช่นนี้ และเข้าใจกันได้โดยมิต้องเอ่ย ช่างดีมากจริง ๆอวิ๋นฝูหลิงจับมือของเซียวจิ่งอี้ พลางเอ่ยว่า “วางใจเถอะ ข้าคิดคำนวณไว้ในใจแล้ว”รถม้าแล่นไปถึงเมืองหลวง ยามที่ดวงอาทิตย์สูงเสียดฟ้า ก็มาถึงประตูเมืองเมืองหลวงเป็นศูนย์กลางการเมืองและเศรษฐศาสตร์ของแคว้นต้าฉี แค่พื้นที่โล่งหน้าประตูเมือง ก็มีขนาดใหญ่เท่ากับสนามลูกหนังสามสนามแล้วผู้คนที่กำลังต่อแถวเข้าเมือง มีลักษณะแถวยาวราวกับตัวมังกรกำแพงเมืองสูงตระหง่านทะลุเมฆ ดูแข็งแกร่งมั่นคงทั้งบนกำแพงเมืองและใต้กำแพงเมืองล้วนมีองครักษ์เฝ้าอยู่
หลังจากเข้ามาในวังหลวง เซียวจิ่งอี้ก็มิได้มีท่าทีปิดบังอันใดอีก และพาอวิ๋นฝูหลิงกับอวิ๋นจิงมั่วไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้จิ่งผิงที่ตำหนักจื่อเฉินข้าหลวงและองครักษ์ที่พบเจอระหว่างทางพากันโค้งคำนับและหลีกทางให้ โดยในดวงตาที่หลุบลงแอบซ่อนความแปลกใจเอาไว้ทว่าในเมืองหลวง ไม่ว่าในใจจะคาดเดาสิ่งใดไว้ ก็ไม่มีผู้ใดกล้าพูดจามั่วซั่วออกมาพวกเซียวจิ่งอี้ทั้งสามคนเพิ่งมาถึงหน้าตำหนักจื่อเฉิน ขันทีร่างท้วมซึ่งมีใบหน้าใจดี ก็เข้ามาต้อนรับ“ถวายบังคมองค์ชายเจ็ดพ่ะย่ะค่ะ!”เซียวจิ่งอี้พยักหน้าเล็กน้อย “เกากงกง”เกาโหย่วฝูกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฝ่าบาททรงทราบว่าองค์ชายเจ็ดจะกลับมาวันนี้ จึงรอท่านมาตั้งแต่เช้าแล้วพ่ะย่ะค่ะ”กล่าวจบ เกาโหย่วฝูก็โค้งคำนับอวิ๋นฝูหลิง “ท่านผู้นี้คงเป็นคุณหนูใหญ่อวิ๋นกระมัง?”อวิ๋นฝูหลิงทำความเคารพครึ่งหนึ่งกลับไปด้วยรอยยิ้มเกาโหย่วฝูรีบหลบไปด้านข้าง “คุณหนูใหญ่อวิ๋นโปรดอภัย ข้าจะกล้ารับความเคารพจากท่านได้อย่างไรกัน”พูดจบ ก็มองไปทางเด็กชายตัวน้อยที่เซียวจิ่งอี้อุ้มอยู่“ซื่อจื่อน้อยช่างเหมือนกับองค์ชายเจ็ดยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงได้รับจดหมายขององค์ชายเจ็ดแล้ว เมื่อทรงทราบว
“ข้าลงโทษพี่รองของเจ้าโดยการกักตัวไว้แล้ว ขังเขาไว้สักระยะก่อน เขาจะได้ไม่ก่อเรื่องโง่ ๆ อีก”“ในจดหมายของเจ้าที่บอกว่าการลอบสังหาร อาจจะเกี่ยวข้องกับชาวแคว้นเยว่ ข้าสั่งให้คนไปตรวจสอบแล้ว”“หากเป็นพวกชาวแคว้นเยว่ที่หลงเหลืออยู่คิดจะสร้างปัญหาจริง ๆ ข้าจะไม่ปล่อยไปแน่นอน”เซียวจิ่งอี้กล่าวว่า “คนเหล่านั้นที่คิดจะลอบสังหารกระหม่อมมีสัญลักษณ์รูปพระจันทร์เสี้ยวอยู่บนร่าง นี่คือสัญลักษณ์ของคนเผ่าเยว่ จึงเป็นสาเหตุที่กระหม่อมสงสัยว่าคนแคว้นเยว่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังพ่ะย่ะค่ะ”“เพียงแต่ในยามนั้นแคว้นเยว่ถูกทำลาย และคนในราชวงศ์เยว่ก็ถูกสังหารจนสิ้นแล้ว สกุลเยว่จึงแทบไม่เหลือชิ้นดี”“ลูกไม่อาจรู้ได้ว่าผู้ใดคือคนที่บงการอยู่เบื้องหลัง และมีจุดประสงค์อันใดพ่ะย่ะค่ะ?”“หรือพวกเขาต้องการคิดจะฟื้นฟูแคว้นกลับมาพ่ะย่ะค่ะ?”“แค่มดแมลงฝูงหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องกังวล” ฮ่องเต้จิ่งผิงตบไหล่ของเซียวจิ่งอี้ และเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างกะทันหัน“ในจดหมายเจ้าบอกว่าต้องการตบแต่งกับอวิ๋นฝูหลิง เจ้าจริงจังหรือ?”เซียวจิ่งอี้คุกเข่าพลางกล่าวว่า “ลูกได้พบนางอีกครั้งอย่างไม่คาดฝันที่เจียงโจว และตกหลุมรักนางพ่ะย่ะ
อย่างไรก็ตามอำนาจของเครือญาติภายนอกกลับแข็งแกร่งเกินไป ทั้งยังซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งไปกว่านั้นการเคลื่อนไหวเพียงคราเดียวยังส่งผลกระทบต่อทุกส่วนด้วยด้วยเหตุนี้ ฮ่องเต้จิ่งผิงจึงปวดเศียรเวียนเกล้าเป็นอย่างยิ่งหากเซียวจิ่งอี้ตบแต่งกับอวิ๋นฝูหลิง ในอนาคตก็ย่อมไม่เหมือนเขา ที่ถูกรบกวนจากเครือญาติภายนอกอวิ๋นฝูหลิงพักผ่อนอยู่ในห้องข้างกับอวิ๋นจิงมั่วได้ครู่หนึ่ง ก็เห็นเกาโหย่วฝูเข้ามาบอกว่า “คุณหนูใหญ่อวิ๋น ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้ไปเข้าเฝ้า”อวิ๋นฝูหลิงเตรียมใจสำหรับเรื่องนี้มานานแล้วด้วยสถานะของนางกับอวิ๋นจิงมั่วหากอยากได้การยอมรับจากฮ่องเต้จิ่งผิง ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายดายถึงเพียงนั้นความยินดีก่อนหน้านี้ ก็เป็นเพียงรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น“รบกวนเกากงกงแล้ว” อวิ๋นฝูหลิงลุกขึ้น ก่อนจะมองไปยังอวิ๋นจิงมั่วที่หลับอยู่เกาโหย่วฝูกล่าวโดยพลัน “คุณหนูใหญ่อวิ๋นโปรดวางใจ ข้าหลวงจะคอยดูแลซื่อจื่อน้อยเอง”อวิ๋นจิงมั่วเป็นลูกชายของเซียวจิ่งอี้ อีกทั้งที่นี่ยังอยู่ภายในตำหนักจื่อเฉิน จึงไม่ต้องกังวลปัญหาเรื่องความปลอดภัยอวิ๋นฝูหลิงพยักหน้า ก่อนจะตามเกาโหย่วฝูออกจากห้องข้างไปอวิ๋นฝูหลิงมา
อวิ๋นฝูหลิงมีสีหน้าประหลาดใจ “ฝ่าบาทหมายความว่า ทรงไม่คัดค้านแล้วหรือเพคะ?”ฮ่องเต้จิ่งผิงโบกมือ “ไทเฮามีคำสั่งลงมาแล้ว สถานะก็ถูกกำหนดไว้แล้ว ข้าย่อมไม่อาจขัดไทเฮาได้”“ขอบพระทัยฝ่าบาทเป็นอย่างยิ่งเพคะ!”อวิ๋นฝูหลิงลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ดูเหมือนจะผ่านอุปสรรคนี้ไปได้แล้ว“ข้าจำได้ว่าบิดาของเจ้าเป็นหมอที่ไม่มีใครเทียบได้ ยามนั้นช่วงการล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ร่วง เขาตายไปเพราะพยายามช่วยชีวิตคน”“พ่อแม่ของเจ้ามีเจ้าเป็นบุตรีเพียงคนเดียว ยามนั้นข้ามอบตำแหน่งท่านหญิงแห่งหย่งหนิงให้เจ้า ทั้งยังรับปากว่าหากในอนาคตมีลูกชาย จะเลือกคนหนึ่งให้มาสืบทอดตำแหน่งจี้ชุนโหว”“ตั้งแต่บิดาของเจ้าจากไป รายงานการมอบตำแหน่งจี้ชุนโหว ข้าระงับมันเอาไว้มาโดยตลอด”“ยามนี้เจ้ามีบุตรชายแล้ว ทั้งยังใช้สกุลอวิ๋น แต่เขาก็เป็นบุตรชายคนโตของอี้เอ๋อร์ด้วย และอี้เอ๋อร์ก็ได้ยื่นฎีกาขอให้แต่งตั้งเขาเป็นซื่อจื่อแล้ว”“เจ้าคิดว่าอย่างไร?”อวิ๋นฝูหลิงรู้สึกซาบซึ้งใจต่อฮ่องเต้จิ่งผิงจากใจจริงหากมิใช่เพราะเขาระงับการสืบทอดตำแหน่งของอวิ๋นกานซงไว้ ตำแหน่งจี้ชุนโหวคงถูกอวิ๋นกานซงสืบทอดไปแล้วจริง ๆ และการจะขับไล่อวิ๋นกานซงออ
เซียวจิ่งอี้เห็นสีหน้าเคร่งขรึมของอวิ๋นฝูหลิง ก็พูดด้วยเช่นกันว่า “ใช่พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อ ช่วงบ่ายเสวยแตงหอมมากเกินไปแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้จิ่งผิงเป็นผู้ที่ชอบกิน แต่ปกติมักจะต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ แม้แต่การกินก็ยังถูกจำกัดไว้ไม่เกินสามมื้อหากเขากินของที่ชอบมากเกินไปหน่อย ก็จะถูกทุกคนเตือนวันนี้เป็นโอกาสที่หาได้ยาก จึงฉวยจังหวะที่อ้างว่าอวิ๋นจิงมั่วชอบกิน ในการกินแตงหอมเพิ่มอีกหลายชิ้นเมื่อเห็นอวิ๋นฝูหลิงกับเซียวจิ่งอี้พูดถึงเรื่องนี้ ฮ่องเต้จิ่งผิงก็หาได้สนใจมากนัก มิใช่ว่าแค่กินแตงหอมมากกว่าเดิมไม่กี่ชิ้นหรือ จะเป็นเรื่องใหญ่อันใดกัน?เขาโบกพระหัตถ์อย่างไม่ยี่หระ พลางตรัสอย่างขอไปที “เข้าใจแล้ว”เซียวจิ่งอี้ยังไม่วางใจ หลังจากเกาโหย่วฝูมาส่งพวกเขาออกจากตำหนักจื่อเฉิน ก็กำชับกับเขาว่า “เกากงกง หลังจากนี้อย่าลืมเตือนเสด็จพ่อให้เรียกโอวหยางย่วนมาตรวจร่างกายด้วย อย่าให้เสด็จพ่อเป็นหวัด”เกาโหย่วฝูโค้งคำนับพลางตอบรับ “กระหม่อมทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”หลังจากเซียวจิ่งอี้ออกไป เกาโหย่วฝูก็กลับมาที่ตำหนักจื่อเฉิน และหาโอกาสเอ่ยว่า “ฝ่าบาท ไม่เรียกโอวหยางย่วนมาสักคราหรือพ่ะย่ะค่ะ?”ฮ่อง
อย่าว่าแต่คนเลย แม้แต่แมลงวันสักตัวก็อย่าคิดว่าจะได้ออกไปจากจุดพักแรมของทางการนี้ยามนี้คนผู้นั้นซึ่งคิดจะหลบหนีออกจากจุดพักแรมถูกจับตัวอยู่ และถูกทหารลาดตระเวนโยนมาไว้ตรงหน้าเซียวจิ่งอี้แล้ว เหล่าทหารองครักษ์ที่คอยเฝ้าอยู่ข้างเวินเจา จำคนผู้นั้นได้ทันทีว่าเป็นสตรีผู้นั้นซึ่งมาส่งอาหารก่อนหน้านี้เมื่อเอาเรื่องราวมารวมเข้าด้วยกัน ก็รู้ได้ว่านางจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับการวางยาพิษเวินเจาเป็นแน่เซียวจิ่งอี้ลูบแหวนหยกบนมือ สายตามองไปที่นางอย่างเย็นชา“เหตุใดเจ้าต้องวางยาพิษด้วย?”“ในจุดพักแรมยังมีผู้สมรู้ร่วมคิดของเจ้าอีกหรือไม่?”สตรีผู้นั้นเพียงแค่ส่งเสียงหัวเราะ โดยไม่ได้ตอบคำถามเซียวจิ่งอี้เห็นเช่นนั้นก็มิได้โกรธ และออกคำสั่งว่า “ไปพาตัวทุกคนในจุดพักแรมแห่งนี้มา ตรวจสอบพื้นเพของสตรีผู้นี้ให้ละเอียด จับตัวทั้งครอบครัวของนางมาให้หมด!”มีผู้ใต้บังคับบัญชาทำตามคำสั่งทันทีเซียวจิ่งอี้สังเกตการแสดงออกของสตรีผู้นั้น ทว่ากลับเห็นว่าการแสดงออกของนางไม่เปลี่ยนไปเลยตั้งแต่ต้นจนจบ แม้แต่ยามที่ได้ยินเซียวจิ่งอี้บอกว่าจะจับทั้งครอบครัวของนางมา ก็ยังไม่แม้แต่จะขยับคิ้วแววตาของเซียวจิ่งอ
รอบด้านรถคุมตัวนักโทษมีทหารองครักษ์เฝ้าอยู่สิบกว่าคน ทหารองครักษ์เรียกได้ว่าเข้มงวดมากทันทีที่มีคนเข้ามาใกล้ พวกทหารองครักษ์ก็ตะโกนออกไปอย่างระแวดระวัง “ใคร?”หญิงที่มาส่งอาหารราวกับถูกเสียงตะโกนทำให้ตกใจ และพูดอย่างสั่นเทาทันที “ใต้...ใต้เท้า ข้าน้อยเป็น...เป็นคนที่มาส่งอาหารเจ้าค่ะ...”เหล่าทหารองครักษ์มองบะหมี่บนถาดในมือนาง สีหน้าจึงเพิ่งอ่อนลงหลายส่วนหนึ่งในนั้นโบกมือ “เข้ามา”หญิงส่งอาหารผู้นั้นจึงเพิ่งก้าวไปด้านหน้า ถือบะหมี่ไปยังรถคุมตัวนักโทษคาดไม่ถึงว่าเพิ่งเดินไปไม่กี่ก้าว ยังมิทันได้ไปตรงหน้ารถคุมตัวนักโทษ ก็ถูกคนขวางทางไว้ทหารองครักษ์ผู้หนึ่งถือเข็มเงินไว้ในมือ แสดงท่าทีว่าจะทดสอบพิษในบะหมี่เมื่อหญิงผู้นั้นเห็นเช่นนี้ แววตาก็เกิดประกายวาบผ่านเล็กน้อยผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็ลดสายตาลงอย่างรวดเร็ว และปกปิดการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ไว้ทหารองครักษ์ใช้เข็มเงินทดสอบในบะหมี่ เมื่อเห็นว่าเข็มเงินไม่ได้เปลี่ยนสี จึงเพิ่งพยักหน้าให้คนด้านข้างเล็กน้อยคนผู้นั้นก้าวมาด้านหน้ารับบะหมี่ไปทันที และกล่าวกับหญิงผู้นั้นว่า “เจ้าไปได้แล้ว”หญิงผู้นั้นสะดุ้งก่อนโค้งคำนับอย่างนอบน้อม
เซียวจิ่งอี้นั่งอยู่บนรถม้า สายตามองทะลุผ่านหน้าต่างรถม้า เห็นพวกลุงหลี่ในฝูงชนเมื่อเห็นพวกเขาน้ำตาคลอเบ้า คุกเข่าขอบคุณด้วยสีหน้าซาบซึ้ง ก็นึกถึงก่อนหน้านี้ที่เทียนเฉวียนรายงานว่าพลเรือนจากเกาะหมัวกุ่ยเหล่านั้นได้รับการจัดหาที่อยู่อย่างเหมาะสมแล้ว ดูท่าผู้ใต้บังคับบัญชาจะทำหน้าที่ได้ไม่เลวทีเดียวมุมปากของเซียวจิ่งอี้โค้งเล็กน้อย ในอกรู้สึกอุ่น ๆ ความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้กำลังพรั่งพรูขึ้นมาขบวนรถม้าเดินทางมาหนึ่งวันแล้ว และแวะค้างแรมในจุดพักแรมของทางการหลังจากเซียวจิ่งอี้ลงมาจากรถม้า ก็มองไปทางรถคุมตัวนักโทษคันหนึ่งในกลุ่มเป็นพิเศษคนที่นั่งอยู่ในรถคุมตัวนักโทษมิใช่ใครอื่น แต่เป็นเวินเจานั่นเองสาเหตุที่เซียวจิ่งอี้จัดขบวนใหญ่โต ก็เพื่อดึงดูดสายตาของท่านจอมปราชญ์เหวินและพวกคนแคว้นเยว่ ให้มาช่วยเหลือเวินเจาระหว่างการเดินทางครั้งนี้ เป็นโอกาสสุดท้ายของพวกเขาแล้วหากพวกเขายังไม่ลงมือ รอจนให้เวินเจาถูกคุมตัวกลับเมืองหลวง ย่อมมีโอกาสสูงที่จะถูกลงโทษประหารชีวิตหลังจากเข้าเมืองหลวงแล้ว หากพวกท่านจอมปราชญ์เหวินคิดจะเข้าไปช่วยคนในคุกหลวง นั่นก็นับว่าเพ้อฝันแล้วส่วนการบุกไปชิงตัว
ยามที่กลุ่มของเซียวจิ่งอี้ออกจากจินโจว กองทหารเกียรติยศของอี้อ๋องคุ้มกันโดยตรง จึงมีความยิ่งใหญ่เกรียงไกรมากเทียบกับก่อนหน้านี้ที่ออกจากเจียงโจว พาอวิ๋นฝูหลิงกับลูกชายกลับเมืองหลวงโดยไม่ให้เป็นจุดสนใจนับว่าต่างกันโดยสิ้นเชิงระหว่างทางมีขุนนางและประชาชนมารอส่งไม่กี่วันที่ผ่านมา เซียวจิ่งอี้ได้จัดระเบียบเหล่าขุนนางในจินโจว ลงโทษข้าราชการทุจริต คืนความยุติธรรมให้ประชาชนอวิ๋นฝูหลิงใช้วิชาแพทย์ช่วยเหลือผู้คน เมื่อเจอผู้ป่วยที่ครอบครัวยากจน ก็ยังยกเว้นค่ารักษาของพวกเขาด้วยสิ่งนี้ย่อมทำให้เกิดน้ำหนักในใจของประชาชนเซียวจิ่งอี้กับอวิ๋นฝูหลิงมีจิตใจเมตตา ประชาชนย่อมจดจำความดีของพวกเขาไว้ในใจท่ามกลางฝูงชนที่คับคั่ง ชายร่างสูงผอมผิวคล้ำผู้หนึ่งยืดคอยาว มองไปทางรถม้าของเซียวจิ่งอี้ด้านข้างของเขามีเด็กหนุ่มยืนเขย่งปลายเท้า พลางดึงแขนเสื้อถามเขาว่า “ลุงหลี่ ท่านเห็นท่านอ๋องกับพระชายาหรือไม่?”ชายร่างสูงผอมผิวคล้ำกับเด็กหนุ่ม ก็คือลุงหลี่กับฟางอวี่ที่เซียวจิ่งอี้และอวิ๋นฝูหลิงช่วยออกมาจากเกาะหมัวกุ่ยก่อนหน้านี้หากเซียวจิ่งอี้อยู่ที่นี่ด้วยในยามนี้ จะต้องจำได้เป็นแน่ว่านอกจากลุงหลี่กั
จนกระทั่งสถานการณ์ทุกอย่างสิ้นสุดแล้ว หัวใจที่ตื่นตระหนกอยู่นานของเขาจึงสงบลงขณะนั้นเองจู่ ๆ ก็ได้ยินว่าอวิ๋นฝูหลิงจะถอนพิษให้ตามที่รับปากเขาไว้ เมื่อหวนนึกถึงทุกสิ่งก่อนหน้านี้ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกราวกับอยู่คนละโลกหลังจากเขาตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก็เพิ่งก้าวไปข้างหน้าอวิ๋นฝูหลิงหยิบหมอนหนุนจับชีพจรออกมาจากกล่องยา และส่งสัญญาณให้เวินจือเหิงวางมือลงไปหลังตรวจชีพจรของเวินจือเหิงแล้ว อวิ๋นฝูหลิงก็ดึงมือกลับมา และกล่าวว่า “พิษในร่างถูกถอนออกกว่าครึ่งแล้ว พูดตามหลักร่างกายของเจ้าควรจะฟื้นตัวได้ประมาณเจ็ดถึงแปดส่วนแล้ว”“แต่ช่วงนี้จิตใจเจ้ากระสับกระส่าย และวิตกกังวลมากเกินไป ทั้งยังได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายที่ไม่ค่อยดีอยู่แล้วยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก”“โชคดีที่ตอนยังเด็กเจ้าได้รับการเลี้ยงดูไม่เลว พื้นฐานร่างกายจึงแข็งแรง ตอนนี้จึงมีต้นทุนให้ใช้จ่ายได้”“ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ายังโชคดี ได้พบหมอเทวดาคนหนึ่งเช่นข้า!”เวินจือเหิงได้ยิน สีหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มขมขื่นสายหนึ่งสกุลเวินเผชิญวิกฤตครั้งใหญ่อย่างกะทันหัน เขาในฐานะผู้นำสกุลย่อมต้องค้ำจุนทั้งสกุลไว้ช่วงนี้ เขากินไม่อิ่มนอนไม่หลับ
อวิ๋นฝูหลิงเหลือบมองเวินจือเหิง เห็นว่าแม้เขาจะร่างกายอ่อนแอ แต่กลับมีแรงใจไม่เลว ในใจจึงอดไม่ได้ที่จะมองเขาดีขึ้นสกุลเวินมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีขี้ผึ้งทองและการลักลอบค้าของผิดกฎหมาย กอปรกับเวินเจาจากบ้านรองสกุลเวินยังถูกตรวจสอบพบว่าเป็นเชื้อสายของราชวงศ์แคว้นเยว่ ยิ่งไปกว่านั้นทุกร่องรอยยังแสดงให้เห็นถึงความมักใหญ่ใฝ่สูงของแคว้นเยว่ ซึ่งตั้งใจโค่นล้มราชสำนัก ถือเป็นกบฏอย่างแท้จริงหากคนของบ้านรองเข้าไปพัวพันกับคดีใหญ่เช่นนี้ เกรงว่าทั้งสกุลย่อมถูกทำลายลงตรงหน้าสกุลเวินยังสามารถยืนหยัดอยู่ในจินโจวได้ ต้องขอบคุณเวินจือเหิงซึ่งเป็นผู้นำตระกูลจริง ๆหากมิใช่เพราะเขามีไหวพริบมองการณ์ไกล ชิงยอมจำนนต่อเซียวจิ่งอี้เร็วกว่าก้าวหนึ่ง และเป็นฝ่ายลงทัณฑ์ญาติเพื่อผดุงธรรม นำหลักฐานที่เกี่ยวข้องซึ่งตัวเองตรวจสอบพบไปส่งมอบ ช่วยเป็นแรงสนับสนุนให้เซียวจิ่งอี้ เกรงว่าทุกคนในสกุลเวินคงจะติดคุกกันหมดแล้วหลังจากนั้น เวินจือเหิงก็เป็นฝ่ายขอรับโทษ บริจาคทรัพย์สมบัติเก้าส่วนของสกุลเวินให้ราชสำนักตระกูลที่มั่งคั่งเช่นสกุลเวิน ทรัพย์สมบัติที่สั่งสมมาหลายร้อยปีย่อมไม่อาจประเมินต่ำเกินไปได้ทรัพย์สมบัติ
อาศัยแค่เทียบยานั้นใบเดียว ด้วยการรักษาโรคชนิดหนึ่งได้อย่างแม่นยำ ก็เพียงพอที่จะตั้งตัวได้ ถึงขั้นมีชื่อเสียงโด่งดังทว่ายามนี้อวิ๋นฝูหลิงกลับหยิบตำราแพทย์เล่มหนึ่งออกมาให้ทุกคนเวียนกันอ่านและคัดลอกอย่างใจกว้างช่างมีจิตใจกว้างขวางเสียนี่กระไร!ชั่วขณะหนึ่ง ทุกคนต่างตกตะลึงจนพูดไม่ออกโดยเฉพาะหมอผู้ดูหมิ่นอวิ๋นฝูหลิงในคราแรก ยามนี้สัมผัสได้เพียงความร้อนผ่านที่แก้ม รู้สึกอับอายเป็นอย่างยิ่งผ่านไปครู่หนึ่ง จึงเพิ่งมีคนตั้งสติได้ โค้งคำนับอวิ๋นฝูหลิงด้วยความเคารพ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงซาบซึ้ง “การกระทำของแม่นางอวิ๋น เป็นแบบอย่างให้พวกข้าแล้วจริง ๆ พวกข้ายังเทียบแม่นางอวิ๋นไม่ติดเลย!”เมื่อมีคนเริ่มกล่าว คนอื่นก็เริ่มตอบสนองออกมาเช่นกัน พากันโค้งคำนับกล่าวขอบคุณอวิ๋นฝูหลิงอย่างจริงจังมีบางคนถึงกับเรียกอวิ๋นฝูหลิงว่าท่านอาจารย์ ขอบคุณที่ครั้งนี้นางช่วยรักษาอาการโรคที่เกิดจากขี้ผึ้งทองในจินโจว ทั้งยังถ่ายทอดคำสอนและไขข้อสงสัยอวิ๋นฝูหลิงก็มิได้อวดภูมิ รับคำคนเหล่านั้นอย่างนอบน้อมประการแรก ช่วงที่นางรักษาคนไข้ที่ป่วยเพราะขี้ผึ้งทองในจินโจว ก็ได้สอนวิธีการรักษาของตัวเองให้เหล่าหมอท่า
ท่านหมอในสำนักผิงอันต่างมองไปที่ตำราแพทย์ในมือหางซานสุ่ยด้วยดวงตาเป็นประกายนั่นเป็นถึงตำราแพทย์ที่บันทึกศาสตร์ฝังเข็มและเทียบยาสำหรับการรักษาผู้ป่วยเสพติดขี้ผึ้งทองเชียวนะโดยเฉพาะเมื่ออวิ๋นฝูหลิงเป็นผู้เขียนตำราเล่มนี้ด้วยตัวเองในช่วงเวลาที่ได้ทำงานร่วมกันมานี้ ท่านหมอในเมืองจินโจวถือว่าได้เปิดหูเปิดตารับรู้ถึงฝีมือการแพทย์อันสูงส่งของอวิ๋นฝูหลิงแล้วยามหารือเรื่องการรักษาผู้ป่วยติดขี้ผึ้งทอง นางก็มักจะหาแนวทางสำหรับการรักษาที่เหมาะสมที่สุดออกมาเสมอทักษะฝังเข็มล้ำเลิศ เทียบยาก็ล้ำลึกพิสดาร แม้จะเป็นท่านหมออาวุโสที่สั่งสมประสบการณ์มานานก็ยังมีบ้างที่ด้อยกว่าโดยเฉพาะเมื่ออวิ๋นฝูหลิงเป็นหมอหญิงอ่อนวัยที่อายุเพิ่งยี่สิบปีมีท่านหมอในเมืองจินโจวบางคนที่รู้สึกว่า การที่อวิ๋นฝูหลิงมีชื่อเสียงเลื่องลือนั้นทั้งหมดล้วนเป็นเพราะรัศมีอันมีติดตัวมาแต่กำเนิดด้วยนางถือกำเนิดในสกุลอวิ๋นเท่านั้น นางถึงได้มีชื่อเสียงและได้รับความเคารพอยู่บ้างในแวดวงแพทย์เช่นนี้ทว่าใครจะไปรู้ว่าอวิ๋นฝูหลิงกลับใช้ฝีมือการแพทย์ของตัวเองมาตบหน้า สอนเป็นบทเรียนให้พวกเขาอย่างดีหลังได้รู้ซึ้งถึงฝีมือการแพทย์ของ
ขุนนางที่ถูกส่งมาใหม่เหล่านี้ ต่างทยอยเดินทางมาถึงจินโจวกันแล้วในช่วงไม่กี่วันมานี้ก่อนที่พวกเขาจะเดินทางมาถึง งานบริหารราชการและบริหารกองทัพของจินโจวล้วนมีเซียวจิ่งอี้รับผิดชอบชั่วคราวบัดนี้ขุนนางชุดใหม่มาถึงแล้ว แน่นอนว่าเซียวจิ่งอี้ย่อมเริ่มมอบหมายงานแก่พวกเขา คืนอำนาจบริหารราชการและกองทัพของจินโจวให้ขุนนางที่เหมาะสมจากความหมั่นเพียรและการจัดระเบียบของเซียวจิ่งอี้ งานบริหารราชการในเมืองจินโจวจึงได้รับการจัดระเบียบเป็นที่เรียบร้อยนานแล้ว ขอแค่เหล่าขุนนางที่มารับหน้าที่นี้ต่อไปมัวแต่กินดื่ม ไม่ทำการงาน ก็สามารถบริหารปกครองเมืองจินโจวได้ และฟื้นฟูให้จินโจวรุ่งเรืองขึ้นมาใหม่อีกครั้งได้สิ่งเดียวที่ทำให้เซียวจิ่งอี้ไม่สบอารมณ์และปวดหัวก็คือ จวบจนบัดนี้ยังไม่อาจจับกุมตัวราชครูเผ่าเยว่ผู้นั้นได้ไม่ว่าจะค้นหาไปทั่วเมือง หรือใช้เวินเจาเป็นเหยื่อล่อ ล้วนไม่เห็นแม้แต่ร่องรอยของราชครูเผ่าเยว่ผู้นั้นอีกทั้งประตูเมืองจินโจวก็ไม่อาจปิด ไม่อนุญาตให้ชาวบ้านเข้าออกได้เป็นเวลานานได้แม้ว่าประชาชนจะไม่กล้ามีปากเสียง แต่การชดเชยเรื่องอาหารการกินในชีวิตประจำวันก็นับว่าเป็นปัญหานอกจากนี้ประ