“นับตั้งแต่ไม่มีครอบครัวเจียงโจวอ๋อง สุขภาพของไทเฮาก็แย่มาโดยตลอด”“ทางหมอหลวงบอกแค่ว่าอายุมากแล้ว เจ็บป่วยเล็กน้อยก็เป็นเรื่องปกติ”“ถ้าหากไทเฮาให้เจ้าตรวจ เจ้าอย่าตัดสินใจเอง ต้องปรึกษากับหมอหลวงคนอื่นก่อน เข้าใจหรือไม่?”อวิ๋นฝูหลิงกะพริบตาปริบๆ รู้สึกว่าไปดูแลครั้งนี้ เกรงว่าไม่ได้ง่ายเช่นนั้นเซียวจิ่งอี้โน้มกาย ขยับไปที่ข้างหูอวิ๋นฝูหลิง ลดเสียงเบาจนสามารถได้ยินกันแค่สองคน“เสด็จพ่อไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของไทเฮา ที่ผ่านมายังสามารถรักษาความสัมพันธ์แม่ใจดี ลูกกตัญญู”“แต่เพราะเรื่องของอ๋องเจียงโจว ทำให้ระหว่างไทเฮากับเสด็จพ่อเกิดรอยร้าว ทั้งสองต่างมีความคับข้องใจ”เมื่ออวิ๋นฝูหลิงได้ยินก็จับมือของเซียวจิ่งอี้ เพื่อบอกว่าตัวเองเข้าใจแล้วในเมื่อไทเฮาเกิดความไม่พอใจ เกรงว่าความคิดบางอย่างในอดีตก็เปลี่ยนไปแล้วไม่มีเจียงโจวอ๋องลูกตนนี้แล้ว ฮ่องเต้จิ่งผิงก็ไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของนาง ในบรรดาองค์ชายทั้งหลาย มีเพียงองค์ชายสามที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับนางคิดว่าไทเฮาคงไม่อยากเห็นเซียวจิ่งอี้ขึ้นครองบัลลังก์ในวันข้างหน้าแน่นอนทางฮ่องเต้จิ่งผิงยกย่องไทเฮาที่เป็นแม่บุญธรรมคนนี้เป็นไทเฮาผู้
ในสมองของอวิ๋นฝูหลิงพลันเกิดความคิดอันหาญกล้าขึ้นมาเป็นไปได้หรือไม่ว่าชุยไทเฮาคิดจะกวาดล้างในคราเดียว?วันนี้คนมารวมตัวกันมากมายถึงเพียงนี้ หากชุยไทเฮาเตรียมการไว้ล่วงหน้านานแล้ว เพื่อฉวยโอกาสควบคุมพวกเขา หลังจากนั้นก็กดดันให้ฮ่องเต้จิ่งผิงสละราชบัลลังก์ เขียนพระราชโองการ ส่งต่อบัลลังก์ให้องค์ชายสาม ก็ดูเหมือนจะเป็นไปได้มากทีเดียวทว่าฮ่องเต้จิ่งผิงกับเซียวจิ่งอี้ต่างมิได้โง่เขลา คงมิถูกเอาชนะได้ง่ายดายถึงเพียงนี้กระมัง?โดยเฉพาะฮ่องเต้จิ่งผิงตั้งแต่แรกเขาก็สามารถทำให้ชุยไทเฮาสนับสนุนเขาซึ่งเป็นโอรสบุญธรรมขึ้นครองบัลลังก์ได้ เห็นได้ว่าเต็มไปด้วยแผนการไม่ขาดเขาเป็นฮ่องเต้มาหลายปี อำนาจควบคุมวังหลวงและราชสำนัก ก็มากขึ้นกว่าก่อนหน้านี้ชุยไทเฮาคิดจะเปลี่ยนแปลงวังหลวง เกรงว่าย่อมไม่ง่ายถึงเพียงนั้นอวิ๋นฝูหลิงกำลังคิดเรื่องวุ่นวายเหล่านี้ บนเตียงก็มีการเคลื่อนไหวขึ้นมาอย่างกะทันหันจากนั้นก็มีเสียงไออย่างรุนแรงพักหนึ่ง ชุยไทเฮาค่อย ๆ ลืมตาขึ้นนางกำนัลผู้ดูแลตำหนักโซ่วคังเห็นเช่นนั้นก็มีสีหน้ายินดี รีบเอ่ยเสียงดัง “ไทเฮาทรงฟื้นแล้ว...”ฮ่องเต้จิ่งผิงซึ่งประทับอยู่ข้างเตียงได้
ฮ่องเต้จิ่งผิงพยักหน้า กล่าวว่า “ย่อมเป็นเรื่องดี”ในใจเซียวจิ่งอี้กลับเต้น ‘ตึกตัก’ ครู่หนึ่ง รู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดีอย่างอธิบายไม่ถูกทว่าชุยไทเฮาในฐานะผู้อาวุโส นางเจาะจงว่าต้องการให้อวิ๋นฝูหลิงอยู่ดูแล ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น แม้แต่ฮ่องเต้จิ่งผิงก็ไม่อาจคัดค้านได้อย่างเปิดเผยเช่นกันในใจเซียวจิ่งอี้ไม่เต็มใจจะให้อวิ๋นฝูหลิงอยู่ดูแลอย่างไรก็ตามการกระทำเหล่านี้ของชุยไทเฮา ในสายตาของพวกองค์ชายใหญ่ กลับเห็นว่าเป็นการกระทำที่แสดงความสนิทสนมสำหรับบุคคลเช่นชุยไทเฮาและฮ่องเต้จิ่งผิง ผู้ที่จะสามารถอยู่ดูแลข้างกายได้ หากไม่ใช่บุคคลที่พวกเขาชื่นชอบ ก็ย่อมเป็นบุคคลที่มีตำแหน่งสถานะสูงส่งนี่ถือเป็นการให้ความสำคัญเป็นอย่างมากชุยไทเฮาเป็นฝ่ายเอ่ยว่าให้อวิ๋นฝูหลิงอยู่ต่อ มิใช่เพราะในใจเอนเอียงไปทางเซียวจิ่งอี้หรือ?พวกองค์ชายใหญ่ต่างอิจฉาจนดวงตาแทบแดงก่ำขณะเดียวกันในใจก็รู้สึกถึงวิกฤตอย่างรุนแรงเดิมทีเซียวจิ่งอี้ก็ได้รับความสำคัญจากฮ่องเต้จิ่งผิงอยู่แล้ว หากแม้แต่ชุยไทเฮาก็ยังยืนอยู่ข้างเขาด้วย ตำแหน่งรัชทายาทย่อมเป็นของเขามิใช่หรือ?พระชายาองค์ชายใหญ่ได้รับสัญญาณทางสายตาขององค์ชา
ทุกคนได้ยินเช่นนี้ ก็พากันตอบรับและออกไปเซียวจิ่งอี้จูงมือจิงมั่ว และเหลือบมองอวิ๋นฝูหลิงอย่างไม่วางใจอวิ๋นฝูหลิงเงยหน้าสบสายตาเขา ก็พยักหน้าเล็กน้อย แสดงท่าทีว่าเขาไม่ต้องห่วงยามนี้เซียวจิ่งอี้จูงมือจิงมั่ว ขณะเดินไปก็หันกลับมามองอยู่หลายคราหลังออกจากตำหนักโซ่วคังแล้ว เซียวจิ่งอี้ก็ไม่ได้ออกจากตำหนักไปตรง ๆ แต่เบนฝีเท้าตรงไปยังตำหนักจื่อเฉินฮ่องเต้จิ่งผิงกลับมาถึงตำหนักจื่อเฉินก่อน ยามที่เห็นเซียวจิ่งอี้ปรากฏตัว ก็ยังมีท่าทีสงบ ราวกับคาดเดาไว้ก่อนแล้วเขาผลักกองฎีกาไปทางเซียวจิ่งอี้ “ในเมื่อเจ้ามาแล้ว ก็มาช่วยเราจัดการฎีกาพวกนี้เถอะ”เซียวจิ่งอี้เคยช่วยฮ่องเต้จิ่งผิงจัดการเรื่องงานของราชสำนักมาก่อนฮ่องเต้จิ่งผิงก็ตั้งใจให้เซียวจิ่งอี้ฝึกฝน จึงเอาราชกิจที่ไม่เล็กไม่ใหญ่มาให้เขาฝึกประสบการณ์เรื่องการตรวจสอบฎีกาเช่นนี้ ก็เคยทำมาก่อนหน้านี้แล้วเช่นกันเพียงแต่คนของตำหนักจื่อเฉินล้วนปิดปากเงียบ เซียวจิ่งอี้กับฮ่องเต้จิ่งผิงก็ต่างคิดตรงกันว่าจะไม่เปิดเผยเรื่องนี้ออกไปฮ่องเต้จิ่งผิงมอบราชกิจในปัจจุบันส่วนใหญ่ให้เซียวจิ่งอี้ ก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นโดยพลันเขาโบกมือให้จิงมั่ว
ก่อนหน้านี้อวิ๋นฝูหลิงพบว่าชุยไทเฮาแสร้งทำเป็นหมดสติ ก็ยังรู้สึกแปลกใจ คิดไม่ตกว่านางจะทำสิ่งใดนางคิดไปร้อยแปดพันเก้า คิดแม้กระทั่งว่าจะกดดันให้มีการเปลี่ยนแปลงในวังหลวง ทว่ากลับคาดไม่ถึงว่านี่จะเป็นอุบายที่วางไว้เพื่อนางนางไม่มีคุณธรรม ไม่มีความสามารถหรืออย่างไร จึงทำให้ชุยไทเฮาใส่ใจเช่นนี้?เพียงแต่เหตุใดชุยไทเฮาจึงเพ่งเล็งนางอย่างกะทันหันเช่นนี้?อวิ๋นฝูหลิงใคร่ครวญอย่างรอบคอบ ก่อนหน้านี้นางมิได้ทำสิ่งใดให้ชุยไทเฮาขุ่นเคืองมาก่อนชุยไทเฮาบำเพ็ญสมาธิและสักการะพระพุทธศาสนาอยู่ในตำหนักโซ่วคัง ไม่ชอบให้ใครมารบกวนด้วยเหตุนี้นอกจากวันที่สิบห้าซึ่งเป็นวันที่ต้องมาทำความเคารพทุกเดือนแล้ว อวิ๋นฝูหลิงก็มีโอกาสได้พบชุยไทเฮาน้อยมากทุกครั้งที่พบกัน ชุยไทเฮาก็ล้วนมีความน่านับถือเป็นอย่างยิ่ง ไม่ได้แสดงท่าทีไม่พอใจต่อนางแม้แต่น้อยทันใดนั้นอวิ๋นฝูหลิงก็นึกถึงเหตุการณ์ล่าสุดที่เกิดขึ้นในสกุลชุยจวนเฉิงเอินกงผู้อื่นไม่รู้ แต่ในใจอวิ๋นฝูหลิงกลับรู้ดี เหตุการณ์หลายอย่างในสกุลชุย ล้วนมีมือของเซียวจิ่งอี้อยู่เบื้องหลังแม้เซียวจิ่งอี้จะหนุนคลื่นลมให้สูง ทำให้ความจริงถูกเปิดเผย แต่สืบสาวจนถ
ซางเถาถูกคำพูดของอวิ๋นฝูหลิงทำให้สำลักโดยพลัน และไม่รู้ว่าควรตอบโต้อย่างไรไปชั่วขณะหนึ่งนางเป็นสินเดิมติดตัวของชุยไทเฮา ตามเข้ามาอยู่กับชุยไทเฮาในวังหลวง ผ่านลมฝนมากว่าสิบปี และเป็นคนสนิทซึ่งชุยไทเฮาให้ความสำคัญมานานแม้นางจะเป็นข้ารับใช้ แต่ทุกคนในวังต่างก็เรียกนางว่ากูกู แม้แต่เหล่าสนมของฮ่องเต้จิ่งผิง เมื่ออยู่ต่อหน้านางก็ยังต้องมีความเคารพอาศัยอำนาจของชุยไทเฮาเป็นสุนัขจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือมานาน ซางเถาลืมไปนานแล้วว่าตัวเองมีสถานะเป็นบ่าวทว่าวันนี้อวิ๋นฝูหลิงกลับทำลายจินตนาการของนางโดยตรงประโยคที่ว่า ‘เคยชินกับการปรนนิบัติผู้คนแล้ว’ เมื่อได้ยินเข้าหูซางเถา ก็รู้สึกเพียงว่าบาดหูอย่างแรงชุยไทเฮาเมื่อครู่เพื่อสร้างปัญหาให้อวิ๋นฝูหลิง จึงจงใจบอกว่าตัวเองกระหายน้ำแต่ในยามนี้ นางกลับรู้สึกกระหายน้ำขึ้นมาจริง ๆ“น้ำ น้ำ...”ซางเถาได้ยินว่าชุยไทเฮาต้องการน้ำ ก็ไปรินน้ำแก้วหนึ่งมาตามสัญชาตญาณ หลังจากนั้นก็พยุงนางขึ้นดื่มน้ำแก้วหนึ่งการเคลื่อนไหวทั้งหมดราบรื่น และเชี่ยวชาญเป็นอย่างมากหลังจากชุยไทเฮาดื่มน้ำแก้วหนึ่งเสร็จแล้ว ก็ทอดถอนใจเสียงหนึ่งอย่างสบายใจอวิ๋นฝูหลิงปรบมื
เมล็ดสนที่เดิมทีปอกยากมาก เมื่อมาอยู่ในมืออวิ๋นฝูหลิง ก็ราวกับกลายเป็นเปลือกบางกรอบ ซึ่งสามารถปอกได้โดยง่ายปอกเมล็ดแล้วเมล็ดเล่า อวิ๋นฝูหลิงปอกเปลือกได้รวดเร็วและยอดเยี่ยมชุยไทเฮากับซางเถาเบิกตาโตอย่างตกใจผ่านไปครู่หนึ่ง ชุยไทเฮาก็หาเสียงของตัวเองกลับมาได้ “ของรูปทรงแปลกประหลาดในมือเจ้าคืออันใดกัน?”อวิ๋นฝูหลิงเขย่าอุปกรณ์ปอกเปลือกในมือ “ไทเฮาถามถึงสิ่งนี้หรือเพคะ? สิ่งนี้หม่อมฉันเรียกมันว่าอุปกรณ์ปอกเปลือกเพคะ”“ไม่ว่าจะปอกเปลือกถั่วสมอง หรือปอกเปลือกเมล็ดสน เมล็ดซิ่ง เมล็ดเกาลัด เมล็ดแตงโม ก็ล้วนใช้ได้ทั้งสิ้น”“ไทเฮาทรงชอบเสวยเมล็ดสน ช่างบังเอิญนัก หม่อมฉันไม่เพียงแต่ชอบกินเมล็ดสน ทว่าของป่าอย่างพวกถั่วสมองหรือเมล็ดเกาลัด หม่อมฉันก็ชอบกินเช่นกันเพคะ”“ดังนั้นหม่อมฉันจึงตั้งใจทำอุปกรณ์ชิ้นนี้ขึ้นมาเป็นพิเศษ ซึ่งทั้งสะดวกและใช้งานง่าย”ชุยไทเฮาพูดไม่ออกไปชั่วขณะหนึ่งเข้ามาในวัง ก็ยังพกอุปกรณ์ปอกเปลือกเข้ามาในกระเป๋าด้วย คงจะชอบกินมากทีเดียว!สายตาของชุยไทเฮาจับจ้องอุปกรณ์ปอกเปลือกในมือของอวิ๋นฝูหลิง อดไม่ได้ที่จะแอบทอดถอนใจ หากไม่พูดถึงเรื่องอื่น อวิ๋นฝูหลิงก็เป็นคนที่ฉล
น้ำเสียงของฮ่องเต้จิ่งผิงธรรมดา ราวกับเพียงแค่ตรัสถามอย่างไม่ยี่หระสีหน้าของชุยไทเฮาเปลี่ยนไปเล็กน้อย กำลังจะเอ่ย อวิ๋นฝูหลิงกลับชิงตอบก่อนก้าวหนึ่ง“ทูลฝ่าบาท แม้นี่จะเป็นครั้งแรกที่หม่อมฉันปรนนิบัติคนป่วย ทำให้ยังไม่คุ้นชิน แต่เสด็จย่ามีเมตตายิ่ง จึงไม่ถือสาหม่อมฉันเพคะ”“ยิ่งไปกว่านั้นในฐานะคนรุ่นหลัง การยกชารินน้ำ ปรนนิบัติถ่ายหนักถ่ายเบาเพื่อเสด็จย่า ก็เป็นการแสดงความกตัญญูที่สมควรแล้วเพคะ”“เมื่อครู่เสด็จย่ายังชมหม่อมฉันเกินจริง บอกว่านางชอบกินเมล็ดสน หม่อมฉันจึงปอกเปลือกใส่ถ้วยใหญ่ให้ใบหนึ่ง เสด็จย่าก็ดีพระทัยเป็นอย่างยิ่ง”ชุยไทเฮาได้ยินมุมปากก็กระตุกเล็กน้อยอย่าคิดว่านางฟังไม่ออก อวิ๋นฝูหลิงมิได้จะบอกว่านางมีเมตตา เห็นได้ชัดว่าเป็นการแอบขยายความเกินจริง ร้องทุกข์แก่ฮ่องเต้จิ่งผิงนางคิดไม่ถึงเลยว่าอวิ๋นฝูหลิงจะกล้าหาญถึงเพียงนี้ ถึงขั้นกล้าทำเรื่องเช่นนี้ต่อหน้านางสาวน้อยผู้นี้ไม่กลัวนางเลยหรือ?แววตาของฮ่องเต้จิ่งผิงมืดครึ้มเล็กน้อย ทว่าท่าทีและน้ำเสียงกลับไม่เปลี่ยนไปแม้แต่นิดเดียว ราวกับเป็นคำพูดไร้สาระ และกล่าวอย่างเฉยชา “พระชายาอี้อ๋องทำงานหนักทีเดียว”“งานจิ
อย่าว่าแต่คนเลย แม้แต่แมลงวันสักตัวก็อย่าคิดว่าจะได้ออกไปจากจุดพักแรมของทางการนี้ยามนี้คนผู้นั้นซึ่งคิดจะหลบหนีออกจากจุดพักแรมถูกจับตัวอยู่ และถูกทหารลาดตระเวนโยนมาไว้ตรงหน้าเซียวจิ่งอี้แล้ว เหล่าทหารองครักษ์ที่คอยเฝ้าอยู่ข้างเวินเจา จำคนผู้นั้นได้ทันทีว่าเป็นสตรีผู้นั้นซึ่งมาส่งอาหารก่อนหน้านี้เมื่อเอาเรื่องราวมารวมเข้าด้วยกัน ก็รู้ได้ว่านางจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับการวางยาพิษเวินเจาเป็นแน่เซียวจิ่งอี้ลูบแหวนหยกบนมือ สายตามองไปที่นางอย่างเย็นชา“เหตุใดเจ้าต้องวางยาพิษด้วย?”“ในจุดพักแรมยังมีผู้สมรู้ร่วมคิดของเจ้าอีกหรือไม่?”สตรีผู้นั้นเพียงแค่ส่งเสียงหัวเราะ โดยไม่ได้ตอบคำถามเซียวจิ่งอี้เห็นเช่นนั้นก็มิได้โกรธ และออกคำสั่งว่า “ไปพาตัวทุกคนในจุดพักแรมแห่งนี้มา ตรวจสอบพื้นเพของสตรีผู้นี้ให้ละเอียด จับตัวทั้งครอบครัวของนางมาให้หมด!”มีผู้ใต้บังคับบัญชาทำตามคำสั่งทันทีเซียวจิ่งอี้สังเกตการแสดงออกของสตรีผู้นั้น ทว่ากลับเห็นว่าการแสดงออกของนางไม่เปลี่ยนไปเลยตั้งแต่ต้นจนจบ แม้แต่ยามที่ได้ยินเซียวจิ่งอี้บอกว่าจะจับทั้งครอบครัวของนางมา ก็ยังไม่แม้แต่จะขยับคิ้วแววตาของเซียวจิ่งอ
รอบด้านรถคุมตัวนักโทษมีทหารองครักษ์เฝ้าอยู่สิบกว่าคน ทหารองครักษ์เรียกได้ว่าเข้มงวดมากทันทีที่มีคนเข้ามาใกล้ พวกทหารองครักษ์ก็ตะโกนออกไปอย่างระแวดระวัง “ใคร?”หญิงที่มาส่งอาหารราวกับถูกเสียงตะโกนทำให้ตกใจ และพูดอย่างสั่นเทาทันที “ใต้...ใต้เท้า ข้าน้อยเป็น...เป็นคนที่มาส่งอาหารเจ้าค่ะ...”เหล่าทหารองครักษ์มองบะหมี่บนถาดในมือนาง สีหน้าจึงเพิ่งอ่อนลงหลายส่วนหนึ่งในนั้นโบกมือ “เข้ามา”หญิงส่งอาหารผู้นั้นจึงเพิ่งก้าวไปด้านหน้า ถือบะหมี่ไปยังรถคุมตัวนักโทษคาดไม่ถึงว่าเพิ่งเดินไปไม่กี่ก้าว ยังมิทันได้ไปตรงหน้ารถคุมตัวนักโทษ ก็ถูกคนขวางทางไว้ทหารองครักษ์ผู้หนึ่งถือเข็มเงินไว้ในมือ แสดงท่าทีว่าจะทดสอบพิษในบะหมี่เมื่อหญิงผู้นั้นเห็นเช่นนี้ แววตาก็เกิดประกายวาบผ่านเล็กน้อยผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็ลดสายตาลงอย่างรวดเร็ว และปกปิดการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ไว้ทหารองครักษ์ใช้เข็มเงินทดสอบในบะหมี่ เมื่อเห็นว่าเข็มเงินไม่ได้เปลี่ยนสี จึงเพิ่งพยักหน้าให้คนด้านข้างเล็กน้อยคนผู้นั้นก้าวมาด้านหน้ารับบะหมี่ไปทันที และกล่าวกับหญิงผู้นั้นว่า “เจ้าไปได้แล้ว”หญิงผู้นั้นสะดุ้งก่อนโค้งคำนับอย่างนอบน้อม
เซียวจิ่งอี้นั่งอยู่บนรถม้า สายตามองทะลุผ่านหน้าต่างรถม้า เห็นพวกลุงหลี่ในฝูงชนเมื่อเห็นพวกเขาน้ำตาคลอเบ้า คุกเข่าขอบคุณด้วยสีหน้าซาบซึ้ง ก็นึกถึงก่อนหน้านี้ที่เทียนเฉวียนรายงานว่าพลเรือนจากเกาะหมัวกุ่ยเหล่านั้นได้รับการจัดหาที่อยู่อย่างเหมาะสมแล้ว ดูท่าผู้ใต้บังคับบัญชาจะทำหน้าที่ได้ไม่เลวทีเดียวมุมปากของเซียวจิ่งอี้โค้งเล็กน้อย ในอกรู้สึกอุ่น ๆ ความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้กำลังพรั่งพรูขึ้นมาขบวนรถม้าเดินทางมาหนึ่งวันแล้ว และแวะค้างแรมในจุดพักแรมของทางการหลังจากเซียวจิ่งอี้ลงมาจากรถม้า ก็มองไปทางรถคุมตัวนักโทษคันหนึ่งในกลุ่มเป็นพิเศษคนที่นั่งอยู่ในรถคุมตัวนักโทษมิใช่ใครอื่น แต่เป็นเวินเจานั่นเองสาเหตุที่เซียวจิ่งอี้จัดขบวนใหญ่โต ก็เพื่อดึงดูดสายตาของท่านจอมปราชญ์เหวินและพวกคนแคว้นเยว่ ให้มาช่วยเหลือเวินเจาระหว่างการเดินทางครั้งนี้ เป็นโอกาสสุดท้ายของพวกเขาแล้วหากพวกเขายังไม่ลงมือ รอจนให้เวินเจาถูกคุมตัวกลับเมืองหลวง ย่อมมีโอกาสสูงที่จะถูกลงโทษประหารชีวิตหลังจากเข้าเมืองหลวงแล้ว หากพวกท่านจอมปราชญ์เหวินคิดจะเข้าไปช่วยคนในคุกหลวง นั่นก็นับว่าเพ้อฝันแล้วส่วนการบุกไปชิงตัว
ยามที่กลุ่มของเซียวจิ่งอี้ออกจากจินโจว กองทหารเกียรติยศของอี้อ๋องคุ้มกันโดยตรง จึงมีความยิ่งใหญ่เกรียงไกรมากเทียบกับก่อนหน้านี้ที่ออกจากเจียงโจว พาอวิ๋นฝูหลิงกับลูกชายกลับเมืองหลวงโดยไม่ให้เป็นจุดสนใจนับว่าต่างกันโดยสิ้นเชิงระหว่างทางมีขุนนางและประชาชนมารอส่งไม่กี่วันที่ผ่านมา เซียวจิ่งอี้ได้จัดระเบียบเหล่าขุนนางในจินโจว ลงโทษข้าราชการทุจริต คืนความยุติธรรมให้ประชาชนอวิ๋นฝูหลิงใช้วิชาแพทย์ช่วยเหลือผู้คน เมื่อเจอผู้ป่วยที่ครอบครัวยากจน ก็ยังยกเว้นค่ารักษาของพวกเขาด้วยสิ่งนี้ย่อมทำให้เกิดน้ำหนักในใจของประชาชนเซียวจิ่งอี้กับอวิ๋นฝูหลิงมีจิตใจเมตตา ประชาชนย่อมจดจำความดีของพวกเขาไว้ในใจท่ามกลางฝูงชนที่คับคั่ง ชายร่างสูงผอมผิวคล้ำผู้หนึ่งยืดคอยาว มองไปทางรถม้าของเซียวจิ่งอี้ด้านข้างของเขามีเด็กหนุ่มยืนเขย่งปลายเท้า พลางดึงแขนเสื้อถามเขาว่า “ลุงหลี่ ท่านเห็นท่านอ๋องกับพระชายาหรือไม่?”ชายร่างสูงผอมผิวคล้ำกับเด็กหนุ่ม ก็คือลุงหลี่กับฟางอวี่ที่เซียวจิ่งอี้และอวิ๋นฝูหลิงช่วยออกมาจากเกาะหมัวกุ่ยก่อนหน้านี้หากเซียวจิ่งอี้อยู่ที่นี่ด้วยในยามนี้ จะต้องจำได้เป็นแน่ว่านอกจากลุงหลี่กั
จนกระทั่งสถานการณ์ทุกอย่างสิ้นสุดแล้ว หัวใจที่ตื่นตระหนกอยู่นานของเขาจึงสงบลงขณะนั้นเองจู่ ๆ ก็ได้ยินว่าอวิ๋นฝูหลิงจะถอนพิษให้ตามที่รับปากเขาไว้ เมื่อหวนนึกถึงทุกสิ่งก่อนหน้านี้ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกราวกับอยู่คนละโลกหลังจากเขาตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก็เพิ่งก้าวไปข้างหน้าอวิ๋นฝูหลิงหยิบหมอนหนุนจับชีพจรออกมาจากกล่องยา และส่งสัญญาณให้เวินจือเหิงวางมือลงไปหลังตรวจชีพจรของเวินจือเหิงแล้ว อวิ๋นฝูหลิงก็ดึงมือกลับมา และกล่าวว่า “พิษในร่างถูกถอนออกกว่าครึ่งแล้ว พูดตามหลักร่างกายของเจ้าควรจะฟื้นตัวได้ประมาณเจ็ดถึงแปดส่วนแล้ว”“แต่ช่วงนี้จิตใจเจ้ากระสับกระส่าย และวิตกกังวลมากเกินไป ทั้งยังได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายที่ไม่ค่อยดีอยู่แล้วยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก”“โชคดีที่ตอนยังเด็กเจ้าได้รับการเลี้ยงดูไม่เลว พื้นฐานร่างกายจึงแข็งแรง ตอนนี้จึงมีต้นทุนให้ใช้จ่ายได้”“ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ายังโชคดี ได้พบหมอเทวดาคนหนึ่งเช่นข้า!”เวินจือเหิงได้ยิน สีหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มขมขื่นสายหนึ่งสกุลเวินเผชิญวิกฤตครั้งใหญ่อย่างกะทันหัน เขาในฐานะผู้นำสกุลย่อมต้องค้ำจุนทั้งสกุลไว้ช่วงนี้ เขากินไม่อิ่มนอนไม่หลับ
อวิ๋นฝูหลิงเหลือบมองเวินจือเหิง เห็นว่าแม้เขาจะร่างกายอ่อนแอ แต่กลับมีแรงใจไม่เลว ในใจจึงอดไม่ได้ที่จะมองเขาดีขึ้นสกุลเวินมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีขี้ผึ้งทองและการลักลอบค้าของผิดกฎหมาย กอปรกับเวินเจาจากบ้านรองสกุลเวินยังถูกตรวจสอบพบว่าเป็นเชื้อสายของราชวงศ์แคว้นเยว่ ยิ่งไปกว่านั้นทุกร่องรอยยังแสดงให้เห็นถึงความมักใหญ่ใฝ่สูงของแคว้นเยว่ ซึ่งตั้งใจโค่นล้มราชสำนัก ถือเป็นกบฏอย่างแท้จริงหากคนของบ้านรองเข้าไปพัวพันกับคดีใหญ่เช่นนี้ เกรงว่าทั้งสกุลย่อมถูกทำลายลงตรงหน้าสกุลเวินยังสามารถยืนหยัดอยู่ในจินโจวได้ ต้องขอบคุณเวินจือเหิงซึ่งเป็นผู้นำตระกูลจริง ๆหากมิใช่เพราะเขามีไหวพริบมองการณ์ไกล ชิงยอมจำนนต่อเซียวจิ่งอี้เร็วกว่าก้าวหนึ่ง และเป็นฝ่ายลงทัณฑ์ญาติเพื่อผดุงธรรม นำหลักฐานที่เกี่ยวข้องซึ่งตัวเองตรวจสอบพบไปส่งมอบ ช่วยเป็นแรงสนับสนุนให้เซียวจิ่งอี้ เกรงว่าทุกคนในสกุลเวินคงจะติดคุกกันหมดแล้วหลังจากนั้น เวินจือเหิงก็เป็นฝ่ายขอรับโทษ บริจาคทรัพย์สมบัติเก้าส่วนของสกุลเวินให้ราชสำนักตระกูลที่มั่งคั่งเช่นสกุลเวิน ทรัพย์สมบัติที่สั่งสมมาหลายร้อยปีย่อมไม่อาจประเมินต่ำเกินไปได้ทรัพย์สมบัติ
อาศัยแค่เทียบยานั้นใบเดียว ด้วยการรักษาโรคชนิดหนึ่งได้อย่างแม่นยำ ก็เพียงพอที่จะตั้งตัวได้ ถึงขั้นมีชื่อเสียงโด่งดังทว่ายามนี้อวิ๋นฝูหลิงกลับหยิบตำราแพทย์เล่มหนึ่งออกมาให้ทุกคนเวียนกันอ่านและคัดลอกอย่างใจกว้างช่างมีจิตใจกว้างขวางเสียนี่กระไร!ชั่วขณะหนึ่ง ทุกคนต่างตกตะลึงจนพูดไม่ออกโดยเฉพาะหมอผู้ดูหมิ่นอวิ๋นฝูหลิงในคราแรก ยามนี้สัมผัสได้เพียงความร้อนผ่านที่แก้ม รู้สึกอับอายเป็นอย่างยิ่งผ่านไปครู่หนึ่ง จึงเพิ่งมีคนตั้งสติได้ โค้งคำนับอวิ๋นฝูหลิงด้วยความเคารพ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงซาบซึ้ง “การกระทำของแม่นางอวิ๋น เป็นแบบอย่างให้พวกข้าแล้วจริง ๆ พวกข้ายังเทียบแม่นางอวิ๋นไม่ติดเลย!”เมื่อมีคนเริ่มกล่าว คนอื่นก็เริ่มตอบสนองออกมาเช่นกัน พากันโค้งคำนับกล่าวขอบคุณอวิ๋นฝูหลิงอย่างจริงจังมีบางคนถึงกับเรียกอวิ๋นฝูหลิงว่าท่านอาจารย์ ขอบคุณที่ครั้งนี้นางช่วยรักษาอาการโรคที่เกิดจากขี้ผึ้งทองในจินโจว ทั้งยังถ่ายทอดคำสอนและไขข้อสงสัยอวิ๋นฝูหลิงก็มิได้อวดภูมิ รับคำคนเหล่านั้นอย่างนอบน้อมประการแรก ช่วงที่นางรักษาคนไข้ที่ป่วยเพราะขี้ผึ้งทองในจินโจว ก็ได้สอนวิธีการรักษาของตัวเองให้เหล่าหมอท่า
ท่านหมอในสำนักผิงอันต่างมองไปที่ตำราแพทย์ในมือหางซานสุ่ยด้วยดวงตาเป็นประกายนั่นเป็นถึงตำราแพทย์ที่บันทึกศาสตร์ฝังเข็มและเทียบยาสำหรับการรักษาผู้ป่วยเสพติดขี้ผึ้งทองเชียวนะโดยเฉพาะเมื่ออวิ๋นฝูหลิงเป็นผู้เขียนตำราเล่มนี้ด้วยตัวเองในช่วงเวลาที่ได้ทำงานร่วมกันมานี้ ท่านหมอในเมืองจินโจวถือว่าได้เปิดหูเปิดตารับรู้ถึงฝีมือการแพทย์อันสูงส่งของอวิ๋นฝูหลิงแล้วยามหารือเรื่องการรักษาผู้ป่วยติดขี้ผึ้งทอง นางก็มักจะหาแนวทางสำหรับการรักษาที่เหมาะสมที่สุดออกมาเสมอทักษะฝังเข็มล้ำเลิศ เทียบยาก็ล้ำลึกพิสดาร แม้จะเป็นท่านหมออาวุโสที่สั่งสมประสบการณ์มานานก็ยังมีบ้างที่ด้อยกว่าโดยเฉพาะเมื่ออวิ๋นฝูหลิงเป็นหมอหญิงอ่อนวัยที่อายุเพิ่งยี่สิบปีมีท่านหมอในเมืองจินโจวบางคนที่รู้สึกว่า การที่อวิ๋นฝูหลิงมีชื่อเสียงเลื่องลือนั้นทั้งหมดล้วนเป็นเพราะรัศมีอันมีติดตัวมาแต่กำเนิดด้วยนางถือกำเนิดในสกุลอวิ๋นเท่านั้น นางถึงได้มีชื่อเสียงและได้รับความเคารพอยู่บ้างในแวดวงแพทย์เช่นนี้ทว่าใครจะไปรู้ว่าอวิ๋นฝูหลิงกลับใช้ฝีมือการแพทย์ของตัวเองมาตบหน้า สอนเป็นบทเรียนให้พวกเขาอย่างดีหลังได้รู้ซึ้งถึงฝีมือการแพทย์ของ
ขุนนางที่ถูกส่งมาใหม่เหล่านี้ ต่างทยอยเดินทางมาถึงจินโจวกันแล้วในช่วงไม่กี่วันมานี้ก่อนที่พวกเขาจะเดินทางมาถึง งานบริหารราชการและบริหารกองทัพของจินโจวล้วนมีเซียวจิ่งอี้รับผิดชอบชั่วคราวบัดนี้ขุนนางชุดใหม่มาถึงแล้ว แน่นอนว่าเซียวจิ่งอี้ย่อมเริ่มมอบหมายงานแก่พวกเขา คืนอำนาจบริหารราชการและกองทัพของจินโจวให้ขุนนางที่เหมาะสมจากความหมั่นเพียรและการจัดระเบียบของเซียวจิ่งอี้ งานบริหารราชการในเมืองจินโจวจึงได้รับการจัดระเบียบเป็นที่เรียบร้อยนานแล้ว ขอแค่เหล่าขุนนางที่มารับหน้าที่นี้ต่อไปมัวแต่กินดื่ม ไม่ทำการงาน ก็สามารถบริหารปกครองเมืองจินโจวได้ และฟื้นฟูให้จินโจวรุ่งเรืองขึ้นมาใหม่อีกครั้งได้สิ่งเดียวที่ทำให้เซียวจิ่งอี้ไม่สบอารมณ์และปวดหัวก็คือ จวบจนบัดนี้ยังไม่อาจจับกุมตัวราชครูเผ่าเยว่ผู้นั้นได้ไม่ว่าจะค้นหาไปทั่วเมือง หรือใช้เวินเจาเป็นเหยื่อล่อ ล้วนไม่เห็นแม้แต่ร่องรอยของราชครูเผ่าเยว่ผู้นั้นอีกทั้งประตูเมืองจินโจวก็ไม่อาจปิด ไม่อนุญาตให้ชาวบ้านเข้าออกได้เป็นเวลานานได้แม้ว่าประชาชนจะไม่กล้ามีปากเสียง แต่การชดเชยเรื่องอาหารการกินในชีวิตประจำวันก็นับว่าเป็นปัญหานอกจากนี้ประ